[ทดลองอ่าน] ฝ่ามิติประตูมรณะ บทที่ 7

死亡万花筒
ฝ่ามิติประตูมรณะ

ซีจื่อซวี่ 西子绪 เขียน
ซิ่วเจิน แปล
XOXO วาด

 

– โปรย –

สิ่งที่แปลกไปอย่างแรกก็คือ แมวที่บ้านไม่ยอมให้เขากอด

จากนั้นหลินชิวสือก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม

แล้ววันหนึ่ง ตอนที่เขาผลักเปิดประตูบ้านออกมา
ก็พบว่าทางเดินในตึกที่คุ้นเคยกลับกลายเป็นทางเดินยาวซึ่งทั้งสองฟาก

เป็นประตูเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันสิบสองบาน

แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้

และเมื่อเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกเขาก็ได้เจอกับคนแปลกๆ ที่ยิ่งได้รู้ความจริงก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ

“ทำไมคุณต้องใส่ชุดผู้หญิงด้วยล่ะ”

“งานอดิเรก”

หลินชิวสือ “…”

เมื่อสายรุกหนังหน้าหนา เจ้าเล่ห์ ทรงเสน่ห์
และชื่นชอบการแต่งหญิงเป็นชีวิตจิตใจมาเจอกับฝ่ายรับที่ซุกซ่อนความหน้าไม่อายไว้
ภายใต้ความเงียบขรึมอย่างแนบเนียน ความไร้ยางอายขั้นกว่าจึงบังเกิดขึ้น!

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 7 หญิงผู้นั้น

 

แม้ความมืดมิดจะเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น หากแต่ความพรั่นพรึงตรงหน้าก็ตรึงความสนใจของทุกคนให้รวมอยู่ ณ จุดเดียว

ลายสลักเคลื่อนตัวจากท่าทางเดิมราวกับมีบางสิ่งต้องการจะหลุดออกมา สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินอยู่ครู่หนึ่ง อึดใจต่อมาทุกคนก็เห็นมือขาวซีดที่ตัดกันกับเล็บสีแดงสดพุ่งออกมา มือยักษ์ปัดป่ายไปมาก่อนตะปบลงบนรั้วไม้ทางด้านข้าง

หลังจับรั้วไม้ได้แล้ว มือนั้นก็คล้ายกับหาหลักยึดได้และเริ่มดึงรั้วไม้อย่างแรง ส่วนหัวและลำตัวของมันค่อย ๆ หลุดออกมาจากเสา

สิ่งที่เห็นดูสยดสยองเกินกว่าจะจินตนาการได้ ทำเอาลมหายใจขาดห้วง

“ยังจะดูอะไรกันอยู่อีก! วิ่งเร็ว!” เสียงของหร่วนป๋ายเจี๋ยปลุกทุกคนให้ตื่นจากฝันร้าย สติของหลินชิวสือคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาหันกลับไปมองอีกครั้งก็พบว่าสิ่งนั้นหลุดออกมาจากเสาได้กว่าครึ่งตัวแล้ว

“วิ่ง!” หร่วนป๋ายเจี๋ยตะโกนลั่น “วิ่งสิ!”

สิ้นเสียงของหญิงสาว ทุกคนก็ออกวิ่งสุดกำลัง หลินชิวสือเองก็ไม่แม้แต่จะเสียเวลา เขารวบรวมพละกำลังทั้งหมดเร่งฝีเท้ากลับไปยังที่พัก

ทว่าเสียงที่ไล่มาทางด้านหลังยิ่งทวีความดังขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายจะบอกว่าเจ้าสิ่งนั้นสามารถปลดเปลื้องตัวเองออกจากเสาได้สำเร็จและเริ่มหันมาไล่ล่าพวกเขาแทน

หลินชิวสือได้ยินเสียงตะกุยพื้นหิมะ เขารู้ว่ายามนี้ไม่ควรหันกลับไปมอง หากชายหนุ่มก็ไม่สามารถเอาชนะความอยากรู้อยากเห็นได้จึงหันไปมองด้านหลัง

ชายหนุ่มถึงกับสะดุดเมื่อเห็นว่าปิศาจตนนั้นหลุดออกมาจากสิ่งที่พันธนาการไว้ได้ เส้นผมยาวดำขลับของมันยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ร่างกายเปล่าเปลือยทำให้รู้ว่าปิศาจนั้นเป็นผู้หญิง ร่างที่ใหญ่โตเกินมนุษย์ทั่วไปหลายเท่าคืบคลานไปบนหิมะด้วยท่วงท่าราวกับเป็นแมลงก็ไม่ปาน แม้จะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน หากแต่สิ่งที่เตะตาทุกคนก็คือขวานเล่มยาวที่ชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีแดงในมือของเธอ

“เชี่ย!” หลินชิวสืออดสบถไม่ได้ การที่ทุกคนได้เห็นปิศาจร้ายที่ได้แต่จินตนาการถึงหน้าตาของมันเต็ม ๆ ตาช่วยตอกย้ำว่าพวกเขาได้หลุดมาอยู่ในอีกมิติหนึ่งอย่างแท้จริง

บางคนที่หันกลับไปมองด้วยความอยากรู้เช่นเดียวกันก็ตกใจจนการเคลื่อนไหวชะงักไปครู่ใหญ่

ความรักตัวกลัวตายสั่งให้ทุกคนวิ่งให้เร็วขึ้น ทว่าด้วยความที่ถนนสายนี้ทั้งแคบทั้งลื่นทำให้ไม่อาจเร่งความเร็วดังใจนึก พริบตาเดียวเจ้าสิ่งนั้นก็ตามทุกคนทัน

“ช่วยด้วย…” เสี่ยวเคอล้มคะมำลงบนพื้นหิมะเนื่องจากวิ่งเร็วจนเกินไป เธอตั้งใจจะลุกขึ้น แต่ความกลัวก็ทำให้มือและเท้าอ่อนปวกเปียกไปหมด “พี่สยง…ช่วยด้วย…”

คนอื่น ๆ ต่างคิดว่าเสี่ยวเคอคงไม่รอด ยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่ชีวิตของตนยังไม่รู้เลยว่าจะรักษาไว้ได้หรือไม่เช่นนี้ ใครจะมีกะจิตกะใจไปช่วยเหลือผู้อื่นกัน หากใครจะคิดว่าหลังจากเสี่ยวเคอร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร สยงชีจะกัดฟันหยุดฝีเท้า หันกลับไปฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น “หนีเร็ว!”

“พี่สยง” เสี่ยวเคอสะอื้นฮัก น้ำตาไหลพราก ขณะที่เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือตนก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะ

หญิงสาวที่ถือขวานไล่ตามมาทัน เธอทอดสายตาลงมายังทั้งสองที่ตกใจจนตัวแข็งทื่อพลางแสยะยิ้มกว้างจนเห็นแนวฟันภายในปาก มือซึ่งยาวผิดปกติคู่นั้นกำด้ามขวานที่เปรอะเปื้อนด้วยสีโลหิตแน่น เธอเงื้อมือขึ้นก่อนจะฟันฉับลงมาที่ทั้งคู่เต็มแรง

“กรี๊ด…” เสี่ยวเคอกรีดร้อง กอดสยงชีแน่น ปิดตาสนิทไม่กล้ามองวาระสุดท้ายของตน

สยงชีเองก็กัดฟันหลับตา ไม่ฝืนดิ้นรนอีกต่อไป

ทว่าวินาทีที่ขวานจามลงมา ร่างของทั้งสองพลันปกคลุมด้วยแสงสีทองเรืองรอง ตามด้วยเสียงกระทบกันของโลหะดังสนั่น

หญิงร่างยักษ์ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ ละความสนใจจากเสี่ยวเคอและสยงชีหันไปไล่ตามคนอื่นต่อ

สองคนที่รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดถึงกับเข่าอ่อนล้มลงไปกองบนหิมะ

“พี่สยง เมื่อกี้มันอะไรกัน” เสี่ยวเคอถามเสียงสั่น

สยงชีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “เธอยังจำพระโพธิสัตว์ที่เราไหว้ในวัดได้ไหม”

เสี่ยวเคอผงกศีรษะ

“พระองค์อาจจะช่วยคุ้มครองพวกเรา” สยงชีตอบพลางทอดสายตามองไปทางที่หญิงสาวจากไป

“ถ้าอย่างนั้นคนที่เข้าไปในวัดคนเดียว…” เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเคอเข้าใจความหมายของสยงชี เธอคิดขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ผู้เข้าไปในวัดตามลำพังเห็นไม่ใช่พระโพธิสัตว์ หากแต่เป็นหญิงสาวถือขวานที่เพิ่งจากไปคนนั้น

“คงไม่รอด” สยงชียิ้มขื่น

หลินชิวสือและหร่วนป๋ายเจี๋ยที่วิ่งสุดแรงเกิดก็ได้สัมผัสประสบการณ์เดียวกับเสี่ยวเคอและสยงชี จะต่างก็ตรงที่หร่วนป๋ายเจี๋ยเป็นฝ่ายกอดหลินชิวสือที่หมดเรี่ยวแรงไว้ในอ้อมแขนยามเผชิญหน้ากับปิศาจร้าย หญิงสาวไร้ซึ่งความเกรงกลัวขนาดสามารถจูบหน้าผากของชายหนุ่มพลางปลอบเขาว่าไม่ต้องกลัวได้

หลินชิวสือที่เดิมตั้งใจจะปกป้องหร่วนป๋ายเจี๋ยกลับกลายเป็นฝ่ายถูกกอดจนหายใจไม่ออก เขาไม่อาจขยับกาย ได้แต่จ้องขวานที่จามลงมาด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนที่มันจะถูกแสงสีทองสะท้อนกลับไป

“โอ้!” หร่วนป๋ายเจี๋ยยิ้มกว้าง

หลินชิวสือที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมองเห็นผู้หญิงคนนั้นเบนเป้าหมายไปยังคนที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว หลังจากคนผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสองก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อรู้ตัวอีกทีหญิงคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าตนแล้ว

“พะ…พวกเรารอดแล้วใช่ไหม” คนผู้นั้นถามหลินชิวสือ “แสงที่อยู่บนตัวพวกเรา…”

‘ฉับ’ คมขวานตวัดผ่านร่าง

พูดไม่ทันจบประโยคร่างของคนผู้นั้นก็ถูกคมขวานผ่าออกเป็นสองซีก แม้จะหมดลมหายใจไปแล้ว หากใบหน้าของเขายังคงฉาบด้วยความคาดไม่ถึง คล้ายกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดผลที่เกิดกับตนจึงแตกต่างออกไป

หลินชิวสือนั่งอยู่บนหิมะพลางมองดูเลือดที่หยดลงสู่พื้นหิมะ หญิงผู้นั้นหัวเราะคิกคัก ถือขวานไล่ล่าคนอื่นต่อไป ทิ้งไว้เพียงรอยสีแดงบนพื้น

เขากัดริมฝีปากข่มความคลื่นเหียนที่ตีขึ้นมา

“ไม่เป็นไรแล้ว” หร่วนป๋ายเจี๋ยนั่งลูบหลังลูบไหล่ชายหนุ่มอยู่ทางด้านข้าง “มันจบแล้ว”

“เป็นเพราะจำนวนคนที่เข้าไปในวัดใช่ไหม”

หญิงสาวไม่ตอบ

“มีสองคนที่เข้าไปในวัดคนเดียว พวกเขาจะต้อง…ตายใช่ไหม”

“ฉันไม่รู้”

ใช่แล้ว…ใครจะไปรู้คำตอบของปัญหานี้กันได้เล่า

หลินชิวสือลุกขึ้นยืนก่อนส่งมือให้หร่วนป๋ายเจี๋ย “กลับบ้านกันเถอะ”

หญิงสาวยิ้มกว้าง จับมือของชายหนุ่มเอาไว้

ประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลัง จำนวนคนที่รวมตัวกันอยู่ในบ้านก็ร่อยหรอลงไปจากเดิม

เหตุการณ์เป็นไปตามที่หลินชิวสือสันนิษฐาน คนที่เข้าไปในวัดตามลำพังต่างถูกกำจัดโดยหญิงที่ถือขวานคนนั้น ไม่มีใครรักษาชีวิตเอาไว้ได้สักคน

“เธอเอาศพกลับไปหมด” คนผู้หนึ่งเล่าเหตุการณ์ที่เห็น “ศพถูกฟันออกเป็นสองซีก เธอหัวเราะแล้วก็ลากศพเข้าไปในวัด”

“ช่างไม้หลอกพวกเรางั้นเหรอ” เสี่ยวเคอถามเสียงแหบแห้ง “หากเข้าไปในวัดคนเดียวตามที่เขาบอก จะไม่ตายกันหมดหรือไง”

“ไม่ตายทุกคนหรอก” สยงชีตอบเสียงอ่อนล้า “อย่างน้อยก็ต้องรอดมาได้ครึ่งหนึ่ง ในมิตินี้จะฆ่าทั้งหมดในคราวเดียวไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง”

“รอดมาได้ครึ่งหนึ่งก็ไม่มีประโยชน์ ใครจะรู้ว่าเธอจะกลับมาอีกหรือเปล่า” หร่วนป๋ายเจี๋ยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับไปนั่งพิงเก้าอี้แทะเมล็ดแตงโมต่ออย่างช้า ๆ ท่าทางของเธอชวนมองเสียจนเรียกได้ว่าเป็นการแทะเมล็ดแตงโมอย่างสง่างาม “เธอฆ่าแค่วันละหนึ่งคนก็พอแล้ว”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ

“พวกเราไหว้พระเสร็จแล้วก็ต่อโลงศพได้แล้วใช่มั้ย” คนผู้หนึ่งถามขึ้น

สยงชีพยักหน้า “พรุ่งนี้ค่อยไปคุยกับช่างไม้อีกที แต่คิดว่าเรื่องคงไม่ง่าย”

เรื่องราวไม่มีทางง่ายดายเช่นนั้นอยู่แล้ว บ่อน้ำในสวนก็ยังคงว่างเปล่า การเติมบ่อน้ำในโลกจริง ๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในมิตินี้มันอาจต้องแลกมาด้วยชีวิต

ใครจะไปรู้ว่าตอนที่กำลังเติมบ่อน้ำอยู่นั้นจะมีอะไรรออยู่ที่ก้นบ่อบ้าง

หากนั่นก็เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนต้องหนีจากการไล่ล่า ทั้งยังได้เห็นความตายอันโหดร้ายที่เกิดกับคนในทีมต่อหน้าต่อตา ไม่ว่าจะเป็นเทพมาจากไหน ร่างกายก็คงไม่อาจรับไหว

ทุกคนจึงเห็นตรงกันว่าควรแยกย้ายไปพักผ่อนโดยเร็วที่สุด

อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่ต้องระแวงว่าจะมีคนเสียชีวิตอีก

หลินชิวสือนอนมองหร่วนป๋ายเจี๋ยที่นอนอยู่ข้างกาย

“วันนี้ขอบคุณมาก” หลินชิวสือพูด “คุณแข็งแรงมาก ผมยังสู้คุณไม่ได้เลย”

ขณะที่หนีตายกัน ฝ่ายที่สิ้นเรี่ยวแรงก่อนคือหลินชิวสือ ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าหร่วนป๋ายเจี๋ยสามารถวิ่งรวดเดียวถึงบ้านได้

“คุณเป็นผู้ชาย จะอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้” หร่วนป๋ายเจี๋ยพูดเสียงเข้ม

หลินชิวสือ “…”

“คุณว่าจริงไหม”

หลินชิวสือ “…” จริงกะผีสิ

หร่วนป๋ายเจี๋ยเอียงหน้า ยิ้มกว้างมองหลินชิวสือ “คุณคิดว่าพวกเราจะออกไปได้ไหม”

ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นการบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้

“หากคุณได้ออกไป สิ่งแรกที่จะทำคืออะไร” หญิงสาวถาม

“หากรอดไปได้ ผมจะรีบกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดดีไหม”

“คุณมีแฟนแล้วเหรอ”

หลินชิวสือหัวเราะ “สถาปนิกต้องทำโอทีตลอด หาแฟนได้ที่ไหนกัน”

“อย่างน้อยก็ต้องอยากมีใช่ไหมล่ะ รอออกไปได้ก่อนฉันจะสั่งแฟนจากเถาเป่า[1]ให้คุณเอง”

“…คุณเป็นคนดีจริง ๆ”

“ก็ตามมารยาทน่ะพี่ชาย”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพักก่อนจะเข้านอน หลินชิวสือหลับสนิทไม่ฝันตลอดทั้งคืนราวกับสามารถปรับตัวเข้ากับความโหดร้ายทารุณของมิติประตูนี้ได้แล้ว

 

 

 

[1] เว็บไซต์จำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า