การกลับมาของนางฟ้า
回归的女神
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
ซานซาน แปล
— โปรย —
หนิงซี เด็กเก่งขั้นเทพที่เพื่อนๆ สมัยมัธยมปลายตั้งฉายาให้ว่า “ยายกระปุกหมู”
ต้องสูญเสียครอบครัวเพราะการกลั่นแกล้งของเพื่อนนักเรียน
จนเธอต้องระหกระเหินไปเรียนต่อต่างประเทศ ปากกัดตีนถีบตามลำพังเพื่อเอาชีวิตรอด
เจ็ดปีผ่านไป เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่สวยงามราวกับนางฟ้า
และก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นขวัญใจของแฟนคลับจำนวนมาก
ทว่าการกลับมาครั้งนี้ของเธอไม่ใช่แค่เพื่อแสวงหาเกียรติยศ เงินทอง แต่เพื่อแก้แค้น!
เมื่อหนิงซีหวนกลับประเทศอีกครั้ง ฉางสือกุย
ประธานหนุ่มหล่อพ่อรวยที่แอบชอบเธอมาตั้งแต่สมัยเรียน
จึงรีบก้าวเข้ามาสารภาพรักกับเธอก่อนที่จะสายเกินไปอย่างครั้งก่อน
ท่ามกลางเรื่องราวความรักของไฮโซหนุ่มกับดาราสาวมีปมปัญหาผุดขึ้นมามากมาย
ทั้งคู่ต้องร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและข่าวลือนานัปการไปด้วยกันอย่างไม่ย่อท้อ
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
2
หนิงซีลงจากรถแท็กซี่ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นจางชิงอวิ๋นรอเธออยู่หน้าประตูใหญ่ชั้นล่าง
จางชิงอวิ๋นอายุสามสิบเศษ หน้าตาเจนโลกอยู่บ้าง แต่คนลักษณะนี้มักทำให้คนอื่นรู้สึกเชื่อถือพึ่งพาได้
ตอนที่เธอเห็นเขา เขาก็เห็นเธอแล้วเหมือนกัน จางชิงอวิ๋นดับบุหรี่ในมือโยนทิ้งลงถังขยะด้านข้าง จากนั้นสาวเท้าสองสามก้าวไปหาหนิงซี “คุณมาถึงก่อนเวลาสิบกว่านาทีนะครับ”
“หนึ่งในข้อดีของฉันคือไม่ปล่อยให้คนอื่นรอนานค่ะ” หนิงซียิ้มพลางมองตึกใหญ่โอ่อ่าหรูหรานี้แวบหนึ่ง
เขาสังเกตเห็นท่าทางของเธอ จางชิงอวิ๋นเอ่ย “ชั้นสิบสามถึงชั้นสิบห้าเป็นพื้นที่ของบริษัทเรา เมื่อเช้าท่านประธานโทร.หาผมบอกว่าอยากพบคุณ”
หนิงซีพยักหน้า จากนั้นตามหลังจางชิงอวิ๋นเข้าไปในลิฟต์แล้วเห็นเขากดชั้นสิบห้าเลย เธอเสยผมม้าทีหนึ่ง “พวกเราจะไปพบท่านประธานหลี่หรือคะ”
“ครับ” จางชิงอวิ๋นพยักหน้า “หลิวคุนมีนักแสดงในมือค่อนข้างเยอะ ดังนั้นผมจะดูแลแผนการทำงานของคุณต่อจากนี้เองครับ”
เขากับหลิวคุนจับเธอเซ็นสัญญาพากลับมาด้วยกัน แต่เขาเคยมีประสบการณ์ดูแลนักแสดงหญิงมาก่อน ให้เขารับผิดชอบเรื่องงานของหนิงซีจะเหมาะกว่า
“งั้นก็รบกวนพี่จางด้วยนะคะ” หนิงซียิ้มน้อยๆ
เมื่อสายตาของจางชิงอวิ๋นปะทะเข้ากับรอยยิ้มนี้ เขาแอบนึกในใจว่ายังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยๆ เรื่องบุคลิกหน้าตา หนิงซีก็มีพร้อมแล้ว ชั่วขณะที่ทั้งคู่คุยกันไม่กี่คำนี้ก็มาถึงชั้นสิบห้าแล้ว เสียงติ๊งดังขึ้นพร้อมกับประตูลิฟต์เปิดอ้ากว้าง พื้นระเบียงทางเดินสะอาดสะอ้านเป็นมันวับ แสงไฟสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าหนิงซี ราวกับเป็นทางเดินสู่ความรุ่งโรจน์หรูหรา
พอเท้าซ้ายที่สวมรองเท้าส้นสูงของหญิงสาวย่ำลงบนพื้นก็เกิดเสียงดัง เธอก้มลงมองแล้วคลายยิ้ม จากนั้นเงยหน้าขึ้นเดินตามหลังจางชิงอวิ๋นไปที่สุดปลายทางเดินทีละก้าวด้วยฝีเท้ามั่นคง
หลี่เจี้ยนฮุยเป็นเจ้าของบริษัทจิ่วจี๋เอนเตอร์เทนเมนต์ย่อมเห็นรูปถ่ายกับประวัติของนักแสดงคนใหม่มาก่อนแล้ว ต้องบอกว่าผู้จัดการดารามือเก๋าของค่ายอย่างจางชิงอวิ๋นกับหลิวคุนนั้นยังคงตาแหลมมาก หน้าตาของนักแสดงที่เซ็นสัยญาเข้าสังกัดหนนี้สวยโดดเด่นเหลือหลาย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เย้ายวนเป็นพิเศษ
กระนั้นแวบแรกที่ได้เห็นหนิงซี หลี่เจี้ยนฮุยถึงรู้ว่าภาพนิ่งสวยแค่ไหนก็ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเท่าตัวจริง ถือว่าคราวนี้พวกเขาได้ของดีมาไว้ในมือแล้ว ขอแค่นักแสดงคนนี้สมองปกติ ฝีมือการแสดงดีกว่าของประกอบฉาก พวกเขาก็มีหนทางปั้นเธอให้ดังได้
พออารมณ์ดี ท่าทีเขาก็อบอุ่นเป็นกันเองเป็นพิเศษตามไปด้วย หลี่เจี้ยนฮุยวาดภาพอนาคตที่สดใสให้หนิงซีฟังก่อน จากนั้นจาระไนนโยบายผลตอบแทนสารพัดของบริษัทจิ่วจี๋ แล้วค่อยสรุปปิดท้ายว่า “มาอยู่กับจิ่วจี๋ คุณไม่เสียใจภายหลังเด็ดขาดครับ”
เสียใจภายหลังก็เปล่าประโยชน์ ถึงยังไงก็เซ็นสัญญาแล้ว
จางชิงอวิ๋นเห็นท่าทางของเจ้าของบริษัทก็รู้ว่าพอใจนักแสดงที่เซ็นสัญญาเข้าสังกัดหนนี้มาก เขาแอบโล่งอกเหมือนกัน เพราะไม่นานมานี้นักแสดงหญิงที่บริษัทเพิ่งดันขึ้นมาได้ไม่นานมีข่าวฉาวแพร่ออกไป นอกจากชื่อเสียงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแล้ว ยังเป็นต้นเหตุให้บริษัทพลอยเสียรังวัดในวงการ ถ้าตอนนี้ปั้นคนใหม่ที่เป็นหน้าเป็นตาได้สักคน บริษัทของพวกเขาก็กู้หน้าคืนได้นิดหน่อย
“คุณมีประสบการณ์ถ่ายแบบมาก่อน ไม่ถือว่าเป็นพวกหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยซะทีเดียว…” หลี่เจี้ยนฮุยคิดๆ แล้วถามจางชิงอวิ๋น “ละครที่ช่วงก่อนบริษัทเราให้ทุนสร้างเรื่องนั้นน่ะ กำหนดตัวนักแสดงหญิงครบแล้วหรือยัง”
จางชิงอวิ๋นเข้าใจความหมายของเจ้าของบริษัท เวลานี้ไม่สำคัญว่าจะกำหนดคนครบแล้วหรือยัง อย่างไรก็ต้องเตรียมสักบทให้หนิงซีเล่น ตอนนี้เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของหนิงซี ย่อมต้องอยากให้เจ้าของบริษัทส่งเสริมคนของตัวเองมากๆ อยู่แล้ว เขาตอบทันที “บทนางเอกกำหนดคนแล้ว ส่วนบทนางรองสองคนก็มีตัวเลือกแล้ว แค่ยังตกลงเรื่องสัญญาไม่ลงตัวครับ”
ในค่ายของพวกเขาไม่มีนักแสดงหญิงที่เหมาะกับบท เลยได้แต่ร่วมงานกับนักแสดงหญิงค่ายอื่น ตอนเซ็นสัญญาจึงเจรจากันไม่ง่ายแบบคนของค่ายตัวเอง
“ในเมื่อยังคุยกันไม่ลงตัวก็เลิกคุย คุณลองดูสองบทนี้ว่าบทไหนเด่นกว่าก็เตรียมให้หนิงซี” หลี่เจี้ยนฮุยพูดจบแล้วหันหน้าไปมองหญิงสาว “ผมดูประวัติของคุณแล้ว คุณได้เกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เมืองนอก แต่เข้าวงการบันเทิง ครอบครัวไม่คัดค้านหรือครับ”
หนิงซีชะงักมือที่กุมถ้วยน้ำชานิดหนึ่ง เธอเม้มมุมปากพูดยิ้มๆ “คุณพ่อคุณแม่ฉันเสียหมดแล้ว ดังนั้นไม่มีใครคัดค้านฉันหรอกค่ะ”
“ผมเสียใจด้วยนะครับ” หลี่เจี้ยนฮุยประสานมือวางบนโต๊ะทำงาน ปีนี้หนิงซีเพิ่งยี่สิบสามปี คิดไม่ถึงว่าพ่อแม่จะจากโลกนี้ไปแล้วหรือนี่
เธอคลี่ยิ้มคล้ายไม่ใส่ใจที่อีกฝ่ายถามไม่ถูกกาลเทศะ
หลังออกจากห้องของท่านประธาน จางชิงอวิ๋นยื่นบทละครสองเล่มให้เธอ “นี่เป็นบทของนางรองสองคน คุณเลือกบทหนึ่ง”
เธอเพิ่งเข้าบริษัทก็เลือกบทได้เองแล้ว หนิงซีรู้สึกว่าตัวเองจัดอยู่ในกลุ่มโชคดีของบรรดาเด็กใหม่เหมือนกัน
หน้าแรกของบทละครเป็นการแนะนำตัวละคร นางรองคนแรกเป็นลูกสาวเศรษฐีในยุคหมินกั๋ว[1] ส่วนนางรองคนที่สองเป็นลูกสาวชาวนาธรรมดาๆ สุดท้ายหนิงซีเลือกบทลูกสาวเศรษฐีโดยไม่ลังเลสักนิด
“ทำไมเลือกบทนี้ครับ” จางชิงอวิ๋นเห็นเธอตัดสินใจได้เร็วขนาดนี้ก็ประหลาดใจอยู่บ้าง นางรองสองตัวมีบทพอๆ กัน ถ้าพูดจากบางมุม บทนางรองคนที่สองรันทดกว่านิดหน่อย
“เพราะเครื่องแต่งกายของลูกสาวคนรวยสวยกว่าลูกสาวชาวนาน่ะสิคะ” หนิงซีหยิบบทละครของนางรองคนแรกพลางบอกยิ้มๆ “คนดูส่วนใหญ่ชอบดูรูปลักษณ์ ชุดในละครสวยช่วยบวกคะแนนให้หน้าตาได้ ถ้าเสื้อผ้าดูไม่ได้ หน้าตาก็ติดลบไปด้วยค่ะ”
อีกอย่าง แก่นแท้ของคนล้วนเป็นพวกวัตถุนิยม ลูกสาวเศรษฐีมักดูมีรัศมีบารมีมากกว่าลูกสาวชาวนา
“ที่คุณพูด…ดูคล้ายมีเหตุผลดีครับ” จางชิงอวิ๋นหาคำพูดแย้งกลับไม่ได้ แต่ก็ไม่คัดค้านหนิงซี เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายไปหาทีมงานละคร
หลังคุยโทรศัพท์จบ เขาบอกเธอ “คุณกลับไปแล้ว อ่านบทให้ละเอียดสักหน่อย อีกสองวันผมจะพาคุณไปที่กองถ่าย บริษัทจัดผู้ช่วยให้คุณคนหนึ่ง ถึงตอนนั้นเธอจะตามไปดูแลคุณตลอดเวลา”
หนิงซีพยักหน้าลุกจากโซฟา “งั้นตอนนี้ฉันขอกลับไปอ่านบทก่อนนะคะ”
“รอเดี๋ยวครับ” จางชิงอวิ๋นหยิบกุญแจรถ “ผมไปส่งคุณเอง”
กลับถึงที่พัก พัสดุด่วนที่เธอส่งจากเมืองนอกกลับประเทศเมื่อหลายวันก่อนมาถึงแล้ว ด้วยเหตุนี้จางชิงอวิ๋นต้องทำหน้าที่เป็นคนงานแบกของขึ้นไปที่ห้องให้เธอด้วย
“ขอบคุณนะคะพี่จาง” หนิงซียิ้มกว้างพลางเปิดตู้เย็น “คุณอยากได้กาแฟหรือเครื่องดื่มอะไรดี”
“น้ำเปล่าก็พอครับ” จางชิงอวิ๋นนั่งลงบนโซฟา เห็นผลไม้สดใหม่จานหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านข้างก็ถาม “คุณอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง คุ้นเคยไหมครับ”
“ก็ดีค่ะ” หนิงซีรินน้ำเปล่าแก้วหนึ่งจากห้องครัว
“ตอนนั้นที่เซ็นสัญญากับคุณ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยดังระดับโลก” จางชิงอวิ๋นมองสาวสวยที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะข้างโซฟา “หรือคุณไม่เคยคิดอยู่ที่เมืองนอกครับ”
“อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันค่ะ” หนิงซีวางแก้วน้ำลงตรงหน้าเขา แย้มยิ้มอย่างสบายอารมณ์ “ฉันต้องขอบคุณคุณกับพี่หลิวด้วยนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณสองคน ฉันคงไม่ได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทดีขนาดนี้”
จางชิงอวิ๋นยกน้ำขึ้นจิบอึกหนึ่ง อุณหภูมิน้ำดื่มได้สบายปาก เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณนะครับ” เขาชูแก้วไปทางหนิงซี
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันค่ะ” หนิงซีชูแก้วน้ำส้มขึ้นแสดงความยินดีกลับ
ประกายรักลายเมฆ เป็นละครโทรทัศน์ที่ค่ายจิ่วจี๋ลงทุนสร้างเอง ตั้งแต่ผู้กำกับไปจนถึงคนเขียนบทล้วนมีชื่อเสียงพอสมควรในวงการจอแก้วทั้งสิ้น พระเอกคือโจวเจิ้งชวนที่เพิ่งคว้ารางวัลนักแสดงนำชาย ส่วนนางเอกคือจูเจียเฟยที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ คนในวงการเลยมองกันว่าเรตติ้งของละครเรื่องนี้ต้องไปได้สวย
ละครเริ่มเปิดกล้องได้ไม่นาน ทุกคนได้ยินว่านางรองจะเริ่มเข้ากองถ่ายเร็วๆ นี้แล้ว พากันอยากรู้อยากเห็นบ้างประมาณหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนที่มาจะเป็นดาราคนไหน
บุคลิกของนางรองในละครเป็นคุณหนูลูกเศรษฐีที่สวยสง่า เธอชอบพระเอก แต่พระเอกกลับชอบนางเอกผู้ใสบริสุทธิ์ดุจหยาดน้ำค้าง
ยุคนี้ทำละครแนวรักๆ ใคร่ๆ จนเกร่อ ประเภทฉันรักเธอ เธอรักเขา แต่เขาดันไปรักอีกคน แล้วค่อยสอดแทรกความอาฆาตพยาบาท มิตรภาพกับศัตรู หรือความแค้นใหญ่หลวงของประเทศชาติบ้างพอเป็นกระสาย ได้หนุ่มหล่อสาวสวยมาแสดงก็กลายเป็นละครสุดเศร้าเคล้าน้ำตาเรื่องหนึ่งได้แล้ว
ท่ามกลางละครมากมายก่ายกอง ถ้าอยากไปรอด กระแสดี เรตติ้งสูง ก็ต้องทุ่มเทตั้งแต่บท ฉาก เสื้อผ้าหน้าผม นักแสดง การตัดต่อ รวมไปถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่ผ่านมาค่ายจิ่วจี๋ลงทุนผลิตละครหลายเรื่องแล้ว ทั้งกระแสและเรตติ้งไม่เลวนัก ดังนั้นคนในวงการจึงจับตามองละครเรื่องนี้กันมาก และมีนักแสดงอยากเล่นละครเรื่องนี้กันไม่น้อย
เจ็ดโมงเช้าเป็นเวลาที่อุณหภูมิไม่สูงเกินไป กองละครฉวยจังหวะนี้เร่งถ่ายทำกันเต็มที่ พอถึงตอนอากาศร้อน ทุกคนก็ได้พักพอดี
ตอนนี้เองมีรถตู้สีดำคันหนึ่งจอดอยู่นอกกอง ทุกคนรู้ดีว่านางรองมาถึงแล้ว
ประตูรถตู้เปิดออก หญิงสาวผมยาวเคลียไหล่ใส่แว่นดำสีชาคนหนึ่งก้าวลงมา แม้ทุกคนยังเห็นหน้าตาไม่ถนัด แต่ดูจากหุ่นอ้อนแอ้นกับผิวขาวกระจ่างในชุดกระโปรงยาวดูโดดเด่นเป็นพิเศษแล้ว คาดเดากันว่าน่าจะเป็นสาวสวยคนหนึ่ง
หลังผู้ช่วยผู้กำกับพาเธอเข้าห้องแต่งตัวแล้ว ถึงมีคนกระซิบถาม “นางรองที่เพิ่งมาถึงเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นนักแสดงใหม่นะ”
คนดูแลฝ่ายฉากป้องปากลดเสียงลงพูดเบาๆ “เมื่อวานฉันได้ยินผู้กำกับบอกว่าดูคล้ายเป็นดาราหน้าใหม่ที่ค่ายจิ่วจี๋เตรียมดันเต็มที่”
“ค่ายนี้ดันดาราหน้าใหม่มาตั้งกี่คนแล้ว…” เพื่อนร่วมกองถ่ายพูดประโยคนี้แล้วเห็นคนเดินมา จึงกระดากใจที่จะเอ่ยต่อ ยิ้มๆ แล้วเลิกคุย
คนในวงการรู้กันทั้งนั้นว่าจิ่วจี๋ไม่มีดวงในการปั้นนักแสดงหญิง แต่เรื่องแบบนี้พูดกันอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ เกิดมีเสียงลือออกไปจะไม่ดีต่อทุกฝ่าย
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ผู้กำกับปรบมือแล้วบอกโจวเจิ้งชวน “เจิ้งชวน ฉากต่อไปถ่ายฉากคุณกับนางรอง นักแสดงใหม่ยังมีบางจุดไม่เข้าใจ คุณช่วยเป็นพี่เลี้ยงหน่อยนะ”
โจวเจิ้งชวนรับคำยิ้มๆ วันนี้ผู้จัดการส่วนตัวโทรศัพท์หาเขาตั้งแต่เช้าบอกว่ารุ่นน้องคนใหม่ในค่ายจะเข้ากองถ่าย ฝากให้เขาคอยดูแลด้วย
นักแสดงหญิงในบริษัทกับเขาไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน จะให้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงก็ไม่มีปัญหา ดังนั้นโจวเจิ้งชวนถึงตอบตกลงทันทีโดยไม่อิดออด
ไม่ถึงครู่หนึ่ง เขาได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง ยังมีเสียงผู้ช่วยผู้กำกับซักซ้อมบทกับใครบางคนดังแว่วๆ ก็เดาได้ว่ารุ่นน้องมาถึงแล้วจึงหันหน้าไป
ชั่วขณะที่โจวเจิ้งชวนมองไปนี้ เขาถึงกับตะลึงงัน
[1] เป็นช่วงเวลาที่จีนปกครองระบอบสาธารณรัฐตั้งแต่ปี ค.ศ.1912-1949