[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 6 บทที่ 164 : แหล่งพลังงานกับแปลงทดลองเกษตร

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

— โปรย —
โทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จักนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอีกครั้ง
ของเหยียนเฟยและหลัวซวิน…
ไม่สิ ของสมาชิกทุกคนในทีมโอตาคุเลยต่างหาก!
ในเมื่อล่มหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมาตั้งเท่าไร
ถ้าคนใดคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ มีหรือที่พวกเขาจะทอดทิ้งกัน
เพียงแต่… ทีมโอตาคุจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกแล้วเรอะ คราวนี้ใครล่ะเนี่ย

เพื่อให้มีเสบียงอาหารเลี้ยงปากท้องทุกคนได้อย่างพอเพียง
ทีมโอตาคุตั้งใจแล้วว่าจะต้องหาทางขยายพื้นที่เพาะปลูกให้จงได้
แต่ดูเหมือนกฎระเบียบใหม่จะไม่เอื้อให้พวกเขาทำอะไรได้เลย
แถมยังมีประกาศว่า ทางการเตรียมจะมาสำรวจสำมะโนประชากร?!
ใครจะยอมให้คนบุกมาถึงบ้านกันเล่า… จะให้ใครมาเห็นสมบัติ
ในบ้านชั้นสิบห้าและสิบหกของพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด!
หรือบางที ฐานที่มั่นแห่งนี้จะไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแล้ว?

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 164 แหล่งพลังงานกับแปลงทดลองเกษตร

 

ผ่านวันสิ้นโลกมานานป่านนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้ฟังข่าวดีสักที

 

หลัวซวินเดินไปหาหลี่เถี่ยพลางถามด้วยความแปลกใจว่า “เจออะไรอีกเหรอ”

“ฐานทดลองแห่งหนึ่งครับ” จู่ๆ หลี่เถี่ยก็ยืดตัวยืนตรงและหันไปหาพวกเขาสองคนด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “แปลงทดลองเกษตรของกองทัพ…ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก”

ทั้งหลัวซวินและเหยียนเฟยต่างหันมามองหน้ากันด้วยดวงตาวาวประกายพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็รีบสาวเท้าตรงไปยังห้อง 1601

เวลานี้หลายคนในห้องกำลังมุงดูอยู่ที่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว… ก่อนหน้านี้พวกเขาห้าคนต่างแยกใช้กันคนละเครื่อง นี่เป็นผลพลอยได้จากการทำงานในกองทัพที่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างเหลือเฟือ พวกเขาเลยทยอยขนกลับมาประกอบจนได้เครื่องสำหรับใช้ในห้องใครห้องมันตั้งนานแล้ว

“มาแล้วๆ” หลี่เถี่ยร้องตะโกนเสียงดังลั่นขณะก้าวเข้ามาในห้อง ทุกคนที่กำลังรุมล้อมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ต่างเงยหน้ามองผู้มาใหม่ทั้งสองคน พร้อมกับร้องเรียกและทักทายพวกเขา

คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจอพอดีก็คือเหอเฉียนคุน อย่าดูถูกว่าเขาอ้วน เพราะเขาสามารถควบคุมและสั่งการคอมพิวเตอร์ได้ไวมาก นิ้วอวบๆ ทั้งสิบพรมลงบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว เคาะต๊อกแต๊กๆ ไม่กี่ทีข้อมูลก็เด้งขึ้นมา เขากดเปิดให้ผู้มาใหม่ทั้งสองดูพลางบอกว่า “พี่หลัวพี่เหยียนดูนี่สิครับ พวกผมนั่งค้นกันเกือบทั้งคืนเลย”

ดึกๆ ดื่นๆ ไม่หลับไม่นอน ลุกขึ้นมานั่งเล่นคอมพิวเตอร์… คงมีแต่พวกโอตาคุอย่างพวกเขานี่แหละถึงขลุกอยู่แต่ในบ้านทำอะไรแบบนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน เอาเถอะ อาจมีพวกวัยรุ่นที่เสพติดการท่องอินเทอร์เน็ต หรือคนป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ ก็อาจลุกขึ้นมาเล่นคอมพิวเตอร์ตอนกลางดึกได้เหมือนกัน แต่พวกเขาไม่เอาเวลามานั่งค้นหาข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์หรอก คงใช้เล่นเกมหรือไม่ก็ดูหนังเสียมากกว่า

หลัวซวินดึงสติตัวเองที่ล่องลอยไปไกลถึงกาแล็กซีไหนก็ไม่รู้กลับมาเข้าร่าง แล้วมองไฟล์ด้านบนสุดของหน้าจออย่างละเอียด มันคือคำสั่งโยกย้ายกำลังพลเพื่อทำภารกิจนอกฐานที่มั่นช่วงก่อนสิ้นปีสากล ในคำสั่งนั้นระบุให้ทหารหน่วยหนึ่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ เป้าหมายของพวกเขาคือ… โรงงานผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ใกล้เมืองเอมากที่สุด

ภารกิจครั้งนี้ส่งรถบรรทุกออกไปถึงห้าคัน แถมยังมีรถหุ้มเกราะสามคัน และรถจี๊ปติดตามขบวนไปอีกสามคัน สิ่งที่ต้องการก็คือแผงพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ผลิตขึ้นที่นั่น และถือโอกาสสำรวจสถานการณ์ของซอมบี้ตามรายทางและสภาพความเสียหายของเครื่องไม้เครื่องมือในโรงงานไปด้วย ถ้าเครื่องจักรเสียหายไม่มาก และระหว่างทางดูปลอดภัยดี หลังจากได้รับรายงานผลการสำรวจสถานการณ์ครั้งนี้แล้ว ทางฐานทัพก็จะพิจารณาวางแผนว่าจะดำเนินการกับเครื่องจักรในโรงงานนั้นหรือไม่ต่อไป

เมื่อเห็นว่าทั้งคู่อ่านจบแล้ว เหอเฉียนคุนจึงคลิกเปิดภาพถัดไปอีกหลายภาพ ซึ่งเป็นภาพถ่ายของขบวนรถที่ออกไปทำภารกิจครั้งนี้ และภาพถ่ายตำแหน่งที่ตั้งโรงงานเป้าหมายจากดาวเทียม

“ภาพถ่ายดาวเทียม?” หลัวซวินอึ้งไปเล็กน้อย แต่แล้วก็เข้าใจได้ไม่ยาก การที่กองทัพส่งคนออกไปเยอะขนาดนี้แสดงว่าพวกเขาได้เตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว

พวกหลี่เถี่ยกลับเข้าใจความหมายในคำพูดของหลัวซวินผิดไป อธิบายว่า “ปัจจุบันดาวเทียมยังทำงานได้ตามปกติ ที่จริงก่อนหน้านี้เวลามีผู้ประสบภัยนอกฐานที่มั่นส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา ทางฐานก็ได้รับสัญญาณนั้นนะครับ แต่ก็…” เขาเล่าพลางผายมือยักไหล่ด้วยสีหน้าจนใจ

หวังตั๋วที่ยืนอยู่อีกด้านช่วยต่อคำพูดของเพื่อนให้ “เว้นแต่ว่าจะเป็นคนที่มีฐานะพิเศษจริงๆ ถ้าทางฐานที่มั่นไม่แน่ใจว่าสถานที่ที่ผู้ประสบเหตุส่งสัญญาณมาเป็นพื้นที่อันตรายหรือไม่ และถ้าส่งคนไปช่วยเหลือแล้วผู้เคราะห์ร้ายจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือเปล่า โดยทั่วไปแล้วพวกเขาก็มักไม่สนใจสัญญาณขอความช่วยเหลือพวกนี้ แต่จะส่งต่อสัญญาณไปยังโทรศัพท์มือถือของบุคคลที่อยู่ใกล้กับผู้ประสบเหตุ แต่ถ้าไม่มีใครเต็มใจยื่นมือเข้าไปช่วย หรือไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจกว่าพวกซอมบี้ด้วยแล้ว ผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่ก็ไม่มีชีวิตรอดกลับมาได้หรอก”

หลัวซวินย่อมรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่ยังไม่จำเป็นต้องอธิบายในเวลานี้ เขาชี้ไปที่หน้าจอแล้วถามว่า “ภารกิจนี้ถูกส่งออกไปก่อนที่ซอมบี้จะมาปิดล้อมฐานที่มั่น แล้วปัจจุบันได้ดำเนินการต่อหรือเปล่า”

เหอเฉียนคุนรีบคลิกเปิดข้อมูลบางอย่างออกมาอีก เพียงแต่หลัวซวินดูเนื้อหาข้อมูลที่ปรากฏบนจอไม่ค่อยเข้าใจนัก เหอเฉียนคุนจึงชี้ที่หน้าจอพลางอธิบายว่า “พวกนี้เป็นข้อมูลที่ผมเข้าไปค้นในเครือข่ายของทหารมาเมื่อเช้านี้ครับ กองกำลังนี้ไม่มีข่าวคราวกลับมาตั้งแต่สามวันก่อนที่กองทัพซอมบี้บุกฐานที่มั่น หลังจากจบศึกซอมบี้แล้ว ทางกองทัพก็ไม่ได้ส่งกำลังพลออกไปตามข่าวของหน่วยนี้อีก พวกผมเดาว่า…”

เขาพูดค้างไว้ครึ่งหนึ่ง หานลี่จึงเสริมต่อ “คิดว่าถ้าไม่เพราะผู้นำชุดปัจจุบันไม่สนใจไยดี ก็อาจเป็นเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยก็ได้”

“ไม่รู้?” หลัวซวินเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“ข้อมูลพวกนี้ผมเข้าไปค้นหาจากคลังข้อมูลที่ไม่รู้เหมือนกันว่าซุกซ่อนในซอกหลืบไหนออกมา เมื่อกี้หลังจากที่ผมได้ตรวจสอบดูแล้ว ดูเหมือนว่าหลังเกิดเหตุซอมบี้ปิดล้อมฐานที่มั่น หน่วยงานข้างในก็ไม่ได้ทำอะไรกับข้อมูลเหล่านี้เลย พวกผมเลยคิดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องภารกิจนี้ ก็ต้องเป็นเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวเลยแน่ๆ” หลังจากเคยถูกเพื่อนร่วมงานแขวะว่าเป็นพวกโลกสวย พวกเด็กหนุ่มนักศึกษาจึงเริ่มเรียนรู้ด้านมืดบ้างแล้ว เวลาพิจารณาเรื่องราวอะไรก็จะไม่เอาแต่มองในแง่ดีเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีก

ยิ่งได้เจอเหตุการณ์ที่ทารกน้อยสมาชิกคนใหม่ของทีมถูกพ่อแท้ๆ ทอดทิ้งไปแบบไร้มนุษยธรรมด้วยแล้ว ดังนั้นไม่ว่าคนไหนหรือเรื่องอะไรพวกเขาก็จะไม่ด่วนตัดสินจากภาพภายนอกที่ตาเห็นเพียงอย่างเดียวแล้ว

“แล้วหน่วยนั้นล่ะ หลังเกิดเหตุซอมบี้ปิดล้อมฐานที่มั่นก็ยังไม่มีใครกลับมาเลยงั้นเหรอ” จู่ๆ เหยียนเฟยก็ถามขึ้น พวกหลี่เถี่ยบอกว่า ไม่มีใครในกองทัพเปิดไฟล์ข้อมูลพวกนี้ดูเลย แล้วยังไม่ได้พูดถึงผลลัพธ์ของภารกิจนี้ด้วย…

พวกเด็กหนุ่มต่างหันมองหน้ากันก่อนส่ายหน้าหวือ “ไม่มีบันทึกข้อมูลการกลับมาของพวกเขาเลยครับ”

คนพวกนั้นออกนอกฐานที่มั่นไปตั้งแต่ก่อนช่วงปีใหม่สากล ตอนก่อนเกิดเหตุซอมบี้ปิดล้อมฐานที่มั่นก็ไม่ได้กลับเข้ามา จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีข้อมูลว่าพวกเขาได้กลับมาหรือไม่…

ในใจทุกคนต่างมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที… การออกไปนอกฐานคราวนี้ของพวกเขาเหล่านั้นคงไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้วสินะ

“ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาติดต่อฐานที่มั่นน่าจะอยู่แถวไหน” หลัวซวินขยับเข้าไปใกล้คอมพิวเตอร์แล้วถามขึ้นอีก

“แถวนี้ครับ ใกล้ๆ กับโรงงานที่พวกเขาไป พวกเขาน่าจะไปถึงที่โรงงานได้อย่างราบรื่นแล้ว แต่ขาดการติดต่อไปตอนระหว่างขากลับมายังฐาน” เหอเฉียนคุนคลิกเปิดภาพแผนที่พลางอธิบายว่า “โรงงานนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองเอเท่าไร ถ้าดูจาก… ประเมินจากสภาพของหน่วยนั้น ใช้เวลาสองสามวันก็น่าจะถึง อันนี้ในกรณีที่ถนนหนทางอยู่ในสภาพดีนะครับ”

ถนนหนทางในยุคหลังวันสิ้นโลกไม่สามารถเอาไปเทียบกับช่วงก่อนวันสิ้นโลกได้เลย จากฐานที่มั่นไปล่าซอมบี้ที่เขตตัวเมืองก็นับว่าไม่ไกลเหมือนกันนั่นละ ถ้าเป็นก่อนวันสิ้นโลกใช้เวลาขับรถอย่างมากชั่วโมงสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่หลังวันสิ้นโลกนี่สิ พวกหลัวซวินเองยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายชั่วโมงหรือร่วมครึ่งวันกว่าจะไปถึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าระหว่างทางเจอถนนที่มีสภาพไม่ดี…คราวก่อนตอนหิมะตกหนักพวกเขาต้องใช้เวลาเกือบค่อนวันกว่าจะไปถึงสถานที่ตั้งฐานล่าซอมบี้

หลี่เถี่ยตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “พี่หลัว นี่หมายความว่าถ้าพวกเราจะออกนอกฐานคราวหน้า…หมายถึงวันที่อากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว และถนนหนทางก็ดีขึ้นแล้ว พวกเราก็จะลองไปดูที่นั่นกันใช่ไหมพี่”

“จริงด้วย ต่อให้คนพวกนั้นได้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ไปบางส่วนแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะขนไปจนหมดหรอกมั้ง แค่เราหาของที่พวกเขาเหลือไว้เจอก็เยี่ยมแล้วจริงไหม” คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หลัวซวินด้วยประกายแห่งความหวัง

หลัวซวินหัวเราะแหะๆ อย่างจนใจ “ไปน่ะต้องไปแน่ แต่อย่างน้อยต้องรอให้ถนนข้างนอกสามารถสัญจรได้ก่อน อย่าลืมสิ ช่วงหิมะละลาย ถนนลื่นและขับรถยากสุดๆ”

ตอนนี้ใจกลางฐานที่มั่นสะอาดสะอ้านดี เพราะก่อนหน้านี้เก็บกวาดทำความสะอาดจนเรียบร้อย โดยเฉพาะละแวกเขตชุมชนของพวกหลัวซวินที่ไม่เหลือร่องรอยหิมะให้เห็นแล้ว แต่บริเวณอื่นไม่ใช่แบบนี้ เพราะช่วงนี้อากาศยังหนาวจัด หากในบ้านไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ให้ความอบอุ่นป้องกันความหนาวก็อาจจะแข็งตายได้ เขตชุมชนหลายแห่งยังถูกหิมะปกคลุม แม้แต่จะเดินสัญจรไปมายังลำบากเหลือเกิน

พวกหลี่เถี่ยต่างพยักหน้าเข้าใจ พวกเขามัวแต่ใจร้อนอยากไปขนแผงพลังงานแสงอาทิตย์กลับมาไวๆ… ของดีๆ ได้มาฟรีๆ เป็นใครจะไม่อยากได้ล่ะ แต่ก็ต้องรอให้สถานการณ์พร้อมก่อนด้วยถึงจะปฏิบัติการได้

“อีกอย่าง ตอนนี้ซอมบี้ที่นอกฐานเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” คำพูดของเหยียนเฟยเหมือนน้ำแข็งทั้งกะละมังเทโครมลงบนหัวทุกคน ทำให้พวกเด็กหนุ่มจากที่ตื่นเต้นดีใจเมื่อครู่ไหล่ลู่คอตกลงทันที สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดขึ้นทันตา

หลัวซวินหัวเราะขัน รีบเปลี่ยนประเด็น “จริงสิ แปลงทดลองเกษตรที่หลี่เถี่ยพูดถึงนั่นมันยังไงเหรอ”

พวกนักศึกษากลับมาตื่นเต้นกันอีกครั้ง เหอเฉียนคุนรีบคลิกเปิดแฟ้มข้อมูลอีกแฟ้มอย่างว่องไว และปรับขนาดแผนที่เล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “พี่หลัวดูนี่สิ พวกผมเจอมันตอนกำลังค้นข้อมูลเส้นทางไปโรงงานแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ตรงนี้ถูกทำเครื่องหมายไว้ด้วย มันเป็นแปลงทดลองเกษตรของทหารตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก…”

แปลงทดลองแห่งนี้หากเทียบกับทุ่งนาโดยรอบก็ไม่นับว่าใหญ่ ถึงขั้นพูดได้ว่าเล็กมากด้วยซ้ำ แถมอยู่ห่างจากฐานที่มั่นไกลพอสมควร ดังนั้นต่อให้เป็นกองทัพเองก็อาจไม่ได้สนใจที่ดินผืนนี้เช่นกัน และเนื่องจากตอนเข้าสู่ยุควันสิ้นโลกช่วงแรกทางการเคยหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในทุ่งนาผืนใหญ่ในฐานที่มั่นไปแล้ว แต่ปลูกอะไรไม่ขึ้นเลยสักอย่าง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงแปลงทดลองนอกฐาน เพราะคงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าที่นั่นจะปลูกพืชอะไรได้บ้าง

พวกหลี่เถี่ยตรวจสอบแปลงทดลองผืนนั้นดูแล้ว พบว่าตอนก่อนวันสิ้นโลกเป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเอ ว่ากันว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตรและเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่ไม่น้อยเลย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกหลี่เถี่ยถึงได้ตื่นเต้นดีใจขนาดนี้เมื่อรู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่ ก็เพราะสนใจของที่อยู่ในนั้นน่ะสิ…ส่วนที่ดินนั่นน่ะเหรอ… ขอร้องละ ต่อให้พวกเขาสามารถครอบครองที่ดินผืนนั้นได้ เคลียร์พื้นที่จนเสร็จเรียบร้อย แล้วจะให้พวกเขาถ่อสังขารไปคอยดูแลพืชผักที่นั่นอย่างไร

ฐานที่มั่นอยู่ไกลจากสถานที่นั้นมากก็จริง แต่ถ้าเคลียร์พื้นที่เตรียมการอย่างดีแล้วลงมือเพาะปลูก เมื่อถูกกล้องจากดาวเทียมตรวจพบ หรือมีทีมอื่นผ่านทางมาเจอเข้าโดยบังเอิญ…พวกเขาจะรักษาที่ดินผืนนั้นไว้ได้อย่างไร หรือต่อให้รักษาไว้ได้ แต่การทะเลาะกับคนนั้นแตกต่างจากการสู้รบกับซอมบี้มากทีเดียว

ดังนั้นสิ่งที่พวกหลี่เถี่ยอยากได้ในครั้งนี้ไม่ใช่พื้นที่เพาะปลูกผืนนั้น แต่เป็นอุปกรณ์ที่พวกเขาจะสามารถขนย้ายกลับมาบ้านได้ต่างหาก แถมยังมีเมล็ดพันธุ์ที่อาจเก็บไว้อย่างดีอีกด้วย

หลัวซวินก็คิดเห็นแบบเดียวกับพวกเขา หลังจากได้ฟังข้อมูลแล้วเขาก็ลูบคางครุ่นคิดพลางดูแผนที่ ก่อนพยักหน้าพูดอย่างมั่นใจว่า “ไม่มีปัญหา ไว้รออีกสักระยะ ถ้าสามารถออกไปนอกฐานได้ และแน่ใจเรื่องสถานการณ์ซอมบี้ข้างนอกแล้ว เราค่อยไปดูกันสักรอบ” ออกจากฐานที่มั่นโดยมีโรงงานผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนั้นเป็นเป้าหมายหลัก ระหว่างทางถือโอกาสแวะดูแปลงทดลองเกษตรว่าพอจะมีอะไรที่ขนกลับมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง

สถานการณ์ที่นั่นแตกต่างจากเขตตัวเมือง ซอมบี้ที่อื่นจะอยู่กันแบบกระจายตัว ไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนอย่างในเมือง… แน่นอนว่าในกรณีที่ไม่เคยมีกองทัพซอมบี้ที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นแถวนั้นมาก่อนนะ แต่หากพวกมันปรากฏตัวขึ้นจริง…จะต้องกังวลด้วยหรือว่าเป็นที่ไหน เพราะถ้าคลื่นซอมบี้โหมซัด แม้แต่ซากก็คงไม่เหลือหลอ

นับตั้งแต่เข้าสู่ยุควันสิ้นโลกจนถึงปัจจุบัน หลัวซวินรู้สึกว่านี่ถือเป็นการได้ยินข่าวดีหลายๆ เรื่องพร้อมกัน เขาได้แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น สถานที่เหล่านั้นที่พวกตนหมายตาไว้จะไม่ถูกพวกซอมบี้ทำลายจนพังเละไม่เหลือชิ้นดีไปเสียก่อนหรอกนะ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า