爱你怎么说
คุณชายซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิง
风流书呆 เฟิงหลิวซูไต เขียน
ศีตกาล แปล
MOON วาด
— โปรย —
เซียวจยาซู่ เกิดมาในตระกูลใหญ่ผู้กุมบังเหียนด้านกลุ่มธุรกิจเภสัชกรรม
ทว่าด้วยพื้นเพทางมารดา ทำให้เขาเป็นที่ขวางหูขวางตาและเดียดฉันท์ของคนในตระกูล
เขาที่เสมือนคนไร้ประโยชน์ ได้แต่ใช้ชีวิตเหมือนซากศพไปวัน ๆ
ถูกแม่ตัวเองที่ทนดูสภาพของลูกชายไม่ไหว ลากเข้าไปทำงานในวงการบันเทิง
จนได้รู้จักกับราชาจอเงินอย่าง จี้เหมี่ยน ที่ขึ้นชื่อว่าอ่อนโยนและใจดี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าตัวกลับบ้าอำนาจและเผด็จการต่อคนรอบข้างอย่างที่สุด
ซ้ำยังดูไม่ชอบคุณชายอย่างเซียวจยาซู่เอามาก ๆ
ทว่าโชคชะตายากคาดเดา หลังจากจี้เหมี่ยนประสบอุบัติเหตุเจ้าตัวก็เปลี่ยนไป
ดูจะเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นคิด และดีกับคุณชายเซียวมากขึ้น…
โดยที่ทุกคนหารู้ไม่ว่า ดาราใหญ่แห่งวงการบันเทิงอย่างเขาได้ความสามารถในการอ่านใจผู้อื่นมา
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3
วงการบันเทิง
บอกว่ามาบริษัทเพื่อมาดูสักหน่อย…ที่จริงก็มาดูจริง ๆ นั่นละ เซียวจยาซู่เพิ่งจะนั่งลงไม่กี่นาทีก็ถูกแม่ไล่ออกมา เลขาฯพาเขาไปเยี่ยมชมตามชั้นต่าง ๆ ตอนที่เดินไปตามทางเดิน หลายต่อหลายคนชะเง้อคอยืดยาวออกมามองเขา ในใจก็อุทานว่าท่านประธานไปขุดเอาเด็กใหม่ที่มีศักยภาพสูงมาอีกแล้ว หน้าตาแบบนี้ มาดแบบนี้ ผลักดันสักหน่อยก็ดังระเบิด
อย่างไรเสียเซียวจยาซู่ก็เป็นลูกหลานตระกูลเซียว การอยู่ต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เวลาเดียวกันนั้นเซวียเหมี่ยวก็หยิบบุหรี่ออกมาแล้วถาม “สูบสักมวนไหม”
ซิวฉางอวี้เออออตามน้ำหยิบบุหรี่มาสูบมวนหนึ่ง เขาสูดแล้วพ่นควันไปพลางถอนหายใจ “ฉันคิดว่าเธอเลิกบุหรี่นานแล้วเสียอีก”
“คนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่สบายใจน่ะเลิกบุหรี่ไม่ขาดหรอก” เซวียเหมี่ยวหลุบตาลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ควันบุหรี่เข้าตาจนแดง ปลายนิ้วเรียวยาวของเธอคีบบุหรี่มาจ่อปาก ท่าทางดูงามสง่าแต่ก็เศร้าหมอง เธอใช้ชีวิตอย่างไม่สบายใจ เรื่องนี้ปิดบังคนอื่นได้ แต่ปิดบังซิวฉางอวี้ไม่ได้ สู้บอกตรง ๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างเธอกับซิวฉางอวี้ก็ไม่มีอะไรที่คุยกันไม่ได้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเธอก็พูดต่อ “เมื่อกี้ที่ฉันบอกให้เธอช่วยหาตำแหน่งงานให้เสี่ยวซู่สักตำแหน่งหนึ่งน่ะ ไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจังหรอกนะ ฉันไม่ได้อยากให้เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนเข้างานเก้าโมงเลิกงานห้าโมงหรอก”
“เธอหมายความว่ายังไง” ซิวฉางอวี้รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาอดอึ้งไม่ได้
“ใช่ ฉันอยากให้เขาไปเล่นหนัง” เซวียเหมี่ยวค่อย ๆ พ่นควันออกมา ริมฝีปากสีสวยนุ่มนวลขยับอยู่ภายใต้ควันหนาที่ปกคลุม “เธอช่วยหาตำแหน่งงานสักตำแหน่งให้เขาก่อนก็แล้วกัน ให้เขาอยู่ในกองถ่ายสักพัก จะได้คุ้นเคยกับกระบวนการทำงาน แล้วค่อยหาบทที่เหมาะสมให้เขาทีหลัง”
“เธอตัดสินใจเองคนเดียวมากไปหน่อยหรือเปล่า ไม่ถามเสี่ยวซู่หน่อยเหรอว่าเขายินดีไหม เขาเป็นคุณชายเล็กของเซียวกรุ๊ปนะ แต่เธอกลับจะให้เขาเข้าวงการบันเทิง ถ้าพ่อกับปู่ของเขาโกรธมาก ๆ เข้า จะไม่ริบเอามรดกเขาไปหมดหรือ เธอทนมาได้ตั้งหลายปี แล้วทำไมตอนนี้ต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะ” ซิวฉางอวี้โน้มน้าวห้ามปรามด้วยความหวังดี
ทว่าเซวียเหมี่ยวกลับไม่ได้ซาบซึ้งในความหวังดีนั้น ต่อหน้าซิวฉางอวี้ท่าทางของเธอกลายเป็นอีกแบบหนึ่งโดยสิ้นเชิง อารมณ์รุนแรงเหมือนไฟ หัวแข็งหาใดเปรียบ นี่ต่างหากจึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอ “ตัวฉันเองฉันทนได้ แต่เพื่อลูกแล้วฉันทนไม่ได้ เธอรู้ไหมว่าเขาพยายามมากแค่ไหน เขายอดเยี่ยมมากแค่ไหน สุดท้ายคนที่เขาเรียกว่าญาตินั่นกลับบีบให้เขาเก็บงำแสงสว่างของตัวเอง กลายเป็นคนไม่เอาไหน กลายเป็นคนไร้ค่าที่ได้แต่นั่งกินนอนกินรอความตาย หลายเดือนมานี้เขาขังตัวเองเล่นเกมอยู่ในห้องทุกวัน ข้าวก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน น้ำก็ไม่อาบ คนชอบอะไรสวย ๆ งาม ๆ อย่างเขากลับทำให้ตัวเองจนกลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ฉันเห็นแล้วเจ็บปวดเหมือนใครมาควักหัวใจยังไงยังงั้น! ในสายตาของพวกเธอเขาร่ำรวยมากจริง ๆ รวยจนต่อให้ไม่ทำอะไรไปทั้งชีวิตก็ยังใช้เงินไม่หมด แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไร”
“แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าเขาอยากเล่นหนัง นักแสดงน่ะไม่ใช่สิ่งที่อยากจะเป็นก็เป็นได้เลยหรอกนะ ความยากลำบากของการเป็นนักแสดง เธอคงเข้าใจมากกว่าฉันเสียอีก” ซิวฉางอวี้โน้มน้าวอีกครั้ง
“เขาเป็นลูกที่ฉันคลอดออกมาเอง ฉันจะไม่รู้เชียวเหรอ เธอยังจำได้ไหม ตอนที่เขาอายุสามขวบ บริษัทเธอเตรียมลงทุนถ่ายหนังแฟนตาซีสำหรับเด็ก ก็เลยจะหานักแสดงเด็กเหมาะ ๆ สักคน ฉันเอาบทมาอ่านให้เขาฟังแทนนิทานก่อนนอน เขาก็เลียนแบบท่าทางในบทนั้นได้ทันที แป๊บเดียวก็เดินถือไม้เท้าแบบท่านผู้เฒ่าเต่าเป็น ถึงจะไม่ได้อ่านบทก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาทำเหมือนกำลังแบกกระดองเต่าหนัก ๆ อยู่จริง ๆ แล้วแป๊บ ๆ ก็ไปเลียนแบบเสี่ยวหลงเหรินกอดฉันร้องไห้โฮบอกว่าแม่จ๋าจะตายไม่ได้นะ แสดงอารมณ์ออกมาเต็มที่แล้วก็สมจริงมาก ไม่ว่าเรียนรู้อะไรเขาก็ทำได้เหมือนสิ่งนั้น เรียกว่ามีพรสวรรค์เรื่องการแสดงตั้งแต่เกิดเชียว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่ฉันอยากจะเอาเขาไปออดิชั่นถูกคนใช้เอาไปรายงานเหล่าเหยียจื่อละก็ คนที่ดังเปรี้ยงปร้างเพราะหนังเรื่องนั้นต้องเป็นลูกชายฉันแน่ ๆ ตอนนั้นฉันยังส่งคลิปให้เธอดูอยู่เลย ขนาดเธอยังชมเลยว่าเขาได้ยีนด้านการแสดงของฉันมา ตัวเขาเองยังบอกฉันด้วยว่า…แม่ครับ การแสดงสนุกมาก ต่อไปผมจะเป็นดาราใหญ่เหมือนแม่ให้ได้เลย!” พูดมาถึงตรงนี้เซวียเหมี่ยวก็เผยสีหน้ามีความสุขออกมาในที่สุด ทว่าสีหน้าก็กลับไปหม่นหมองอย่างรวดเร็ว “แต่…เหล่าเหยียจื่อดูถูกฉัน แล้วก็พานดูถูกเสี่ยวซู่ไปด้วย พอท่านได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็เอาไม้เท้าตีเขา ด่าเขาแรง ๆ ว่าเขามันไม่เอาไหน นานวันเข้าเขาก็กลายเป็นคนเงียบ ๆ พูดน้อย ไม่เลียนแบบพวกสัตว์เล็ก ๆ คุณตาคุณยาย…แล้วก็ไม่ดูโทรทัศน์อีกเลย พอโตขึ้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ลืมไปแล้วว่าตอนแรกตัวเขาเป็นยังไง คนพวกนั้นทำลายหัวใจบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งทั้งเป็น แล้วตอนนี้แม้แต่อนาคตของเขาก็กำลังจะขาดสะบั้นไปด้วย”
เซวียเหมี่ยวดับบุหรี่ในมืออย่างแรง เธอเอ่ยทั้งที่ดวงตาแดงเรื่อ “ฉางอวี้ ฉันไม่ได้ตัดสินใจเองคนเดียวหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้ก้าวก่ายเรื่องลูกด้วย ฉันกำลังหาทางออกให้ลูกชายของตัวเอง เธอดูเขาสิ เขาถูกกำหนดมาให้เปล่งประกายอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ของที่ถูกทิ้งขว้างของวงศ์ตระกูล พวกเขาอยากจะทิ้งเสี่ยวซู่ ฉันต้องช่วยเขา!”
“เด็ก ๆ มักมีความฝันมากมายหลายรูปแบบ เมื่อโตขึ้นคนที่ทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงได้มีกี่คนกันเชียว เหมี่ยวเหมี่ยว ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ แต่เธอก็ต้องให้เสี่ยวซู่ได้มีสิทธิ์เลือกด้วย” ถ้าเป็นคนอื่น ซิวฉางอวี้คงจะรับปากไปนานแล้ว ก็แค่ดันเด็กใหม่คนหนึ่งให้ดังเท่านั้นเอง ดูจากปัจจัยต่าง ๆ ในตัวเสี่ยวซู่แล้วคงง่ายยิ่งกว่าง่าย แต่เขาจะทำลายความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างเหมี่ยวเหมี่ยวกับเสี่ยวซู่เพียงเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าเสี่ยวซู่เข้าวงการบันเทิงแล้วถูกครอบครัวตัดชื่อจากกองมรดก เสี่ยวซู่จะไม่เกลียดเหมี่ยวเหมี่ยวไปเลยหรือ เรื่องใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้เซียวเหล่าเหยียจื่อทำได้อย่างแน่นอน!
“ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ วางใจเถอะ เสี่ยวซู่น่ะฉันคลอดออกมาเอง เขาคิดยังไงฉันรู้ดีที่สุด ไม่ว่าใคร ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็มาทำลายความสัมพันธ์แม่ลูกของพวกเราไม่ได้หรอก” ตอนนี้เซวียเหมี่ยวนับว่าวางเดิมพันหมดหน้าตักแล้ว เธอเอ่ยช้า ๆ “เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอช่วยหาบทเหมาะ ๆ ให้ฉันสักบทก่อน ให้เขาลองดู ถ้าเขาไม่มีพรสวรรค์หรือว่ากลัวการแสดง ไม่สนใจเรื่องแสดงหนังจริง ๆ ฉันค่อยหาวิธีอื่น”
ซิวฉางอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าพลางว่า “ก็ได้”
“งั้นฉันฝากเธอดูแลเสี่ยวซู่ด้วยก็แล้วกันนะ” เซวียเหมี่ยวพ่นลมหายใจยาว
“เขาเป็นลูกชายเธอ ก็เท่ากับเป็น…หลานของฉันด้วย ฉันต้องดูแลเขาให้ดีอยู่แล้วละ” ซิวฉางอวี้ค่อย ๆ คิด จากนั้นก็พูดต่อ “แบบนี้แล้วกัน ฉันจะให้เขาไปเป็นผู้ช่วยจี้เหมี่ยนสักระยะหนึ่ง เอาไว้หาบทเหมาะ ๆ ได้ค่อยให้เขาลองดู”
“จี้เหมี่ยนหรือ” เซวียเหมี่ยวไม่ได้รู้สึกแปลกหูกับชื่อราชาจอเงินผู้กวาดรางวัลทุกเวทีคนนี้นัก จี้เหมี่ยนเป็นคนอ่อนโยน ทำอะไรด้วยความใจดีใจกว้าง เป็นคนเข้าถึงง่าย เธอจึงตอบตกลง “ได้ อยู่ในมือจี้เหมี่ยนจะได้เปิดหูเปิดตาด้วย ได้ยินว่าเขาจะเลิกแสดงหนังแล้วหรือ”
“ก็ไม่เชิงว่าเลิกแสดงหนังหรอก แค่ต่อไปคงไม่ได้รับงานแสดงเท่าไรแล้ว เธอก็รู้นี่ เขาเป็นผู้ถือหุ้นของก้วนซื่อเหมือนกัน แล้วยังไปลงทุนข้างนอกอีกเยอะ ลงทุนแต่ธุรกิจที่ทำเงินได้ทั้งนั้น วัดของฉันมันค่อนข้างเล็ก เลี้ยงพระพุทธรูปองค์นั้นไม่ไหวหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนั้นฉันช่วยเขาให้กลับประเทศได้ละก็ เขาคงไม่อยู่ก้วนซื่อหลายปีขนาดนี้ เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับน้ำใจคน รู้จักตอบแทนบุญคุณ ส่งเสี่ยวซู่ให้เขาน่ะเธอวางใจได้เลย” ซิวฉางอวี้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “เดี๋ยวฉันเรียกเขาขึ้นมาเลยดีกว่า เธอจะคุยกับเขาหน่อยไหมล่ะ”
“ไม่ละ ให้เสี่ยวซู่จัดการเรื่องผูกมิตรเอาเองดีกว่า ฉันปูทางให้เขาได้ เลือกเส้นทางให้เขาก็ยังได้ แต่ฉันจะไม่จับมือเขาเพื่อสอนว่าจะเดินยังไงหรอก” เซวียเหมี่ยวเก็บกล่องใส่บุหรี่สีทอง สวมแว่นกันแดด จากนั้นโบกมือลา ซิวฉางอวี้ไปส่งเธอที่ลานจอดรถใต้ดินแล้วมองรถของเธอแล่นจากไป จากนั้นค่อยกลับขึ้นมาที่ห้องทำงาน
เซียวจยาซู่เดินเที่ยวรอบบริษัทรอบหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าแม่กลับไปก่อนแล้วก็ไม่ค่อยพอใจนัก เขาเดินหน้าบึ้งเข้าลิฟต์ พอพบว่าในนั้นมีคนอยู่จึงเหลือบมองเล็กน้อยแล้วหลบตา แต่ในใจกลับสบถออกมา ‘เชี่ย หล่อกว่าเราอีก!’
น้อยครั้งที่คุณชายน้อยเซียวจะได้พบคนหล่อกว่าตัวเอง ในใจจึงยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ เขายืนห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางเอียงตัวหน่อย ๆ พิงผนังลิฟต์ ผู้ชายที่ถูกเขารังเกียจคนนั้นมองเขาเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นก็ก้มหน้ายิ้ม เขาสูงกว่าคุณชายน้อยเซียวที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบสามเซนติเมตรอยู่ถึงครึ่งศีรษะ กะจากสายตาคงสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรขึ้นไป ดวงตาลึก คิ้วยาวหายเข้าไปในไรผม จมูกโด่งตรง ออร่าโดดเด่นเหนือใคร ชุดสูทสีดำคลาสสิกหรูหราสง่างามห่อหุ้มรูปร่างสูงชะลูดแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ สร้างความรู้สึกกดดันให้คนมอง ข้างกายเขามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ หน้าตาธรรมดา รูปร่างก็ธรรมดา เพียงแต่ดวงตานั้นเป็นประกายระยิบระยับเป็นพิเศษ ดูมีชีวิตชีวามาก
ในลิฟต์มีแค่สามคนจึงมีพื้นที่ว่างอีกมาก แต่เซียวจยาซู่กลับรู้สึกว่าแคบเหลือเกิน ความรู้สึกไม่พอใจเขียนอยู่บนใบหน้าของเขาหมดแล้ว เด็กหนุ่มเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วส่งข้อความในวีแชทให้คนข้างตัว ‘คุณชายบ้านไหนอีกเนี่ย ดูรอยคล้ำใต้ตากับรูปร่างผอมบางนั่นสิ คั่วสาวจนไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ไตเสื่อม[1]หนักแล้วนั่น!’ ถ้าไม่ใช่คุณชายตระกูลร่ำรวยสักตระกูลก็คงไม่กล้าแสดงท่าทีเช่นนี้กับจี้เหมี่ยนหรอก
จี้เหมี่ยนเหลือบมองโทรศัพท์มือถือแต่ไม่ได้ตอบ เมื่อประตูลิฟต์เปิดเขาก็ถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วผายมือออกมา ทำท่าบอกอีกฝ่ายว่า ‘ไปก่อนเลยครับ’ เขาโตที่อังกฤษมาตั้งแต่เล็ก ความเป็นสุภาพบุรุษจึงแทบจะฝังอยู่ในกระดูก
เซียวจยาซู่เพิ่งจะรู้สึกผ่อนคลายได้ก็ตอนนี้เอง เขาพยักหน้าน้อย ๆ แล้วก้าวออกจากลิฟต์ไป คนคนนี้ไม่เพียงแต่หล่อเหลา แต่ยังดูมีระดับมากทีเดียว
ซิวฉางอวี้เห็นคนสามคนที่เดินเรียงกันเข้ามาในห้องทำงานแล้วก็มีสีหน้าตกใจ “พวกเธอเจอกันแล้วหรือ พอดีเลย ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ เสี่ยวซู่ นี่คือจี้เหมี่ยน ตั้งแต่นี้ไปเธอก็มาเป็นผู้ช่วยของเขา เขาเป็นดาราชายอันดับหนึ่งของก้วนซื่อ เป็นราชาจอเงินเพียงหนึ่งเดียวในประเทศนี้ที่กวาดรางวัลมาแล้วทุกเวที เธออยู่กับเขาจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเชียวละ ส่วนนี่คือฟางคุน ผู้จัดการส่วนตัวของเขา เป็นผู้จัดการส่วนตัวระดับพรีเมียมที่ดีที่สุด เขามีความรู้แน่นมาก จี้เหมี่ยน ฟางคุน นี่คือเซียวจยาซู่ เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทฉัน ก่อนหน้านี้เขาเรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศหลายปี เพิ่งจะกลับมาไม่นานนี้ รบกวนพวกเธอดูแลเขาหน่อยนะ”
เอ๋ นี่หัวหน้าเราหรือเนี่ย เซียวจยาซู่หน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย เขากวาดตามองอีกฝ่ายเร็ว ๆ แวบหนึ่งแล้วพยักหน้า เขาไม่สนใจหรอกว่าตำแหน่งของตนจะสูงหรือต่ำ ขอแค่มีอะไรทำก็พอ เอาไว้สั่งสมประสบการณ์มากพอแล้ว มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจบันเทิงอย่างลึกซึ้งเพียงพอ ค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นไปก็ได้ เขาไม่ใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูงมาแต่ไหนแต่ไร แล้วก็ไม่ใช่คุณชายบ้านรวยที่ทนลำบากสักนิดสักหน่อยไม่ได้ด้วย
จี้เหมี่ยนยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “พี่ซิววางใจเถอะครับ ผมจะดูแลจยาซู่อย่างดีแน่นอน” ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือให้เด็กหนุ่มแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ต่อไปมีเรื่องอะไรก็มาหาฉันได้ทุกเมื่อ ถ้าฉันไม่ว่างก็ไปหาเสี่ยวฟาง ไม่ต้องกลัวว่าจะยุ่งยากหรอกนะ”
“ขอบคุณครับ ต่อไปก็รบกวนพี่จี้กับพี่คุนด้วยนะครับ” เซียวจยาซู่รีบจับมือกับเขา สีหน้าที่แสดงออกมาดูสงวนท่าทีอย่างมาก แต่ในใจกลับแอบชื่นชม ที่แท้เขาก็เป็นราชาจอเงินที่กวาดรางวัลทุกเวทีนี่เอง มิน่าเล่า ออร่าถึงเจิดจ้าขนาดนี้! เซียวจยาซู่ไปอยู่ต่างประเทศนานแล้ว เขาไม่เคยดูภาพยนตร์หรือละครในประเทศ จึงไม่รู้จักจี้เหมี่ยนเป็นธรรมดา
หลังทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากันแล้วก็ไปรับประทานอาหารด้วยกัน เมื่อเห็นซิวฉางอวี้พาเซียวจยาซู่จากไป ท่าทีกระตือรือร้นนั้นดูเหมือนกำลังเลี้ยงลูกของตัวเองไม่มีผิด ฟางคุนผู้จัดการของจี้เหมี่ยนจึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “เด็กคนนี้มีที่มาที่ไปยังไงเนี่ย คงไม่ใช่ลูกลับ ๆ ของซิวฉางอวี้หรอกนะ”
[1] คำนี้มีความหมายตามตัวอักษรคืออาการไตอ่อนแอ และยังเป็นสแลงหมายถึงเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ