ลำนำล่มแคว้น – มัจฉาพรางประกาย
祸国·图璧
สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
หยกน้ำแข็ง แปล
Reine_beammer ปก
— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…
เจียงเฉินอวี๋ ธิดาคนเล็กของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นปี้ ผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉม สติปัญญา และเปี่ยมคุณธรรม กำลังจะได้วิวาห์กับบุรุษในดวงใจ แต่แล้ววาสนากลับถูกทำลายโดยราชโองการแต่งตั้งนางเป็นสนมของเจ้าแคว้นปี้
เพราะไม่ต้องการชะตากรรมเช่นนี้ นางจึงยื่นข้อเสนอขอเป็นผู้วางอุบายให้เจ้าแคว้นปี้แทน และได้รับคำสั่งให้ปลอมตัวติดตามคณะราชทูตที่เดินทางไปยังแคว้นเฉิง เพื่อกระทำภารกิจบางอย่าง
การตัดสินใจที่เป็นเพียงหนทางเดียวของนางในการพิสูจน์ตนเองครั้งนี้ กลับกลายเป็นโอกาสพลิกชะตากรรมของใต้หล้า และการเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวลึกลับซ่อนเงื่อนที่สั่นสะเทือนทั้งสี่แคว้น คนสำคัญทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตนาง ทั้งจีอิง เจาอิ่น เซวียไฉ่ อี๋เฟย เฮ่ออี้…ล้วนเข้ามาเติมเต็มชะตาชีวิตของนาง เติมเต็มหนทางสู่เกียรติยศอันสูงสุดที่นางไม่เคยนึกฝัน เติมเต็มตำนานแห่งสตรีผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงทั้งสี่แคว้น และหนึ่งในนั้น…เข้ามาเติมเต็มวาสนาของนางอีกครั้ง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
อดีตกาลรุ่งโรจน์แสนสนุก
เอกบุรุษอ่าองค์โอ่อวดอ้าง
แสนประเสริฐเลิศล้ำทั่วสรรพางค์
เพลาผ่าน โลกเปลี่ยนเป็นอาจิณ
สละแล้วทุกสิ่งที่ถือครอง
เพื่อปกป้องราชันย์แลเขตขัณฑ์
สร้างตำนานเกียรติคุณชั่วนิรันดร์
วิหคผันคืนชีพจากกองเพลิง
— เจียงเฉินอวี๋ —
ตอนที่ 1
เข้าวัง
ฤาชะตาเล่นตลก
ผวนผกแปรเปลี่ยนที่เคยฝัน
บุพเพรักสุดกำหนดแปรอนันต์
ใจจำนนแล้วไยยังหลั่งน้ำตา
ฤาอัสสุชลจักล้างความกำสรด
พันสารทสลดร้างจบความฝัน…
1.1
เฉินอวี๋
ลมบูรพาพัดหวีดหวิว ท้องฟ้าหม่นสลัว
ปุยหิมะเหมันต์จากราตรีก่อนให้ความรู้สึกหนาวเหน็บอย่างที่สุด มองผ่านรอยแยกของม่านเกี้ยวออกไปเห็นเพียงความหม่นทึม กำแพงที่โอบล้อมเป็นชั้นๆ ทำให้แม้แต่ต้นสนที่ไม่เคยเหี่ยวเฉาในฤดูเหมันต์ก็ยังดูซึมเซา ในวันเช่นนี้ ระเบียงทางเดินรับแสงต้องเร่งตามตะเกียงกันแต่หัววัน เมื่อมองไปไกลๆ จึงเห็นแสงไฟสีแดงทอดยาวคดเคี้ยว ราวกับไร้ที่สิ้นสุด
กำแพงสีชาดเหนือฐานศิลาขาวสองด้าน กระเบื้องแก้วหลิวหลี[1]สีทองถูกประดับจัดแต่งเป็นภาพงดงามอลังการ ลวดลายส่วนใหญ่มักเป็นมังกรหงส์ แม้จะดูยิ่งใหญ่ แต่กลับไร้ชีวิตชีวา
เจียงเฉินอวี๋คิด ให้อย่างไรข้าก็ไม่ชอบวังหลวงเอาเสียเลย
หากตอนที่มีราชโองการลงมา ผู้ที่ถูกเลือกมิใช่พี่สาว แต่เป็นนาง เจียงเฉินอวี๋ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตนจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ภายในวังลึกเช่นนี้ได้อย่างไร…โชคดีที่พี่สาวผู้เจนโลกเก่งพอ จึงได้เป็นที่โปรดปราน
คิดมาถึงตรงนี้ เกี้ยวพลันหยุดลง ตามมาด้วยเสียงดังมาจากด้านหน้า “ผู้ที่อยู่ในเกี้ยวใช่พี่สาวสกุลเจียงหรือไม่”
นางแย้มม่านมองออกไป เห็นใบหน้ายิ้มแฉล้มชะโงกเข้ามา “อ๊ะ! เป็นพี่เจียงจริงๆ ด้วย! วันนี้เจ้ามาหาเจียงกุ้ยเหริน[2]หรือ เหตุใดจึงไม่บอกข้าก่อนเล่า หากไม่บังเอิญเจอกันที่นี่ ข้าคงไม่รู้ว่าเจ้ามา…”
สาวน้อยพูดรัวเร็วเหมือนไข่มุกหลุดจากสาย นางอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี รูปร่างยังไม่โตเต็มที่ ใบหน้าธรรมดา ทว่ากิริยาไร้เดียงสา น่ารักไร้เล่ห์เหลี่ยม ดรุณีน้อยนางนี้มิใช่ใคร เป็นน้องสาวของปี้หวังคนปัจจุบัน องค์หญิงเจาหลวน
เจียงเฉินอวี๋รีบออกจากเกี้ยว เตรียมจะยอบกายคารวะ แต่เจาหลวนชิงดึงมือนางไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ระหว่างข้ากับเจ้าไยต้องมากพิธี ไหนๆ ก็บังเอิญเจอกันแล้ว ข้าไปหาเจียงกุ้ยเหรินกับเจ้าด้วยดีกว่า”
เจียงเฉินอวี๋มีหรือจะกล้าปฏิเสธ ทว่าด้านหลังองค์หญิงมีนางกำนัลติดตามสองคน ทั้งไม่มียานพาหนะมาด้วย เกรงว่าเกี้ยวของตนคงไม่พอให้คนนั่งเพิ่ม เจียงเฉินอวี๋จึงต้องตัดใจทิ้งเกี้ยว ลงเดินเท้า ระหว่างทางก็คุยกันไป สองข้างทางมีนางกำนัลคอยทำความเคารพเป็นระยะ
“เหตุใดองค์หญิงจึงเสด็จมาถึงนี่ได้เพคะ”
“ข้าเพิ่งไปเฝ้าไท่โฮ่วมา ว่าจะไปพบพระเชษฐาที่ตำหนักหน้าก็เผอิญเจอเจ้าเสียก่อน จริงสิ ได้ยินว่าเดือนก่อนพี่สาวปักปิ่น[3] เสียดายที่ข้าไม่ได้ไปร่วมพิธี เราไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้ว พี่สาวสวยกว่าที่ข้าจำได้เสียอีก” เจาหลวนพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกสะท้อนใจ “บนโลกนี้คงมีแต่เจ้า เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นปี้เราที่คู่ควรกับนามเฉินอวี๋[4]”
เจียงเฉินอวี๋หน้าแดง เอ่ยเสียงเบา “องค์หญิงรับสั่งเช่นนี้จะทำให้หม่อมฉันอายุสั้น ยังไม่ต้องพูดถึงที่อื่น ลำพังแค่ในวังหลวง ความสูงศักดิ์ของเซวียหวงโฮ่ว ความสง่างามของจีกุ้ยผิน[5] เท่านี้ก็ทิ้งห่างหม่อมฉันไปไกลโขแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…ซีเหอฟูเหริน นางต่างหากที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งที่เลื่องลือไปทั้งสี่แคว้น”
ใบหน้าของเฟยหลวนฉายแววเดียดฉันท์ แค่นเสียงทีหนึ่ง “สนมปีศาจนั่นน่ะรึ เจ้าอย่าพูดถึงนางเลย พูดขึ้นมาแล้วข้าหงุดหงิด นางช่างกลัวฟ้าดินจะไม่วุ่นวายจริงๆ ไม่เคยอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงต้องไปพบพระเชษฐาที่ตำหนักหน้า เพราะนางก่อเรื่องอีกแล้ว!”
เจียงเฉินอวี๋ชะงักเล็กน้อย ขณะที่ยังมึนงง เจาหลวนก็ดึงนางเดินไปทางประตูอวี้หฺวา ชี้ไปยังตำหนักจิ่งหยางที่อยู่ไกลออกไป “นั่น เจ้าดูสิ”
ทอดสายตาผ่านเสาหยกสลักลายบนระเบียงชมทัศน์ เห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนบันไดนอกประตูตำหนัก
สภาพอากาศขมุกขมัวทำให้บรรยากาศโดยรอบเป็นสีเทาโศก มีเพียงนางที่สวมเสื้อคลุมขนเตียวสีขาวปลอด เมื่ออยู่ในสถานที่เช่นนี้ จึงดูขาวเจิดจ้าจนทิ่มแทงนัยน์ตา ขาวจนสะท้านวิญญาณ
แม้อยู่ไกลจนเห็นหน้าไม่ชัด ทว่าเรือนร่างที่โดดเด่นเช่นนั้นก็ทำให้เจียงเฉินอวี๋เดาได้ว่าจะต้องเป็นซีเหอฟูเหรินอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหตุใดนางจึงมาคุกเข่าอยู่ที่หน้าตำหนักหรือเพคะ”
มุมปากของเจาหลวนยกสูงขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงดูแคลน “แผนทรมานสังขารน่ะสิ นางถูกทำให้น้อยเนื้อต่ำใจ เลยอยากเอาคืน”
เจียงเฉินอวี๋อึ้งไปเล็กน้อย อดคิดไม่ได้ ใต้หล้ายังมีคนกล้าทำให้สตรีผู้นี้ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจด้วยหรือ
นางได้ยินได้ฟังเรื่องของซีเหอฟูเหรินมาไม่น้อย เหตุผลมิใช่อะไรอื่น เป็นเพราะพี่สาวของนางเห็นสตรีผู้นี้เป็นศัตรูตัวฉกาจ ทั้งยังชิงชังอีกฝ่ายยิ่งนัก สกุลเจียงจึงพลอยเห็นซีเหอฟูเหรินเป็นสัตว์ร้ายในน้ำครำ คอยคิดหาวิธีอยู่ตลอดว่าจะกำจัดหินขวางเท้าก้อนนี้อย่างไร
แต่คิดก็ส่วนคิด เพราะไม่เคยมีโอกาสให้ลงมือ ในเมื่อเวลานี้ซีเหอฟูเหรินกำลังเป็นที่โปรดปราน ย่อมมีต้นทุนที่จะทำให้หวงตี้ “ทอดทิ้งสามพัน ปฏิพัทธ์เพียงหนึ่ง”[6] ถึงขั้นเมื่อรู้ว่าซีเหอฟูเหรินชื่นชอบแก้วหลิวหลี ฝ่าบาทก็สั่งให้คนสร้างตำหนักหลิวหลีขึ้นมาให้นางโดยเฉพาะ ตั้งแต่กระเบื้องถึงกำแพง ตั้งแต่หน้าต่างถึงบานประตู ทั้งพื้น ราวกั้น ล้วนทำจากแก้วหลิวหลี รัศมีแพรวพราว วิจิตรงดงามเป็นที่สุด
ความหรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้ย่อมทำให้เหล่าขุนนางไม่พอใจ พากันยื่นฎีการ้องเรียน ทว่าสตรีที่ถูกร้องเรียนกลับยังทำตัวหยิ่งผยอง ไม่มีความยับยั้งชั่งใจแม้แต่น้อย
“เฮอะ นางจองหองถือดีถึงเพียงนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกรรมตามสนอง คอยให้ฝ่าบาทหมดความสนพระทัยในตัวนาง สิ้นความโปรดปรานเมื่อใดเถอะ ความมั่งมีศรีสุขที่นางได้รับในวันนี้จะต้องถูกทวงคืนไปทีละอย่าง”
เจียงเฉินอวี๋ยังคงจำสีหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของพี่สาวในยามนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเห็นสตรีผู้นี้คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักท่ามกลางอากาศหนาวจัดในวันนี้ เจียงเฉินอวี๋กลับรู้สึกเศร้าสลดใจ
…ที่แท้วังหลวงก็มิใช่สถานที่ที่ดีเลยจริงๆ
“แต่เกรงว่าครั้งนี้คงเอาคืนไม่ได้ ต่อให้คุกเข่าไปก็เปล่าประโยชน์” เจาหลวนเอ่ยอย่างสาสมใจ ไม่รู้ซีเหอฟูเหรินไปล่วงเกินนางเรื่องใด เจาหลวนจึงได้จงเกลียดจงชังอีกฝ่ายถึงเพียงนี้
เจียงเฉินอวี๋หันหลังกลับ “เราไปกันเถอะเพคะ”
“เอ๋? จะไปแล้วหรือ ข้ายังดูไม่พอเลย ยากนักกว่าจะได้เห็นคราวเคราะห์ของสนมปีศาจ…” เจาหลวนบ่นอย่างไม่ชอบใจแต่ยังคงเดินตามไป ปากก็พูดไม่หยุด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าครั้งนี้ผู้ที่นางไปล่วงเกินเข้าก็คือหวงโฮ่ว”
เจียงเฉินอวี๋ตกใจ เอ๋?
พูดถึงเซวียหวงโฮ่ว นางมีชาติกำเนิดสูงส่งยิ่ง เนื่องจากเป็นธิดาของจ่างกงจู่[7]ในแผ่นดินก่อน จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เซวียไหฺวผู้เป็นบิดาของหวงโฮ่วเป็นทหารมาครึ่งค่อนชีวิต ตั้งแต่ทักษิณจรดลำน้ำ ตั้งแต่อุดรจรดขุนเขา เขาเป็นผู้ทำให้อาณาเขตของแคว้นปี้แผ่ขยายออกไปเป็นเท่าตัว อดีตหวงตี้จึงมอบนาม “แม่ทัพเทพฮู่กั๋ว”[8] ให้แก่เขา เซวียหวงโฮ่วเป็นคนรักสงบ นิสัยโอบอ้อมอ่อนโยน เมตตาต่อสนมนางในทุกคน จิตใจใฝ่ธรรม มิใคร่สนใจเรื่องของฝ่ายใน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เคยมีเรื่องริษยาหึงหวง แล้วครั้งนี้ซีเหอฟูเหรินเกิดไปมีเรื่องล่วงเกินนางได้อย่างไร
ไม่คอยให้นางถาม เจาหลวนก็เล่าออกมาเองอย่างละเอียดยิบ
ที่แท้หวงโฮ่วเพิ่งกลับมาจากไปไหว้พระขอพร ขณะผ่านสะพานอุโมงค์เชื่อม เกิดไปเจอกับรถม้าของซีเหอฟูเหรินเข้า ตามหลักแล้วสนมควรเป็นฝ่ายหลีกทางให้หวงโฮ่ว แต่ซีเหอฟูเหรินกลับไม่ยอม ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งกันอยู่เช่นนั้น เดิมด้วยนิสัยของหวงโฮ่วย่อมไม่ถือสานาง แต่บังเอิญว่าเซวียไฉ่หลานชายวัยเจ็ดขวบของหวงโฮ่ว ผู้ได้รับการเรียกขานว่ากุมารเทพอันดับหนึ่งแห่งแคว้นปี้ก็อยู่บนรถด้วย พอเขาเห็นอาหญิงถูกหมิ่นเกียรติ ก็หัวเราะเสียงเย็น ตวาดออกมาจากในรถ “เป็นแค่นกกระจอก กลับขวัญกล้ามาขวางทางนางหงส์หรือ” กล่าวจบ เขาก็ดึงแส้ม้ามาจากมือสารถี ฟาดใส่ม้าของซีเหอฟูเหรินอย่างแรงทีหนึ่ง พอม้าเจ็บก็ยกขาหน้าขึ้นทันที ส่งผลให้รถของซีเหอฟูเหรินพลิกตกลงไปในทะเลสาบทั้งรถทั้งคน
เจาหลวนหัวเราะคิกคัก “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสนมปีศาจจะมีวันนี้! โอ๊ย เซวียไฉ่น้อยช่างน่ารักนัก ได้ใจคนไปทั้งดวง”
เจียงเฉินอวี๋ต้องเม้มปากกลั้นหัวเราะ นางเคยได้ยินชื่อเสียงของเซวียไฉ่มาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน
เด็กคนนี้เป็นที่สนใจของชาวเมืองหลวงมาตั้งแต่เกิด เจ็ดปีที่ผ่านมา เขายิ่งโตยิ่งโดดเด่น สามขวบรู้หนังสือ สี่ขวบแต่งกลอนได้ ห้าขวบยิงธนูล้มเสือต่อหน้าพระพักตร์ หกขวบเป็นทูตแคว้นปี้ไปเยือนแคว้นเยียน เยียนหวังเห็นเขาแล้วยังหัวเราะ “แคว้นปี้ไม่มีใครแล้วหรือ จึงได้ส่งเด็กมาเป็นราชทูต” เซวียไฉ่ตอบ “เยียนเปรียบดังหยกล้ำค่าในหมู่แว่นแคว้น ส่วนกระหม่อมคือหยกล้ำค่าท่ามกลางกลุ่มชน สองสิ่งนี้จึงคู่ควรกัน เช่นนี้มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ” เยียนหวังชอบใจยิ่งนัก จึงมอบหยกแกะสลักพันปีชื่อ “ปิงหลี”[9] ให้ พลางเอ่ยอย่างทอดถอน “หยกงามเป็นหนึ่งในหล้า ย่อมควรค่ากับบุคคลที่โดดเด่นหาใดเทียมเช่นเจ้า”
นับแต่นั้น ฉายาคุณชายปิงหลีจึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งสี่แคว้น[10]
เวลานี้เขาออกหน้าแทนหวงโฮ่ว ทำให้ม้าของซีเหอฟูเหรินตกใจ เป็นเหตุให้นางตกลงไปในทะเลสาบในสภาพน่าอเนจอนาถยิ่งนัก ด้วยนิสัยของซีเหอฟูเหริน นางไม่มีทางวางมือปล่อยให้เรื่องจบลงง่ายๆ เช่นนั้นแน่
“กลัวอะไร” เจาหลวนไม่แยแส “เซวียไฉ่น้อยเป็นแก้วตาดวงใจของไท่โฮ่ว แม้แต่พระเชษฐาก็ไม่มีทางกล้าทำอะไรเขาหรอก”
ระหว่างที่กำลังคุยกัน พวกนางก็เดินมาถึงตำหนักจยาหนิง ปี้หวังคนปัจจุบันยังหนุ่มแน่น เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน สนมนางในตำหนักหลังจึงมีไม่ถึงร้อยคน ถัดจากหวงโฮ่วลงไปคือสามภรรยาเอก ได้แก่ กุ้ยผิน ฟูเหริน กุ้ยเหริน สามตำแหน่ง แยกกันพำนักอยู่ที่ตำหนักตวนเจ๋อ ตำหนักเป่าหฺวา และตำหนักจยาหนิงตามลำดับ ถัดลงไปคือเก้าสนมชั้นผิน[11] เหม่ยเหริน และไฉเหริน ทว่าก็เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ ยังไม่เคยมีการแต่งตั้งอย่างแท้จริง พี่สาวของนาง เจียงฮว่าเย่ว์ ได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหริน พำนักอยู่ที่ตำหนักจยาหนิง
เทียบกับตำหนักเป่าหฺวาซึ่งเป็นตำหนักแก้วหลิวหลีอันตระการตาแล้ว ตำหนักจยาหนิงดูเรียบง่ายกว่ามาก หน้าเรือนปลูกต้นล่าเหมยสามต้น ดอกสีเหลืองขนลูกห่านบานสะพรั่งอย่างเงียบสงบ นางกำนัลที่อยู่หน้าระเบียงรีบออกมาต้อนรับ ยอบกายคารวะพลางรับเสื้อคลุมไป “กุ้ยเหรินกำลังบ่นถึงอยู่เลยเจ้าค่ะ ว่าเหตุใดคุณหนูจึงยังไม่มาเสียที”
“อาการป่วยของพี่สาวดีขึ้นหรือไม่”
“ดีขึ้นเยอะแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง จึงไม่อยากลุกขึ้นมาเดินเหิน รีบเข้าไปข้างในก่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางกำนัลแหวกผ้าม่าน นำทั้งสองเข้าไปด้านใน ภายในห้อง สตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ในกองผ้านวม กำลังกินยาจากมือนางกำนัล คิ้วตาเรียวงาม ผิวพรรณผุดผ่อง รูปโฉมงามสะคราญยิ่งนัก
เจาหลวนสูดจมูกฟุดฟิด ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ยานี่ทำจากอะไรหรือ หอมจริง! ขอข้าชิมบ้างสิ”
เจียงฮว่าเย่ว์ยิ้มบางๆ “องค์หญิงรับสั่งเหลวไหลอีกแล้ว ยาจะกินส่งเดชได้อย่างไรเพคะ”
เจาหลวนก้าวออกไปคว้ามือนางแกว่งไปมา น้ำเสียงออดอ้อน “ข้าถึงว่าว่าเหตุใดกลิ่นกายกุ้ยเหรินจึงได้หอมนัก ที่แท้เป็นเพราะกินยานี้นี่เอง กุ้ยเหรินมีของดีซ่อนไว้ ไม่ยอมให้ข้าบ้าง”
เจียงฮว่าเย่ว์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางหันไปเอ่ยกับน้องสาว “เจ้าพาตัวตลกมาด้วยทำไม” เจียงเฉินอวี๋เม้มปากกลั้นยิ้ม ไม่ตอบอะไร คิดในใจว่า สมแล้วที่เป็นพี่สาว แม้แต่องค์หญิงก็ยังเอาอยู่ เทียบกันแล้ว ซีเหอฟูเหรินสู้ไม่ได้เลยจริงๆ
เจาหลวนเล่าเรื่องที่ซีเหอฟูเหรินตกทะเลสาบอย่างออกรสออกชาติซ้ำอีกครั้ง พี่สาวฟังแล้ว ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ “ซีเหอฟูเหรินคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักหรือ”
“ใช่สิ คาดว่าตอนนี้ก็ยังคุกเข่าอยู่ที่นั่น”
เพิ่งคุยถึงตรงนี้ นางกำนัลคนหนึ่งรีบร้อนมาขอพบ พอเข้ามา นางก็โน้มตัวกระซิบข้างหูเจาหลวน สีหน้าของเจาหลวนเปลี่ยนไปทันที “ว่าอย่างไรนะ เจ้าพูดจริงหรือ”
เจียงฮว่าเย่ว์อดถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
เจาหลวนเต้นผางทันที “จบกันๆ ข้าว่าแล้วว่านางสนมปีศาจนั่นทำได้ทุกอย่าง เดิมคิดว่าครั้งนี้นางต้องถึงคราวเคราะห์แน่ คิดไม่ถึงว่านางยังมีลูกไม้ซ่อนไว้ คราวนี้แย่แน่!”
เจียงฮว่าเย่ว์กับเจียงเฉินอวี๋แลกเปลี่ยนสายตากัน เจียงฮว่าเย่ว์เอ่ยเสียงนุ่ม “องค์หญิงอย่าเพิ่งร้อนพระทัย ค่อยๆ เล่ามาก่อน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเพคะ”
“ที่แท้วันนี้ซีเหอฟูเหรินอัญเชิญราชโองการออกจากวังไปทำธุระ”
ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา ไม่เพียงเจาหลวน แม้แต่เจียงฮว่าเย่ว์ยังหน้าเปลี่ยนสี “อะไรนะ ราชโองการ?”
“พระเชษฐามีพระประสงค์จะแต่งตั้งเวิงเหยียนรุ่ยเป็นพระอาจารย์ เหยียนรุ่ยเคยเป็นอาจารย์ของบิดาสนมปีศาจสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้สนมปีศาจจึงอัญเชิญราชโองการแต่งตั้งไปให้เขาด้วยตนเอง ไม่คิดว่าจะเจอกับหวงโฮ่วที่สะพานอุโมงค์เชื่อม และถูกเซวียไฉ่น้อยใช้แส้ฟาดจนตกทะเลสาบ…”
เจียงฮว่าเย่ว์ถอนหายใจเบาๆ “หากเป็นยามปกติคงไม่เป็นไร แต่นี่มีราชโองการอยู่ด้วย ราชโองการเป็นตัวแทนของฝ่าบาท เท่ากับล่วงเกินเบื้องสูง มีโทษถึงประหารชีวิต”
“โอ๊ยๆๆ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ข้าก็ว่าเหตุใดนางจึงเอาแต่คุกเข่าอยู่หน้าตำหนัก ตามปกติพระเชษฐาน่าจะปวดพระทัยออกมาประคองนางด้วยพระองค์เองนานแล้ว เกรงว่าตอนนี้พระเชษฐาก็คงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงได้แต่ยื้อเวลา ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า ไม่ได้การ เรื่องนี้ข้าจะดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ข้าต้องไปหาพระเชษฐนี ดูว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร” เจาหลวนเอ่ยพลางจากไปอย่างรีบร้อน
เจียงฮว่าเย่ว์คว้ามือน้องสาว ลุกขึ้นยืน “ไป เราไปดูกัน”
เจียงเฉินอวี๋รีบดึงนางไว้ เอ่ยเสียงเบา “พี่สาว เรื่องนี้จะเป็นเช่นใดก็สุดรู้ เลี่ยงไว้ก่อนมิดีกว่าหรือ”
เจียงฮว่าเย่ว์ยิ้มบางๆ ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนาง “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ก็เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นใด ถึงได้เป็นโอกาสเหมาะอย่างไรเล่า” นางสั่งให้คนช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า หวีผมแต่งตัวอย่างง่ายๆ ก่อนออกไปยังตำหนักเอินเพ่ย ที่ประทับของหวงโฮ่ว คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะได้ยินคนพูดกันว่าหวงโฮ่วรุดไปที่ตำหนักจิ่งหยางแล้ว พวกนางจึงเปลี่ยนไปที่ตำหนักจิ่งหยางแทน
[1] เครื่องแก้วโบราณชนิดหนึ่งที่เกิดจากศิลปะการหลอมคริสตัลสีที่มีความละเอียดอ่อนซับซ้อน มีความใสแวววาว หลากหลายสีสัน เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของจีนที่มีมานานนับพันปี
[2] “กุ้ยเหริน” แปลว่า ผู้ทรงเกียรติ คือตำแหน่งหนึ่งของสนม เป็นบาทบริจาริกาชั้นสูงสุด แต่ยังมีฐานะเป็นสามัญชน ไม่ถือว่าเป็นเจ้า สามารถแต่งตั้งกี่คนก็ได้
[3] พิธีซึ่งจัดเมื่อเด็กหญิงอายุครบ 15 ปี เพื่อแสดงว่าเป็นหญิงสาวเต็มตัว พร้อมออกเรือนได้
[4] ชื่อนี้มีความหมายว่า “มัจฉาจมวารี” เป็นคำที่พรรณนาถึงความงามของซีซือ (ไซซี) หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์จีน ว่างามจนปลาในน้ำตะลึงลานถึงกับลืมว่ายน้ำ
[5] “ผิน” คือตำแหน่งสนมเอก “กุ้ยผิน” เป็นการยกศักดิ์ฐานะให้สูงขึ้นมากว่าระดับ “ผิน” ปกติ ในแต่ละยุคสมัย การแบ่งลำดับชั้นสนมนางใน จะแตกต่างกันไป
[6] เป็นคำกล่าวที่กล่าวถึงจักรพรรดิหมิงเซี่ยวจงแห่งราชวงศ์หมิง ที่มีภรรยาเพียงคนเดียว คือฉางหวงโฮ่ว
[7] ยศที่โดยทั่วไปแต่งตั้งให้แก่พี่สาวคนโตของจักรพรรดิ หรือให้แก่องค์หญิงที่มีคุณงามความดี น้องสาว หรืออาหญิง
[8] แปลว่า แม่ทัพเทพพิทักษ์แผ่นดิน
[9] แปลว่า ผลึกแก้วน้ำแข็ง
[10] อ้างอิงจาก ลำนำล่มแคว้น-ลิขิตลายหงส์ บทที่ 13
[11] “จิ่วผิน” คือ เก้าสนมเอก แบ่งตามลำดับขั้น