黄金台
หวงจินไถ ปรปักษ์เร้นรัก
ชางอู๋ปินไป๋ เขียน
ฟองสมุทร แปล
Mao Shu วาด
– โปรย –
ฟู่เซิน แม่ทัพหนุ่มผู้มากความสามารถที่ชีวิตกลับพลิกผันเพราะใช้การขาทั้งสองข้างไม่ได้
ซ้ำยังได้รับพระราชทานงานสมรสกับศัตรูคู่อาฆาตอย่าง เหยียนเซียวหาน
เขาจึงเลือก “หวงจินไถ” แท่นพิธีอันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งเกียรติยศเป็นสถานที่ไหว้ฟ้าดิน
เพราะที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรุ่งโรจน์
เขาจึงขอเลือกที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความอัปยศเช่นกัน
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1
จากเยี่ยนโจวมุ่งหน้าลงใต้ ผ่านก่วงหยาง ไป๋ถาน และสถานที่อื่นๆ เมื่อถึงมี่อวิ๋นก็เห็นเมืองหลวงอยู่ไกลๆ
ฤดูสารทมาเยือนพร้อมอากาศหนาวเย็น พื้นที่ตอนเหนือมีหิมะแรกโปรยปราย ทว่าบริเวณใกล้เมืองหลวงอากาศยังคงเย็นสบายเหมาะกับการเดินทาง ใกล้เที่ยงวัน ทหารม้ากลุ่มหนึ่งเดินทางมาตามถนนสายหลัก ผู้นำทอดสายตามองไป เห็นโรงน้ำชาตั้งอยู่ริมทางไม่ไกล จึงดึงบังเหียนเบาๆ ลดความเร็ว รอจนรถม้าด้านหลังตามมาทัน จึงโน้มตัวไปเคาะผนังข้างรถม้า เอ่ยขอความเห็น “ท่านแม่ทัพขอรับ เราเดินทางมาทั้งคืนแล้ว หยุดพักก่อนค่อยเดินทางต่อดีหรือไม่”
ม่านแง้มออก เสียงทุ้มต่ำของชายผู้หนึ่งดังมาพร้อมกลิ่นยาขม “ด้านหน้ามีที่หยุดพักหรือ เช่นนั้นพักผ่อนตามสบายเถอะ ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
เมื่อชายผู้นั้นได้รับคำสั่ง กลุ่มคนจึงควบม้าไปยังโรงน้ำชา ฝุ่นควันตลบอบอวลตลอดทางที่เคลื่อนผ่าน ดึงดูดสายตาผู้คนที่หยุดพักริมทาง
ทหารม้ากลุ่มนี้ไม่มีธงสัญลักษณ์ ทุกคนสวมชุดคลุมยาวสีครามแขนแคบ สาบเสื้อป้ายทบกัน ร่างกำยำดูมีกำลัง แม้ไม่ทราบสถานะของพวกเขา ทว่าใบหน้ากลับฉายคำว่า “ห้ามก่อกวน” ให้เห็น
เจ้าของโรงน้ำชาผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน เห็นผู้คนผ่านไปมาจนเคยชิน จึงไม่พูดอะไรมากนัก ชายผู้นำขบวนลงจากหลังม้ายื่นให้หนึ่งตำลึงเงิน จากนั้นสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปดื่มชาพักผ่อน ส่วนเขาหาโต๊ะสะอาดบริเวณที่เย็นสบาย สั่งให้เจ้าของร้านเตรียมชาร้อนและของว่างสองสามอย่าง ก่อนเดินกลับไปด้านนอกอีกครั้ง แล้วประคองคุณชายที่หน้าซีดเผือดราวกับคนป่วยลงจากรถม้า
ชายผู้นั้นฝีเท้าไร้เรี่ยวแรง สีหน้าอ่อนแอ ต้องมีคนประคองจึงเดินได้ เพียงระยะจากรถม้าถึงโรงน้ำชายังใช้เวลานาน ในที่สุดเขาก็หย่อนตัวนั่งลงข้างโต๊ะ ส่งเสียงไอโขลกราวกับร่างกายรับไม่ไหว แขกคนอื่นที่นั่งอยู่ถึงขั้นถอนหายใจไปตามๆ กัน แค่เห็นก็เหนื่อยแทนเขาแล้ว
จะว่าไปก็แปลก แม้ชายผู้นั้นท่าทางราวกับจะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ ทว่ากลับมีบุคลิกที่ชวนให้คนไม่อาจละสายตาอย่างบอกไม่ถูก หน้าตาเขาดูดีอย่างที่ยากพบเจอ คิ้วได้รูปรับกับดวงตาคมเฉี่ยว จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ดูเฉียบคมและเยือกเย็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ชายหนุ่มหน้าหวาน สดใสดุจดอกไม้ในวสันตฤดูอย่างที่ผู้คนชมชอบ
ชายผู้นั้นตัวสูงมากจนเหมือนชินกับการมองลงต่ำ เปลือกตาจึงเหลือบขึ้นเพียงกึ่งหนึ่ง ให้ความรู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยล้า อีกทั้งรูปร่างผอมจนเหลือแต่กระดูก ถึงขั้นที่ว่าถ้วยกระเบื้องเนื้อหยาบในโรงน้ำชายังอาจทำให้ข้อมือเขาหักได้
แต่ยามที่เขานั่งนิ่ง แผ่นหลังบางกลับยืดตรงเสมือนต้นไผ่ เสมือนดาบที่หลอมด้วยไฟ แม้เรือนร่างเต็มไปด้วยรอยบาดแผล คมดาบนั้นกลับยังคงกระหายเลือด ร่างกายอ่อนแอก็ไม่เป็นอุปสรรคให้เขากวาดตามองรอบๆ
เหล่าพ่อค้าสัญจรเท้าชะเง้อคอยืดยาวอย่างไม่รู้ตัว ราวกับฝูงห่านที่พุ่งความสนใจในสิ่งเดียวกัน จนกระทั่งคุณชายผู้นั้นดื่มน้ำชาอย่างเชื่องช้าจนหมดถ้วย จากนั้นวางถ้วยกระเบื้องลงบนโต๊ะเสียงดังปึง “คอของทุกท่านยืดยาวจนผูกลาได้แล้ว ข้าน่ามองเพียงนั้นเชียวรึ”
ชายฉกรรจ์ที่กินดื่มอยู่ข้างๆ ตัวสั่นเทาทันทีเมื่อได้ยิน พวกคอยืดคอยาวบ้างก็ถอนสายตาอย่างขุ่นเคือง บ้างก็กระตือรือร้นถึงขั้นเขยิบเข้าไปพูดคุยด้วย “คุณชายมาจากที่ใดหรือ จะเข้าเมืองหลวงใช่หรือไม่”
เซี่ยวสวินที่คอยติดตามนายท่านผู้นี้มาตลอดรู้สึกหนังศีรษะชา เตรียมพร้อมรอเพียงอีกฝ่ายเอ่ยว่า “ไสหัวไป” ก็จะนำตัวคนผู้นั้นไปแขวนบนต้นไม้ด้านนอกทันที
ใครจะรู้ว่าคุณชายที่เหมือนไม่ไยดีต่อผู้ใดกลับใจกว้าง ตอบอย่างใจเย็น “ข้ามาจากเมืองเยี่ยนโจวตอนเหนือ กำลังจะไปรักษาตัวในเมืองหลวง”
พวกเขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา ไม่พกดาบ รถม้าไม่ใหญ่โตเอิกเกริก แม้บรรดาองครักษ์ดูขึงขังกดดันผู้คน ทว่าผู้เป็นนายอย่างคุณชายท่านนี้กลับแต่งกายด้วยชุดธรรมดา ต่างจากเสื้อผ้าที่นิยมในเมืองหลวง เหล่าพ่อค้าจึงเดาว่าเขาอาจเป็นนายน้อยของตระกูลสูงศักดิ์ในเยี่ยนโจว เนื่องจากเมืองเยี่ยนโจวเป็นเมืองสำคัญทางทหาร มีขนบธรรมเนียมเคร่งครัด จึงเป็นปกติที่จะออกเดินทางพร้อมคนในครอบครัวที่เคยเป็นทหาร
เพราะพบกันโดยบังเอิญ พ่อค้าเกรงใจเกินกว่าจะถามถึงอาการป่วยของเขา จึงหันมาพูดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ “คุณชายมาจากตอนเหนือ เคยเห็นรถม้าของแม่ทัพฟู่บ้างหรือไม่ เขากลับบ้านเกิดหลังสร้างชื่อ ไม่รู้ว่าจะเอิกเกริกเพียงใด!”
เซี่ยวสวินเกือบสำลักชาตาย คุณชายผู้นั้นเลิกคิ้วเรียวยาว ถามอย่างสนใจ “แม่ทัพฟู่? ใช่แม่ทัพฟู่คนเดียวกับที่ข้ารู้จักหรือไม่”
“แน่นอน นอกจากจิ้งหนิงโหว ยังมีใครอีกที่เลื่องชื่อลือนามในตอนนี้!”
คุณชายผู้นั้นมีท่าทีสนใจขึ้นมา จึงซักถามต่อ “ดูเหมือนว่าท่านจะรู้เกี่ยวกับ…แม่ทัพฟู่ค่อนข้างมากทีเดียว”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” คนผู้นั้นยิ้มพลางโบกมือ “ข้าเป็นพ่อค้าเดินทางไปมาระหว่างตอนเหนือกับตอนใต้ ระหว่างทางได้ยินข่าวลือเรื่องแม่ทัพฟู่บ่อยครั้ง หลายปีมานี้ที่เขาปกปักรักษาเป่ยเจียง ถนนหนทางล้วนสงบสุข การค้าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แม้แต่ประชาชนในเมืองหลวง หากเอ่ยถึงแม่ทัพฟู่ก็มีแต่ยกย่องสรรเสริญ ท่านคงไม่รู้ ปีก่อนที่แม่ทัพฟู่นำกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยนไปปราบชนเผ่าต๋า ข้ากลับจากเร่ขายหนังสัตว์ทางตอนเหนือ ตามตรอกซอกซอยล้วนลือกันว่า ‘แม่ทัพฟู่อยู่เป่ยเจียง เมืองหลวงจึงยังอยู่เย็นเป็นสุข’ นักเล่านิทานในโรงน้ำชา นักร้อง หรือนักแสดงในโรงละครล้วนพูดถึงเขาทั้งนั้น”
จากสิ่งนี้ทำให้เห็นว่ากองทัพเป่ยเยี่ยนและจิ้งหนิงโหวโด่งดังมาก
กองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยนหรือที่รู้จักกันว่า “แนวป้องกันต้าโจวตอนเหนือ” อยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลฟู่มาตลอดนับแต่ก่อตั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งคนก่อนคืออิ่งกั๋วกง[1]ฟู่เจียน ผู้นำกองทหารรักษาการณ์ชายแดน
ชาวจงหยวนเรียกชนเผ่าเร่ร่อนในที่ราบตอนเหนือว่าชนเผ่าต๋า ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากความปั่นป่วนและการแบ่งแยกของชนเผ่าต๋า บางส่วนที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปทางตะวันตก แต่งงานกับชนเผ่าหู ชนเผ่าซู่ และอื่นๆ จึงถูกเรียกว่าชนเผ่าต๋าตะวันตก อีกส่วนที่ยึดครองทุ่งหญ้าภาคกลางและภาคตะวันออกเรียกว่าชนเผ่าต๋าตะวันออก ยี่สิบสามปีก่อน ต้นรัชศกหยวนไท่หวงตี้ซุนสวิน ชนเผ่าต๋าตะวันออกรุกรานต้าโจวอย่างอุกอาจ ตอนนั้นกองทัพชายแดนอ่อนกำลัง จนพ่ายแพ้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ส่วนชนเผ่าต๋ากำลังทหารแข็งแกร่ง คว้าชัยชนะอย่างขาดลอย ปล้นสะดมและสังหารหมู่ทางตอนเหนือ แม้กระทั่งซวนชิ่งและเป่าหนิงเมืองชายแดนสำคัญก็ถูกล้างบาง
ยามที่หวงตี้องค์ก่อนครองราชย์ บ้านเมืองสงบสุขมาช้านาน ไม่เคยมีสงครามมากว่าสามสิบปี จึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าชนเผ่าต๋าตะวันออกจะยกทัพลงใต้ ยิ่งไม่คิดว่ากองทัพชายแดนจะไร้ความสามารถ ถูกศัตรูสังหารถึงที่ในชั่วพริบตา
เสียงเรียกร้องหาสันติภาพของราชสำนักนับวันยิ่งดังขึ้น ด้วยเกียรติของราชวงศ์แห่งสวรรค์ หยวนไท่หวงตี้ในวัยหนุ่มไม่ยอมก้มหัวให้พวกป่าเถื่อน ประจวบเหมาะกับหยวนไท่หวงตี้เลื่อนตำแหน่งให้ฟู่เจียนเป็นแม่ทัพหัวเมือง ย้ายจากหลิ่งหนานไปกานโจวอันเนื่องจากมีความชอบ พร้อมสั่งให้นำทัพในกานโจว หนิงโจว และหยวนโจวไปต้านชนเผ่าต๋าตะวันออกเป็นเวลาสองปี ฟู่เจียน บุตรชายทั้งสอง และผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่นำทัพชายแดนหนึ่งแสนนายกวาดล้างชนเผ่าต๋า ฟู่ถิงจงบุตรชายคนโตของฟู่เจียน นำกองทัพผ่านฉังเฉิง[2]เข้าไปยังพื้นที่ราบจนเกือบทลายเมืองของชนเผ่าต๋าตะวันออกได้ ทว่าระหว่างการเดินทางฟู่เจียนล้มป่วยจนถึงแก่ชีวิต จึงไม่เป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้นฟู่เจียนก็ได้รับเลื่อนขั้นจากอิ่งกั๋วกงเป็นจู้กั๋วเจียงจวิน ฟู่ถิงจงจึงสืบทอดตำแหน่งอิ่งกั๋วกง บัญชาการกองทัพกานโจว หนิงโจว และหยวนโจว ส่วนฟู่ถิงซิ่นบุตรชายคนรองได้รับตำแหน่งเจิ้นกั๋วเจียงจวิน บัญชาการกองทัพเยี่ยนโจวและโยวโจว
ทั้งสองสร้างแนวป้องกันชายแดนตอนเหนืออันแข็งแกร่ง กองทัพที่บัญชาการโดยตระกูลฟู่จึงถูกเรียกว่ากองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยน จากปีที่หกจนถึงปีที่สิบแปดของรัชศกหยวนไท่ ในสิบกว่าปีนี้ ชนเผ่าต๋าตะวันออกหยุดเคลื่อนไหวภายใต้การปราบปรามของกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยน พรมแดนสงบสุขและไม่มีสงครามใหญ่เกิดขึ้นอีก
จนกระทั่งรัชศกหยวนไท่ปีที่สิบเก้า ฟู่ถิงจงถูกชนเผ่าต๋าตะวันออกลอบสังหาร ชนเผ่าต๋าตะวันออกรวมตัวเป็นพันธมิตรกับชนเผ่าเจ้อทางตอนเหนือ รุกรานต้าโจวอีกครั้ง ฟู่ถิงซิ่นฝ่าวงล้อมเข้าไปเพียงลำพังและเสียชีวิตในสนามรบในท้ายที่สุด ปีนั้นเหตุการณ์วิกฤติจวนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ทว่าราชสำนักไร้ทหารฝีมือดี หยวนไท่หวงตี้ก็ไม่หลงเหลือปณิธานเหมือนเมื่อก่อน ฝ่ายต่อสู้ด้วยกำลังกับฝ่ายแก้ปัญหาอย่างสันติจึงถกเถียงกันอยู่หลายหน ในที่สุดก็กระทำเรื่องเหลวไหลที่สุด แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดเช่นกัน…
พวกเขาผลักดันให้ฟู่เซิน บุตรชายคนโตของฟู่ถิงจงออกรบตั้งแต่เยาว์วัย
ชนเผ่าต๋าตะวันออกกับตระกูลฟู่เกลียดชังฝังลึก การเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อแก้แค้น กำจัดใครก็ตามที่สร้างปัญหาให้สิ้นซาก ยิ่งไปกว่านั้นฟู่เซินคอยติดตามบิดาและท่านอามาอยู่ในกองทัพตั้งแต่เด็ก ฟู่ถิงซิ่นมักพูดว่าเขาคือ “ผู้สืบทอด” เช่นนั้นเขาก็น่าจะถือว่าเป็น “ผู้มีแววแม่ทัพ”
นี่อาจดูสมเหตุสมผล ทว่าในยุคสมัยที่ผ่านมา มีขุนนางที่ไหนได้แต่หดหัว กินอิ่มหนำสำราญตลอดวัน แล้วปล่อยให้เด็กหนุ่มไปเผชิญหน้ากับคนชั่วบ้างเล่า
โชคดีในความโชคร้าย ตระกูลฟู่อาจเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านการรบ ฟู่เซินเหมือนสีครามเกิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าต้นคราม[3] เป็นผู้นำทัพมากความสามารถไร้ผู้ใดเทียบ
เป่ยเจียงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากถังโจวและถงโจวที่อยู่ใกล้เคียง ทว่ายามที่ฟู่เซินถูกผลักให้ออกศึก เขาก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากคนของตนอยู่แล้ว จึงรวบรวมกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยน ต่อต้านกองกำลังหลักของชนเผ่าเจ้อที่ด่านทั้งสามของต้าโจว ทั้งยังเสนอให้เปิดเส้นทางการค้าและยอมสวามิภักดิ์ ยืมทหารม้าจากถิ่นทุรกันดารของชนเผ่าต๋าตะวันตก ตีโอบพันธมิตรชนเผ่าเจ้อและชนเผ่าต๋าตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนแยกการโจมตีเป็นสองทางจนแก้ไขวิกฤติที่เป่ยเจียงได้
หลังสงครามสิ้นสุด กองทัพทหารม้าถิ่นทุรกันดารรวมเข้ากับกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยน ฟู่เซินให้เหตุผลว่าแนวรบยาวเกินไป ยากจะเคลื่อนย้าย จึงคืนอำนาจทหารของแนวป้องกันกานโจว หนิงโจว และโยวโจวให้ส่วนกลาง แล้วมุ่งเน้นไปที่แนวป้องกันหยวนโจวและเยี่ยนโจว หลังจากศึกสามด่าน ฟู่เซินก็กลายเป็นแม่ทัพของกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยนอย่างเป็นทางการ และได้รับตำแหน่งจิ้งหนิงโหว
ด้วยผลงานที่ฟู่เซินกอบกู้สถานการณ์ได้ ย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งกั๋วกงได้อย่างชอบธรรม ทว่าหยวนไท่หวงตี้กลับไม่วางใจ ถึงขั้นฉีกกฎโดยให้ตระกูลฟู่รุ่นที่สองสืบทอดตำแหน่งอิ่งกั๋วกงต่อ ซ้ำยังให้ฟู่เซินย้ายออกจากจวนอิ่งกั๋วกงไปอาศัยที่อื่นอีกด้วย
ผู้ใดตาแหลมย่อมรู้ว่าหวงตี้กลัวว่าตระกูลฟู่จะเลื่องชื่อลือนามในตำแหน่งอิ่งกั๋วกง
ทว่าบางคนก็ถูกลิขิตให้ทวนกระแส ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี จิ้งหนิงโหวฟู่เซินกุมกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยนได้อยู่หมัด กลายเป็นเสาหลักของราชวงศ์ต้าโจว รับตำแหน่งที่เป็นหนามยอกอกในสายตาชนเผ่าต๋าและชนเผ่าเจ้อ หลายปีมานี้ที่เป่ยเจียงสงบสุข ประชาชนใช้ชีวิตอย่างผาสุก กว่าครึ่งเป็นคุณงามความดีของเขา ตราบใดที่ฟู่เซินอยู่ในกองทัพ แม้นั่งเฉยๆ เป็นตัวนำโชค ก็ยังสยบชนเผ่าต่างๆ ทางเหนือได้
ตอนแรกคุณชายฟังคำคุยโวโอ้อวดของราษฎรผู้นั้นเป็นเรื่องขบขัน ครั้นได้ยินว่า “เมืองหลวงยังอยู่เย็นเป็นสุข” รอยยิ้มกลับเลือนหายไปหมดสิ้น เซี่ยวสวินเห็นเขาเหม่อลอยก็รีบหยิบกาน้ำชามารินน้ำให้ และจงใจพูดขัดจังหวะ “ท่านแม่ทะ…คุณชาย ตอนเย็นต้องเดินทางต่อ ท่านกินของว่างอีกสักหน่อยเถอะขอรับ”
คุณชายได้สติ ยกถ้วยขึ้นจิบชาร้อนแล้วยิ้มมุมปากที่ระคนการเย้ยหยัน จากนั้นพึมพำกับตัวเอง “หากถ้อยคำนี้แพร่งพรายไป จะมีกี่คนที่หลับไม่ลง”
แขกใส่หมวกโต่วลี่[4]อยู่ข้างๆ ถูกสะกิดความสนใจให้อยากสนทนาด้วย จึงกระซิบกระซาบแทรกขึ้น “ผู้คนมักพูดว่า ‘ผู้แข็งแกร่งย่อมถูกดูหมิ่น สูงส่งถึงที่สุดย่อมตกต่ำ’ พวกท่านลองคิดดู จิ้งหนิงโหวสู้รบที่เป่ยเจียงมาตั้งหลายปีก็เหมือนคำพูดนี้ไม่ใช่หรือ เหล่าแม่ทัพเลื่องชื่อในอดีตไม่อายุสั้นก็ต้องโดดเดี่ยว เพราะพวกเขาล้วนเป็นเจ้าแห่งการสังหาร เป็นดาวเทพขุนพลจุติลงมาต่างจากคนทั่วไป ข้าว่า จิ้งหนิงโหวอาจมีดาวร้ายโคจรเข้ามา ที่ขาของเขาเป็นเช่นนั้นคงเพราะเข่นฆ่ามามากไปก็ได้…”
เสียงแตกดังเพล้ง เซี่ยวสวินบีบถ้วยชาจนแหลกละเอียด เลือดไหลตามง่ามนิ้ว ทุกคนที่มองมาตามเสียงล้วนตกตะลึง โรงน้ำชาเงียบไปชั่วขณะจนชวนให้อึดอัด
“มือหนักไปหน่อยสินะ คราวหน้าข้าจะซื้อถ้วยเหล็กให้เจ้า จะได้ไม่สิ้นเปลืองอีก” สีหน้าคุณชายยังคงเดิม เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไปทำแผลซะ แล้วอย่าลืมมาจ่ายเงินชดใช้ด้วย”
เซี่ยวสวินพยักหน้า “ขอรับ”
บทสนทนาถูกขัดจังหวะด้วยเหตุการณ์นี้จนไม่อาจดำเนินต่อไป แม้ชายผู้นั้นพูดได้น่าสนใจเพียงใด ทว่ากลับไม่น่าฟังนัก ครั้งนี้แค่ถ้วยชาแตก ครั้งหน้าอาจหัวร้างข้างแตกเลยก็เป็นได้
มีเพียงคุณชายที่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เขาคลี่ยิ้มกล่าว “น่าสนใจ ตามคำกล่าวของพี่ชาย ผู้ที่อายุสั้นและเด็กกำพร้าคงกระทำผิดเช่นเดียวกันแน่ ในเมื่อจิ้งหนิงโหวพิการแล้ว เห็นทีอีกไม่นานเขาคงแต่งภรรยาได้”
เซี่ยวสวิน “…”
มีคนตบโต๊ะลุกขึ้น “ชายชาตรีจะไม่มีภรรยาได้อย่างไร! วีรบุรุษระดับจิ้งหนิงโหวต้องการผู้หญิงเช่นใดล้วนมีทั้งนั้น!”
มีคนเอ่ยเสริม “ใช่! ก็นั่นสิ! หากเขาชอบผู้ชาย ก็มีผู้ชายดีๆ ไม่รู้เท่าไรรอแต่งงานกับเขาเช่นกัน!”
เสียงหัวเราะพลันดังลั่นโรงน้ำชา
ในราชวงศ์ก่อน การแต่งงานของชายกับชายถือเป็นความสง่างาม ดังนั้นแม้ราชวงศ์ต้าโจวมีข้อห้ามการแต่งงานระหว่างชายกับชาย แต่สำหรับขุนนางชั้นสูงกลับไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด ถึงขั้นมีตัวอย่างของคนรุ่นก่อนที่หวงตี้มอบสมรสพระราชทานชายกับชาย จิ้งหนิงโหวถือว่าเป็นเขยเต่าทองคำ[5]ผู้เลื่องชื่อของเมืองหลวง เป็นบุรุษในฝันของสตรีมากมาย ทว่าเรื่องแต่งงานกลับยืดเยื้อไม่มีกำหนด ทำให้มีคนคาดเดาว่าเขามีความชอบที่ต่างออกไป
เมื่อพูดถึงความรัก ทุกคนก็พูดคุยออกรสยิ่งขึ้น คุณชายผู้นั้นไม่ขัดจังหวะอีก เพียงนั่งฟังพวกเขาวิจารณ์ชีวิตของจิ้งหนิงโหวเงียบๆ พร้อมรอยยิ้มประดับริมฝีปากตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับกำลังฟังเรื่องราวอันยอดเยี่ยมและน่าสนใจ
หลังจากเงียบไปนาน เซี่ยวสวินก็เตือนเขาเบาๆ “ท่านแม่ทะ…คุณชายขอรับ บ่ายคล้อยแล้ว เราไปกันเลยหรือไม่”
“อืม ไปเถอะ” คุณชายยื่นมือให้เซี่ยวสวินช่วยประคองเขาลุกขึ้น จากนั้นหันไปประสานมือคารวะให้กลุ่มพ่อค้าทั้งหลายอย่างเอื่อยเฉื่อย “พี่ชายทุกท่าน ข้าต้องรีบเข้าเมืองหลวง ขอตัวก่อน”
ทุกคนโบกมือลาเขา เซี่ยวสวินประคองเขาขึ้นรถม้าก่อนปล่อยม่านลง เมื่อรถม้าเคลื่อนที่ไปสักพัก คุณชายพลันเอ่ย “ฉงซาน เอายาให้ข้าที”
“แต่อาจารย์ตู้บอกให้ท่านกินยาก่อนครึ่งชั่วยามมิใช่หรือขอรับ” เซี่ยวสวินล้วงถุงผ้าขนาดเล็กลายประณีตออกจากอกเสื้อ ภายในมีขวดกระเบื้องสีขาว “อีกสองชั่วยามกว่าเราจะถึงเมืองหลวง”
“เลิกพล่ามได้แล้ว” เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปใต้ผ้าม่านแล้วฉวยขวดนั้นไป “เราอาจหลอกชาวบ้านได้ แต่เมื่อถึงค่ายทหารเมืองหลวงด้านหน้า ต้องมีคนจำได้แน่ ถึงตอนนั้นคงแสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาไม่ทันแล้ว”
เซี่ยวสวินพึมพำ “แต่ท่านก็ขาพิการจริงๆ นี่ขอรับ…”
คุณชายผู้นั้น หรือจิ้งหนิงโหวฟู่เซินที่ทุกคนรู้จักในนาม “เจ้าแห่งการสังหาร” เงยหน้ากลืนลูกกลอนสีน้ำตาลขนาดเท่าหัวนิ้วมือ จากนั้นหัวเราะหยัน “ฉงซาน เจ้าคิดว่าแม่ทัพที่มีโอกาสหายดีกับแม่ทัพพิการ ผู้ใดทำให้เจ้าหลับไม่ลงมากกว่ากัน”
เซี่ยวสวินไม่เอ่ยวาจาใด
ฟู่เซินโยนขวดให้เขา จากนั้นหลับตารอให้อาการชาลามไปยังแขนขา แล้วเอ่ยเสียงเบา “ไปกันเถอะ”
[1] อิ่งกั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางได้รับพระราชทานจากหวงตี้
[2] ฉังเฉิง แปลว่า กำแพงเมืองจีน
[3] สีครามเกิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าต้นคราม อุปมาว่าคนรุ่นหลังโดดเด่นกว่าคนรุ่นก่อน หรือศิษย์เก่งกว่าอาจารย์
[4] หมวกโต่วลี่ หมวกตอกสานทรงสามเหลี่ยม หัวแหลม
[5] เขยเต่าทองคำ อุปมาถึงสามีผู้มียศศักดิ์ มั่งคั่งร่ำรวย