[ทดลองอ่าน] เทวัญบันดาล ตอนที่ 1

เทวัญบันดาล

แก้วเก้า เขียน

— โปรย —
“มาคนเดียวหรือ ทำอะไรที่นี่”
“ผมเหรอครับ อ๋อ! ผมจะมากวาดศาลครับ” สรัลชี้มือไปที่ศาลเจ้าพ่อว่านทอง
“ทวดสร้างศาลนี้ไว้เอง ผมมาวัดทีก็มากวาดที หลวงพ่อคนก่อนคอยช่วยดูแลให้
พอท่านป่วยก็ไม่มีใครทำ หลวงพี่คนใหม่ไม่ค่อยสนใจศาลนี้ ขอหวยไม่ได้ ชาวบ้านเลยไม่ขึ้น”
ชายตรงหน้ายิ้มขำๆ เหมือนขำอะไรที่เขารู้อยู่ฝ่ายเดียว
“งั้นรึ เคยมาขอกับเขาแล้วไม่ได้รึไง”
“ผมเหรอ” สรัลชี้อกตัวเอง แล้วหัวเราะ “ยังไม่เคยครับ ไม่รู้จะขออะไร”
“มีด้วยหรือ คนที่ไม่รู้จะขออะไร” อีกฝ่ายย้อนถามยิ้มๆ
“แสดงว่าเกิดมามั่งมีศรีสุข พรั่งพร้อมหมดทุกอย่างจนไม่ขาดแคลนสิ่งใดกระมัง”
“ไม่ถึงยังงั้น” หนุ่มน้อยตอบ หัวเราะเขินๆ “ถ้ารวยคงไม่มาอยู่แถวนี้
ผมเชื่อที่พระท่านสอนไว้ว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ผมอยากได้อะไร ผมก็พยายามทำให้ได้เอง มันก็ได้ทุกที เลยไม่ต้องบนบานไงพี่”

“ถ้ามีคนอย่างนี้มากๆ ก็ดี เป็นที่พอใจของเทวดา”
สรัลหัวเราะขำ
“งั้นรึครับ ทำไมถึงพอใจ”
“คนดีใครๆก็นับถือ รู้จักพึ่งตนเองตามที่พระท่านสอนไว้
ไม่ต้องไปขอโน่นขอนี่ให้เหนื่อยแรงเทวดา”
โห! คุณแกพูดราวกับรู้จักเทวดา สรัลมองหน้าให้แน่ใจ
หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ดี ไม่น่าเพี้ยน แต่เอาเถอะ คนเพี้ยนมีได้ทั้งคนจนคนรวย
ใครหน้าไหนจะไปห้ามคนรวยไม่ให้เพี้ยนได้ล่ะ

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

1

 

พ.ศ. 2540

คนอย่างสรัลก็เหมือนคนหนุ่มสาวปัจจุบันนี้อีกมากที่ดำเนินชีวิตอย่างธรรมดาสามัญเสียจนไม่มีวันเชื่อว่าจะมีสิ่งใดแตกต่างไปจากเรื่องธรรมดาๆ อุบัติขึ้นในชีวิตของเขาได้

สรัลเป็นหนุ่มหน้าตาธรรมดา หมายความว่าไม่หล่อแต่ก็ไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหร่ รูปร่างไม่สูงแต่ไม่เตี้ย ผิวไม่ดำแต่ก็ไม่ถึงกับขาว ผมไม่สั้นไม่ยาว ตัดง่ายๆธรรมดา สวมแว่นสายตาสีขาวใส หุ่นผอมบางตามแบบหนุ่มๆที่เห็นได้ทั่วไปตามถนนหนทาง เขาเป็นผู้ชายประเภทเดินผ่านสาวเพื่อนบ้านมาเป็นปีๆ แต่พอเจอกันที่อื่น สาวคนนั้นก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน

วันนี้สรัลออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัยตามปกติ ออกจากบ้านท้ายซอยซึ่งเป็นบ้านสองชั้นธรรมดาๆเหมือนตัวเขา ก้มหน้าก้มตาเดินไปจนถึงปากซอย มีบ้านเดี่ยวหลังใหญ่บ้าง กลางๆบ้าง เรียงรายกันอยู่ริมถนน

หนึ่งในนั้น เขามองเห็นประตูรั้วยังปิดสนิท มองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่ายังเช้า ไม่ถึงเวลาสาวน้อยคนนั้นจะขับรถออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย

สรัลออกจากบ้านโดยกะให้ก่อนเวลาที่หล่อนออกจากบ้านเล็กน้อยเพื่อจะได้เห็นหน้า วันนี้โชคดี ทำทียืนรอรถประจำทางอยู่หน้าบ้านไม่ถึงสิบนาที หัวใจก็เต้นแรงขึ้นด้วยอารมณ์ปีติ เมื่อเห็นรถยนต์คันเล็กกะทัดรัดค่อยๆเคลื่อนพ้นประตูบ้านออกมา

เขารีบสาวเท้าเดินไปให้เห็นคนขับ มองผ่านกระจกเข้าไปเห็นหน้าหวานใสลอยอยู่เหนือพวงมาลัยรถ

เขามองหล่อน หล่อนก็เหลียวมาเห็นเขาเต็มตา สรัลส่งยิ้มกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้รถ อ้าปากบอกว่า

“สวัสดีครับ”

ในนาทีนั้น หล่อนเร่งเครื่องพารถเลี้ยวออกสู่ถนนพอดี คำสวัสดีของเขาถูกกลืนไปในลมร้อนที่พัดวูบมา ปากที่อ้าค้างจึงมีแต่ฝุ่นข้างถนนพัดเข้าไปเต็มปาก

สรัลได้แต่มองตามตาละห้อย ดาวเดียวไม่มีท่าทีว่าจำเขาได้เลย ทั้งๆเจอกันที่โรงอาหารของคณะหล่อนอยู่เป็นประจำมานานนับปีแล้ว

 

สรัลถือกำเนิดในครอบครัวธรรมดาๆเช่นเดียวกับตัวตนของเขา พ่อแม่อยู่ในกรุงเทพฯมีฐานะกลางๆ ไม่ยากจนแต่ก็ไม่ถึงกับรวย แต่ลูกชายกลับใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดนิลบุรี ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.5 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ

โรงเรียนที่เขาเรียนชื่อ “นิลวิทยาลัย” เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด เมื่อเทียบกับจังหวัดใหญ่ๆไม่ถึงกับโด่งดัง แต่ยังห่างไกลจากโรงเรียนแย่ๆปลายแถว ค่อยยังชั่วหน่อยที่เขาเป็นเด็กเรียนดี แม้ไม่ถึงกับดีเยี่ยมระดับชาติ แต่ก็ไม่เคยได้ชื่อว่าเรียนอ่อน

เอาเป็นว่า…ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของสรัลล้วนแต่อยู่ระดับปานกลางทั้งหมด รวมทั้งความเป็นลูกคนกลาง มีพี่สาวและน้องชายอย่างละหนึ่งคนด้วย

สาเหตุที่สรัลเกิดในเมืองหลวงแต่ไปโตในต่างจังหวัดเป็นเรื่องแสนจะธรรมดาอีกนั่นแหละ คือพ่อแม่ทำงานนอกบ้านทั้งคู่ ต้องพึ่งพาอาศัยญาติผู้ใหญ่ให้เลี้ยงลูกอ่อน พี่สาวของสรัลมีปู่ย่ารับไปเลี้ยงที่นิลบุรีเช่นกัน พอพี่สาวเข้าเตรียมอนุบาล สรัลก็เกิดมาเป็นหลานคนที่สองให้ปู่กับย่ารับไปเลี้ยงต่อพอดี

ต่างจากพี่สาวตรงที่ว่าสรัลติดปู่กับย่ามาก จนเข้าอนุบาลก็ยังไม่ยอมกลับกรุงเทพฯไปอยู่กับพ่อแม่ เขาเพิ่งกลับกรุงเทพฯเมื่อขึ้นประถมปีที่ 4 แต่ทุกช่วงปิดเทอม สรัลจะขอพ่อแม่ไปอยู่ที่บ้านท่านทั้งสอง ณ ตำบลว่านสิบสีเป็นประจำทุกปี จนกว่าจะเปิดเทอมจึงกลับบ้าน

เมื่อสรัลเรียนจบชั้นประถม เขาสอบไม่ติดชั้นมัธยมปีที่ 1 ในโรงเรียนดังที่บรรดาผู้ปกครองเส้นใหญ่เส้นเล็กวิ่งเต้นกันสุดชีวิต เป็นธรรมดาที่คนไม่มีเส้นอย่างพ่อแม่เขาไม่อาจเบียดแทรกเข้าไปได้ แต่พอสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดนิลบุรี กลับสอบติด เขาเลยกลับไปอยู่กับปู่ย่า เรียนจนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 แล้วกลับมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ

ครูประจำชั้นทุกคนตั้งแต่มัธยมปีที่ 1 ถึงมัธยมปลายค่อนข้างเอ็นดูเขา เพราะสรัลเป็นเด็กขยัน ตั้งใจเรียน นอกจากนี้ยังเรียบร้อยและมีน้ำใจ ช่วยเหลือครูเรื่องเล็กๆน้อยๆโดยไม่ต้องออกปาก ถึงแม้ไม่ใช่เด็กหัวดีเลิศระดับชาติ ไม่ใช่นักกีฬาเด่นดังของโรงเรียน แต่ถ้าไปประกวดมารยาท ประกวดลายมืองาม หรือแข่งขันอะไรที่ต้องอาศัยการท่องจำ สรัลจะได้รางวัลติดมือกลับมาเป็นชื่อเสียงให้โรงเรียนอยู่เสมอ

ส่วนเพื่อนๆก็…แน่ละ…มองสรัลเป็น “ไอ้แว่น” หรือ “ไอ้เนิร์ด” จึงมักจะถูกกลั่นแกล้ง เป็นเรื่องธรรมดาอีกเหมือนกัน

ตัวหัวหน้าแก๊งมีชื่อยาว อ่านยากตามสมัยนิยมว่า “ธนาจิโรจ” มีชื่อเล่นว่า “โจ”

เด็กชายสรัลรู้จักเด็กชายโจมาตั้งแต่เข้าอนุบาล ได้ยินหม่าม้าผู้มารับเขาตอนเลิกเรียน เรียกลูกชายว่า “จุ่งสิ่ว” แต่พอกลับมาเจอกันอีกครั้งที่ชั้นมัธยม จุ่งสิ่วก็ประกาศก้องห้ามใครเรียกชื่อเดิม ต้องเรียกชื่อฝรั่งว่า “โจ”

“ใครเรียกโดนกูเตะ ไม่เชื่อลองดู”

ว่ากันที่จริง โจไม่ใช่เด็กอันธพาลเกะกะเกเรถึงขั้นยกพวกไล่แทงกันเลือดสาด แต่ในเมื่อเป็นลูกชายเถ้าแก่เจ้าของโรงสีใหญ่ของจังหวัด รวยเกินกว่าจะต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ในกรอบระเบียบของสังคม เลยมีงานอดิเรกคือกลั่นแกล้งเพื่อนๆที่ไม่มีทางสู้

สรัลเป็นหนึ่งในนั้น

เมื่อโจแกล้งตบหัวเขาแรงๆเหมือนตบหัวหมา สรัลกัดฟันข่มความโกรธเอาไว้ นึกถึงธรรมะที่ปู่เคยสอนว่า “พึงชำนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ” เขาทำไม่รู้ไม่ชี้ ถามไปคนละเรื่อง

“การบ้านทำเสร็จยังวะ ถ้ายัง จะช่วย”

แค่นี้มือที่จะตบซ้ำสองก็เงื้อค้าง โจถามกระตือรือร้น

“มึงทำให้กูได้ป่าว”

“ลอกไม่ได้โว้ย ครูจับได้ เดี๋ยวจะบอกให้ว่าต้องเขียนยังไง”

เขาช่วยอธิบายการบ้านให้บ้าง ติวหนังสือให้เพื่อนบ้าง ในเมื่อโจได้ประโยชน์จากสรัล เรื่องกลั่นแกล้งรังแกก็เป็นอันว่าหายไป

“เฮ้ย! กูห้าม ใครอย่าแกล้งไอ้ต้นสน” โจเรียกชื่อเล่นของสรัล “กูแกล้งได้คนเดียว ถ้าไม่เชื่อ พวกมึงต้องเจอกับกู”

คนอื่นๆไม่มีใครกล้าหือกับเจ้าโจ ยกเว้นแอ นักเรียนหญิงผู้มีอภิสิทธิ์เพราะเป็นญาติแซ่เดียวกับเจ้าโจ หล่อนเป็นคนช่างฟ้อง ช่างเถียง ไม่ลงให้ใคร วันไหนโจแกล้งหล่อน หล่อนก็กลับบ้านไปฟ้องพ่อ เพราะได้ผลกว่าฟ้องครูประจำชั้น เถ้าแก่พ่อหล่อนก็ไปฟ้องแม่ของโจอีกที ทำให้โจพอจะถอยห่างจากแอไปได้สักพัก

ส่วนสรัลไม่มีอภิสิทธิ์อย่างแอ เขาหาที่หลบภัยด้วยการเข้าไปช่วยอาจารย์บรรณารักษ์จัดหนังสือในห้องสมุดเมื่อพักเที่ยง อ้างว่าเป็นคำสั่งอาจารย์ พอมีชั่วโมงว่างก็ทำแบบเดียวกัน เพราะห้องสมุดเป็นสถานที่เดียวในโรงเรียนที่โจไม่เคยย่างเหยียบเข้าไป

ถ้ามีรายงานกลุ่มที่ต้องอาศัยการค้นคว้าในห้องสมุด โจรีบจองอยู่กลุ่มเดียวกับสรัล เพื่อจะอาศัยโหนคะแนนรายงานที่สรัลค้นคว้าเขียนเรียบเรียงหามรุ่งหามค่ำ พาตัวเองได้คะแนนดีไปด้วยโดยไม่ต้องเปลืองแรง

ผ่านมาจนเรียนจบมัธยมต้น สรัลมีโอกาสถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าโจอาศัยเส้นใหญ่ของพ่อแม่ ย้ายไปเข้าโรงเรียนใหญ่ในกรุงเทพฯได้สำเร็จ ตัวเขาเองเลือกเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนเดิมด้วยความสุขกายสบายใจตลอด 3 ปี

ความใฝ่ฝันของสรัลคือเป็นนักกฎหมาย

แรงบันดาลใจเริ่มตั้งแต่หนีโจไปหลบในห้องสมุดช่วงเที่ยง หนังสือที่อ่านจนเรียกได้ว่าหมดห้องสมุดบอกให้รู้ถึงความอยุติธรรมที่ผู้ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างเขาประสบ เขาตัดสินใจว่าในบรรดาอาชีพทั้งหมดที่ผู้คนยกย่อง อาชีพนักกฎหมายถูกใจเขามากที่สุด

อาชีพนี้ช่วยคนถูกรังแกให้ได้รับความยุติธรรม ถึงสร้างความเท่าเทียมกันไม่ได้หมดทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยบางเรื่องที่ตราไว้ในตัวบทกฎหมายก็พอจะช่วยได้ ถ้าตกอยู่ในมือของนักกฎหมายที่เป็นธรรม

สรัลสอบติดคณะกฎหมายที่เลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง นำความภาคภูมิใจล้นเหลือมาให้ปู่กับย่ามาก เรียกได้ว่าคุยได้ทั่วตำบลว่านสิบสีเลยทีเดียว

 

“อ้าว! มาทำไมไม่บอกล่วงหน้า”

เป็นคำทักของปู่เมื่อชะโงกหน้าจากระเบียงลงมาดูหลานชาย

ปู่เกิดที่ตำบลว่านสิบสี เป็นตำบลเล็กๆรอบนอกของอำเภอเมืองนิลบุรี ห่างจากใจกลางเมืองไปประมาณ 7 กิโลเมตร ปัจจุบันบ้านของปู่ก็ยังอยู่ที่นี่ เป็นบ้านที่ชาวบ้านถือว่าเป็นของผู้มีฐานะดี คือบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ ไม่ทาสี ปลูกง่ายๆเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามุงกระเบื้อง ชายคายาวยื่นออกมาคลุมระเบียงด้านข้างของชั้นบน เป็นระเบียงยาวที่มองลงมาเห็นได้ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน

พื้นดินรอบบ้านเป็นดินปนหญ้า ต้นไม้ใหญ่ๆอย่าง มะม่วง ชมพู่ กระท้อน มะขาม ปลูกอยู่ร่มรื่นรอบตัวบ้าน รั้วเป็นลวดหนามซ่อนอยู่ใต้แนวพู่ระหงหนาทึบ ไม่มีถนนทอดเข้าตัวบ้านอย่างบ้านชาวกรุง มีแต่ทางเดินเล็กๆปูแผ่นซีเมนต์ช่วงสั้นๆก่อนถึงตัวบ้าน

บริเวณบ้านมีว่านสีต่างๆปลูกใส่กระถางไว้เป็นระเบียบ สำหรับยกขายพ่อค้าแม่ค้าจากกรุงเทพฯ พวกนี้มาทีก็เหมาไปทีเกือบหมดสวน ตำบลนี้มีว่านอยู่มากสมกับชื่อ รวมทั้งว่านสิบสีที่เคยทำชื่อเสียงให้ตำบลมายาวนานด้วย

สรัลเดินเข้าไปในห้องชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องใหญ่ห้องเดียว มีชุดรับแขกทำด้วยไม้มะค่าเก่าแก่จนสีซีดจางตั้งอยู่ชุดหนึ่ง ตั่งไม้มะค่าตัวยาวตั้งอยู่ชิดฝาอีกตัว ตู้กระจกเก่าๆอีก 2-3 ใบอัดแน่นขนัดไปด้วยของที่ระลึกต่างๆจนแทบดูไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

บนผนังติดภาพใหญ่น้อยไว้หลายภาพ ทั้งเก่าและใหม่ โดดเด่นที่รูปถ่ายขนาดใหญ่ 2 รูปด้วยกัน รูปหนึ่งเป็นรูปถ่ายขาวดำของชายชราอายุราวๆ 80 ปี ผมตัดสั้นสีขาวโพลน สวมเสื้อขาวคอกลมแขนแค่ศอกและผ้าโจงกระเบน นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองยกกุมหัวไม้เท้า ดวงหน้าแม้แก่ชราแต่ยังเห็นเค้าหน้าคมสันคล้ายคลึงกับชายในอีกรูปหนึ่ง อายุราว 60 ปี ถ่ายก่อนเกษียณเล็กน้อย แต่งเครื่องแบบร้อยตำรวจเอกสีกากี มีผ้าผูกคอ ติดพราวไปด้วยเครื่องหมาย

รูปแรกคือรูปของทวด เจ้าของที่ดินผืนนี้ รูปที่สองคือรูปของปู่ เจ้าของบ้าน

 

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า