爱你怎么说
คุณชายซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิง
风流书呆 เฟิงหลิวซูไต เขียน
ศีตกาล แปล
MOON วาด
— โปรย —
เซียวจยาซู่ เกิดมาในตระกูลใหญ่ผู้กุมบังเหียนด้านกลุ่มธุรกิจเภสัชกรรม
ทว่าด้วยพื้นเพทางมารดา ทำให้เขาเป็นที่ขวางหูขวางตาและเดียดฉันท์ของคนในตระกูล
เขาที่เสมือนคนไร้ประโยชน์ ได้แต่ใช้ชีวิตเหมือนซากศพไปวัน ๆ
ถูกแม่ตัวเองที่ทนดูสภาพของลูกชายไม่ไหว ลากเข้าไปทำงานในวงการบันเทิง
จนได้รู้จักกับราชาจอเงินอย่าง จี้เหมี่ยน ที่ขึ้นชื่อว่าอ่อนโยนและใจดี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าตัวกลับบ้าอำนาจและเผด็จการต่อคนรอบข้างอย่างที่สุด
ซ้ำยังดูไม่ชอบคุณชายอย่างเซียวจยาซู่เอามาก ๆ
ทว่าโชคชะตายากคาดเดา หลังจากจี้เหมี่ยนประสบอุบัติเหตุเจ้าตัวก็เปลี่ยนไป
ดูจะเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นคิด และดีกับคุณชายเซียวมากขึ้น…
โดยที่ทุกคนหารู้ไม่ว่า ดาราใหญ่แห่งวงการบันเทิงอย่างเขาได้ความสามารถในการอ่านใจผู้อื่นมา
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 5
เอาใจยาก
เซียวจยาซู่ทนจนถึงเวลาพักอย่างยากลำบาก ขณะที่เขากำลังจะไปหาร้านกาแฟนั่งตอนพักกลางวันกลับถูกฟางคุนเรียกเอาไว้ บอกว่าจี้เหมี่ยนเชิญเขามากินข้าวด้วยกัน เมื่อเจ้านายนัด เซียวจยาซู่จะไม่ตอบรับนัดได้อย่างไร เมื่อถึงที่หมายก็เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
ในฐานะราชาจอเงิน สถานที่ที่จี้เหมี่ยนไปจึงเป็นสถานที่ระดับสูงซึ่งมีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย ร้านอาหารตะวันตกแห่งนี้เป็นร้านดังระดับโลกที่เชฟมิชลินสามดาวเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตัวเอง รสชาติยอดเยี่ยม แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเขาเป็นสเต๊กเนื้อที่สุกแบบห้าสิบเปอร์เซ็นต์…ก่อนหน้านี้เซียวจยาซู่อยู่บ้านหลายเดือน วัน ๆ กินแต่พวกอาหารขยะอย่างมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทำให้เป็นแผลในปากหลายจุด ทุกวันนี้ดื่มน้ำยังทรมาน ดังนั้นจะให้กินเนื้อยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาจินตนาการได้เลยว่าเมื่อเนื้อวัวที่ทั้งเหนียวทั้งสากเหล่านี้เข้าปากเขาไปแล้วเสียดสีกับแผลในปากของเขา เสียดสีไปเสียดสีมา…มันจะเป็นความรู้สึกเจ็บแสบสักเพียงใด
ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่ตัวเล็ก ๆ ในที่ทำงาน อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าเจ้านาย เซียวจยาซู่จึงพยายามฝืนข่มความกลัวจากการถูกแผลในปากทำร้ายแล้วหั่นเนื้อชิ้นหนึ่งจิ้มเข้าปากอย่างสั่น ๆ เคี้ยวมันเหมือนเป็นปกติ เขาคิดว่าตัวเองปกปิดได้ดีมากแล้ว แต่ในสายตาของจี้เหมี่ยนกับฟางคุน สีหน้าของเขาเหมือนกำลังกินยาพิษอย่างไรอย่างนั้น
“สเต๊กไม่ถูกปากหรือ” จี้เหมี่ยนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เปล่าครับ รสชาติดีมาก!” เซียวจยาซู่รีบโบกมือ จากนั้นก็ฝืนกลืนเนื้อที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดลงไป ผลคือทั้งตาทั้งคิ้วแทบจะมากระจุกรวมอยู่ที่เดียวกัน
จี้เหมี่ยน “…”
ฟางคุนยิ้มเพื่อคลายบรรยากาศ “ดื่มไหม ร้านนี้ไวน์แดงของเขาก็ไม่เลวเลยนะ ชิมหน่อยสิ”
ไวน์หรือ ขืนดื่มเข้าไปจะยิ่งกัดกร่อนแผลในปากของเขาเหมือนน้ำกรดน่ะสิ คงจะเป็นไวน์ที่ทำให้เจ็บแสบจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่เลยทีเดียว เซียวจยาซู่น้ำตาซึมอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับฉีกยิ้ม “เอาสิครับ ขอบคุณครับพี่คุน”
ฟางคุนรินไวน์แดงให้จี้เหมี่ยนและคุณชายน้อยเซียวคนละแก้ว เขาเตรียมจะคุยเรื่องเซ็นสัญญาระหว่างที่จิบไวน์ไปด้วย แต่กลับเห็นคุณชายน้อยเซียวทำหน้าตาบูดเบี้ยว จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงทันที
“เป็นอะไรไป ไวน์ก็ไม่ถูกปากหรือ” จี้เหมี่ยนยิ้มน้อย ๆ พลางมองเขา
“เปล่าครับ! รส ชาติ ดี มาก!” คุณชายน้อยเซียวเจ็บปวดจนแม้แต่พูดก็ยังฟังดูตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาดำยิ่งกว่าก้นหม้อแล้ว
จี้เหมี่ยน “…”
ฟางคุนหัวเราะฮ่า ๆ “ถ้าชอบก็ดื่มเยอะ ๆ นะ” พูดไม่ทันขาดคำก็รินไวน์ให้คุณชายน้อยเซียวอีก
คนที่แม้ตายก็ยังต้องรักษาหน้า อยู่ไปก็มีแต่จะต้องทุกข์ทนอย่างเซียวจยาซู่นั้นกำลังรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปช้าจนหนึ่งวันเหมือนหนึ่งปี มือที่จับแก้วไวน์สั่นกึก ๆ เขาสาบานเลยว่าขอแค่ตัวเองมีชีวิตอยู่จนเดินออกจากร้านอาหารแห่งนี้ได้ ต่อไปจะไม่กินอาหารขยะอีกแล้ว ตอนที่เขากำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างแรงกล้าอยู่ในใจนั้นเอง ก็มีหญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอทักทายฟางคุนกับจี้เหมี่ยนก่อน จากนั้นก็มาหยิกแก้มเซียวจยาซู่อย่างสนิทสนมยิ่งนัก “เจ้าต้นอ่อนน้อย กลับมาก็ไม่มาหาน้าเลยนะจ๊ะ”
“น้าซู มากินข้าวที่นี่เหมือนกันหรือครับ” เซียวจยาซู่ดีใจจนน้ำตาแทบไหล เขายืนขึ้นกอดหญิงวัยกลางคนขณะกำลังจะแนะนำให้ทุกคนที่นั่งอยู่รู้จักกัน เขาก็ได้ยินน้าซูพูด “เสี่ยวคุน ขอยืมตัวเขาไปหน่อยนะ พวกเธอกินกันเถอะจ้ะ ฉันเช็กบิลเรียบร้อยแล้ว”
“แหม เจ๊ซู ทำอย่างนี้ได้ยังไงล่ะครับ” ฟางคุนยังอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่เธอก็พาคุณชายน้อยเซียวไปเสียแล้ว เหลือไว้เพียงที่นั่งว่างเปล่าและไวน์แดงเต็มแก้ว
“เซียวจยาซู่รู้จักแม้แต่ซูรุ่ยหรือเนี่ย เส้นสายเขานี่ใหญ่โตจริง ๆ แฮะ!” ฟางคุนจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง เอ่ยช้า ๆ ว่า “ท่าทางฉันไม่ต้องจับเขามาเซ็นสัญญาแล้วมั้ง แต่แบบนี้ก็ดีนะ ขี้โมโห แสดงแย่ จัดการสีหน้าตัวเองไม่ได้ แล้วยังเอาใจยากอีก พอได้กินข้าวมื้อนี้แล้วฉันก็ล้มเลิกความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองได้เลย อย่างเขาน่ะ อยากจะดังก็คงง่าย แต่ดังนาน ๆ น่ะคงยาก ถ้าไปร่วมรายการเรียลิตี้อะไรสักรายการคงเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาทุกนาที จากนั้นก็จะโดนว่าร้ายกลายเป็นก้อนอึไป”
จี้เหมี่ยนไม่ได้ตอบรับ เพียงแกว่งแก้วไวน์เบา ๆ เขาได้กินอาหารในร้านที่ชอบที่สุด กินสเต๊กที่ชอบที่สุด ดื่มไวน์แดงที่ชอบที่สุด ทั้งยังไม่มีใครมารบกวน นี่ต่างหากถึงจะเป็นสถานการณ์ที่เขาวาดฝันมากที่สุด
“ช่างเถอะ ที่จริงฉันก็ไม่ได้ชอบจับพวกเด็กแสบมาเซ็นสัญญาเท่าไรหรอก นายน่ะมันดูแลง่ายเกินไป จะให้ไปดูแลคนอื่นฉันก็ไม่ชิน” ฟางคุนหั่นเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก เขาหรี่ตาลงดื่มด่ำกับรสชาติของมัน “อร่อย ลิ้นของเซียวจยาซู่ต้องพังไปแล้วแน่ ๆ”
อีกด้านหนึ่ง เซียวจยาซู่ตามซูรุ่ยเข้ามาในห้องรับประทานอาหารส่วนตัวแล้วก็ขมวดคิ้วแสดงสีหน้าเจ็บปวดทันที “น้าซู ขอน้ำให้ผมล้างปากหน่อยเร็ว!”
“เธอเป็นอะไรเนี่ย” ซูรุ่ยรีบยกแก้วน้ำเปล่าบนโต๊ะมาให้
“ผมเป็นแผลในปาก แล้วเมื่อกี้กินไวน์เข้าไป” เซียวจยาซู่ล้างปากเรียบร้อยก็พูดออกมาทั้งที่น้ำตาคลอ ดูเหมือนสุนัขพันธุ์ฮัสกี้ที่ถูกทรมานจิตใจ ทำเอาซูรุ่ยหัวเราะฮ่า ๆ ออกมา เธอเคยเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเซวียเหมี่ยว ตอนหลังพวกเธอสองคนร่วมทุนกันเปิดบริษัทผู้จัดการดารา หลายปีก่อนก็วางแผนจัดงานประกวดนักร้องหญิง เป็นการเปิดตลาดการประกวดอันร้อนแรงในประเทศและทำให้บริษัทของพวกเธอยืนหยัดในวงการบันเทิงได้อย่างมั่นคงจริง ๆ เสียที ถ้าพูดกันถึงเรื่องความสัมพันธ์ ทั้งคู่สนิทกันยิ่งกว่าพี่สาวน้องสาวแท้ ๆ เสียอีก ซูรุ่ยเป็นพวกรักชีวิตโสด ไม่แต่งงานไม่มีลูก ลูกของเซวียเหมี่ยวจึงไม่ต่างอะไรกับลูกของเธอเองเลย
เธอดูเซียวจยาซู่เติบโตมา ย่อมเอาใจใส่เขาเต็มที่ จึงให้ผู้ช่วยไปซื้อยาแก้อักเสบมาให้ทันที ทั้งยังดุเซียวจยาซู่ไปอีกยกให้ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย จากนั้นจึงเริ่มถามเรื่องงาน
“พวกเขาไม่ได้จัดงานมาให้ผมทำเลยสักนิด วางผมไว้เป็นไม้ประดับเฉย ๆ ซะงั้น” เซียวจยาซู่ค่อนข้างน้อยใจ เขากัดฟันเบ้หน้ากินซุปเห็ดชีสคำหนึ่ง เมื่อครู่เขากำลังคิดว่าจะสั่งน้ำซุปมาสักหน่อย แต่จี้เหมี่ยนแทบจะบงการทุกอย่าง ปากบอกว่าเลี้ยง แต่ที่จริงเป็นคนตัดสินใจเรื่องอาหารทุกอย่าง ไม่ได้ให้โอกาสเขาในการสั่งเลยสักนิด
“งั้นน้าจะไปคุยกับซิวฉางอวี้สักหน่อย” ซูรุ่ยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“อย่า ๆ ๆ!” เซียวจยาซู่รีบห้าม “ผมเป็นเด็กใหม่ พวกเขาไม่เชื่อในความสามารถของผมก็เลยทำแบบนี้ น้าซูฮะ ถ้าน้าให้ลุงซิวช่วยออกหน้าให้ผมละก็ พวกเพื่อนร่วมงานคงจะยิ่งดูถูกผมกันเข้าไปใหญ่ ผมจะพยายามเรียนรู้ ตั้งใจทำงาน มีงานอะไรก็จะแย่งมาทำ นานวันเข้าทุกคนคงจะเข้าใจเองว่าผมเป็นคนยังไง แล้วพวกเขาก็จะค่อย ๆ ยอมรับผมเอง นี่คือกระบวนการที่เด็กใหม่ในที่ทำงานทุกคนต้องประสบพบเจอ ผมจัดการได้ครับ”
ซูรุ่ยมองใบหน้าแบบเทพบุตรผู้มีความรับผิดชอบนั้นแล้วก็ประคองแก้มเขาหัวเราะออกมาทันที “ต้นอ่อนน้อย ทำไมถึงได้อ่อนหวานขนาดนี้นะ ไม่ต้องอยู่ก้วนซื่อแล้ว มาอยู่บริษัทน้าดีกว่ามา”
“ไม่ละครับ แม่พูดกับลุงซิวเอาไว้แล้ว ผมจะทำตัวไม่น่าเชื่อถือไม่ได้หรอก เรื่องงานเป็นเรื่องจริงจังมาก คิดจะโดดก็โดดเลยได้ที่ไหนกันล่ะครับ” เซียวจยาซู่ส่ายหน้าพลางกินซุป
“ก็ได้ เจ้าต้นอ่อนน้อยของน้าโตเป็นต้นไม้ใหญ่แล้ว” ซูรุ่ยจับแก้มเขาอย่างเอ็นดู เธอพูด “พรุ่งนี้ตอนบ่ายเธอก็มาเที่ยวที่บริษัทสักหน่อยสิ เทปสุดท้ายของรายการ ซูเปอร์ซินเซิงไต้[1] รอบตัดสินน่ะสนุกมากเชียวละ”
ซูเปอร์ซินเซิงไต้ เป็นรายการระดับไพ่คิงของบริษัทรุ่ยสุ่ยเหวินฮว่าแมเนจเมนต์ที่ซูรุ่ยกับเซวียเหมี่ยวร่วมทุนกันเปิดขึ้นมา รายการนี้สะท้านสะเทือนวงการมาก สองปีจะจัดขึ้นสักครั้ง ครั้งนี้จัดโดยที่รุ่ยสุ่ยกับก้วนซื่อร่วมทุนกัน งานจึงใหญ่โตเป็นพิเศษ เพียงแค่เริ่มออกอากาศก็ทำลายสถิติเรตติ้งหลายต่อหลายครั้ง ดังเป็นพลุแตก แม้แต่เต่าทะเลที่เพิ่งกลับประเทศมาอย่างเซียวจยาซู่ก็ยังรู้ข่าวเกี่ยวกับรายการซูเปอร์ซินเซิงไต้นี้อยู่บ้าง
“ถึงรอบตัดสินแล้วหรือครับ ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์ผมไม่ได้ดูเลย” เซียวจยาซู่ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าคำพูดของตนเสียดแทงหัวใจมาก
โชคดีที่ซูรุ่ยเข้าใจนิสัยของเขาดีจึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “รอบตัดสินสิถึงจะสนุกที่สุด มาดูสิ น้าจะหาที่นั่งแขกวีไอพีให้ นักร้องของซีซั่นนี้ไม่เลวเลยนะ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องทำงาน ผมเป็นผู้ช่วยของจี้เหมี่ยน จะละทิ้งหน้าที่ไม่ได้หรอก” เซียวจยาซู่ปฏิเสธจริงจัง ในฐานะที่เขาเป็นเด็กใหม่ในที่ทำงาน เขาจะทำงานสามวันพักสองวันไม่ได้หรอก
ซูรุ่ยจับแก้มเขา “…จี้เหมี่ยนก็มา เขาเป็นกรรมการรอบตัดสิน”
“อ้อ งั้นก็พอได้ครับ ไม่ต้องหาที่นั่งวีไอพีให้ผมหรอก ผมยืนอยู่ข้างโต๊ะกรรมการก็ได้ ถ้าจี้เหมี่ยนมีอะไรจะได้เรียกหาผมได้ทุกเมื่อ” เซียวจยาซู่คิดอย่างจริงจัง จากนั้นจึงตอบตกลง
ซูรุ่ย “…”
วันแรกผ่านไปโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย บ่ายวันที่สอง จี้เหมี่ยนพาเซียวจยาซู่ไปที่สำนักงานใหญ่บริษัทรุ่ยสุ่ยจริง ๆ ในฐานะบริษัทที่เพิ่งจะตั้งขึ้นมาไม่ถึงสิบปี ผลงานของรุ่ยสุ่ยก็เกินหน้าบริษัทแมเนจเมนต์เก่า ๆ หลายบริษัทไปมาก รุ่ยสุ่ยก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสามบริษัทแถวหน้า สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และรอบตัดสินของรายการก็จัดขึ้นที่สนามกีฬาข้าง ๆ บริษัทนั้นเอง เป็นสนามที่จุผู้ชมได้ถึงห้าหมื่นคนในคราวเดียว
“พี่จี้เหมี่ยนจะแต่งหน้า นายนั่งรออยู่ตรงนี้นะ อย่าเพ่นพ่านไปไหน” ฟางคุนพูดกับคุณชายน้อยเซียว แต่อีกฝ่ายกำลังมองซ้ายมองขวาเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง
“ครับ” เซียวจยาซู่นั่งลงบนโซฟาที่หน้าประตูเข้าออก ในสมองยังมีแต่ความรู้สึกที่ได้เห็นเวทีใหญ่เมื่อครู่วนเวียนอยู่ มันช่างดูสูงใหญ่กว้างขวาง ข้างล่างนั่นมีแต่ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าขึ้นไปร้องเพลงบนนั้นจะรู้สึกอย่างไรนะ เขาได้แต่จินตนาการ ชาตินี้คงไม่มีทางได้รู้คำตอบหรอก
จี้เหมี่ยนดูเหมือนจะเหนื่อยมาก หลุบตาปุ๊บก็เริ่มพักผ่อนทันที ทำให้ช่างแต่งหน้ายิ่งระมัดระวังกิริยามากขึ้น แม้แต่จะหายใจยังต้องเบาลง ครึ่งชั่วโมงให้หลังเวทีเตรียมพร้อมแล้ว เหล่ากรรมการต่างก็พากันเดินเข้าฉากอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าผู้เข้าแข่งขันก็เริ่มแสดงทั้งเต้นทั้งร้อง
เซียวจยาซู่ยืนอยู่ด้านล่างของโต๊ะกรรมการจริง ๆ เขาเบียดอยู่ด้วยกันกับพวกช่างกล้อง ฟางคุนกลับนั่งที่นั่งด้านหลังโต๊ะกรรมการ เพียงแค่โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยก็จะพูดคุยกับจี้เหมี่ยนได้ ผู้เข้าแข่งขันที่มาแข่งนั้นล้วนแต่มีฝีมือกันมาก การแสดงก็ตื่นตาน่าชม ผู้ชมพากันส่งเสียงกรีดร้องปรบมือกันกระหึ่ม ทำให้บรรยากาศในที่นั้นครึกครื้น
เซียวจยาซู่ได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศนั้นไปด้วย เขาอดไม่ได้ต้องคลายเน็คไทออก สองตาที่ดูสงบนิ่งเรื่อยมาเริ่มมีประกายร้อนแรง เขาชอบความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับเลือดในกายกำลังเดือดพล่าน สมองมีฟองอากาศผุดขึ้นมาปุด ๆ
ผู้เข้าแข่งขันคนสุดท้ายขึ้นเวทีแล้ว หน้าตาเธอสวยมาก ท่าทางก็ดูอ่อนโยน แต่เมื่อเปล่งเสียงร้องกลับระเบิดพลังออกมาอย่างที่สุด เสียงของเธอให้ความรู้สึกเหมือนมีทองแทรกอยู่ มันทุ้มหนักแต่เย็นเฉียบคมกริบ เธอเป็นผู้เข้าแข่งขันตัวเต็งซึ่งได้รับความนิยมที่สุด ยังแข่งไม่ทันจบก็มีแฟนคลับมากมาย ต่อให้พ่ายแพ้ในรอบชิงแชมป์ แต่อนาคตข้างหน้าก็คงไม่แย่
ผู้ชมยิ่งกระตือรือร้นขึ้นอีก พวกเขาแทบจะกรีดร้องกันให้ฟ้าถล่ม ทว่าเซียวจยาซู่กลับนิ่งงัน สายตาจับจ้องตรงไปที่ผู้เข้าแข่งขันสาว สีหน้าของเขายากคาดเดา เสียงร้องอันมีเอกลักษณ์นี้พาให้เขาย้อนกลับไปยังความทรงจำอันไกลแสนไกลที่เขาไม่อยากจำแต่ก็ยากที่จะลืม
[1] แปลว่า สุดยอดเส้นเสียงใหม่