爱你怎么说
คุณชายซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิง
风流书呆 เฟิงหลิวซูไต เขียน
ศีตกาล แปล
MOON วาด
— โปรย —
ในที่สุดความเข้าใจผิดระหว่าง เซียวจยาซู่ และ จี้เหมี่ยน ก็คลี่คลาย
ทั้งคู่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของกันและกัน และตกลงปลงใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
แต่การจะได้การยอมรับจากคนรอบข้างนั้นไม่ง่าย
ไหนจะมารดาที่รักลูกยิ่งชีพ บิดาหัวโบราณชอบวางอำนาจ และพี่ชายสุดเข้มงวด
ที่ทำเอาเซียวจยาซู่ต้องคิดหนัก แม้ว่าเขาอยากจะให้คนอื่น ๆ ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับพี่จี้ก็ตาม
แต่ก็ยังคงต้องเก็บงำไว้ ไม่อาจประกาศออกไปได้
ทว่าถึงจะไม่พูดแต่ใช่ว่าการกระทำของทั้งคู่จะรอดพ้นสายตาของคนเป็นแม่
เมื่อเซวียเหมี่ยวรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เธอก็รีบจับเซียวจยาซู่แยกจากจี้เหมี่ยนทันที
แต่มีหรือที่คนอย่างจี้เหมี่ยนจะไม่คิดทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 114
จูบกลิ่นกระเทียม
วันแรกที่อาศัยร่วมชายคา เซียวจยาซู่เพิ่งตื่นขึ้นมาก็ต้องอาศัยเวลาครู่หนึ่งกว่าจะรู้ว่าตนอยู่ที่ใด จี้เหมี่ยนลืมตาขึ้นมาในเวลาเดียวกันแล้วเอ่ยเสียงพร่า “เสี่ยวซู่ มาให้พี่กอดหน่อยซิ” พลางยื่นมือออกไป เซียวจยาซู่ก็เงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ เขาหนุนแขนอีกฝ่ายพลางมองเพดานอย่างสะลึมสะลือ
“หันมา มองพี่” จี้เหมี่ยนเอ่ยอีกครั้ง
เซียวจยาซู่ทำตามทีละคำสั่ง เขาพลิกกายตะแคงข้างอย่างเชื่องช้า เผชิญหน้ากับพี่จี้แล้วก็ใช้สองมือขยี้ตา ใบหน้ายังมีร่องรอยของความง่วงงุนอย่างคนเพิ่งตื่น
จี้เหมี่ยนรู้สึกดีขึ้นมากก็ตอนนี้เอง เขาเอื้อมมือโอบบ่าคนรักเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในกางเกงนอนตัวหลวม บีบนวดส่วนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาเล็กน้อยของอีกฝ่าย ก็เหมือนกับที่เสี่ยวซู่อยากให้เขาสนอกสนใจทุกเวลานาทีนั่นละ ตัวเขาเองก็มีความปรารถนาจะครอบครองเสี่ยวซู่อย่างรุนแรงเช่นกัน เมื่อตื่นนอนตอนเช้าก็มักอยากกอดเสี่ยวซู่ แล้วก็ต้องกอดแบบหันหน้าเข้าหากันด้วย เขาจะได้สบตาอีกฝ่าย และจะได้เข้าใกล้ขึ้นอีกนิดเพื่อจูบที่ริมฝีปาก ทั้งยังควบคุมร่างกายของอีกฝ่ายได้ง่ายดายขึ้นด้วย
เซียวจยาซู่ยังไม่ทันตื่นเต็มตาก็โดนพี่จี้ดึงเข้าไปสู่วังวนแห่งความปรารถนาเสียแล้ว สองแก้มของเขาขึ้นสีแดงเรื่อเหมือนดื่มเหล้าจนเมามาย ดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอแวววาว แลดูน่าสงสารเล็กน้อย แต่ก็น่ารักอยู่นิด ๆ จมูกแค่นเสียงเบา ๆ สองสามครั้ง คล้ายกำลังรู้สึกสบายถึงที่สุด
เขายื่นมือออกไปกอดพี่จี้เอาไว้แน่น ปลายนิ้วข่วนหลังอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยอ่อนยวบ เซียวจยาซู่ฝังใบหน้าลงกับอกของพี่จี้แล้วหอบหายใจแรง ชีวิตที่อยู่กินด้วยกันมันเป็นอย่างนี้เองหรือ กลางคืนก็นอนหลับสบาย เช้ามาก็กินอิ่ม กินวันละสองมื้อ สามมื้อ หรือแม้แต่สี่มื้อก็ไม่ใช่แค่ความฝัน แบบนี้มันเจ๋งจริง ๆ เลยนะนี่!
เขาสะลึมสะลือครุ่นคิด แต่กลับได้ยินเสียงพี่จี้หัวเราะเบา ๆ จนอกกระเพื่อม
“พี่จี้หัวเราะน่าฟังจังเลย ในหูผมมีแต่เสียงหัวใจของพี่ มันเต้นตึกตัก ๆ เชียวละ” เขาทอดถอนใจ “ต่อไปผมจะนอนหนุนอกพี่ทุกคืนเลย จะฟังเสียงหัวใจของพี่แล้วเข้านอน แบบนี้น่ะสบายมาก ๆ แล้วก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยมากเป็นพิเศษด้วย”
อาจเพราะเขาขาดความรักจากพ่อ หรือบางทีตอนเด็กเคยพบเจอเรื่องเลวร้าย เขาจึงขาดความรู้สึกปลอดภัยเอามาก ๆ ตอนกลางคืนต้องกล่อมตัวเองอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะหลับลงได้ ดังนั้นเขาจึงติดเกมออนไลน์ แต่ตอนนี้มีพี่จี้แล้วเขาก็แทบจะหลับได้ทันทีที่หัวถึงหมอน แน่นอนว่าต้องหลังจากที่เติมเต็มความปรารถนาเรียบร้อยแล้วน่ะนะ
แต่งงานนี่ดีจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณก็แทบได้รับการเยียวยาทั้งหมด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็อดหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจไม่ได้
ทว่าเสียงหัวเราะของจี้เหมี่ยนพลันหยุดชะงัก เขากอดเสี่ยวซู่เอาไว้แน่น ทั้งตบทั้งลูบบั้นท้ายเปลือยเปล่าของเสี่ยวซู่เบา ๆ อย่างอดทนและอ่อนโยนหาใดเปรียบ
ทั้งคู่จู๋จี๋กันอยู่บนเตียงเนิ่นนานกว่าจะลุกขึ้น พวกเขาเสิร์ชไป๋ตู้แล้วต้มโจ๊กข้าวขาวด้วยกัน เพียงแค่ใส่น้ำตาลทรายขาวลงไปเล็กน้อยก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อยได้แล้ว พวกเขาช่วยเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมวันนี้ให้กันและกัน ตอนที่ผูกเน็คไทก็โน้มตัวเข้าหากันแล้วจูบอย่างยากจะแยกจาก เมื่อเห็นว่าใกล้สิบโมงเช้าแล้วจึงรีบออกไปบริษัท
หลังจากแยกกับพี่จี้ในลิฟต์ เซียวจยาซู่ก็หัวเราะคิกคักพลางเดินไปหาหวงเหม่ยเซวียน
“แหม คุณชายรองของพวกเรากลับมาได้เสียทีนะเจ้าคะ!” หวงเหม่ยเซวียนยิ้มที่ปากทว่าไปไม่ถึงตา เธอว่า “นายนี่เก่งจริง ๆ เลยนะ ไปอยู่อเมริกานานขนาดนั้น แม้แต่ผู้ช่วยสักคนก็ไม่เอา ตกลงกันแล้วว่าจะโทร.มารายงานทุกวันก็ไม่โทร. ฉันนี่คิดว่าชาตินี้นายจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก!”
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ พี่เหม่ยเซวียน ผมก็กลับมาแล้วนี่ไง ผมไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่คนเดียวที่นั่นจนชินแล้ว ไม่ต้องการให้คนอื่นมาดูแลจริง ๆ ครับ” เซียวจยาซู่เดินมาข้างหลังหวงเหม่ยเซวียนแล้วบีบนวดให้เธอ “พี่ พักนี้พี่เหมือนจะผอมลงนะ ผิวพรรณก็ดีขึ้นด้วย พี่มีความรักหรือเปล่าเนี่ย”
“ไปไกล ๆ เลย อย่ามาหยอดยาเสน่ห์ให้เจ้กินเสียให้ยาก ฉันว่านายต่างหากที่ผอมลง หน้านี่ขาวอย่างกับไข่ปอก เรืองแสงได้ด้วยซ้ำ ไหนว่ามาซิ นายน่ะกำลังมีความรักหรือเปล่า” หวงเหม่ยเซวียนซักไซ้ “ดูเวยป๋อที่นายโพสต์พักนี้สิ มีทั้งรูปเงาคนทั้งรูปมืองาม ๆ แบบนี้มันจังหวะของคนมีความรักชัด ๆ ถ้านายคบอยู่กับใครจริง ๆ ก็ต้องบอกฉัน ฉันจะได้ช่วยทำแผนแถลงข่าวให้ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาถ้าพวกปาปารัซซี่เอามาแฉ เราจะรับมือกันไม่ทัน”
เซียวจยาซู่เปิดดูภาพในเวยป๋อแล้วอมยิ้มขึ้นมาทันที มือของพี่จี้ทั้งเรียวยาวแล้วก็สวยมาก แต่เพราะถือแก้วอยู่ถึงมองขนาดที่แท้จริงไม่ออก ดังนั้นชาวเน็ตจึงคิดว่าเป็นมือของผู้หญิง
มืองาม ฮ่า ๆ ๆ! เขากลั้นหัวเราะพลางเลื่อนดูคอมเมนต์ ไม่ได้ฟังหวงเหม่ยเซวียนพูดสักนิด หวงเหม่ยเซวียนจัดการคุณชายน้อยคนนี้ไม่ได้จึงได้แต่ยัดบทหนังบทละครปึกหนึ่งใส่อกเขา ให้เขากลับบ้านไปค่อย ๆ เลือกดู
เมื่อเห็นบทเซียวจยาซู่จึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เขากับพี่จี้ล้วนแต่ไม่ใช่พวกเร่ร่อนไร้อาชีพ พวกเขาต้องทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นยังยุ่งมาก ๆ ด้วย เรื่องสัญญาถ่ายงานยังไม่ต้องไปพูดถึงชั่วคราว ช่วงนี้พี่จี้คงต้องถ่ายทำฮวงเหยี่ยเม่าเสี่ยนจยาซีซั่นแรกให้จบก่อน ซึ่งก็หมายความว่าทุก ๆ สิบวันครึ่งเดือนอีกฝ่ายจะต้องไปอัดรายการที่ต่างประเทศ ถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว!
“พี่เหม่ยเซวียน ผมอยากเข้าร่วมฮวงเหยี่ยเม่าเสี่ยนจยาต่อ พี่ช่วยจัดการให้ผมหน่อย!” เขาพูดอย่างร้อนรน
“ฉันก็กำลังจะพูดเรื่องนี้กับนายอยู่เหมือนกัน เรตติ้งเมื่อวานสรุปออกมาแล้ว สูงที่สุดไปถึง 1.8 เลย ขึ้นอันดับหนึ่งของรายการวาไรตี้ในช่วงเวลาเดียวกัน ต่ำที่สุดอยู่ที่ 1.5 ยิ่งไปกว่านั้นเรตติ้งยังมาต่ำหลังจากนายออกไปแล้วด้วย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนายกับจี้เหมี่ยนเข้ากันได้ดี ดูรักใคร่กลมเกลียวมาก ตอนนี้ในเน็ตกำลังปั่นกระแสคู่ชิปพี่น้องของพวกนายอยู่ คำค้นหาอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสาม มีแต่ #จี้เหมี่ยนกลัวความสูง# #เซียวจยาซู่กลัวความสูง# #จี้เหมี่ยนเซียวจยาซู่คิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าตัวเองกลัวความสูง# นายดูซิว่านี่มันบ้าบออะไรกัน เจ้มึนกับพวกนายไปหมดแล้วจ้า แต่เรื่องนี้น่ะไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือนายดังแล้ว ทางรายการอยากจะมัดนายกับจี้เหมี่ยนเอาไว้ด้วยกันให้เป็นคู่ชิปพี่น้องเพื่อจะให้พวกแฟนคลับสนอกสนใจกันต่อไป เมื่อกี้โปรดิวเซอร์ของฮวงเหยี่ยเม่าเสี่ยนจยาก็มาหาฉัน ฉันโทร.หานายแต่นายไม่รับ ฉันเลยบอกให้เขามาหาใหม่ ถ้านายไม่อยากไป ฉันช่วยนายปฏิเสธให้ได้ แต่ถ้านายอยากไป ฉันก็จะไม่ห้าม แต่นายต้องระวังตัวให้ดีเลยนะ!”
“คร้าบ ๆ ๆ พี่รีบตามโปรดิวเซอร์รายการมาเลยนะ เรามาคุยเรื่องสัญญากันก่อน” เซียวจยาซู่เร่งเธอ
หวงเหม่ยเซวียนถลึงตาใส่เขาแล้วจึงโทรศัพท์หาโปรดิวเซอร์ อีกฝ่ายมาถึงอย่างรวดเร็ว ท่าทีกระตือรือร้นมาก “พวกคุณดูนะคะ เพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียว โมเมนต์ระหว่างประธานจี้กับเซียวจยาซู่ก็ถูกชาวเน็ตตัดต่อออกมาทำเอ็มวีแล้ว และจำนวนการคลิกเข้าชมก็สูงกว่าคลิปต้นฉบับเสียอีก เรียกว่าดังพลุแตกจริง ๆ ส่วนตัวฉันคิดว่าพวกเราน่าจะตีเหล็กตอนที่ยังร้อน ต่อสัญญาไปไม่ดีกว่าหรือคะ รายการเรียลิตี้ดึงดูดคนได้เป็นพิเศษ เรื่องนี้พี่เหม่ยเซวียนน่าจะรู้นะคะ”
“อย่างนั้นก็ต่อสัญญาเลยครับ” เซียวจยาซู่พยักหน้าอย่างแข็งขัน เขาแทบทนไม่ไหวที่จะต้องมานั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่กับคนพวกนี้ แค่สัญญาฉบับเดียวก็ต้องคุยกันสามสี่ชั่วโมง จะจบได้หรือยังล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลยค่ะ เรื่องค่าตัวพวกเราเพิ่มให้ได้อีกหน่อยตามความเหมาะสมนะคะ เราถ่ายเทปที่สามจบไปแล้ว เทปสี่อีกสองวันจะต้องถ่ายแล้ว แขกรับเชิญที่เข้าร่วมก็กำหนดเอาไว้แล้ว พวกคุณเริ่มสัญญาตั้งแต่เทปที่ห้าแล้วกันนะคะ”
เซียวจยาซู่ฟังแล้วเสียงดังขึ้นมาทันที เขามีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเริ่มเซ็นสัญญาตั้งแต่เทปที่สี่ อีกสองวันพี่จี้ก็ต้องไปแล้ว เขาจะอยู่คนเดียวในเมืองหลวงนี้อย่างไรเล่า ต้องนอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืนแน่ ๆ
โปรดิวเซอร์ก็กังวลเช่นกันว่าหลายเทปหลังที่ไม่มีเซียวจยาซู่นั้นจะส่งผลกระทบต่อเรตติ้ง หลังจากคิดเล็กน้อยก็ตกลง เธอบอกให้เขาไปออกรายการในฐานะแขกรับเชิญลับ ไม่บอกใครทั้งนั้นเพื่อเป็นการเซอร์ไพรส์ผู้ชม
“ถ้าไม่บอกใครเลย อย่างนั้นพี่จี้ก็ไม่รู้สิครับว่าผมจะไป” เซียวจยาซู่ขมวดคิ้ว
“แน่นอนค่ะ พวกเราจะไม่บอกทุกคนว่าแขกรับเชิญลับที่มาครั้งนี้เป็นใคร ถ้าประกาศออกไปก็จะไม่เซอร์ไพรส์ และเราก็จะไม่เผยเรื่องนี้ลงโซเชียลมีเดียเหมือนกัน เราจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับจนถึงที่สุด ผลตอบรับของรายการต้องออกมายอดเยี่ยมมากแน่นอน”
หลังจากโปรดิวเซอร์โน้มน้าวอยู่นาน เซียวจยาซู่ก็ตกลงในที่สุด เขากอดบทปึกใหญ่เดินเข้าไปในห้องทำงานของจี้เหมี่ยน ท่าทางดูหนักอกหนักใจ
“เป็นอะไรไป” จี้เหมี่ยนวางเอกสารแล้วเงยหน้ามองเขา
“พี่จี้ ผมเพิ่งได้รับบทมา พี่ช่วยผมเลือกหน่อยสิ สายตาในการเลือกบทของผมไม่ค่อยดีเท่าไร กลัวจะไปเจอหลุมยักษ์แบบซวงหลงฉวนฉีอีก” เซียวจยาซู่ลากเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานมาไว้ข้างพี่จี้ เขานั่งเบียดชิดอีกฝ่าย สองเท้าสะบัดเบา ๆ ให้รองเท้าหลุดแล้วยกเท้าวางบนตักพี่จี้
จี้เหมี่ยนใช้ฝ่ามือบีบนวดเท้าให้เขา “ได้ พี่จะช่วยดูให้”
เซียวจยาซู่พิงพนัก สายตาจับจ้องใบหน้าด้านข้างของพี่จี้ เท้าก็บิดซ้ายบิดขวาอยู่ในมือของอีกฝ่ายอย่างอยู่ไม่สุข แม้ว่าพี่จี้จะอยู่ใกล้กับเขามาก แต่ขอเพียงความคิดของพี่จี้ไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เขา เขาก็จะคิดหาวิธีมาดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายเสมอ
จี้เหมี่ยนพลันหันมามอง เขาหัวเราะน้อย ๆ แล้วจึงโน้มตัวไปจูบริมฝีปากบางนุ่มสีอ่อนของอีกฝ่าย จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นเด็กดีนะ พี่ขอดูเนื้อหาคร่าว ๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้ครับ” เซียวจยาซู่เลียริมฝีปาก หรี่ตา สีหน้าดูอิ่มเอิบ ก็ได้ จูบนี้พอจะทำให้เขาทนไปได้อีกครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงให้หลังค่อยก่อเรื่องใหม่แล้วกัน
ก่อนจะมา ความจริงเขาเลือกบทเอาไว้เรียบร้อยแล้วละ เขาคัดพวกที่จะเริ่มถ่ายทำในเร็ว ๆ นี้ออกไปก่อน กว่าจะแต่งงานกับพี่จี้ได้ไม่ง่ายเลย เขาต้องดื่มด่ำกับความสุขแสนงดงามอิ่มเอมของชีวิตแต่งงานสักหน่อยก่อนจึงค่อยมีแรงผลักดันไปทำงาน เรื่องที่มีฉากจูบกับฉากบนเตียงก็ตัดออกเหมือนกัน เขาจะไม่สัมผัสใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่น ๆ นอกเหนือไปจากพี่จี้หรอก
หลังจากกรองอยู่หลายรอบ บทที่เหลืออยู่ก็มีไม่มากแล้ว เซียวจยาซู่จึงค่อยเอามาให้พี่จี้ดู
จี้เหมี่ยนอ่านบทไปพลางกลั้นหัวเราะไปพลาง กล่าวกันว่าผู้ชายไม่ชอบคู่รักที่ติดหนึบจนเกินไป แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่คำพูดของผู้ชายส่วนใหญ่ จี้เหมี่ยนกลับเป็นประเภทที่ต่างออกไป เขาเคยโดนพ่อแม่ทิ้งมาก่อน ดังนั้นจึงยิ่งชอบความรู้สึกเป็นที่ต้องการ เป็นที่พึ่งพิง ตอนที่เสี่ยวซู่วางใจเขาอย่างหมดหัวใจ พึ่งพิงเขา ตอนที่เสี่ยวซู่คิดหาวิธีดึงดูดความสนใจของเขาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมแยกห่างจากเขานั้น เขาจะรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่ายเป็นพิเศษ ทั้งยังเกิดความรู้สึกเป็นสุขและพึงพอใจอย่างลึกซึ้งบางอย่างด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขามีความสุขเพียงใด เขารู้สึกว่าการดำรงอยู่ของตนเองนั้นมีคุณค่า เป็นเหมือนออกซิเจนที่จะขาดไปไม่ได้ ดังนั้นหัวใจที่ว้าวุ่นจึงค่อย ๆ สงบลงโดยอัตโนมัติ
เขาไม่เคยรู้สึกว่าเสี่ยวซู่น่ารำคาญเลย และไม่เคยคิดจะให้อีกฝ่ายยืนหยัดด้วยตนเองอย่างแข็งแกร่งด้วย ในเมื่อชั่วชีวิตที่ผ่านมาของเสี่ยวซู่เติบโตโดยมีมารดาคอยปกป้อง เช่นนั้นชั่วชีวิตจากนี้ไปย่อมอยู่ภายใต้การปกป้องของคนรักและแก่เฒ่าไปด้วยกันได้เช่นกัน สิ่งนี้ไม่ได้มีตรงไหนไม่ดีเลย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้จี้เหมี่ยนก็โน้มตัวเข้าไปจูบเสี่ยวซู่อีกครั้ง
เซียวจยาซู่ได้รับจูบครั้งนี้ก็แอบพูดในใจว่า ได้รับจูบซ้ำสองครั้งในสิบนาทีนี่ไม่นับนะ ความอดทนของเรายังอยู่ที่ครึ่งชั่วโมงเหมือนเดิม อีกครึ่งชั่วโมงจะต้องชาร์จไฟใหม่! เขาคิดว่าตัวเองนี่ช่างเป็นเด็กน้อยและติดอีกฝ่ายมากจริง ๆ ดังนั้นจึงไม่กล้าให้พี่จี้รู้ ได้แต่ทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ไม่มีพิษมีภัยใด ๆ
จี้เหมี่ยนเอามืออุดปากไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา
เซียวจยาซู่นอนเท้าโต๊ะทำงาน มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะ มืออีกข้างเล่นแขนเสื้อพี่จี้โดยไม่ละสายตาไปจากข้างกายอีกฝ่าย เขาเริ่มจะเสียใจนิด ๆ เสียแล้วที่ตอบตกลงโปรดิวเซอร์ไปเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเขาควรจะบอกพี่จี้ดีหรือเปล่า แม้ว่าการสร้างเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างคู่รักนั้นคงจะโรแมนติกมากแน่ ๆ แต่สถานการณ์ครั้งนี้มันไม่เหมาะเอาเสียเลย
ก่อนพี่จี้ออกเดินทางจะต้องถามเขาแน่ว่าอยากไปด้วยกันหรือเปล่า แต่ทั้งที่อยากไปกลับต้องพูดว่าไปไม่ได้ ลองคิดดูสิว่าพี่จี้จะรู้สึกอย่างไรบ้าง ผิดหวัง เสียใจ อาลัยอาวรณ์…ความรู้สึกแง่ลบต่าง ๆ จะวนเวียนกลุ้มรุมอยู่ในใจของอีกฝ่าย พี่จี้จะต้องออกเดินทางด้วยสภาวะที่ย่ำแย่อย่างนั้นไปจนกระทั่งถึงการถ่ายทำในช่วงกลาง หากเทียบกับความวิตกกังวลตลอดระยะเวลาหลายวันแล้ว ความเซอร์ไพรส์ในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ จะนับเป็นอะไรได้
นับได้กับผีน่ะสิ! หากเทียบความรู้สึกกันแล้ว เซียวจยาซู่ขอไม่ทำเรื่องเซอร์ไพรส์นั้นดีกว่า เขาอยากให้พี่จี้ได้อยู่เคียงข้างตัวเองไปตั้งแต่แรกมากกว่า ทั้งยังรับปากพี่จี้เอาไว้แล้วว่าต่อไปไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็จะบอกอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง แล้วจะกลับคำได้อย่างไรกัน นี่คือสัญญาชั่วชีวิตของพวกเขาเชียวนะ!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เซียวจยาซู่ก็ลูบหน้า คล้ายตัดสินใจได้แล้ว
จี้เหมี่ยนอ่านบทไม่เข้าหัวนานแล้ว ดวงตาคมลึกล้ำนั้นมีอารมณ์เข้มข้นถึงขีดสุดไหลเวียนอยู่ เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าชาติก่อนตนจะต้องไปทำเรื่องยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยม อย่างเช่นการช่วยเหลือราษฎรทั่วหล้าให้พ้นภัย อะไรทำนองนั้นเอาไว้แน่นอน สวรรค์จึงได้ส่งเสี่ยวซู่มาอยู่ข้างกายเขา
เขาพยายามฝืนข่มความตื่นเต้นในใจ ขณะกำลังจะพูด เสี่ยวซู่กลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน “พี่จี้ ผมมีเรื่องหนึ่งจะบอก”
“เรื่องอะไรหรือ” จี้เหมี่ยนมองเขา สีหน้าดูเคร่งขรึม
“ผมเพิ่งจะเซ็นสัญญารายการฮวงเหยี่ยเม่าเสี่ยนจยาเทปที่สี่ไป อีกสองวันจะได้ไปทำงานกับพี่นะ แต่โปรดิวเซอร์ให้ผมไปออกในฐานะแขกรับเชิญลับ บอกว่าอยากจะทำเซอร์ไพรส์คนดูน่ะครับ เพราะฉะนั้นผมต้องไปคนเดียวโดยที่ไม่บอกพี่ ตอนแรกผมคิดว่าชีวิตนี้ทำเซอร์ไพรส์สักทีก็ดีเหมือนกัน แต่พอมาคิดดูอย่างจริงจังแล้ว ตัดสินใจบอกพี่ดีกว่า ผมไม่อยากให้พี่พกพาความผิดหวังออกจากบ้านไป ไม่อยากให้พี่นั่งเครื่องบินสิบกว่าชั่วโมงคนเดียวแบบเหงา ๆ ด้วย แล้วก็ยิ่งไม่อยากให้พี่ถ่ายทำแล้วต้องมานั่งเป็นห่วงผม”
เซียวจยาซู่เกาแก้ม เขาพูดเขิน ๆ “พี่จี้ ผมรู้ว่าถ้าผมไปกับพี่ไม่ได้ พี่ต้องเศร้ามากแน่ ๆ ผมไม่อยากให้พี่เศร้า เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าชีวิตนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องบอกอีกฝ่ายหนึ่ง ตอนนี้ผมบอกพี่แล้ว ไม่มีเซอร์ไพรส์แล้ว มันชวนให้เซ็งมากเลยใช่ไหม”
จี้เหมี่ยนส่ายหน้า “ไม่เลย นายก็คือสิ่งเซอร์ไพรส์ที่สุดในชีวิตของพี่แล้ว” ใช่แล้ว ขอเพียงเสี่ยวซู่อยู่เคียงข้างเขา สำหรับเขา ทุกเวลานาทีก็เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์ขึ้นได้เสมอ
เซียวจยาซู่ไม่ได้หน้าแดงจนเหมือนเลือดจะหยดออกมาอย่างนี้นานแล้ว เขายื่นสองแขนออกไปกอดพี่จี้แล้วเอ่ยเสียงอ่อน “ผมเพิ่งรู้นะว่าที่จริงพี่จี้ก็พูดคำหวานเก่งเหมือนกัน ผมสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”
“สำคัญสิ” จี้เหมี่ยนก้มลงมองแล้วเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “สำคัญมาก มากเกินกว่าใครทั้งนั้น มากเกินกว่าที่นายจะจินตนาการได้เชียวละ” สำหรับเขาแล้ว เสี่ยวซู่คือจุดเริ่มต้นของอนาคต และยังเป็นจุดจบของอดีตอีกด้วย
โอย ไม่ไหวแล้ว ดีใจจนจะเป็นลมแล้วเนี่ย! เซียวจยาซู่ซุกหน้ากับอกพี่จี้ เขาคิดอย่างลนลาน สำหรับเขาแล้วพี่จี้ก็สำคัญเหมือนกัน ถ้าได้จับมือพี่จี้เอาไว้ก็ไม่ต้องกลัวหกล้ม และยังไม่ต้องกลัวหลงทางด้วย เส้นทางที่ทอดอยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่เคยดูชัดเจนและมั่นคงเช่นนี้มาก่อนเลย
สรุปแล้วพวกเขาต่างฝ่ายต่างได้พบคนที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่ดีที่สุดด้วยกันทั้งคู่
จี้เหมี่ยนรับรู้ความในใจของเสี่ยวซู่อยู่เงียบ ๆ แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เขากอดอีกฝ่ายเอาไว้แนบอก ประคองใบหน้านั้นแล้วจูบริมฝีปากที่เผยอรออย่างอดทนอยู่นานแล้ว ปลายลิ้นไล้ไปบนฟันขาวสะอาดแล้วแทรกเข้าไปในโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย กิริยาของเขานุ่มนวลแผ่วเบา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความระมัดระวัง ราวกับสิ่งที่อยู่ในปากนั้นเป็นลูกอมเม็ดหนึ่ง หากไม่ระวังให้ดีก็อาจจะละลายหายไปได้
เขาจูบอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่ง ทุกซอกมุมที่ไวต่อความรู้สึกเขาก็เข้าไปดูแลอย่างทั่วถึงทั้งหมด จากนั้นก็เกี่ยวเอาลิ้นของเสี่ยวซู่เข้ามาในโพรงปากของตน ค่อย ๆ ละเลียดดูดกลืนความหวานที่อีกฝ่ายนำมาด้วย จูบนี้ผะแผ่วนัก ราวกับกำลังเยื้องย่างบนปุยเมฆ ขณะเดียวกันก็ช่างหนักอึ้งราวกับร่วงหล่นลงมาท่วมทับหัวใจ
ปกติเซียวจยาซู่มักจะจูบเพลินจนลืมหายใจ แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้มีอาการหายใจติดขัดสักนิด เขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกพี่จี้โอบกอดป้องกันเอาไว้ทั้งหัวจิตหัวใจ เส้นผมทุกเส้นแนบสนิท รูขุมขนทุกรูผ่อนคลาย เขาโถมทั้งตัวโอบคอพี่จี้โดยไม่รู้ตัว ร่างกายอ่อนยวบราวดินโคลน
เขาเอียงศีรษะ เปลี่ยนมุมจูบกับพี่จี้ ปลายลิ้นค่อย ๆ ไล้เลียปลายลิ้นอีกฝ่ายอย่างละเมียดละไม ถ้าพี่จี้ใช้วิธีสุดแสนจะอ่อนโยนเช่นนี้จูบเขาทุกครั้งละก็ เขาคิดว่าพวกเขาสองคนคงไปเข้าร่วมการแข่งขันจูบได้เลยทีเดียว ให้จูบกันอยู่อย่างนี้ไม่หลับไม่นอนสามวันสามคืนก็ไม่มีปัญหา
แต่สามวันสามคืนนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผ่านไปประมาณสิบนาทีฟางคุนก็ผลักประตูเข้ามาพูดเสียงดัง “พี่จี้ ฉันเพิ่งได้รับอีเมลฉบับหนึ่ง นายดู…อา โทษที พวกนายต่อกันเลย!” เขาปิดประตูดังปังแล้วก็สบถคำว่าเวรเอ๊ยออกมาอย่างแรง
กลางวันแสก ๆ ทั้งยังอยู่ในห้องทำงานที่มีคนเดินเข้าเดินออกด้วย จี้เหมี่ยน นายนี่จริง ๆ เลย! ไอ้ความระแวงระวัง รักษาภาพลักษณ์ ให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัว ทุกอย่างที่เคยมีเมื่อก่อนนี้เอาไปให้สุนัขกินหมดแล้วหรือไงหา
จี้เหมี่ยนเพิ่งจะจบการจูบที่หวานล้ำถึงที่สุด เขาใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำลายที่มุมปากของเสี่ยวซู่แล้วจูบหางตาแดงเรื่อ ก่อนจะอุ้มเสี่ยวซู่ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ขอทำงานก่อนนะ เดี๋ยวค่อยมาต่อกัน”
“ยังจะต่ออีกหรือ” เซียวจยาซู่ลูบริมฝีปากเหมือนตกใจมาก แต่ในใจกลับยินดีปรีดามากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า จูบแบบนี้มันต้องเปรียบกับจูบแบบไก่จิกเมล็ดข้าว พอให้เขาทนต่อไปได้ครึ่งค่อนวันเท่านั้น
จี้เหมี่ยนเกือบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว เขาเคยได้ยินแต่จูบผิวเผิน จูบลึกซึ้ง จูบแห้งจูบเปียก จูบปากจูบลิ้น แต่ไม่เคยได้ยินจูบแบบไก่จิกเมล็ดข้าวเลย คงเป็นคำที่เสี่ยวซู่คิดขึ้นเองอย่างนั้นสินะ น่ารักเกินไปแล้ว…
“ใช่ ต่ออีก หรือนายไม่อยาก” เขาเอามืออุดปาก กลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก
“อยาก ๆ ๆ” เซียวจยาซู่กระโดดลงจากเก้าอี้ เขาพูดรัวเร็ว “ผมไปห้องน้ำก่อนนะ กลับมาพี่ต้องคุยธุระให้เสร็จด้วย!”
“ได้” จี้เหมี่ยนก้มลงช่วยเก็บรองเท้ามาสวมให้อีกฝ่ายทีละข้าง
เซียวจยาซู่จุ๊บกระหม่อมพี่จี้เร็ว ๆ แล้ววิ่งจากไปอย่างร่าเริง จี้เหมี่ยนปิดหน้าหัวเราะเบา ๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเปลี่ยนมาทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “เข้ามา คราวหน้าก็อย่าลืมเคาะประตูด้วย”
เซียวจยาซู่เข้าห้องน้ำเสร็จก็เห็นหลินเล่อหยางเดินเข้ามา ด้านหลังมีหนุ่มน้อยอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเดินตามมาด้วย ทั้งคู่กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างแล้วก็หัวเราะคิกคัก
ตอนนี้จู๋อ้ายเจ่อกำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์หลายแห่ง ผู้ชมให้การตอบรับดีมาก บางทีอาจเป็นเพราะหลินเล่อหยางอกหัก เขาจึงแสดงบทบาทของคนโรคจิตที่มีบุคลิกต่อต้านสังคมออกมาได้อย่างลื่นไหลหมดจด ทั้งยังได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์อีกด้วย เขาได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นนักแสดงสายประสบการณ์จริง หลายคนมองอนาคตของเขาไว้ดีทีเดียว
แม้ว่าฮวงเหยี่ยเม่าเสี่ยนจยาที่เพิ่งออกอากาศไปจะทำให้เขาได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบมาบ้าง แต่เพราะการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมทำให้คลื่นลมสงบลงอย่างรวดเร็ว จี้เหมี่ยนคงจะไม่มาทำลายศิลปินในสังกัดของตนโดยไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว ถ้าศิลปินของเขามีพัฒนาการดี คนที่จะได้ผลประโยชน์ในท้ายที่สุดก็คือบริษัท เรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่มีแต่ได้กับได้
เมื่อเห็นเซียวจยาซู่ หลินเล่อหยางก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไร เขาติดตามเวยป๋อของเซียวจยาซู่และจี้เหมี่ยนทุกวัน ย่อมรู้ว่าพวกเขาสองคนคบหากันแล้ว และคำโกหกที่เขาพูดไปก็คงถูกเปิดโปงแล้วด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจธรรมดาทั่วไปเลย
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว เขาก็ไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าคนที่ทำเรื่องต่ำช้าอย่างนั้นไปจะเป็นตัวเขาเอง
ถ้าไม่ได้พบหน้ากัน เซียวจยาซู่ก็เกือบจะลืมไปแล้วว่ายังมีคนชื่อหลินเล่อหยางอยู่ด้วย เขากระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ดึงให้หลินเล่อหยางเข้าไปในห้องน้ำแล้วต่อยท้องอีกฝ่ายอย่างแรง จากนั้นก็กัดฟันเอ่ย “หลินเล่อหยาง ฉันอยากทำอย่างนี้มานานแล้ว!”
หลินเล่อหยางเจ็บจนยืดตัวขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้โต้กลับแม้แต่น้อย กลับเป็นเด็กหนุ่มที่มากับเขาเสียอีกที่เข้ามาห้ามปรามไม่หยุด ทั้งยังร้องบอกอย่างขุ่นเคืองเต็มที่ “เฮ้ย มาต่อยกันแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย! ที่นี่คือสำนักงานก้วนเหมี่ยนนะ ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมากร่างได้!”
“ฉันจะกร่าง นายจะทำไม” หลังจากต่อยไปหมัดหนึ่งแล้ว ความขุ่นข้องเต็มหัวใจของเซียวจยาซู่ก็สลายไปหมด เขายัดชายเสื้อเชิ้ตที่ดูยับย่นเล็กน้อยกลับเข้าไปในกางเกงอีกครั้ง ก่อนจะล้างมือให้สะอาดแล้วจึงเดินจากไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า
เด็กหนุ่มคล้ายไม่พอใจอย่างมาก เขาวิ่งตัดหน้าเซียวจยาซู่ไปทางห้องทำงานของประธานบริษัท บุกเข้าไปโดยไม่เคาะประตูเสียด้วยซ้ำ จากนั้นก็รายงานเรื่องราวทั้งหมดเป็นชุด พี่หลินเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่บริษัทกำลังดัน ประธานจี้จะต้องไม่นั่งมองอยู่เฉย ๆ แน่นอน
หลินเล่อหยางรั้งเขาเอาไว้ไม่อยู่จึงได้แต่รีบตามไป สีหน้าของเขานั้นคงไม่ต้องบอกว่าดูลำบากใจเพียงใด
กลับเป็นเซียวจยาซู่เสียอีกที่มาช้ากว่าก้าวหนึ่ง เขายืนกระฟัดกระเฟียดอยู่ที่ประตู
“ต่อยตรงไหน” จี้เหมี่ยนวางเอกสาร น้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ต่อยท้องครับ” เด็กหนุ่มอยากจะเลิกเสื้อหลินเล่อหยางขึ้นมา แต่กลับถูกเจ้าตัวยึดเอาไว้แน่น
“แค่ไม่ต่อยหน้าก็แล้วไปนี่ ไม่กระทบกับการโปรโมตช่วงนี้ด้วย” จี้เหมี่ยนมองคนรัก เขาพบว่าเมื่อวินาทีก่อนหน้าอีกฝ่ายยังถลึงตาทำแก้มป่อง สีหน้าเหมือนอยากจะถกปัญหากับเขา แต่วินาทีต่อมาหว่างคิ้วกลับคลายออก ดวงตาก็ยิ้มจนมุมปากยกยิ้มตาม ทั้งยังส่งจูบให้เขาอีกต่างหาก เขารู้สึกว่าน่าขันจนต้องส่ายศีรษะ
จี้เหมี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงและอารมณ์สงบนิ่ง “เรื่องผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป ต่อไปก็ตั้งใจทำงานแล้วกัน”
“ได้ครับประธานจี้ ผมจะตั้งใจทำงานครับ” หลินเล่อหยางพยักหน้ารัว จากนั้นก็ลากเด็กหนุ่มที่ยังนิ่งอึ้งตะลึงงันออกไป
จี้เหมี่ยนกวักมือเรียกคนรัก น้ำเสียงอ่อนยวบ “เมื่อกี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทำไมกัน คิดว่าพี่จะว่านายหรือ”
“พี่กล้าหรือ! ถ้าพี่ว่าผม ผมจะ…ผมจะ…” เซียวจยาซู่ติดอ่างเสียแล้ว เขาเกาหูเกาแก้มคิดอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าควรลงโทษพี่จี้อย่างไรถึงจะดี อยากบอกว่าผมจะไม่สนใจพี่ แต่อันนี้เขาทำไม่ได้จริง ๆ อยากบอกว่าผมจะไม่ให้พี่ขึ้นเตียงผมแล้ว อันนี้ก็ยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่! แบบนี้มันคือการลงโทษพี่จี้หรือว่าลงโทษตัวเขาเองกันแน่เล่า
ผ่านไปหลายนาทีเขาจึงแกล้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงโหดว่า “ผมจะกินกระเทียมแล้วมาจูบพี่!”
พรืด! จี้เหมี่ยนหัวเราะพรืดออกมาจริง ๆ เขาโอบอีกฝ่ายเข้ามาจูบแรง ๆ แล้วพูดหยอก “อย่างนั้นก็ดีเลย พี่ชอบจูบกลิ่นกระเทียมพอดี”