[ทดลองอ่าน] คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน เล่ม 3 ตอนที่ 73

《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน

 

เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —
ด้วยฝีมือการปรุงอาหารเลิศรสของ เจียงซูเหย่า
นอกจากจะมัดใจ เซี่ยสวิน ผู้เป็นสามีแล้ว
ยังผูกใจคนในครอบครัวสามีไว้ได้ด้วย

ไม่ว่าปัญหาใดล้วนแก้ไขได้ด้วยอาหารแสนโอชะ
ทั้งคนสูงศักดิ์และคนธรรมดา เมื่อได้ลิ้มลองแล้ว
ไม่มีใครที่จะเพิกเฉย

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

73

 

กล่าวถึงคืนที่ตกลงไปในน้ำเย็น บางทีอาจเป็นเพราะความตึงเครียดและแช่ตัวนานเกินไป ทำให้เซี่ยสวินเป็นหวัด หลังกลับมาถึง เจียงซูเหย่ารีบสั่งให้หญิงรับใช้ต้มน้ำขิงมาให้เขาดื่มทันที

เซี่ยสวินถือชามกระเบื้องใบใหญ่ ท่าทางงุนงง หาคำตอบไม่ได้ แววตาเหม่อลอย ราวกับกำลังใคร่ครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง

“รีบดื่มน้ำแกงเร็วเข้า” เจียงซูเหย่าเดินผ่านหลังเขา เตรียมแกะมวยผมออก

เซี่ยสวินได้ยินเสียงของนางก็ตัวสั่นและรีบฝังหน้าลงในชาม

เพียงแต่…ชามใบนี้ใหญ่เกินไปกระมัง

เจียงซูเหย่าเดินผ่านหลังเขาอีกครั้ง เห็นว่าเขายังคงอึ้งงัน นางถามอีกประโยคหนึ่งว่า “ไฉนไม่ดื่มเล่า”

เซี่ยสวินตัวสั่นเทาอีกครา

เขาคิดจะตอบ แต่ทันทีที่อ้าปาก ภาพของเจียงซูเหย่าที่เข้ามาใกล้ตอนตกน้ำก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา สัมผัสอบอุ่นและนุ่มนวลที่คาง พาให้หัวใจเขาเริ่มเต้นแรง ใบหน้าแดงก่ำ

“เป็นอันใดไป” เจียงซูเหย่าเห็นเขาไม่ตอบ จึงเดินเข้าไปหาเขาอย่างกังขา พบว่าแก้มเขาแดงก่ำ นางรีบเอื้อมมือออกไปวัดอุณหภูมิที่หน้าผากของเขา

“คงไม่ใช่ว่าเป็นไข้แล้วกระมัง” นางบ่นพึมพำ

เซี่ยสวินเอียงหน้าหลบอย่างลนลาน แล้วดื่มน้ำขิงชามใหญ่อย่างรวดเร็ว

เจียงซูเหย่าถึงพบว่าเขาถือชามกระเบื้องใบใหญ่ที่เขามักใช้เป็นประจำและใช้ในวัตถุประสงค์พิเศษ ก็รู้สึกอึ้งงันอยู่บ้าง “แค่ใส่น้ำขิงไยต้องใช้ชามใบใหญ่เพียงนี้ด้วย ตอนกลางคืนอย่าดื่มมากเกินไป”

เซี่ยสวินถอนหายใจโล่งอก เขาวางชามลงโดยพลัน ก้นชามกระแทกกับโต๊ะไม้เสียงดัง “ตึง” ก่อนที่เจียงซูเหย่าจะเห็นสีหน้าของเขาชัดเจน เขาก็เดินจากไปอย่างรีบร้อนแล้ว

ใกล้ถึงเวลาดับไฟ เซี่ยสวินเพิ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกและยืนมองนางจากที่ไกลๆ

กล่าวตามตรง เจียงซูเหย่าขวยอายและประหม่า หลังเปิดเผยความในใจต่อกันกับเซี่ยสวินแล้ว แต่นางกับเขาอยู่ร่วมกันมานาน การกระทำใกล้ชิดบางอย่างก็ทำออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้แต่นางก็ยังไม่สังเกตเห็น

นางเห็นเซี่ยสวินยืนอยู่ไกลๆ มิกล้าเข้ามา จึงรู้สึกได้ภายหลังว่า หรือเซี่ยสวิน…ขัดเขิน

แสงเทียนสลัว เงาสะท้อนวูบไหว

เซี่ยสวินยืนอยู่ไกลๆ ใบหน้ายังคงเย็นชา มองเห็นสายตาของเขาไม่ชัด

เจียงซูเหย่ามองเขา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องราวในโลกช่างแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าไม่กี่เดือนก่อนยังแขวะว่าเขามีสีหน้าไร้อารมณ์คล้ายโลงศพ แต่เวลานี้เมื่อมองอีกที แค่รู้สึกว่าใบหน้าตายด้านที่เขาทำอยู่ทุกวันดูน่ารักดี

นางถึงได้รู้สึกอย่างแท้จริงว่ากำลังตกหลุมรัก เกิดอาการบวมพองในกระเพาะอาหาร แล้วค่อยๆ เอ่อท้นเข้าสู่หัวใจ ปานมีผีเสื้อนับไม่ถ้วนกำลังกระพือปีก

“จะยืนอยู่ตรงนั้นไปไย ไม่นอนหรือเจ้าคะ”

เซี่ยสวินลังเลชั่วครู่ ก่อนค่อยๆ เดินเข้ามา

เจียงซูเหย่านอนตะแคง ตอนที่เขาเดินเข้ามา นางหยัดตัวลุกขึ้น และอดส่งยิ้มให้เขาไม่ได้

สีหน้าของเซี่ยสวินเรียบเฉยขณะก้มลงมองนาง

เขาหลุบตาลง ขนตางอนยาวบดบังแววตาไว้ ทำให้เกิดเงามืดที่เปลือกตาล่าง เมื่อจับคู่กับใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ก่อให้เกิดความห่างเหิน โอหัง และถือดี

โชคดีที่เจียงซูเหย่ารู้พฤติกรรมของเขาดี จึงไม่เข้าใจเขาผิด ตรงกันข้ามยิ้มกลับฉายชัดขึ้น เมื่อมองรูปลักษณ์หล่อเหลานี้ของเขา มักรู้สึกว่าตนเองลักพาตัวนักพรตน้อยของอารามเต๋าผู้น่าสงสารมา

นางยังไม่ทันพูด เซี่ยสวินก็ขยับเข้าไปก้าวหนึ่ง แล้วก้มลงใกล้เจียงซูเหย่าอย่างกะทันหัน

หลังจากอาบน้ำเสร็จ มีไอน้ำเย็นสดชื่นเกาะพราวบนตัวเขา มีลมเย็นที่นุ่มนวลพัดโชยไปมาระหว่างการเคลื่อนไหวของเขา ยามที่เขาก้มลงมา สายตาของเจียงซูเหย่าตกอยู่ที่ลำคอของเขาพอดี

ผิวขาวผ่อง ลูกกระเดือกชัดเจน

เซี่ยสวินหรี่ตาลงขณะมองนาง สีหน้าเหินห่างและอดกลั้นยิ่งขึ้น เจียงซูเหย่าพลันรู้สึกว่าใบหนาร้อนผ่าวเล็กน้อย

“ข้า…”

นางเพิ่งอ้าปาก เซี่ยสวินกลับขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง ครั้งนี้นางรู้สึกว่าตนเองถูกไอน้ำที่เย็นสดชื่นบนร่างเขาแผ่ปกคลุมโดยสมบูรณ์

เขารูปร่างสูง ไหล่กว้าง ขายาว และอ้อมแขนดูคล้ายกว้างมากเช่นกัน เมื่อเข้ามาใกล้คล้ายนางตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา

เจียงซูเหย่ากัดริมฝีปากล่างโดยพลัน ใบหน้าแดงเรื่อ หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้

นางรู้สึกว่าสมองว่างเปล่าขาวโพลน คำถามผุดขึ้นมาทีละคำถาม เกิดอันใดขึ้น เซี่ยสวินอยากกอดนางอย่างนั้นหรือ หรือจะจูบนาง คงอยากจูบนางกระมัง

ขณะที่นางกระสับกระส่าย ตื่นเต้น ขัดเขิน เซี่ยสวินพลันเคลื่อนไหวแล้ว เขายืนตัวตรง และถอยห่างจากเจียงซูเหย่าครึ่งก้าว…ถือหมอนที่เขานอนจนคุ้นชินในมือ

“ข้าจะไปอนที่ห้องหนังสือ”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ราบเรียบ กอดหมอนแล้วหันหลังเดินจากไป

เจียงซูเหย่า “…”

เมื่อครู่เป็นเพราะเขาจะหยิบหมอนอย่างนั้นหรือ ตัดสินใจจะไปนอนที่ห้องหนังสือถึงได้มาหยิบหมอน ดำเนินการดุดันดั่งพยัคฆ์ แต่เมื่อหันมามองกลับเป็นเจ้าทึ่ม

นางกัดฟัน “เซี่ยปั๋วยวน!”

เซี่ยสวินหันข้าง เพราะจมูกโด่ง เค้าโครงด้านข้างแข็งกร้าว และสีหน้าเย็นชา ทำให้คล้ายบุรุษที่ทอดทิ้งภริยาอย่างไร้น้ำใจ

“มีอันใดหรือ” เขาถาม

เจียงซูเหย่าสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันกล่าว “ท่านมานี่” นางมิอาจระงับความโกรธไว้ได้ ตบเตียงสองครั้ง “มานอนนี่!”

“บุรุษผู้ไร้น้ำใจ” ยอมรับความพ่ายแพ้ในชั่วอึดใจ เดินไปที่เตียงพร้อมกับกอดหมอน ภายใต้สายตากราดเกรี้ยวของเจียงซูเหย่า เขารีบวางหมอน ถอดรองเท้า และล้มตัวลงนอนบนเตียง

“เหอะ” เจียงซูเหย่าพลิกตัวและหันหน้าเข้าหาผนังโดยไม่สนใจเขา

ความรู้สึกตื่นเต้น ความอ่อนโยนสลายสิ้น

เซี่ยสวินไม่ค่อยเข้าใจ “เจ้าโกรธหรือ”

“ไม่”

“ข้าไปนอนที่ห้องหนังสือ เพราะข้ารู้สึกว่าอา…อากาศร้อนเกินไป…”

“หืม”

“…เป็นเพราะข้ายากจะสงบใจ”

เจียงซูเหย่าไม่เอ่ยวาจา

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเจียงซูเหย่าเข้าใจว่าเซี่ยสวินใกล้จะหลับแล้ว เขาพลันถามเสียงเบามากว่า “ถ้อยคำประโยคนั้นที่เจ้าพูดคืนนี้เป็นความจริงหรือ”

เจียงซูเหย่าถามว่า “ประโยคใด”

“เจ้าบอกว่าเจ้าก็พึงใจข้าเช่นกัน” เสียงของเขาแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม หากเบากว่านี้ก็ไม่ได้ยินแล้ว

เจียงซูเหย่าอารมณ์ดีขึ้น กระดกมุมปากขึ้นและตอบว่า “อืม”

เซี่ยสวินไม่กล่าวอีก ฟังจากเสียง เขาน่าจะพลิกตัว เมื่อได้ท่านอนที่สบายแล้ว ก็ไม่ขยับตัวอีก น่าจะหลับไปแล้ว

มีเขาอยู่ข้างๆ เจียงซูเหย่ารู้สึกปลอดภัยอยู่เสมอ และผล็อยหลับไปเช่นกัน

นิทราฝันหวาน

 

ตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ไม่เห็นเซี่ยสวินอยู่ข้างกายแล้ว เจียงซูเหย่านวดขมับและหยัดกายลุกขึ้น ก่อนร้องเรียกไป๋จื่อ

ไป๋จื่อเดินเข้ามาปรนนิบัติเจียงซูเหย่าลุกจากที่นอน

“เหตุใดถึงไม่ปลุกข้าที่นอนเลยเวลาแล้ว” เจียงซูเหย่าถาม

“เรียนคุณหนู ท่านเขยบอกว่าเมื่อคืนท่านตกน้ำ ตื่นตระหนกตกใจ วันนี้ควรนอนให้มาก ไม่ให้บ่าวรบกวนเจ้าค่ะ” ไม่นานมานี้เจียงซูเหย่าเพิ่งมีระดู ไป๋จื่อรู้ว่าตนเข้าใจผิดที่คิดว่าคุณหนูตั้งครรภ์แล้ว จึงรู้สึกผิดหวังยิ่ง

“เขาเอาอาหารไปด้วยหรือไม่”

“เอาไปด้วยเจ้าค่ะ เป็นบะหมี่เย็นที่เตรียมไว้เมื่อวาน และใส่เครื่องปรุงรสในชามเล็กตามคำสั่งของคุณหนู”

เจียงซูเหย่าพยักหน้า ก่อนเดินออกจากห้อง หลังล้างหน้า บ้วนปาก หวีผม แต่งตัวเสร็จแล้ว ดวงตะวันสาดแสง นางยกมือขึ้นบังแสงอุทัย และเห็นโจวซื่อเดินมาจากที่ไกลๆ เข้าพอดี

โจวซื่อขมวดคิ้ว สีหน้ากลัดกลุ้มอยู่บ้าง เมื่อเห็นเจียงซูเหย่าก็เก็บอารมณ์ คลี่ยิ้ม “เจ้าคงไม่ได้เพิ่งตื่นใช่ไหม”

เจียงซูเหย่าแก้ตัวว่า “เมื่อคืนเข้านอนดึกไปหน่อย”

โจวซื่อผงกศีรษะกล่าวว่า “เมื่อวานได้เดินเที่ยวเล่นย่านอาหารริมทาง ข้าตื่นเต้นนิดหน่อย ข้าก็เข้านอนดึกเช่นกัน” นางเงยหน้ามองดวงตะวัน ถอนหายใจกล่าวว่า “อากาศร้อนด้วย เช้านี้ร้อนจนข้าไม่อยากอาหาร แค่ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รองท้อง”

“ใช่ ยามนี้ข้าเพียงอยากกินน้ำแข็ง” เจียงซูเหย่าปรบมือ เชิญโจวซื่อไปที่ห้องครัวเล็ก “กล่าวถึงน้ำแข็ง ข้ามีของดีที่อยากให้ท่านดู”

โจวซื่อถูกเจียงซูเหย่ากระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น นางรีบเดินตามไป

ไปถึงห้องครัวเล็ก เจียงซูเหย่าชี้ไปที่เครื่องมือเหล็กบนโต๊ะ “ก็คือสิ่งนี้”

เมื่อโจวซื่อเห็นรูปลักษณ์แปลกประหลาดของเครื่องมือเหล็กนี้ นางเดินเข้าไปสัมผัส แต่ไม่รู้ว่ามันคืออันใด “นี่คือ…”

“เครื่องปั่น” เจียงซูเหย่าเปิดเครื่องปั่น และให้โจวซื่อดูใบมีด “ใช้ปั่นวัตถุดิบให้ละเอียด เป็นเครื่องมือเหล็กที่แข็งแรงจึงทำน้ำแข็งไสได้ แต่ก็น่าจะสิ้นเปลืองกำลังมากเช่นกัน”

ก่อนย่างเข้าสู่ฤดูคิมหันต์ เจียงซูเหย่าวาดภาพเครื่องปั่นแล้วมอบให้หลินซื่อ สกุลหลินมุ่งมั่นกับการเดินเรือและขนส่งทางเรือมาหลายชั่วอายุคน มีช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรจำนวนมาก หลังได้รับภาพวาดแล้ว ก็ได้แก้ไขปรับปรุงหลายรอบเพื่อประดิฐ์เครื่องปั่นนี้

โจวซื่อสัมผัสใบมีดที่คมกริบ รู้สึกได้ถึงความเย็น อดถอนหายใจไม่ได้ “ฝีมือช่างประณีตจริงๆ” ถอนหายใจแล้ว ถึงกลับเข้าเรื่อง “ปั่นอันใดได้บ้าง”

เจียงซูเหย่ากวาดตามองวัตถุดิบที่มุมห้อง นัยน์ตาสว่างวาบ ก่อนสาวเท้าเข้าไปหยิบเต้าหู้มาก้อนหนึ่ง

โจวซื่องุนงง “เต้าหู้หรือ เต้าหู้อ่อนนุ่มขนาดนี้ ยังต้องปั่นให้ละเอียดด้วยใบมีดอีกหรือ”

“ประเดี๋ยวข้าจะสาธิตให้ดู ท่านจะได้รู้ถึงความยอดเยี่ยมของเครื่องปั่น”

เจียงซูเหย่ามัดแขนเสื้อ หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นๆ ลวกในน้ำร้อนแล้ว จึงนำไปแช่ในน้ำเย็นเพื่อทำให้เย็นลง จากนั้นใส่เต้าหู้เย็น นมวัว น้ำตาล และงาดำบดลงในเครื่องปั่น จับด้ามจับมั่นแล้วเริ่มปั่น เนื่องจากใบมีดคมกริบและเต้าหู้นุ่ม จึงไม่ต้องเปลืองแรงในการหมุนมาก มันหมุนเร็วมาก ผ่านไปสักพักนางก็หยุดเคลื่อนไหว เปิดฝาออกดู ส่วนผสมด้านในทั้งหมดถูกปั่นจนกลายเป็นน้ำนมข้นเหนียวเนียนละเอียด

โจวซื่อส่งเสียง “เอ๊ะ” ด้วยความแปลกใจ ถามว่า “น้ำเต้าหู้แบบนี้รสชาติดีหรือไม่”

“แบบนี้ยังกินไม่ได้ ยังต้องรอให้มันแข็งตัวก่อน”

เจียงซูเหย่าเทน้ำนมลงในชาม ปิดฝา แล้ววางลงในชามน้ำแข็ง รอให้เย็นลง

พอวางแล้ว นางหันไปกล่าวกับโจวซื่อที่มีสีหน้าคาดหวังว่า “เอาละ เวลานี้เพียงต้องรอให้เต้าหู้ปิงฉีหลิน[1]แข็งตัวก็เป็นอันใช้ได้แล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีธุระใด มิสู้คุยเรื่องที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์ดีหรือไม่”

โจวซื่อมองเจียงซูเหย่าอย่างหลากใจ ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเรื่องในใจ”

“มองใบหน้าของท่านก็รู้แล้ว” เจียงซูเหย่าลังเลอึดใจหนึ่ง ค่อยถาม “แต่พี่รอง…”

โจวซื่อตกตะลึง โบกมือกล่าว “จะเป็นเขาไปได้อย่างไร”

แม้ไม่เหมาะสม แต่เจียงซูเหย่าโล่งอกเมื่อเห็นท่าทางนี้ของอีกฝ่าย

“เป็นบุตรีของข้าเอง” โจวซื่อนั่งลงบนม้านั่งข้างๆ “เมื่อวานพวกเราไปที่ย่านอาหารกินเล่นข้างทาง พี่สะใภ้ใหญ่พาบุตรไปด้วย บุตรีของข้าก็ไปด้วยเช่นกัน”

โจวซื่อคลอดลูกก่อนกำหนด บุตรีอายุหกขวบแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าชมชอบเด็กผู้หญิง เมื่อเห็นความน่ารักของนาง ก็อยากอบรมสั่งสอนหลานสาวด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าเกิดในสกุลดี ไม่ว่ามารยาท หรือความสามารถด้านการประพันธ์ล้วนโดดเด่น โจวซื่อคิดว่าหากบุตรีเรียนรู้จากนางได้สักเล็กน้อย ก็คงไม่ถึงกับทำเรื่องน่าขายหน้าในงานเลี้ยงหลายครั้งหลายหนและถูกคนบีบคั้นเหมือนนาง จึงตอบตกลงฮูหยินผู้เฒ่า

ต่อมาเป็นเพราะเรื่องที่เซี่ยหลางรับอนุภรรยา โจวซื่อทุ่มเทให้เขาอย่างเต็มที่ ทำให้ยิ่งห่างเหินกับบุตรีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเซี่ยเซิงเติบโตจนรู้ความ ก็เปลี่ยนไปเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยที่คล้ายฮูหยินผู้เฒ่าฉบับรุ่นเยาว์

โจวซื่อไม่เคยเห็นเด็กแบบเซี่ยเซิงมาก่อน ไม่ชอบหัวเราะ ไม่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย เพียงชอบอ่านหนังสือและเล่าเรียนเท่านั้น ไหนเลยจะเหมือนหลานชายหลานสาวของนางที่ชายแดน อายุสิบสามแล้วแต่ยังปีนต้นไม้หาไข่นกอยู่เลย

ทุกครั้งที่เจอเซี่ยเซิง โจวซื่อจะรู้สึกว่าทั่วร่างถูกควบคุม เกรงว่ากิริยาท่าทางของตนไม่เหมาะสม แล้วทำให้นางรังเกียจ เซี่ยเซิงมีนิสัยถือตัวและไม่ชอบสุงสิงกับโจวซื่อ

“เมื่อวานเจอนางแล้ว ข้ากับนางยิ่งห่างเหินกันมากขึ้น เจ้าคิดว่าแปลกหรือไม่ เห็นอยู่ว่าเป็นบุตรีที่ข้าตั้งครรภ์มาสิบเดือน ข้ากลับไม่ค่อยสนิทกับนาง ไม่กล้าแม้แต่จะพูดและทำอันใดมากไปกว่านั้น เกรงว่าจะทำเรื่องขายหน้าต่อหน้านาง”

โจวซื่ออัดอั้นตันใจอยู่คนเดียวมานานหลายปี ไม่มีผู้ใดให้ระบายความในใจด้วย ครั้นแล้วก็เล่าให้เจียงซูเหย่าฟังมากมาย เมื่อเล่าจบ เต้าหู้ปิงฉีหลินก็ใกล้แข็งตัวแล้ว

นางเพียงระบายความขมขื่นในใจ ไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำปลอบโยน ขณะที่เจียงซูเหย่าหยิบชามออกมา โจวซื่อก็โยนความกังวลใจเมื่อครู่ทิ้งไป และมองของในชามอย่างสนใจ

เจียงซูเหย่าหยิบช้อนมาสองคัน “ลองชิมดู ยังแข็งไม่ดี แต่ชิมรสชาติก่อนได้”

เมื่อช้อนแตะเต้าหู้ปิงฉีหลินเนื้อเนียน ปิงฉีหลินก็ละลายทันใด เนื้อนูนออกมาเป็นเส้นโค้งเรียบลื่น เต้าหู้ปิงฉีหลินยังนุ่มอยู่ รสสัมผัสอยู่ระหว่างปิงฉีหลินกับนมปั่น

เมื่อเอาเต้าหู้ปิงฉีหลินที่เย็นเล็กน้อยเข้าปาก ก็ละลายกลายเป็นน้ำนมข้นเหนียวที่ปลายลิ้นทันที ความเย็นสดชื่นแผ่กระจาย รสหวานละมุนกระตุ้นต่อมรับรส กลิ่นหอมของนม กลิ่นหอมของงาดำ ยังมีความสดชื่นของเต้าหู้ที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน เป็นเต้าหู้งาดำที่นุ่มลื่นเนียนละเอียด ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นและเอร็ดอร่อย

เต้าหู้มีแค่กลิ่นหอม กลับไม่มีกลิ่นเหม็นของถั่วเหลืองแม้แต่น้อย เมื่อปั่นรวมกับงาดำยิ่งส่งกลิ่นหอมเข้มข้นขึ้น และเมื่อผสมกับนมวัวเนื้อเนียน รสชาติเหมือนน้ำเต้าหู้เหมือนนมถั่วเหลือง ทั้งหอมทั้งหวาน รสสัมผัสละมุนลิ้น ความเย็นฉ่ำและเย็นสบายได้แผ่จากปลายลิ้น ทำให้รู้สึกสบายไปทั้งตัว

โจวซื่อมองเจียงซูเหย่าด้วยความอัศจรรย์ใจ “น่าทึ่งเกินไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กินอาหารที่มีรสสัมผัสแบบนี้”

เจียงซูเหย่าถามว่า “อร่อยหรือไม่”

“แน่นอน กลิ่นหอมจัด รสหวานเย็นสดชื่น ไม่มีผู้ใดไม่ชอบ”

เจียงซูเหย่าผลักชามไปตรงหน้านาง “ท่านแน่ใจนะ”

“ข้าแน่ใจ” โจวซื่อพยักหน้า

“อย่างนั้นบุตรีของท่านน่าจะชอบกระมัง”

โจวซื่อตะลึงงัน หันมองเจียงซูเหย่า ไม่เข้าใจความหมายของนาง

“เอาไปให้นางชิมดีหรือไม่ เต้าหู้มีประโยชน์ ช่วยขับความร้อน ช่วยผลิตของเหลวในร่างกาย[2] และดับกระหาย ไม่เย็นจนเกินไป ไม่ระคายเคืองลำไส้และกระเพาะอาหาร เด็กๆ กินได้ ข้าเชื่อว่ารสสัมผัสและรสชาตินี้เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ”

สดับวาจาของเจียงซูเหย่าจนเข้าใจ โจวซื่อประหลาดใจยิ่งยวด รีบปฏิเสธว่า “ไม่ได้กระมัง นี่ไม่ใช่ของที่ข้าทำ ยิ่งกว่านั้นข้ามิกล้า…” เอ่ยมาถึงตรงนี้พลันเงียบไป

โจวซื่อไม่ใช่คนกระบิดกระบวน แต่มีนิสัยหุนหันพลันแล่นและตรงไปตรงมา นางตบโต๊ะทีหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน “ได้ เดิมก็เป็นของที่เจ้าทำ ในเมื่อเจ้ากล่าวถึงเพียงนี้แล้ว หากข้ายังดึงดัน พูดพล่ามอยู่ที่นี่จะใช้ได้ที่ใด”

นางหยิบชามกระเบื้องขึ้นมา ชะงักชั่วครู่ หลังจากเตรียมใจพร้อมแล้วก็กล่าวว่า “ข้าจะไปหานาง”

 

[1] ไอศกรีม

[2] ของเหลวในร่างกายทางแพทย์จีน เช่น เลือด น้ำลาย น้ำตา เหงื่อ เป็นต้น

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า