การกลับมาของนางฟ้า
回归的女神
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
ซานซาน แปล
— โปรย —
หนิงซี เด็กเก่งขั้นเทพที่เพื่อนๆ สมัยมัธยมปลายตั้งฉายาให้ว่า “ยายกระปุกหมู”
ต้องสูญเสียครอบครัวเพราะการกลั่นแกล้งของเพื่อนนักเรียน
จนเธอต้องระหกระเหินไปเรียนต่อต่างประเทศ ปากกัดตีนถีบตามลำพังเพื่อเอาชีวิตรอด
เจ็ดปีผ่านไป เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่สวยงามราวกับนางฟ้า
และก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นขวัญใจของแฟนคลับจำนวนมาก
ทว่าการกลับมาครั้งนี้ของเธอไม่ใช่แค่เพื่อแสวงหาเกียรติยศ เงินทอง แต่เพื่อแก้แค้น!
เมื่อหนิงซีหวนกลับประเทศอีกครั้ง ฉางสือกุย
ประธานหนุ่มหล่อพ่อรวยที่แอบชอบเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน
จึงรีบก้าวเข้ามาสารภาพรักกับเธอก่อนที่จะสายเกินไปอย่างครั้งก่อน
ท่ามกลางเรื่องราวความรักของไฮโซหนุ่มกับดาราสาวมีปมปัญหาผุดขึ้นมามากมาย
ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและข่าวลือนานัปการไปด้วยกันอย่างไม่ย่อท้อ
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
1
เมืองหลวงในเดือนมิถุนายนแสนจะร้อนอบอ้าว หนิงซีเดินออกจากทางเชื่อมมองไปยังกลุ่มคนตรงจุดรอรับผู้โดยสาร เห็นชายหนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตขาวกับแว่นตากรอบดำคนหนึ่งยืนเขย่งปลายเท้าพร้อมชูป้ายในมือขึ้นสูง บนป้ายเขียนชื่อตัวเองไว้ เธอจึงสาวเท้าตรงไปหาชายหนุ่มคนนี้
หวังเฮ่อแอบหงุดหงิดอยู่บ้าง อากาศร้อนตับแตกยังให้เขามารับเด็กใหม่ของบริษัท เป็นใครก็คงไม่พอใจสักเท่าไร เผอิญเขาไม่มีเส้นสายในบริษัท กว่าจะปักหลักได้อย่างมั่นคงไม่ใช่ง่ายๆ ถึงในใจจะอึดอัดคับข้องบ้างก็ไม่แสดงออกมา
เครื่องบินล่าช้ากว่ากำหนดเกือบสองชั่วโมง ตอนได้ยินเสียงประกาศว่าเที่ยวบินที่ตนรออยู่ลงจอดในที่สุด เขาถึงถอนหายใจโล่งอก
ขณะคิดเรื่อยเปื่อย เขาเห็นหญิงสาวสวยจัดคนหนึ่งเดินออกมาจากทางเชื่อม ผิวขาวผ่อง ปากแดงอิ่มสดใสเฉิดฉาย ผมดำยาวปล่อยสยายตามสบายเหมือนริ้วคลื่น เป็นคนสวยพราวเสน่ห์ทีเดียว
ชายหนุ่มเคลิ้มไปอึดใจเดียว สาวเจ้าเสน่ห์ก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว หวังเฮ่อถึงขั้นได้กลิ่นหอมรวยรินมาจากตัวอีกฝ่าย ทำให้ข้างแก้มร้อนผะผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่
“สวัสดีค่ะ ฉันคือหนิงซี” เธอเดินไปใกล้ชายหนุ่มส่งยิ้มให้นิดหนึ่ง
หวังเฮ่อได้ยินเธอทักทายอย่างสุภาพมีหางเสียงก็วางป้ายชื่อในมือลง พูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “คุณคือคุณหนิงใช่ไหมครับ ผมชื่อหวังเฮ่อ ทางบริษัทส่งผมมารับคุณ คุณเรียกผมว่าเสี่ยวหวังก็ได้ครับ” เขาพูดจบแล้วเช็ดมือก่อนยื่นไปหาเธอ
“สวัสดีค่ะพี่หวัง” เธอยื่นมือไปจับมือเขา “วันนี้รบกวนคุณด้วยนะคะ”
“ไม่รบกวนเลยครับ” หวังเฮ่อยิ้มเต็มหน้า “คุณเพิ่งมาจากต่างประเทศ และเป็นนักแสดงหน้าใหม่ของบริษัท มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามผมได้เต็มที่นะครับ”
เขาไม่ค่อยรู้ความเป็นมาของหนิงซี แต่ในเมื่อเธอเป็นนักแสดงที่หลิวคุนกับจางชิงอวิ๋นไปเซ็นสัญญาด้วยตัวเองถึงเมืองนอก อีกทั้งเสนอค่าตอบแทนให้ไม่เลวเลย ดังนั้นเธอต้องมีดีกว่าคนอื่นแน่นอน แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลว่าวันนี้เขารออยู่ที่สนามบินนานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่กล้าชักสีหน้า
ทั้งคู่พูดคุยพลางเดินออกไป พอออกมานอกสนามบิน หนิงซีรู้สึกถึงไอแดดแรงกล้าจนผิวแสบร้อน ชวนให้อึดอัดไปทั้งตัว โชคดีว่าหวังเฮ่อจอดรถไม่ไกลเลยไม่ต้องเดินนานเกินไป
แอร์ในรถเย็นฉ่ำ หญิงสาวพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหยิบมือถือออกมาดู เนื่องจากเที่ยวบินล่าช้าตอนนี้เกือบเที่ยงวันแล้ว
หวังเฮ่อพาหนิงซีไปกินอาหารที่ร้านเสร็จก็ส่งเธอไปยังที่พักซึ่งทางบริษัทจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า
ห้องพักเป็นแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น ทำเลที่ตั้งดี สภาพแวดล้อมร่มรื่นใช้ได้ หวังเฮ่อยกกระเป๋าเดินทางของหนิงซี เปิดประตูแล้วส่งกุญแจให้เธอ
“คุณหนิง นี่เป็นที่พักชั่วคราวที่บริษัทจัดให้คุณ ถ้ามีตรงไหนไม่ถูกใจ วันหลังบริษัทหาที่ดีกว่านี้ได้ค่อยเปลี่ยนให้คุณใหม่นะครับ” หวังเฮ่อวางกระเป๋าเดินทางไว้ข้างผนังห้อง แอบแปลกใจตงิดๆ ที่คุณหนิงคนนี้อยู่เมืองนอกมานานหลายปี ทำไมกลับประเทศแล้วมีสัมภาระไม่มากเท่าไร
เครื่องเรือนในห้องพร้อมสรรพ แม้แต่ผ้าปูเตียงปลอกหมอนก็เป็นของใหม่เอี่ยมทั้งชุด หนิงซีรับรู้ได้ว่าบริษัทให้ความสำคัญแก่ตัวเอง เธอคลี่ยิ้ม พูดขอบคุณหวังเฮ่อ
เขาชวนคุยตามมารยาทสองสามคำ แนะนำเรื่องสภาพรถราการเดินทางในละแวกรอบๆ รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ก่อนหยิบคู่มือพนักงานบริษัทเล่มหนึ่งกับแผนที่เส้นทางในเมืองให้เธอแล้วลุกขึ้นขอตัวกลับ
เมื่อหญิงสาวรั้งเขาไว้ตามมารยาทแล้ว ก็เดินตามไปส่งหน้าประตู
เธอขนข้าวของกลับประเทศไม่มาก พอเดินดูในห้องรอบหนึ่งแล้วจึงจัดของให้เรียบร้อย โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อคนเรียกสายเป็นจางชิงอวิ๋น
“พี่จาง” หนิงซีเดินไปริมหน้าต่างเปิดม่านออก เห็นสวนหย่อมผืนเล็กบริเวณที่พักเขียวขจีสวยงามมาก
พอฟังอีกฝ่ายพูดจบ บนหน้าหนิงซีมีรอยยิ้ม “ได้ค่ะ พรุ่งนี้ฉันไปถึงตรงเวลาแน่นอน”
หญิงสาววางสายแล้วไปอาบน้ำ เป่าผมแห้งจนสนิท สวมชุดนอนสบายตัว เธอหอบโน้ตบุ๊กมานั่งเอนหลังบนเตียง ส่งอีเมลไปบอกพวกเพื่อนสนิทที่เมืองนอกว่ากลับถึงประเทศอย่างปลอดภัย จากนั้นวางโน้ตบุ๊กทิ้งไว้ด้านข้าง ซุกตัวเข้าไปนอนกลิ้งเกลือกใต้ผ้าห่ม
เมื่อในห้องเย็นสบายราวกับฤดูใบไม้ผลิ แล้วจะสนใจแสงแดดร้อนแรงดั่งไฟเผาข้างนอกไปทำไม
ตกเย็น อากาศไม่ร้อนมากขนาดนั้นแล้ว หนิงซีเปลี่ยนชุดใหม่ถือกระเป๋าเงินออกจากห้อง
เพราะใกล้ถึงเวลาอาหาร ในซูเปอร์มาร์เก็ตมีคนไม่มาก หนิงซีเข็นรถเข็นเลือกซื้อของช้าๆ ขณะเอื้อมมือไปหยิบโยเกิร์ตถ้วยหนึ่ง มีมืออีกข้างหนึ่งแตะที่โยเกิร์ตถ้วยนั้นด้วย
ตอนที่ซุนซิ่วเหม่ยเห็นมือบนถ้วยโยเกิร์ตก็อดตะลึงไม่ได้ มือข้างนี้เรียวสวยมาก ขับเน้นให้กำไลเงินวงเล็กๆ ที่ไม่มีจุดเด่นเลยสักอย่างบนข้อมือชวนมองขึ้น
“ขอโทษค่ะ”
เธอได้ยินอีกฝ่ายพูดแล้วเลื่อนมือไปหยิบอีกถ้วยหนึ่ง
เสียงพูดไพเราะน่าฟังนี้ทำให้ใจเธอกระตุกเบาๆ อดมองอีกฝ่ายซ้ำไม่ได้ จนเห็นเค้าหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคยถึงถามอย่างไม่แน่ใจ “เธอใช่…หนิงซีหรือเปล่า”
หนิงซีหยิบโยเกิร์ตวางใส่รถเข็น เหลียวมองหญิงสาวด้านข้างอย่างงุนงงอยู่บ้าง ตั้งแต่ไปเมืองนอกตอนนั้น เธอก็ไม่เคยติดต่อกับเพื่อนนักเรียนในอดีตอีก เวลาผ่านไปห้าหกปียังมีคนจำหน้าเธอตอนนี้ได้ แทบจะเรียกว่าปาฏิหาริย์
เธอไม่พูดอะไร เอาแต่ทำหน้างง
“หนิงซี เป็นเธอจริงๆ ด้วย” ซุนซิ่วเหม่ยถอดหมวกบนศีรษะออกให้เห็นหน้าตัวเอง สีหน้าเธอดีใจ “ฉันซุนซิ่วเหม่ยยังไงละ”
หนิงซียังตั้งตัวไม่ติด ซุนซิ่วเหม่ยเป็นผู้หญิงนิสัยดีคนหนึ่ง เมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอไม่ถึงกับสนิทกันมาก แต่อย่างน้อยก็ไม่แย่ ตอนเธอกลับประเทศเมื่อสี่ปีที่แล้ว ทั้งคู่เคยเจอกันบนถนนโดยบังเอิญ มิน่าอีกฝ่ายถึงยังจำหน้าเธอได้ พอคิดถึงตรงนี้เธอก็คลี่ยิ้มพอประมาณ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ซุนซิ่วเหม่ยมองสำรวจหนิงซีตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างห้ามใจไม่อยู่แล้วพูดทึ่งๆ “ไม่เจอกันสี่ปี เธอผอมลงและสวยขึ้นกว่าแต่ก่อน”
เธอจำได้ว่าสี่ปีก่อนตอนเจอกัน หนิงซีผอมลงกว่าสมัยมัธยมปลายมาก เค้าความสวยเริ่มปรากฏแล้ว แต่สีหน้าท่าทางไม่ค่อยดี เห็นแล้วน่าเป็นห่วงอยู่บ้าง
จนกระทั่งพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวหนิงซีในภายหลัง เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายยืนสบายดีอยู่ตรงหน้า หนำซ้ำยังดูเหมือนมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่เลว เธอรู้สึกโล่งอกไม่มากก็น้อย พาให้ความรู้สึกผิดลึกๆ ในใจหายไปกว่าครึ่ง
กาลเวลาและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำให้คนเราเข้าใจโลกมากขึ้น พอเธอเห็นหนิงซีก็จะหวนนึกถึงเรื่องนั้นเมื่อหกเจ็ดปีก่อน ถึงเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ยังคงรู้สึกละอายใจบ้างอยู่ดี เธอรู้แต่ไม่พูด ก็ผิดเหมือนกับเพื่อนนักเรียนเกเรที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นพวกนั้น ต่างกันแค่ว่าผิดมากผิดน้อยเท่านั้น
“ที่…ที่ผ่านมาเธอสบายดีไหม” ซุนซิ่วเหม่ยเดินตามหลังหนิงซีพลางส่งเสียงถามเบาๆ
“สบายดีมาก” หนิงซีเอี้ยวคอมองซุนซิ่วเหม่ยพร้อมยิ้มละไม “แล้วเธอล่ะ”
“ฉันสบายดีมาก” ซุนซิ่วเหม่ยพยักหน้า สังเกตเห็นว่าคนในซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งผู้หญิงผู้ชายแอบมองหนิงซีอยู่ แต่เธอทำท่าเหมือนไม่รู้สึกถึงสายตาพวกนี้เลยถามต่อ “เธอกลับมาหนนี้…มาเยี่ยมญาติหรือ”
“ฉันกลับมาอยู่ถาวรแล้ว” หนิงซีส่ายหน้า เข็นรถเข็นไปต่อแถวที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน “ฉันชอบอาหารการกินของบ้านเรามากกว่า”
“นั่นสิ ของกินบ้านเราอร่อยกว่า” ซุนซิ่วเหม่ยไม่รู้ว่าจะคุยอะไรต่อ ได้แต่ตอบไปตามเรื่องตามราวประโยคหนึ่ง
ในที่สุดก็ถึงคิวหนิงซีจ่ายเงิน พนักงานสแกนราคาของทั้งหมดแล้วบอกราคา “ทั้งหมดสามร้อยหนึ่งหยวนค่ะ”
หนิงซีหยิบแบงค์ร้อยสี่ใบในกระเป๋าเงินส่งให้ พนักงานรับไปแล้วอมยิ้มถาม “ไม่ทราบว่ามีเศษเหรียญหนึ่งหยวนไหมคะ”
หนิงซีส่ายหน้า ซุนซิ่วเหม่ยกำลังจะบอกว่าตัวเองมี ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยื่นเหรียญหนึ่งหยวนมาจากด้านหลังอย่างว่องไว “ผมมีครับ”
“ขอบคุณค่ะ” หนิงซีส่งยิ้มน้อยๆ ขอบคุณอีกฝ่าย จากนั้นส่งแอปเปิลให้เขาลูกหนึ่ง
“ไม่…ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มเห็นแอปเปิลที่หนิงซียื่นมาตรงหน้าก็หน้าแดงก่ำ รับไปถือไว้ด้วยสองมืออย่างทะนุถนอมท่ามกลางเสียงหัวเราะของกองเชียร์ที่มาด้วยกัน
ซุนซิ่วเหม่ยเห็นภาพนี้แล้วต้องเผยยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่
ครั้นออกจากซูเปอร์มาร์เก็ต ซุนซิ่วเหม่ยเห็นแดดแรงจัดแผดเผาสองแก้มของหนิงซีจนแดงเรื่อ เธอยื่นนามบัตรของตัวเองให้ “เธอไม่ได้กลับประเทศหลายปี คงมีบางที่ที่ไม่ค่อยคุ้นเคย มีเรื่องอะไรก็โทร.หาฉันได้นะ”
“ขอบใจ” หนิงซีรับนามบัตรมาเก็บใส่กระเป๋าเงินของตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายแสดงความปรารถนาดี เธอก็รับไว้แต่โดยดี แม้วันหน้าคงเป็นไปไม่ค่อยได้ที่เธอจะติดต่อกับซุนซิ่วเหม่ยบ่อยๆ
ซุนซิ่วเหม่ยเห็นท่าทางหนิงซีแบบนี้ก็เผยอปากขึ้น แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่บอกว่า “งั้น…ไปก่อนนะ มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่”
“บายจ้ะ” หนิงซีพยักหน้า หิ้วของสองถุงก้าวเท้ามุ่งไปทางที่พัก แต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว ซุนซิ่วเหม่ยก็เรียกไว้อีก
“หนิงซี อาทิตย์นี้เฉินอีจวิ้นกับเว่ยซือฉีจะจัดงานแต่งงาน…” ซุนซิ่วเหม่ยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำถูกไหมที่บอกเรื่องนี้ “เธอจะไปร่วมงานไหม”
“พวกเขาสองคนยังคบกันอยู่อีกเหรอ”
ซุนซิ่วเหม่ยเห็นหนิงซียิ้ม แต่เป็นยิ้มแปลกๆ
“น่าประทับใจจัง ฉันคงต้องเชื่อในเรื่องความรักอีกครั้งสินะ” หนิงซีเลิกคิ้วสูง ปัดปอยผมลอนที่เคลียบ่าไปข้างหลัง “ฝากสวัสดีพวกเขาแทนฉันด้วย อาทิตย์นี้ฉันมีธุระ คงไม่ไปละ”
ซุนซิ่วเหม่ยรีบพยักหน้ารับคำ ความจริงตอนนี้เธอนึกเสียใจภายหลังที่บอกเรื่องนี้ให้หนิงซีรู้ โชคดีที่หนิงซีไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก ไม่งั้นเธอคงละอายใจจนเอ่ยต่อไม่ได้จริงๆ
…
เมื่อกลับถึงที่พัก หนิงซีทำเส้นหมี่น้ำใส่ไข่กับผักที่รสชาติไม่ค่อยอร่อยกินเองชามหนึ่ง เปิดเว็บไซต์ดูครู่หนึ่งก็ขึ้นเตียงนอน
พรุ่งนี้ต้องไปพบผู้จัดการส่วนตัวรวมถึงพวกผู้บริหารระดับสูงที่บริษัท เธอไม่อยากไปเจอคนในสภาพหน้าซีดตาโหลหรอกนะ
ในยุคที่ธุรกิจบันเทิงของจีนกำลังเฟื่องฟูไปทั่วทุกที่ บริษัทจิ่วจี๋เอนเตอร์เทนเมนต์ต่อสู้ฟาดฟันจนเลือดนองกว่าจะเบียดขึ้นมาติดอันดับค่ายใหญ่แถวหน้าได้สำเร็จ นับเป็นมือหนึ่งของวงการก็ว่าได้
บริษัทจิ่วจี๋ผลักดันนักแสดงชายเข้าวงการมากมาย ปั้นทั้งดาราหนุ่มวัยรุ่นหน้าใส เจ้าชายน้อยแห่งวงการบันเทิง ไปจนกระทั่งพระเอกภาพยนตร์และพระเอกละครระดับมือรางวัล แต่อย่างว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ค่ายนักแสดงก็เหมือนกัน สิ่งที่ค่ายนี้ขาดอยู่ก็คือนักแสดงหญิงที่เป็นหน้าเป็นตาให้ค่าย
ไม่รู้เพราะพวกเขาโชคไม่ดี หรือพวกแมวมองมัวจดจ่อสายตาอยู่ที่นักแสดงชาย นักแสดงหญิงที่มาจากค่ายนี้เลยมีสองแบบคือ ทำอย่างไรก็ไม่ดังกับถึงดังก็ดังไม่นาน เหมือนต้องคำสาปอย่างไรอย่างนั้น
เพราะเหตุนี้นี่เองทำให้นักแสดงหญิงที่พอมีชื่อเสียงนิดๆ หน่อยๆ ในวงการไม่กล้าเซ็นสัญญากับค่ายนี้ เพราะสำหรับคนที่เป็นนักแสดงแล้ว ใครบ้างไม่อยากดัง ใครบ้างอยากสังกัดค่ายที่นักแสดงหญิงไม่มีวันดัง
อยากเป็นค่ายยักษ์ใหญ่ในธุรกิจบันเทิง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีนักแสดงทั้งชายหญิงที่เอาไปอวดใครต่อใครได้สักหลายๆ คน มีแต่นักแสดงชายไม่มีนักแสดงหญิง เขาเรียกกันว่าหยินหยางไม่สมดุล
เจ้าของบริษัทปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้มาตลอด ดังนั้นพอได้ยินว่าจางชิงอวิ๋นดึงนักแสดงหญิงคนหนึ่งมาเซ็นสัญญาเข้าสังกัดตอนไปทำงานต่างประเทศได้ ถึงเธอคนนี้เคยรับแต่บทเล็กๆ ในละครโทรทัศน์ทุนต่ำของเมืองนอก แต่เขาก็อยากจะพบหน้าตัวต่อตัวสักครั้ง
สุภาษิตจีนว่าไว้ รักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น[1] ถ้าเกิดฟลุ๊คล่ะ
[1] หมายถึง อยู่ในภาวะจนตรอก แทบไม่เหลือความหวังอะไรแล้ว แต่อยากลองเสี่ยงดูสักตั้งเผื่อจะกอบกู้สถานการณ์ได้