ลำนำล่มแคว้น – มัจฉาพรางประกาย
祸国·图璧
สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
หยกน้ำแข็ง แปล
Reine_beammer ปก
— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…
เจียงเฉินอวี๋ ธิดาคนเล็กของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นปี้ ผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉม สติปัญญา และเปี่ยมคุณธรรม กำลังจะได้วิวาห์กับบุรุษในดวงใจ แต่แล้ววาสนากลับถูกทำลายโดยราชโองการแต่งตั้งนางเป็นสนมของเจ้าแคว้นปี้
เพราะไม่ต้องการชะตากรรมเช่นนี้ นางจึงยื่นข้อเสนอขอเป็นผู้วางอุบายให้เจ้าแคว้นปี้แทน และได้รับคำสั่งให้ปลอมตัวติดตามคณะราชทูตที่เดินทางไปยังแคว้นเฉิง เพื่อกระทำภารกิจบางอย่าง
การตัดสินใจที่เป็นเพียงหนทางเดียวของนางในการพิสูจน์ตนเองครั้งนี้ กลับกลายเป็นโอกาสพลิกชะตากรรมของใต้หล้า และการเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวลึกลับซ่อนเงื่อนที่สั่นสะเทือนทั้งสี่แคว้น คนสำคัญทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตนาง ทั้งจีอิง เจาอิ่น เซวียไฉ่ อี๋เฟย เฮ่ออี้…ล้วนเข้ามาเติมเต็มชะตาชีวิตของนาง เติมเต็มหนทางสู่เกียรติยศอันสูงสุดที่นางไม่เคยนึกฝัน เติมเต็มตำนานแห่งสตรีผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงทั้งสี่แคว้น และหนึ่งในนั้น…เข้ามาเติมเต็มวาสนาของนางอีกครั้ง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
1.2
เฉินอวี๋
เพิ่งจะพ้นประตูอวี้หฺวาก็เห็นคนมากมายยืนอออยู่หน้าตำหนักเต็มไปหมด ที่แท้บรรดาสนมแต่ละตำหนักต่างรีบเร่งมาที่นี่แล้ว พวกนางกำนัลกำลังประคองหวงโฮ่วซี่งมีสีหน้าซีดเผือดไว้ เจาหลวนยืนอยู่ข้างๆ พลางมองไปยังซีเหอฟูเหรินที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว เจียงเฉินอวี๋มองดูอย่างละเอียด แต่ไม่เห็นจีกุ้ยผินผู้งามสง่าคนนั้น ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เห็นเพียงหลัวกงกงหัวหน้าขันทีค้อมเอวอยู่ตรงหน้าซีเหอฟูเหริน เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “…ฟูเหริน ร่างกายท่านสูงส่งล้ำค่า มาตากอากาศหนาวในวันที่หนาวจัดเช่นนี้ไม่ดีเลย ได้โปรดลุกขึ้นเถิด…”
เจียงเฉินอวี๋เดินตามพี่สาวไป ใบหน้าของซีเหอฟูเหรินที่ดูเลือนรางค่อยๆ ชัดขึ้น ความงามดุจภาพวาดที่เค้าโครงอ่อนช้อยเริ่มแต่งแต้มสีสันจนเฉิดฉายสวยเด่น
คิ้วเรียวคือทิวเขาไกลกลางสายหมอกจาง สองเนตรคือปีกไหวกระพือดั่งมีชีวิต เรือนร่างลงลายเส้นด้วยหยาดน้ำฝน ริมฝีปากสีกลีบดอกไม้ฉ่ำน้ำค้าง…คือภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ชั่วขณะแรกยังเป็นสีขาวราบเรียบ ทว่าอึดใจต่อมากลับมีสีสันเจิดจรัสจนพร่าตา
ชั่วขณะนั้นคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นโบกผ่านตรงหน้านาง ทำให้ภาพพร่าเลือนพลันเปลี่ยนเป็นแจ่มชัด โลกมนุษย์ที่มีแต่สีขาวดำพลันสดใส เสน่ห์ตรึงใจและความวิไลตระการตาที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด ทำให้เกิดความหวั่นไหวในรูปโฉมของสตรีนางนี้
เจียงเฉินอวี๋สะท้านไปทั้งร่าง เกือบลืมไปว่าตนอยู่ที่ใด
ตั้งแต่เล็กจนโต คำที่นางมักได้ยินบ่อยที่สุดคือคำว่า “งาม” ทุกคนที่ได้พบนางล้วนอุทานไม่ขาดปากว่า “ธิดาคนเล็กสกุลเจียงช่างงามจริง” บ้างล่ะ “อา นี่คงจะเป็นเฉินอวี๋กระมัง ชื่อช่างสมตัวนัก งามปานวาด ไม่รู้ว่าสั่งสมบุญกุศลมากี่ภพกี่ชาติ” บ้างล่ะ
ครู่ก่อนหน้านี้ เจาหลวนก็เพิ่งจะชื่นชมความงามของนางอยู่หยกๆ ยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นปี้ แม้นางจะปฏิเสธทันทีอย่างถ่อมตัว แต่หากจะบอกว่าไม่รู้สึกภูมิใจเลยย่อมเป็นไปไม่ได้
ทว่าชั่วขณะนี้ แวบแรกที่ได้เห็นรูปโฉมของซีเหอฟูเหรินด้วยตาตนเอง เจียงเฉินอวี๋ราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดศีรษะ รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
สตรีผู้นี้ สตรีผู้นี้…เสน่ห์ตราตรึงนี้ ความงามตระการน่าหลงใหลนี้ โฉมวิไลสะกดใจนี้!
เหตุใดนางจึงเป็นที่สุดของทั้งหมดนี้ได้
เจียงเฉินอวี๋พลันรู้สึกอับอายในความด้อยกว่าของตนเอง
ได้ยินเสียงหลัวกงกง “ฟูเหริน ร่างกายท่านอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร คุกเข่านานๆ เช่นนี้ ภายหน้าหากเจ็บป่วยเรื้อรังขึ้นมาจะทำอย่างไร ขอท่านได้โปรดเห็นใจบ่าวเฒ่าที่ต้องมายืนอยู่เป็นเพื่อนท่านนานๆ ด้วยเถิด หากท่านไม่ยอมลุก ฝ่าบาทย่อมไม่ทรงยอมให้บ่าวเฒ่ากลับไปเช่นกัน…”
ในที่สุดซีเหอจึงเอ่ยปาก “หม่อมฉันบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่อาจรักษาราชโองการเอาไว้ได้ รู้สึกละอายใจต่อฝ่าบาท ต่อให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่สาสม จึงมาทูลขอให้ฝ่าบาทโปรดลงพระอาญา”
เสียงของนางมีเอกลักษณ์ ในความใสกระจ่างติดกระด้างนั้นเจือความเนิบเนือยทรงเสน่ห์ หางเสียงมีความเด็ดขาดทว่าอ้อยอิ่ง
“ไอ้หยา ฟูเหรินของบ่าว ฝ่าบาทจะตัดพระทัยลงพระอาญาท่านได้อย่างไร ขนาดคุกเข่า พระองค์ยังทรงทนให้ท่านคุกเข่าไม่ได้ ถึงได้มีพระบัญชาให้บ่าวเฒ่าออกมารับท่านเข้าไปข้างในมิใช่หรือ ท่านรีบลุกขึ้นเถิด…”
“หากฝ่าบาทไม่ลงพระอาญา หม่อมฉันจะไม่ลุกขึ้น” น้ำเสียงราบเรียบทว่ากลับทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความดึงดันเหนือสามัญ ซีเหอจ้องตรงไปข้างหน้าราวกับมองไม่เห็นผู้ใด มุมปากยกสูงขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มดื้อรั้นและเกียจคร้าน
เวลานี้ แม้แต่กงกงยังทำอะไรไม่ได้ เพราะท่าทีเช่นนี้ของนางบ่งชัดว่าตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำตอบจะไม่ยอมเลิกรา แม้จะบอกให้ลงโทษนาง แต่คนที่นางอยากเล่นงานจริงๆ มิใช่เซวียไฉ่หรอกหรือ หรือหากจะบอกว่านางจงใจเล่นงานเซวียไฉ่ นั่นย่อมเท่ากับพุ่งเป้าไปที่หวงโฮ่วมิใช่หรือ
เนื่องจากมีประเด็นราชโองการตกน้ำ ทำให้นางคว้าโอกาสงามนี้มาได้
มองไปทางหวงโฮ่ว สีหน้าของนางซีดเผือดยิ่งกว่า สุดท้ายเพียงยิ้มเศร้า คุกเข่าลงท่ามกลางเสียงร้องอุทานของนางกำนัลรอบตัว โดยเฉพาะเจาหลวน นางรีบยื่นมือไปประคองหวงโฮ่ว น้ำเสียงร้อนรน “พระเชษฐนี ทรงทำอะไร”
เซวียหวงโฮ่วมองไปทางซีเหอ เอ่ยเสียงหนักแน่น “หลานชายหม่อมฉันดื้อรั้นจองหอง ล่วงละเมิดราชโองการ เป็นเพราะหม่อมฉันด้อยการอบรม หากฝ่าบาทจะลงพระอาญา ขอทรงลงที่หม่อมฉัน เสียวไฉ่ยังเล็กนัก…” พูดมาถึงตรงนี้ นางก็สะอื้นจนเอ่ยคำว่า “ไม่รู้ความ” ไม่ออก
เจาหลวนได้ยินก็ยิ่งโกรธจัด นางถลึงตาใส่ซีเหออย่างดุดัน ทว่าซีเหอยังคงมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้างามล้ำเต็มไปด้วยแววเยาะหยัน ไม่แม้แต่จะเห็นหวงโฮ่วอยู่ในสายตา
เจียงเฉินอวี๋ลอบตกใจ อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งใดทำให้นางยโสโอหังได้ถึงเพียงนี้
ได้ยินว่าซีเหอฟูเหรินเกิดในตลาด บิดาชื่อเยี่ยหร่าน เป็นบัณฑิตสอบตก มารดาคือฟางซื่อ[1] เป็นแม่ค้าขายบะหมี่หาเลี้ยงชีวิต อาศัยว่ามีฝีมือในการทำบะหมี่จึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เวิงเหยียนรุ่ยถูกใจบะหมี่ของนางจึงยอมรับศิษย์ไม่เอาไหนอย่างเยี่ยหร่าน ภายหลังไม่รู้ว่าเยี่ยหร่านไปทำเช่นไรถึงได้กลายเป็นเหมินเค่อ[2]ของฉีอ้าวโหว[3] แม้กระนั้นความสามารถก็ยังอยู่ในระดับสามัญ วันๆ เอาแต่ดื่มสุราหลับอุตุ ฟางซื่อทนไม่ไหวจึงจบชีวิตตนเอง เยี่ยหร่านไม่เพียงไม่สำนึกซ้ำยังหนักข้อ ขายบุตรสาวของตนให้นายหน้าค้ามนุษย์เพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าสุรา ซีเหอจึงถูกซื้อตัวเข้าวังมาเช่นนี้ หลังจากนางเข้าวัง เยี่ยหร่านดื่มสุราเมามายจนพลัดตกน้ำเสียชีวิต นับจากนั้น ซีเหอก็กลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้จริง
แม้สตรีไร้กำพืดเช่นนี้จะอาศัยรูปโฉมเลิศล้ำจนเป็นที่โปรดปรานชั่วระยะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของกษัตริย์ยากนักที่จะยาวนาน แล้วเหตุใดนางจึงกล้าทำตัวกำเริบเสิบสาน ต้อนผู้อื่นจนมุมถึงเพียงนี้ จะไม่ยอมเหลือทางถอยให้ตนเองเลยเชียวหรือ
ในสายตาของเจียงเฉินอวี๋ผู้ได้รับการอบรมให้มีคุณงามความดี นอบน้อมถ่อมตน รู้รุกรู้ถอย นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก นางมองซีเหอฟูเหรินที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าก้าวด้วยหัวใจเต้นระทึก
ภายในตำหนักจิ่งหยางยังคงเงียบสงัด
นอกตำหนักจิ่งหยาง แต่ละคนล้วนมีสีหน้าท่าทีแตกต่างกันไป
ฟ้าหม่นลงเรื่อยๆ ลมหนาวพัดมาเป็นระลอกถี่ขึ้น ไม่รู้ว่านางกำนัลคนใดร้องว่า “อา หิมะตกแล้ว!”
เจียงเฉินอวี๋เงยหน้าขึ้น พบว่าปุยหิมะโปรยปรายลงมา
สภาพอากาศเช่นนี้ แม้แต่ยืนยังลำบาก หนาวจนมือเท้าแข็ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคุกเข่า เส้นผมของซีเหอฟูเหรินจับละอองเกล็ดน้ำแข็ง หรือจะบอกว่าหลังจากตกน้ำ นางก็ตรงดิ่งมาที่นี่ทันทีทั้งที่ผมยังไม่แห้ง?
หลัวกงกงหันไปสั่งการ ขันทีน้อยคนหนึ่งส่งร่มมาให้อย่างรวดเร็ว เขากางร่มเหนือศีรษะซีเหอฟูเหรินพลางอ้อนวอน “ฟูเหริน ท่านดูสิ หิมะตกแล้ว อีกไม่นานก็จะมืดค่ำ ท่านคุกเข่ามาหนึ่งชั่วยาม ต่อให้ร่างกายทำจากเหล็กก็ทนไม่ไหว บ่าวเฒ่าขอร้อง ได้โปรดลุกขึ้นเถิด”
ซีเหอไม่ขยับ
ทางด้านนี้ เจาหลวนก็เกลี้ยกล่อมหวงโฮ่ว “พระเชษฐนี เรื่องนี้มิใช่ความผิดของท่าน จะคุกเข่าไปเพื่อสิ่งใด ในเมื่อนางมีราชโองการอยู่กับตัว เหตุใดจึงไม่รีบบอก ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ว่ากันตามกฎแล้ว สนมควรเป็นฝ่ายเปิดทางให้หวงโฮ่ว พระเชษฐนี ท่านกับเซวียไฉ่ไม่ผิดเลย!”
เซวียหวงโฮ่งยิ้มขื่น ยังคงไม่ยอมลุกขึ้น
จึงกลายเป็นภาพที่ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่ง
การที่ปี้หวังรีรอไม่ยอมแสดงท่าที ทำให้เรื่องนี้ไม่ยุติ พลันเสียงหนึ่งดังมาแต่ไกล “เซวียไฉ่ล่วงละเมิดราชโองการ ขอน้อมรับผิด…”
ทุกคนเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กชายอายุเจ็ดขวบรีบรุดมา พอถึงหน้าตำหนัก เขาปรายตามองซีเหออย่างเย็นชา ก่อนจะคุกเข่าเสียงดังตึ้กข้างกายนาง
คราวนี้สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายหนัก เจาหลวนรีบก้าวออกไปดึงตัวเขาลุกขึ้น “เซวียไฉ่น้อย เจ้าทำอะไร รีบลุกขึ้น”
เซวียไฉ่สั่นศีรษะ ใบหน้าเนียนดุจหยกสลักเปี่ยมไปด้วยความดึงดัน ดวงตาสีดำวาวดุจไข่มุกจ้องตรงไปที่ประตูตำหนัก เอ่ยเสียงดังขึ้น “ผู้ใดทำ ผู้นั้นรับ ข้าเป็นคนตีม้า ทำร้ายคน อาหญิงไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่สกุลเซวียแม้ไม่มีความดีแต่ก็มีความชอบ อย่าได้ทรงเอาความผู้อื่น ขอให้ลงพระอาญากระหม่อมเพียงผู้เดียว เซวียไฉ่ขอบพระทัย!” เอ่ยจบ เขาก็โขกศีรษะกับพื้นดังตึ้กๆๆ
บันไดหยกขาวเย็นเยียบเสียดกระดูก เด็กน้อยโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าจนหน้าผากแตก เลือดไหลรินลงมาช้าๆ บดบังใบหน้าหล่อเหลางดงาม ดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก
เซวียไฉ่เป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้การที่เขาต้องโทษเช่นนี้ ทำให้หลายคนเห็นแล้วปวดใจอย่างมาก และยิ่งโกรธแค้นซีเหอที่ไม่ยอมละเว้นแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ส่วนซีเหอซึ่งคุกเข่าอยู่ใกล้ตัวเขา เห็นเซวียไฉ่โขกศีรษะแล้ว สายตาพลันฉายแววปรีดา เหมือนกำลังชมเรื่องสนุก สุดท้ายนางยิ้มบางๆ คล้ายกำลังเยาะหยันและพึงพอใจ ทั้งยิ่งทำเหมือนตนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เสียงหัวเราะของนางทำให้แววตาของเซวียไฉ่เปลี่ยนไปทันควัน เขาหันไปมองหญิงสาวด้วยแววตาสับสนก่อนลุกขึ้นยืนช้าๆ “เซวียไฉ่เข้าใจแล้ว เซวียไฉ่ขอใช้ความตาย คืนความบริสุทธิ์ให้วงศ์ตระกูล” กล่าวจบ เขาก็พุ่งศีรษะเข้าหาราวกั้นที่อยู่ด้านข้าง
เสียงหวีดร้องดังระงม
โชคดีที่แม้หลัวกงกงจะอายุมากแล้ว แต่ยังคงว่องไว เขาตะครุบตัวเซวียไฉ่ไว้ได้ทันท่วงที ด้วยเหตุนี้แม้เซวียไฉ่จะศีรษะกระแทกแผ่นศิลา แต่ก็เพียงแค่หมดสติไป
เซวียหวงโฮ่วขวัญเสีย สองขาอ่อนยวบแทบทรุด แต่ได้เหล่านางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ช่วยปลอบ ตามหลักเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ปี้หวังไม่น่าจะทนมองดูอยู่เฉยๆ ทว่าภายในตำหนักกลับยังคงเงียบกริบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เจียงเฉินอวี๋อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ จังหวะนี้เอง มีข้าหลวงคนหนึ่งวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างรีบร้อน เขาตะโกนรายงานเสียงดัง “ทูลฝ่าบาท ฉีอ้าวโหวมาถึงแล้ว เวลานี้รอเข้าเฝ้าอยู่นอกประตูพ่ะย่ะค่ะ”
มีเสียงดังมาจากในตำหนัก “เข้ามา” น้ำเสียงเสนาะหูเหมือนเม็ดเงินที่ไหลไปตามเส้นไหม น่าหลงใหลอย่างยิ่ง
ตอนนี้เอง ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าสาเหตุที่ฝ่าบาทรีรอ ไม่ยอมทำสิ่งใด เป็นเพราะกำลังคอยคุณชาย ขอเพียงคุณชายมาถึง ย่อมไม่มีปัญหาใดในใต้หล้าที่เขาแก้ไขไม่ได้ ใบหน้าของทุกคนฉายแววยินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียงเฉินอวี๋ ชั่วขณะนั้น หัวใจนางราวกับมีกวางน้อยวิ่งชนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าจะเอามือเท้าไปวางไว้ที่ใด
ฉีอ้าวโหว จีอิง
น้องชายแท้ๆ ของจีกุ้ยผิน เชื้อพระวงศ์ขั้นหนึ่ง แตกฉานหกศาสตร์[4] เพียบพร้อมเก้าทักษะ อายุยังน้อยแต่ชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นที่ชื่นชมของอดีตหวงตี้จนประทานสมญานามว่า “ฉีอ้าว”
“ฉีอ้าว” สองอักษรนี้ เดิมมาจากหนังสือรวมบทกวีเว่ยเฟิง ท่อนที่ว่า “คุ้งน้ำแดนฉีอ้าว ชอุ่มพราวต้นไผ่ บัณฑิตเลิศอำไพ พากเพียรศึกษา เพียบพร้อมจรรยา”
เจียงเฉินอวี๋เคยเห็นเขาไกลๆ ในงานเลี้ยงของบิดา นับแต่บัดนั้น นางก็ไม่เคยลืม ยามนี้ได้ยินว่าเขามา นางก็ทั้งเขินอายและคาดหวัง สายตาคอยจดจ้องจนเห็นชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินตามข้าหลวงเข้ามาทางประตูอวี้หฺวา
ความมืดมนรอบด้านพลันสลายไป
มีเพียงคนผู้นั้นที่เดินช้าๆ ทีละก้าวอย่างสุขุม ราวกับรัศมีเรืองรองที่เดินทางข้ามมาจากอดีตกาล
ประหนึ่งทุ่งหญ้าอันไพศาล พ่างมาภาพันหลี่
ประหนึ่งเขาสูงวิเวกดี หิมะมีขาวปลอดทอดยาว…
สีดำราวหมึก สีขาวดุจหยก นอกจากนี้ก็ไม่มีสีอื่นใดอีก
เรียบง่าย ใสพิสุทธิ์ แต่กลับสั่นสะเทือนวิญญาณ
คุณชายจีอิง
เป็นเขา เป็นเขาจริงๆ ข้าได้พบเขาอีกครั้งแล้ว
มือของเจียงเฉินอวี๋ที่อยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่นขึ้น เมื่อวานมารดายังเอ่ยยิ้มๆ “ด้วยรูปโฉมของเฉินอวี๋บ้านเรา คิดๆ ดูแล้ว ในแคว้นเราคงมีเพียงคุณชายอิงแห่งสกุลจีที่เหมาะสมคู่ควร สกุลเจียงเราดองกับสกุลเซวียและจีสองตระกูล กลายเป็นสามตระกูลขุนนางใหญ่แห่งแคว้นปี้ ศักดิ์ฐานะเสมอกัน เฉินอวี๋ ลูกเห็นว่าอย่างไร”
ตอนนั้นพี่สะใภ้ที่อยู่ข้างๆ ยังช่วยพูดด้วยว่า “ฉีอ้าวโหวมีเสน่ห์เพียงใด สตรีวัยออกเรือนทั่วทั้งเมืองหลวงมีคนใดบ้างที่ไม่คอยจ้องเขาตาเป็นมัน เฉินอวี๋ นี่เป็นการแต่งงานที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ขอเพียงเจ้าพยักหน้า เราจะไปเจรจาเรื่องแต่งงาน ต้องรีบดำเนินการเสียแต่เนิ่นๆ หาไม่แล้ว ผ่านไปอีกสองสามปี องค์หญิงเจาหลวนเจริญชันษา เจ้าย่อมไม่มีโอกาส”
บัดนี้นางกำลังเฝ้ามองชายหนุ่มที่มีแนวโน้มจะมาเป็นสามีของตนด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกจุ่มลงไปในสีย้อม สีสันเริ่มแทรกซึมแผ่ขยายออกไปช้าๆ
จีอิงเดินขึ้นบันได ผ่านข้างกายซีเหอ ตามข้าหลวงเข้าไปในตำหนักจิ่งหยาง ซีเหอก้มหน้าอยู่ตลอดจนกระทั่งประตูตำหนักปิดลง นางจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาดำสนิทลึกล้ำดุจอัญมณีเป็นประกายเข้มขึ้น ยากแยกแยะได้ว่ากำลังสุขหรือเศร้า ดูระคนปนเปจนมองไม่ออก
จีอิงเข้าไปข้างในประมาณหนึ่งถ้วยชา[5] หลัวกงกงก็ออกมาประกาศ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้หวงโฮ่วเข้าเฝ้า”
เซวียหวงโฮ่วหันไปมองซีเหอแวบหนึ่งก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปด้วยความประหม่า
[1] คำว่า “ซื่อ” หมายถึง สกุล โดยทั่วไปใช้ต่อท้ายแซ่ของหญิงที่ออกเรือนแล้ว เป็นธรรมเนียมการเรียกสตรีที่ออกเรือน เพื่อให้รู้ว่าเป็นสตรีที่แต่งมาจากสกุลใด และบางครั้งจะมีการวางแซ่ของฝ่ายสามีด้านหน้าแซ่ของฝ่ายหญิงด้วย เพื่อระบุให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าสตรีผู้นั้นแต่งเข้าสกุลใด
[2] เรียกบัณฑิตหรือผู้มีความสามารถที่ได้รับการอุปถัมภ์จากคนใหญ่คนโต เป็นลักษณะการเลี้ยงคนเก่งไว้ใช้งาน สร้างเสริมบารมีและอำนาจให้ตนเอง
[3] “โหว” คือบรรดาศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์และขุนนางลำดับที่ 3 จากหกลำดับอันได้แก่ หวัง กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน
[4] ความรู้และความสามารถ 6 ประการของบุรุษ ได้แก่ มารยาทพิธีการ คีตดนตรี ยิงธนู ขับรถม้า เขียนอักษร วิชาคำนวณ
[5] คือช่วงเวลาที่ชายังร้อนจนกระทั่งจิบหมดถ้วย ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10-15 นาที