《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
ด้วยฝีมือการปรุงอาหารเลิศรสของ เจียงซูเหย่า
นอกจากจะมัดใจ เซี่ยสวิน ผู้เป็นสามีแล้ว
ยังผูกใจคนในครอบครัวสามีไว้ได้ด้วย
ไม่ว่าปัญหาใดล้วนแก้ไขได้ด้วยอาหารแสนโอชะ
ทั้งคนสูงศักดิ์และคนธรรมดา เมื่อได้ลิ้มลองแล้ว
ไม่มีใครที่จะเพิกเฉย
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
75
เจียงซูเหย่าบอกเซี่ยสวินว่านางไม่สนใจเรื่องการขอความดีความชอบจากเบื้องบน ถึงอย่างไรสำหรับนางแล้ว การทำน้ำแข็งไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นการขอความดีความชอบจากเบื้องบนไม่มีอันใดมากไปกว่าการตกรางวัลเป็นเครื่องประดับทองและเงิน พวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางขาดแคลน
แต่เห็นชัดว่านางเดาทิศทางของเรื่องผิดไป เซี่ยสวินกลับมามือเปล่า
เดิมเจียงซูเหย่าไม่สนใจ กลับถูกกระตุ้นจนรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง นางสงสัยใคร่รู้ว่าเซี่ยสวินไปรายงานรัชทายาทเรื่องใด และผลลัพธ์ของการหารือเป็นอย่างไร ครั้นแล้วเมื่อนอนอยู่บนเตียงยามค่ำ จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เซี่ยสวินเข้าใจความฉงนของนาง เขาอธิบายว่า “ความดีความชอบถูกบันทึกไว้ถึงจะดี”
เมื่อดับไฟ เจียงซูเหย่าเห็นสีหน้าของเซี่ยสวินไม่ชัด ยามที่เขาพูด น้ำเสียงราบเรียบเสมอมา แต่ขณะนี้ด้วยคำพูดเหล่านี้ให้ความรู้สึกที่ยากจะหยั่งถึง
เจียงซูเหย่าไม่เข้าใจ “นี่หมายความว่าอย่างไร”
เซี่ยสวินตอบว่า “แค่เผื่อไว้เท่านั้น”
“พูดราวกับว่าพวกเราจะเกิดปัญหาในภายหลัง” เจียงซูเหย่าบ่นพึมพำ
เซี่ยสวินหัวเราะเบาๆ แล้วพลิกตัวหันมามองนาง
เนื่องจากมืดมิด เซี่ยสวินจึงสบายใจขึ้นยามเผชิญหน้ากับเจียงซูเหย่า
“ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเกิดปัญหา แต่เป็นเจ้าต่างหาก” เซี่ยสวินกล่าวแก้ น้ำเสียงเจือยิ้มหลายส่วน “ที่แท้เจ้าก็มองตัวเจ้าเองเช่นนี้”
“ข้าหรือ” เจียงซูเหย่าไม่ยอมรับ “ข้าจะเกิดปัญหาอันใดได้”
เซี่ยสวินเงียบไปสักพัก ค่อยกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเกลี้ยกล่อมให้ท่านแม่ยายเปิดร้านอาหาร บอกว่าเพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของท่านแม่ยาย เพื่อให้นางสบายใจขึ้น ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นกระมัง”
เจียงซูเหย่าเงียบไปชั่วอึดใจ “ยามนั้นข้าคิดเช่นนี้จริงๆ”
“แล้วยามนี้เล่า”
เจียงซูเหย่าเงียบกริบ
“ในความคิดของข้า เจ้าไม่ได้จะเปิดแค่ร้านอาหารและของกินเล่นไม่กี่ร้านเท่านั้น เจ้าอยากทำการค้าใหญ่ใช่หรือไม่”
ถ้อยคำเหล่านี้ทำเจียงซูเหย่าประหลาดใจอยู่บ้าง นางกลัดกลุ้มและหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก กล่าวด้วยน้ำเสียงเคืองขุ่นว่า “ข้าไม่รู้ ไฉนท่านพูดราวกับว่ารู้จักข้าดีกว่าตัวข้าเองเสียอีก”
เซี่ยสวินขบขันน้ำเสียงตัดพ้อของนาง เขาไม่แย้ง กลับกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร ค่อยๆ คิด วันเวลาอีกยาวไกล ก่อนหน้านี้ข้าสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ยามนี้การค้าพวกของกินเล่นริมทางกำลังเฟื่องฟู ทำให้สะดุดตาผู้อื่น หลังจากนี้หากจะทำการค้าที่ใหญ่กว่านี้ เกรงว่าจะมีปัญหาตามมา”
เจียงซูเหย่าเข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน “ข้าเข้าใจ เพราะพวกเราแบ่งผลประโยชน์การค้าขายอาหารมาจากมือคนอื่น”
เซี่ยสวินได้ยินน้ำเสียงหดหู่ของนาง จึงรีบเปลี่ยนคำพูด ปลอบว่า “ข้าเพียงคิดเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้าและวางแผนไว้ก่อนเท่านั้น บางทีอาจจะตีตนไปก่อนไข้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงให้มากเกินไป นอนเถิด”
เจียงซูเหย่าค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเซี่ยสวิน ในเมื่อเซี่ยสวินพูดเยี่ยงนี้แล้ว นางก็เบาใจขึ้น
นางจ้องเพดานเตียงอย่างใจลอย ก่อนหันไปกล่าวกับเซี่ยสวินว่า “ขอบคุณนะ”
“ไม่ต้องขอบคุณ เดิมสามีภรรยาก็ถือเป็นคนคนเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นสิ่งที่ข้าเคยให้คำมั่นสัญญากับเจ้า” เขาหมายถึงสิ่งที่เขาสารภาพรักเมื่อวันนั้น
ความสับสนว้าวุ่นใจของเจียงซูเหย่าสลายสิ้น กลายเป็นน้ำผึ้งและความอบอุ่นใจ
นางยื่นมือออกไป พอเจอมือของเซี่ยสวิน ก็เกี่ยวนิ้วของเขาเบาๆ
เซี่ยสวินตัวแข็งทื่อ มิกล้าขยับเขยื้อน
เจียงซูเหย่าไม่รู้ถึงความหวั่นไหวรุนแรงในใจเขา แต่รู้สึกว่าเขาไม่ขยับมือ จึงเกี่ยวนิ้วของเขาและหลับตา ผล็อยหลับไป
นิ้วของนางเรียวยาวอ่อนนุ่ม ปลายนิ้วอบอุ่นเนียนลื่นราวกับหยกอุ่น หัวใจของเซี่ยสวินเต้นตึ้กตั้ก ครั้นได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของนาง ก็ไม่ตื่นเต้นมากขนาดนั้นแล้ว
เขาค่อยนึกได้ว่าดึกแล้ว จึงรีบนอนและหลับตาลง คิดไม่ถึงว่าการนอนคืนนี้จะหอมหวานกว่าในอดีต
วันรุ่งขึ้น เมื่อโจวซื่อมาหาเจียงซูเหย่า นางก็โยนความว้าวุ่นก่อนนอนเมื่อคืนทิ้งไว้ด้านหลัง
วันนี้สีหน้าของโจวซื่อไม่เลว หางตาหางคิ้วแต้มยิ้มบางเบา
เจียงซูเหย่าพลอยอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย “พี่สะใภ้รองมีเรื่องมงคลหรือ”
โจวซื่อส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ถือว่าเป็นเรื่องมงคล” เอ่ยถึงตรงนี้ก็กุมมือของเจียงซูเหย่า “น้องสะใภ้ ต้องขอบคุณเจ้า หากไม่ได้เจ้า ข้าคงไม่มีวันได้ใกล้ชิดอาเซิง คิดไม่ถึงว่าการทำอาหารจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับนางได้ เมื่อวานนางรับปากให้ข้าไปส่งอาหารให้นางบ่อยครั้ง แล้ว!”
นางถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจบทกวี มิอาจสนองตอบความต้องการของนางได้ และมิอาจพูดคุยกับนางเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่แม่นางน้อยทั่วไปชอบ ข้าหนักใจเพราะเรื่องนี้มาโดยตลอด ทว่าผู้ใดจะนึกว่าสุดท้ายแล้วก้าวแรกในการใกล้ชิดกันของพวกเราสองแม่ลูกจะเป็นของหวานชามหนึ่ง”
เจียงซูเหย่าได้ยินโจวซื่อพูดเช่นนี้ก็เบิกบานเช่นกัน “จากนี้ท่านก็ไปที่นั่นบ่อยครั้ง ไม่ว่าไปส่งอาหารหรือแค่ไปเยี่ยมนางก็ได้ทั้งนั้น พวกเราเรียนทำอาหารสำหรับเด็กกันทุกวัน ท่านคิดเห็นอย่างไร”
โจวซื่อผงกศีรษะ “ได้!”
“อย่างนั้นก็เริ่มตั้งแต่วันนี้เถิด”
โจวซื่อที่คันไม้คันมือก็ห่อเหี่ยว บ่นพึมพำว่า “เมื่อวานข้าเพิ่งไปหานาง วันนี้ยังจะไปอีก คงไม่ค่อยดีกระมัง”
เจียงซูเหย่าเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ไม่ต้องเอ่ยอันใด โจวซื่อก็รู้สึกได้ว่าเจียงซูเหย่าตำหนิตน
โจวซื่อโยนความกังวล ความพิรี้พิไรเหล่านั้นทิ้งไป “ไป วันนี้ก็จะไปอีก” นางรีบดึงเจียงซูเหย่าไปที่ห้องครัวเล็ก ด้วยกลัวว่านางจะโกรธ “วันนี้พวกเราจะเรียนทำอันใด”
เจียงซูเหย่าขบคิด เด็กๆ ไม่เหมาะจะกินอาหารรสจัดหรือมีกลิ่นฉุน อย่างนั้นเริ่มจากอาหารเย่ว์ไช่[1]กันก่อนเถิด หญิงสาวตอบว่า “ฉางเฝิ่น[2]”
“ฉางเฝิ่นหรือ” โจวซื่อได้ยินชื่อนี้ก็ตื่นตะลึง คำว่า “ไส้” ฟังแล้วแปลกชอบกล “คงไม่ใช่ไส้หมูไส้แพะกระมัง” นางรู้ว่าเจียงซูเหย่าชอบใช้วัตถุดิบแปลกๆ เหล่านี้มาทำเป็นอาหาร
“แน่นอนว่าไม่ใช่” เจียงซูเหย่าอธิบาย “ฉางเฝิ่นทำจากข้าวเจ้า มีลักษณะเหมือนไส้หมู ถึงได้เรียกว่าฉางเฝิ่น”
เจียงซูเหย่าอธิบายพลางหยิบข้าวเจ้าที่แช่ไว้เมื่อวานออกมา นำข้าวเจ้ามาตำให้เละ และบดจนกลายเป็นแป้งเหลวข้น แล้วเติมน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสมให้เจือจาง ด้วยน้ำนมข้าวยังละเอียดไม่มากพอ จึงต้องกรองด้วยผ้าแล้วบดอีกครั้ง บดจนน้ำนมข้าวใสและละเอียดมากจนพอใจ
ใส่เกลือและน้ำมันถั่วลิสงในปริมาณที่เหมาะสมลงในน้ำนมข้าวที่ตกตะกอนแล้วคนให้เข้ากัน นำน้ำมันมาทาจานก้นแบนให้ทั่ว จากนั้นเทน้ำนมข้าวในปริมาณพอเหมาะ ตอกไข่ไก่หนึ่งฟอง โรยหน้าด้วยหมูสับ ต้นหอมซอย และหั่นผักเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปนึ่งในเข่งสองเฟินจง[3] น้ำนมข้าวค่อยๆ แข็งตัว หลังเปลี่ยนเป็นแผ่นแป้งขาวบางใสแล้วก็นำจานออกจากเข่ง
ขั้นตอนต่อไปคือน้ำปรุงรส ใส่ซีอิ๊ว น้ำตาล และน้ำมันหอยที่ทำเองลงในชามใบเล็กหนึ่งช้อนเล็กเพื่อเพิ่มความกลมกล่อมและเติมน้ำอุ่นนิดหน่อยให้เจือจาง
ยกฉางเฝิ่นจากปลายจานด้วยมีดแบน ฉางเฝิ่นสีขาวนุ่มแวววาวก็อยู่ห่างจากก้นจาน ก่อนบีบให้เป็นเส้นยาวๆ จนยับย่น รูปร่างคล้ายไส้หมู จากนั้นราดน้ำปรุงรสที่เตรียมไว้ แล้วโรยงาคั่วสุก ก็ทำฉางเฝิ่นเสร็จแล้ว
ฉางเฝิ่นสีขาวโปร่งแสง พอราดน้ำปรุงรสลงไปแล้วยิ่งขาวดุจหิมะ น้ำปรุงรสไหลไปทั่วทุกที่ ย้อมฉางเฝิ่นให้เป็นสีน้ำตาลแดงประเดี๋ยวเข้มประเดี๋ยวอ่อน
ฉางเฝิ่นที่เพิ่งออกจากหม้อมีควันกรุ่นที่มาพร้อมกับความหอมของน้ำปรุงรสโชยปะทะใบหน้า รสชาติสดใหม่ ไม่มีสิ่งเจือปนและหอมกรุ่น ช่างน่าเย้ายวนใจ
“พี่สะใภ้รองท่านชิมดู” เจียงซูเหย่ายื่นตะเกียบให้โจวซื่อ
โจวซื่อกล่าวขอบคุณพลางรับมา คีบฉางเฝิ่นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ฉางเฝิ่นนุ่มมาก รู้สึกเหมือนจะขาดทันทีที่ถูกคีบ แต่ยืดหยุ่น นุ่มเหนียว และสั่นไหวอยู่ระหว่างตะเกียบ
พอเอาฉางเฝิ่นใส่ปาก ก็รู้สึกทึ่งเมื่อปลายลิ้นสัมผัสกับความนุ่มลื่น เนียนละเอียด ฉางเฝิ่นอุ่นๆ น้ำปรุงรสสดอร่อย ข้าวหอมเข้มข้น รสชาติเรียบง่ายแต่ไม่จืดชืด กลับทำให้สดอร่อยและหอมมาก
เพียงกัดเบาๆ ฉางเฝิ่นที่นุ่มเหนียวขาดระหว่างฟัน เนื้อสัมผัสนุ่มมาก หนึบและเหนียวเล็กน้อย
ไส้เนื้อและไข่ไก่ด้านในช่วยเพิ่มรสชาติ กลิ่นหอมของเนื้อ ความเย็นสดชื่นของผัก ความสดของน้ำปรุงรส และความหวานของแผ่นแป้งหลอมรวมเข้าด้วยกัน กัดแค่หนึ่งคำก็รู้สึกสบายไปทั้งร่างกายและจิตใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง” เจียงซูเหย่าถาม
โจวซื่อรีบพยักหน้า กินฉางเฝิ่นหมดไปชิ้นหนึ่งถึงมีเวลาตอบ “นึกไม่ถึงว่าวัตถุดิบกับวิธีทำง่ายๆ จะทำให้อาหารอร่อยเช่นนี้” นางชมว่า “หากกินตอนเช้าตรู่หนึ่งจาน ทั่วทั้งร่างกายจะเต็มไปด้วยพลัง มีชีวิตชีวา และกระปรี้กระเปร่า”
เจียงซูเหย่ากล่าวว่า “จากนี้เมื่อท่านเรียนจนทำเป็นแล้ว ก็สามารถทำกินตอนเช้าได้”
โจวซื่อเสนอแนะว่า “หากย่านขายของกินเล่นขายฉางเฝิ่นด้วย จะต้องมีคนมาอุดหนุนมากเป็นแน่”
เจียงซูเหย่าไม่ได้คิดไปถึงเรื่องค้าขาย ยามนี้เมื่อโจวซื่อเสนอแนะขึ้นมา นางก็คิดอยู่สักครู่ ก่อนผงกศีรษะกล่าวว่า “ใช้ได้” ของกินเล่นข้างทางส่วนมากเป็นอาหารรสจัด อาหารรสอ่อนและสดอร่อยมีไม่ค่อยมาก
เอ่ยถึงตรงนี้ โจวซื่อก็นึกถึงความฉงนของตน “จริงสิ เหตุใดย่านอาหารริมทางขายเฉพาะอาหารกลางวันและอาหารเย็น แต่กลับไม่ขายอาหารเช้าเล่า”
เจียงซูเหย่าบอกความคิดของตนเองให้นางฟังว่า “ย่านอาหารริมทางเดิมมีไว้ให้กินอย่างเพลิดเพลิน อาหารที่นั้นไม่เหมาะที่จะเป็นอาหารเช้า ยิ่งกว่านั้นยังเช้าตรู่ ผู้ใดอยากตื่นเช้าไปกินอาหารที่ย่านนั้นกันเล่า มีแต่จะกินอาหารที่เรือน หรือไม่ก็แผงขายอาหารเช้าข้างทาง”
โจวซื่อไม่เข้าใจ “อย่างนั้นก็ไม่ต้องวางขายในย่านนั้นสิ ในเมื่อเหมาะที่จะทำเป็นอาหารเช้า ก็ขายที่แผงขายอาหารเช้าแทน หรือเจ้าคิดจะเปิดแค่ร้านของกินเล่นข้างทางเท่านั้น”
เจียงซูเหย่าผงะกับคำถามนี้ เมื่อวานเซี่ยสวินก็พูดแบบเดียวกันนี้ ดูคล้ายทุกคนคิดว่านางจะต้องขยายให้ใหญ่กว่านี้
เจียงซูเหย่าไม่ตอบคำถามนี้ โจวซื่อเองก็หาได้สนใจไม่ ภายใต้คำชี้แนะของเจียงซูเหย่า นางทำฉางเฝิ่นอีกครา และถือไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างมีความสุข
เจียงซูเหย่ามีเรื่องในใจ ไม่ได้รออยู่ในลานเรือน นางเดินเล่นพลางขบคิดปัญหาของการค้าขายในอนาคต
ร้านอาหารที่ท่าเรือและย่านอาหารจะต้องเปิดต่อไป แต่นอกจากสองแห่งนี้แล้ว ที่แห่งอื่นยังต้องเปิดร้านอาหารอีกหรือไม่
ขณะที่เจียงซูเหย่าเดินไปทั่วจวนพลางครุ่นคิดถึงปัญหา โจวซื่อก็นั่งลงข้างกายเซี่ยเซิงแล้ว
ย่างเข้าสู่ฤดูคิมหันต์ ทุกวันเซี่ยเซิงจะมานั่งรับลมอ่านหนังสืออยู่บนสะพานโค้ง วันนี้โจวซื่อมาหานางที่นี่อีกครั้ง
พอโจวซื่อแนะนำฉางเฝิ่นให้เซี่ยเซิงรู้จักแล้ว ก็มองนางอย่างรอคอย “รีบชิมสิ”
ในเมื่อเซี่ยเซิงรับปากข้อเสนอแนะของโจวซื่อที่จะเอาอาหารมาส่งให้บ่อยครั้ง ก็ไม่ได้ทำหน้าเย็นชาใส่มารดาอีก ต่างจากสองฝาแผดของเรือนใหญ่ที่มักตามติดเจียงซูเหย่าเพื่อประจบประแจงขอกินอาหารอยู่บ่อยครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอาหารแปลกใหม่
ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กมีชัย นางเหลือบมองโจวซื่อ ก่อนหยิบตะเกียบขึ้นมาภายใต้สายตาคาดหวังของมารดา
เซี่ยเซิงกินอย่างสุภาพเรียบร้อย คีบฉางเฝิ่นมากัดคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงคำเล็กๆ แต่ทำให้แววตาของนางเปล่งประกายขึ้นฉับพลัน
ฉางเฝิ่นลื่น หยุ่น กัดแล้วนุ่มเหนียว แต่ไม่เหนียวติดฟัน น้ำปรุงรสกลมกล่อม ฉางเฝิ่นหอมกลิ่นข้าวเข้มข้น สดอร่อยและหวานเล็กน้อย หมูสับและไข่ที่สอดไส้อยู่ด้านในช่วยเพิ่มกลิ่นหอมจากเนื้อสัตว์ให้ฉางเฝิ่นที่อ่อนนุ่ม สด หอม อร่อย และสดชื่นแต่ไม่จืดชืด
ฉางเฝิ่นให้รสสัมผัสดีมาก เนียนลื่น อ่อนนุ่ม ไหลลงคออย่างง่ายดาย ความกลมกล่อมพาให้คนรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น
โจวซื่อมองบุตรีอย่างประหม่าเพราะกลัวว่าสิ่งที่ตนทำจะไม่ถูกปากนาง
เซี่ยเซิงกินฉางเฝิ่นคำเล็กๆ หมดไปหนึ่งชิ้น ถึงค่อยกล่าวว่า “อร่อยมากเจ้าค่ะ”
โจวซื่อลิงโลด “ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ หลังจากนี้หากยังอยากกินอีก ก็บอกแม่ได้ แม่จะทำให้เจ้ากิน”
มารดากระตือรือร้นเช่นนี้ ทำให้เซี่ยเซิงอึดอัดอยู่บ้าง
ยังไม่ทันตอบ โจวซื่อก็เร่งรัดให้นางกินต่อ “รีบกินๆ เย็นแล้วไม่อร่อย”
เซี่ยเซิงเม้มปาก คิดจะเอ่ยบางอย่าง สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้
ฉางเฝิ่นอร่อย แม้นางจะอึดอัด ยังปรับตัวไม่ได้ ทว่ายังอดกินต่อไม่ได้ จนกระทั่งหมดจาน
สำหรับคนทำอาหารแล้ว รู้สึกประสบความสำเร็จใหญ่หลวงนักเมื่อมีคนกินอาหารที่ตนปรุงจนหมดเกลี้ยง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นบุตรีของตนที่ตนอยากใกล้ชิดที่สุดด้วย
โจวซื่อยิ่งดีใจ มิอาจระงับยิ้มที่ระบายอยู่บนดวงหน้าได้
ความสุขของนางบริสุทธิ์มาก เซี่ยเซิงที่เพิ่งกินฉางเฝิ่นหมดไปหนึ่งจานอย่างรวดเร็วได้รับอิทธิพลจากมารดา นางลังเลพักหนึ่ง แล้วเค้นยิ้มแข็งทื่อที่ไม่อ่อนหวานนักให้โจวซื่อทีหนึ่ง
โจวซื่อเห็นยิ้มของบุตรสาวก็โล่งใจ ถึงที่สุดแล้วก็เป็นบุตรีของตน ไหนเลยจะต้องกังวลและร้อนรน แม้บุตรีจะไม่ยอมให้เข้าใกล้ แต่ในฐานะมารดาก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดถึงจะใช้ได้
นางหุบยิ้ม พลันพูดโพล่งว่า “อาเซิง วันรุ่งขึ้นแม่เอาอาหารมาส่งให้เจ้าอีกดีหรือไม่”
ท่าทางของโจวซื่อกระสับกระส่ายและประหม่าอยู่บ้าง แต่สายตาอ่อนโยนยิ่ง
เซี่ยเซิงตะลึงลานนิดหน่อยและนิ่งเงียบ ขณะที่โจวซื่อคิดว่านางจะปฏิเสธ นางกลับพยักหน้านิดๆ กล่าวว่า “ดีเจ้าค่ะ”
ฉางเฝิ่นหนึ่งจานสลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดระหว่างแม่ลูกที่ถึงทางตันมาสองสามปีให้ปลาสนาการไปเงียบๆ
เจียงซูเหย่าที่กำลังเดินเล่นอยู่ในถนนเส้นนี้หยุดฝีเท้า แล้วมองฉากนี้ไกลๆ พลันนั้นก็เข้าใจว่าตนเองจะทำอันใดต่อไป
ยามนั้นการทำการค้าเกิดขึ้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ สิ่งสำคัญคือการทำให้หลินซื่อมีความสุขขึ้นบ้าง และการเปิดร้านอาหารยังประโยชน์ด้านอาหารการกินให้แก่ราษฎรทั่วไปได้ ถือเป็นเรื่องที่มีคุณค่า ดังนั้นหลินซื่อจึงทุ่มเทความคิดให้กับมัน จนลืมเรื่องไร้สาระยุ่งเหยิงไปได้
หลินซื่อค้นพบคุณค่าในการเปิดร้านอาหาร นางเองก็เช่นกัน สำหรับนางแล้ว การเปิดย่านอาหารริมทางคือการนำอาหารรสเลิศมากมายหลากหลายในยุคปัจจุบันมาสู่ยุคโบราณ เพื่อให้ราษฎรทั่วไปได้กินอาหารสดใหม่และสัมผัสได้ถึงความสุขจากอาหาร แตกต่างจากการเปิดหอสุราชั้นสูงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นลูกค้ากินของกินเล่นข้างทางอย่างมีความสุขและเอร็ดอร่อย นางรู้สึกพึงใจอักโขและรู้สึกประสบความสำเร็จ ความรู้สึกนี้ทำให้นางอยากทำอะไรมากกว่านี้ อยากทำให้บรรยากาศการกินอาหารของราษฎรทั่วไปเปลี่ยนแปลงไป
คิดถึงตรงนี้ นางอดบ่นในใจไม่ได้ เซี่ยสวินช่างอ่านความคิดของนางได้กระจ่างชัด หนำซ้ำยังเข้าใจมากกว่าตัวนางเอง
บอกว่าอาหารอันโอชะสามารถนำพาความสุขมาให้ได้ และช่วยเยียวยาจิตใจของคนที่อาจจะเป็นทุกข์ นางอยากให้คนได้กินของอร่อยมากขึ้น ได้ลิ้มรสชาติมากขึ้น และได้ลิ้มลองหลากหลายรูปแบบ
เซี่ยสวินเดาไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว นางจะต้องทำการค้าให้ดียิ่งขึ้นและขยายให้ใหญ่ขึ้น
[1] อาหารกว่างตง เป็นอาหารจีนที่เน้นการปรุงเพื่อคงความสดใหม่ของอาหารไว้ให้ได้มากที่สุด มักใช้น้ำมันหอยและผัก
[2] ฉาง แปลว่า ลำไส้ เฝิ่น แปลว่า ก๋วยเตี๋ยว ฉางเฝิ่นก็คือก๋วยเตี๋ยวหลอด เรียกตามลักษณะของอาหาร ชาวกว่างตงนิยมเอาแผ่นก๋วยเตี๋ยวที่นึ่งสุกทั้งแผ่นมาห่อไส้ แล้วม้วนเป็นหลอด ตัดเป็นท่อนๆ ราดซีอิ๊วดำผสมซีอิ๊วขาว
[3] 1 เฟินจง เท่ากับ 1 นาที