[ทดลองอ่าน] ลำนำล่มแคว้น – มัจฉาพรางประกาย 1.3 เฉินอวี๋

ลำนำล่มแคว้น – มัจฉาพรางประกาย
祸国·图璧

 

สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
หยกน้ำแข็ง แปล
Reine_beammer ปก

 

— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…

เจียงเฉินอวี๋ ธิดาคนเล็กของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นปี้ ผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉม สติปัญญา และเปี่ยมคุณธรรม กำลังจะได้วิวาห์กับบุรุษในดวงใจ แต่แล้ววาสนากลับถูกทำลายโดยราชโองการแต่งตั้งนางเป็นสนมของเจ้าแคว้นปี้

เพราะไม่ต้องการชะตากรรมเช่นนี้ นางจึงยื่นข้อเสนอขอเป็นผู้วางอุบายให้เจ้าแคว้นปี้แทน และได้รับคำสั่งให้ปลอมตัวติดตามคณะราชทูตที่เดินทางไปยังแคว้นเฉิง เพื่อกระทำภารกิจบางอย่าง

การตัดสินใจที่เป็นเพียงหนทางเดียวของนางในการพิสูจน์ตนเองครั้งนี้ กลับกลายเป็นโอกาสพลิกชะตากรรมของใต้หล้า และการเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวลึกลับซ่อนเงื่อนที่สั่นสะเทือนทั้งสี่แคว้น คนสำคัญทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตนาง ทั้งจีอิง เจาอิ่น เซวียไฉ่ อี๋เฟย เฮ่ออี้…ล้วนเข้ามาเติมเต็มชะตาชีวิตของนาง เติมเต็มหนทางสู่เกียรติยศอันสูงสุดที่นางไม่เคยนึกฝัน เติมเต็มตำนานแห่งสตรีผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงทั้งสี่แคว้น และหนึ่งในนั้น…เข้ามาเติมเต็มวาสนาของนางอีกครั้ง

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

1.3

เฉินอวี๋

 

หลังจากเข้ามาในตำหนัก เซวียหวงโฮ่วเห็นแพทย์หลวงกำลังใส่ยาให้เซวียไฉ่ มีหวงตี้กับจีอิงยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ นางรีบคุกเข่าลง “หม่อมฉันย่อหย่อนการอบรมหลานชาย ขอฝ่าบาทลงพระอาญา”

หวงตี้หันมายิ้มน้อยๆ “ลุกขึ้นเถิด”

แสงสว่างส่องจับใบหน้าเขา เจาอิ่น ประมุขแห่งแคว้นปี้คนปัจจุบัน เป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเป็นที่สุด ดวงตาโค้งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่เซวียหวงโฮ่วรู้ดีว่าสีหน้าอารมณ์ดีเช่นนี้เป็นเพียงภาพลวงตา เพราะกษัตริย์หนุ่มแซ่จี้ผู้นี้มีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิตจนขึ้นชื่อลือชา

นางเข้าไปข้างเตียงอย่างกระวนกระวาย น้ำเสียงร้อนรน “หมอหลวง หลานชายข้าอาการสาหัสหรือไม่”

แพทย์หลวงจับชีพจรของเซวียไฉ่เรียบร้อยแล้วจึงหันมาทำความเคารพ “ทูลฝ่าบาทและหวงโฮ่ว คุณชายเซวียมิได้เป็นอะไรมาก พักฟื้นสักระยะก็จะแข็งแรงดีดังเดิม แต่ว่า…”

“แต่อะไร…”

“แต่แผลบนหน้าผากเขา เกรงว่าคงจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้”

เซวียหวงโฮ่วตัวสั่น นางมองเซวียไฉ่ที่กำลังหมดสติด้วยความรวดร้าวใจและรู้สึกผิด หลานชายคนนี้เป็นเสมือนมุกงามกลางฝ่ามือของคนในตระกูลมาแต่อ้อนแต่ออก เขาไม่เพียงมีสติปัญญาล้ำเลิศ แต่ยังมีรูปโฉมโดดเด่น มาวันนี้กลับต้องเสียโฉม แม้จะเป็นแค่ที่หน้าผาก แต่ก็เท่ากับมีรอยตำหนิ

ระหว่างที่กำลังหดหู่ใจ เซวียหวงโฮ่วรับรู้ถึงสายตาของใครบางคนจึงเงยหน้าขึ้น พบว่าจีอิงกำลังส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ “เป็นลูกผู้ชาย มีรอยแผลเป็นมิใช่เรื่องใหญ่ ขอหวงโฮ่วอย่าได้กังวลพระทัย”

เซวียหวงโฮ่วมองเขาอย่างซาบซึ้งก่อนเลื่อนสายตาไปที่เจาอิ่น สีหน้าของเจาอิ่นเรียบเฉยไร้อารมณ์ นางจึงคุกเข่าลงอีกครั้ง น้ำเสียงวิงวอน “ฝ่าบาทเพคะ เสียวไฉ่อายุยังน้อย ไม่รู้ความ จึงได้ล่วงเกินซีเหอฟูเหริน…” เพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ เจาอิ่นก็ยกมือห้ามนาง มิให้พูดต่อ

เซวียหวงโฮ่วคิดในใจ แย่แล้ว ครั้งนี้คงยากจะพ้นเคราะห์

เวลานี้เอง ขันทีหน้าตาดีคนหนึ่งเดินค้อมตัวเข้ามาจากตำหนักข้างงียบๆ เซวียหวงโฮ่วจำได้ว่าเขาคือเถียนจิ่ว ข้ารับใช้คนสนิทของเจาอิ่น เขาเดินเข้ามาคุกเข่า “ฝ่าบาท”

เจาอิ่นหันไปทันที “เป็นเช่นไร ได้มาหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ” เถียนจิ่วเอ่ยพลางหยิบกล่องยาวใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ทูนขึ้นเหนือศีรษะอย่างนอบน้อม

เจาอิ่นเปิดฝากล่องออก คิ้วคลายลง เขาหันไปยิ้มให้จีอิงที่อยู่ข้างๆ “แผนการของฉีอ้าวยอดเยี่ยมนัก เช่นนี้ย่อมแก้ปัญหาได้” กล่าวจบ เขาก็ส่งกล่องให้เซวียหวงโฮ่ว

เซวียหวงโฮ่วรับมาอย่างงุนงง เห็นเพียงด้านในมีม้วนผ้าไหมสีเหลือง เมื่อคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นเอโกตตราคม[1] อักษรตัวเอนเรียงเป็นระเบียบพลิ้วสะบัด เป็นลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้

เจาอิ่นเอ่ยเสียงเนิบ “หวงโฮ่วรู้หรือไม่ว่าของสิ่งนี้คืออะไร”

เซวียหวงโฮ่วลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “คือ…พระสูตรเอโกตตราคมที่คัดลอกโดยอดีตหวงตี้ ใช่หรือไม่เพคะ”

“มิผิด หวงโฮ่วรู้หรือไม่ว่ามันมีที่มาอย่างไร”

“ได้ยินว่า…อวิ๋นไท่โฮ่วในราชวงศ์ก่อนประชวรหนัก เพื่อแสดงความกตัญญู อดีตหวงตี้จึงคัดลอกพระสูตรเอโกตตราคมเพื่อถวายเป็นราชกุศล ภายหลังได้ถวายพระสูตรฉบับนี้ให้แก่วัดติ้งกั๋ว เพื่อเป็นแบบอย่างของความกตัญญู”

เจาอิ่นพยักหน้า ดวงตาฉายแววที่อธิบายได้ยาก ทำให้ยิ่งจับอารมณ์ของเขาไม่ถูก “วันนี้หวงโฮ่วกับเซวียไฉ่น้อยไปวัดติ้งกั๋วกันมามิใช่หรือ”

หัวใจของเซวียหวงโฮ่วกระตุกวูบ พลันได้สติ น้ำเสียงตกใจ “ความหมายของฝ่าบาทคือ?”

เจาอิ่นเบนสายตาไปจ้องสัตว์ประหลาดหน้ามนุษย์ทำจากสำริดที่วางอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ ยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยอะไร ท่าทางของเขาทำให้เซวียหวงโฮ่วรู้ว่าตนเดาถูก…คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะยอมช่วยข้า!”

ได้ยินว่าหลายวันมานี้ ไท่โฮ่วไม่ค่อยสบาย หากนางอ้างว่าไปอัญเชิญพระคัมภีร์กลับมาจากวัดติ้งกั๋วเพื่อไท่โฮ่ว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ย่อมพลิกเป็นอีกอย่างโดยสิ้นเชิง

นางเป็นหวงโฮ่ว มีม้วนคัมภีร์ลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้อยู่ในมือ ต่อให้ซีเหอมีราชโองการอยู่กับตัวก็ยังต้องก้มหัวเปิดทางให้ เช่นนี้เรื่องที่เซวียไฉ่ทำให้ซีเหอตกน้ำไปพร้อมราชโองการย่อมเปลี่ยนจากเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีเรื่อง…หัวใจของเซวียหวงโฮ่วสั่นไหว ทางหนึ่งดีใจที่ภัยร้ายคลี่คลาย กลายเป็นเรื่องน่ายินดี ทางหนึ่งก็ตกใจที่ฝ่าบาทเข้าข้างนางอย่างเหนือคาด

เจาอิ่น สามีของนาง นางแต่งเป็นภรรยาของเขาตอนอายุสิบสี่ปี มาถึงวันนี้ก็หกปีแล้ว เขาปฏิบัติต่อนางตามธรรมเนียมปฏิบัติ ไร้ความสนิทสนม ต่างฝ่ายต่างให้เกียรติกันเหมือนเป็น “อาคันตุกะ” ห้าปีก่อน เขาหลงใหลในความงามพิลาศของจีฮู สามปีก่อนเขาโปรดปรานเจียงฮว่าเย่ว์ที่สุภาพอ่อนหวาน เวลานี้เขาแทบจะประเคนทุกสิ่งให้ซีเหอผู้เลอโฉม เรื่องเหล่านี้ทุกคนต่างรู้กันดี

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขากลับเลือกที่จะปกป้องนาง…ชั่วขณะนั้น เซวียหวงโฮ่วรู้สึกสับสน ทว่าเวลาเดียวกันก็สัมผัสถึงความหวานละมุนนิดๆ ระคนรวดร้าวจางๆ

นางค้อมศีรษะทันที น้ำเสียงตื้นตันใจ “หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทเพคะ!”

ดวงตาของเจาอิ่นยังคงจับนิ่งอยู่ที่สัตว์ประหลาดสำริด เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “หวงโฮ่ว ขอให้เรื่องในวันนี้ยุติลงเพียงเท่านี้ หวงโฮ่วคือมารดาของแผ่นดิน ภายหน้าขอให้ยึดเอาความสงบของฝ่ายในเป็นสำคัญ เราหวังว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”

เซวียหวงโฮ่วเข้าใจดีว่านี่คือคำเตือนมิให้นางผูกใจเจ็บซีเหอฟูเหรินด้วยเรื่องนี้ และหาโอกาสเอาคืน แม้ฉากหน้าฝ่าบาทจะช่วยนาง แต่ใจกลับเอนเอียงไปทางซีเหอ ความหวั่นไหวทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาไม่ง่ายค่อยๆ นิ่งลงเพราะถ้อยคำเดียว นางหลุบตาลง ข่มน้ำเสียงให้สงบราบเรียบที่สุด “เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว”

“ดีมาก” เจาอิ่นปรายตามองขันทีข้างตัว “หลัวเหิง ไปประกาศราชโองการ”

 

คาดว่าราชโองการฉบับนั้นคงเขียนเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเซวียหวงโฮ่วเข้ามาในตำหนัก หลัวกงกงรับบัญชาแล้วรีบเปิดประตูตำหนัก เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าซีเหอท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นทุกคู่ คลี่ม้วนราชโองการไหมสีทองออกอ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน “ศุภมัสดุแห่งรัชศกถูปี้ปีที่สี่ ปีเถาะธาตุทอง วันมะแมธาตุดินแรมสิบเจ็ดค่ำเดือนสอง ยามกุนธาตุไม้ หวงตี้มีพระกระแสรับสั่ง ด้วยจรรยาวัตรฝ่ายในคือสิ่งที่วิญญูชนพึงยึดถือปฏิบัติ เฉกเช่นคุณธรรมแห่งแม่ศรีเรือนของสามัญชน สืบเนื่องจากบุตรชายคนที่เจ็ดของจงหลางเจี้ยง[2]เซวียซู่ มีความกตัญญู มากสติปัญญาความสามารถ เพียบพร้อมด้วยวาจากิริยาอันประเสริฐ ได้รับพระเสาวนีย์จากไท่โฮ่วให้ไปถือศีลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่อดีตหวงตี้ แม้ยามนี้จะดำเนินการขัดต่อราชโองการ มีพฤติการณ์กระด้างกระเดื่อง ทว่าเห็นแก่ความกตัญญูจึงขอให้เรื่องยุติเพียงเท่านี้ ฝ่ายฟูเหรินซีเหอ มีความอ่อนโยนเถรตรง คุณงามความดีเป็นที่แซ่ซ้อง จึงขออำนวยพรให้มีความสุขตลอดกาล พร้อมปูนบำเหน็จไข่มุกสิบสาย แพรต่วนร้อยพับ ทองคำพันตำลึง เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดี จบราชโองการ”

ประตูตำหนักสี่บานพับเปิดกว้าง ซีเหอที่คุกเข่าอยู่นอกประตู กับเซวียหวงโฮ่วที่คุกเข่าอยู่ด้านในต่างเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สบตากันในระยะไกล

เจียงเฉินอวี๋มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง นางรู้สึกแปลกใจกับภาพนี้ คล้ายมีคลื่นสมุทรไหลผ่านอย่างเงียบงันระหว่างสายตาของสตรีทั้งสอง

ใบหน้างามสะคราญของซีเหอยังคงประดับรอยยิ้มจางๆ ทว่าในรอยยิ้มกลับมีแววหม่นมัว ไม่มีผู้ใดเดาได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด

หลัวกงกงเดินไปตรงหน้านาง เอ่ยเตือน “ฟูเหรินยังไม่กล่าวขอบพระทัยอีกหรือ”

เมื่อนั้นซีเหอจึงละสายตาจากใบหน้าของเซวียหวงโฮ่ว ตัวสั่นเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน นางโน้มตัวลงขอบพระทัย “ขอบพระทัยในพระเมตตา ขอฝ่าบาทจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”

เจียงเฉินอวี๋ผ่อนลมหายใจเบาๆ เรื่องนี้ถือว่าคลี่คลายเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวมองเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง เห็นจีอิงยืนอยู่ข้างโต๊ะมังกรของหวงตี้ แม้สีหน้าจะยังคงสงบนิ่ง แต่สายตาที่ฝ่าบาทมองเขากลับฉายแววชื่นชม

ดูท่าวิธีนี้คงเป็นความคิดของเขากระมัง เพราะคงมีเพียงคุณชายที่สามารถใช้วิธีเรียบง่ายแต่ได้ผลเป็นเลิศมาคลี่คลายปัญหาเช่นนี้ได้

ซีเหอลุกขึ้นยืนโงนเงนด้วยการประคองจากเหล่านางกำนัล เนื่องจากคุกเข่ามานาน ทำให้นางลุกได้เพียงกลางคันก็ล้มลงอีกครั้ง แพทย์หลวงรีบสาวเท้าออกมา หลัวกงกงสั่งให้คนหามเกี้ยวนุ่ม[3]มาแบกซีเหอกลับไปยังตำหนักเป่าหฺวา ก่อนจะเดินตามไปพร้อมคณะ ตำหนักจิ่งหยางจึงคืนสู่ความสงบ

เจียงเฉินอวี๋กำลังจะตามพี่สาวกลับตำหนัก ทว่าทันใดนั้น นางเห็นจีอิงเดินออกมาจากด้านในตำหนัก สายตาของทั้งสองสบประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจของเจียงเฉินอวี๋เต้นรัวทันที ลมหายใจแทบขาดห้วง

ทว่าสายตาของจีอิงหยุดอยู่ที่ใบหน้านางไม่นานก็เลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเดินจากไปอย่างรีบร้อน

สายลมยามเย็นพัดชุดคลุมยาวของเขาพลิ้วสะบัด โคมชาววัง[4]สาดแสงลากเงาเขาเป็นทางยาวบนพื้น ดูสงบนิ่งลึกลับ ในความหม่นสลัวแฝงความสง่างาม

เจียงเฉินอวี๋มองแผ่นหลังเขาอย่างทึ่มทื่อ จนกระทั่งเจียงฮว่าเย่ว์ผลักนางแรงๆ พลางหยอกล้อ “ยังจะมองอีก? คนเขาไปโน่นแล้ว”

เจียงเฉินอวี๋หน้าแดง เตรียมจะแก้ต่าง แต่เจียงฮว่าเย่ว์ชิงคล้องแขนนาง “เรากลับกันเถอะ”

 

กลับถึงตำหนักจยาหนิง เจียงฮว่าเย่ว์สั่งให้ทุกคนถอยไป ปล่อยมือจากน้องสาว สีหน้าเปลี่ยนเป็นว้าวุ่นอย่างมาก สุดท้ายจึงถอนหายใจยาว

“พี่สาว?”

เจียงฮว่าเย่ว์กดเสียงเบา “คิดไม่ถึงว่าฉีอ้าวโหวจะเป็นคนเช่นนี้ หึๆ แก้ปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย พระเสาวนีย์ของไท่โฮ่ว เขาช่างคิดออกมาได้!”

เจียงเฉินอวี๋ก้มหน้ายิ้ม “เช่นนี้ไม่ดีหรอกหรือ ยุติศึกได้โดยไม่ต้องนองเลือด…”

เจียงฮว่าเย่ว์มองค้อนนาง “เจ้าก็ต้องว่าดีสิ ขอเพียงได้พบจีอิง เจ้ายังจะมีสิ่งใดไม่ดีอีก”

“พี่สาว…”

“แต่มันกลับทำให้ข้าดีใจเก้อ เดิมคิดว่าครั้งนี้ซีเหอกับหวงโฮ่วจะต้องปะทะกันจนเจ็บทั้งสองฝ่าย คิดไม่ถึงว่าจะถูกเชือดกลางคันเพราะจีอิง ที่ฝ่าบาทประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษรนานถึงเพียงนั้น เป็นเพราะคอยให้เขามาช่วยนี่เอง หนนี้นับว่าซีเหอพ่ายแพ้คามือเขาแล้ว!”

เจียงเฉินอวี๋เอ่ยอย่างครุ่นคิด “ซีเหอฟูเหรินก็บีบคั้นกันเกินไป นางเอาแต่ยกเรื่องราชโองการตกน้ำมาอ้าง ทว่าเวลานั้นเซวียไฉ่เองก็มีม้วนพระคัมภีร์ที่เป็นลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้ คำว่าความกตัญญูยิ่งใหญ่กว่าฟ้า ต่อให้เป็นราชโองการของฝ่าบาท แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้ก็จำต้องเปิดทาง อุบายนี้เรียบง่ายแต่ให้ผลเยี่ยมยอด”

“สิ่งใดคือเวลานั้นที่ตัวมีม้วนพระคัมภีร์ของอดีตหวงตี้ เห็นอยู่ว่าเพิ่งไปอัญเชิญมาจากวัดติ้งกั๋วเอาตอนนี้” เจียงฮว่าเย่ว์แค่นเสียงออกจมูก จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเริ่มหัวเราะคิกคัก

“พี่สาวขำอะไรหรือ”

“ข้าขำที่ซีเหอตกม้าตาย คุกเข่าเสียเปล่าอยู่ตั้งนาน” เจียงฮว่าเย่ว์ว่าพลางปล่อยผม นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เริ่มลบเครื่องแป้งชาดบนใบหน้า “น่าเสียดายจริงๆ ทั้งที่เป็นโอกาสงามที่จะได้โค่นหวงโฮ่ว แต่กลับต้องพลาดไปเสียเปล่าๆ…เฉินอวี๋ เจ้าน่าจะรู้ว่าวันนี้ซีเหอพลาดที่ใดใช่หรือไม่”

เจียงเฉินอวี๋ลังเล “เป็นเพราะ…คุณชายสอดมือเข้ามาหรือ”

เจียงฮว่าเย่ว์ถลึงตาใส่นาง “เจ้านี่นะ พอเห็นฉีอ้าวโหว ก็เหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ในหัวคิดแต่เรื่องคุณชายของเจ้า!”

เจียงเฉินอวี๋เขินจนหน้าแดง เจียงฮว่าเย่ว์เห็นท่าทางของนางแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เอาเถอะๆ เอาข้อนี้เป็นสาเหตุหนึ่งแล้วกัน แต่มันก็ช่างบังเอิญที่ชี้ให้เห็นจุดสำคัญข้อหนึ่ง แม้ซีเหอจะเป็นที่โปรดปราน แต่นอกจากความโปรดปรานแล้ว นางก็ไม่มีอะไรเลย”

หัวใจของเจียงเฉินอวี๋สั่นไหว ฟังความนัยที่แฝงอยู่ออก

“เรื่องวันนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้าละก็ ข้าไม่จำเป็นต้องไปคุกเข่าหน้าตำหนักเองด้วยซ้ำ แค่ให้บิดาร่วมกับเหล่าขุนนางใหญ่ถวายฎีกา ร้องเรียนว่าหวงโฮ่วบกพร่องเรื่องการอบรม ปล่อยให้หลานชายกำเริบเสิบสาน เป็นเหตุให้ราชโองการตกน้ำ เท่ากับเป็นการลบหลู่เบื้องสูง ถึงตอนนั้น ฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่าซ้อนทับกันเข้าไป ต่อให้เป็นม้วนพระคัมภีร์ของอดีตหวงตี้แล้วอย่างไร สกุลเซวียไม่มีทางรอดแน่ ฉะนั้น…” เจียงฮว่าเย่ว์สางผมช้าๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ “ต่อให้งามล่มเมือง เป็นที่โปรดปรานเหนือนางในทั้งสามพัน แต่เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากวงศ์ตระกูลและอำนาจจากราชสำนักคอยเกื้อหนุน ในแดนอสูรอย่างวังหลวงนี้ ไหนเลยจะสู้คนอื่นเขาได้”

เจียงเฉินอวี๋ก้มหน้า ไม่ตอบคำ

“ที่ผ่านมา ข้าประเมินนางสูงเกินไป เห็นนางเป็นศัตรูตัวฉกาจ แต่ตอนนี้มามองอีกที มันก็เท่านี้เอง พอเรื่องเกี่ยวพันถึงสกุลเซวีย แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องทรงคิดหาวิธีมาปกป้องสกุลเซวียจนมิอาจให้ความเป็นธรรมแก่สนมคนโปรดได้ สรุปคือปลาหนีชิว[5]ก็ยังเป็นปลาหนีชิวอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามเพียงใดก็ดิ้นไม่พ้นสระ…”

เจียงเฉินอวี๋ลุกพรวด “พี่สาว ข้าต้องกลับแล้ว”

เจียงฮว่าเย่ว์ชะงัก จากนั้นก็เข้าใจ ดวงตาฉายแววเยาะหยันจางๆ ยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นการริษยาหึงหวง แก่งแย่งชิงดีกันในที่ลับและที่แจ้งเป็นเรื่องน่ารังเกียจจึงไม่อยากฟัง แต่ลองคิดถึงพี่สาวที่แสนน่าสงสารคนนี้ของเจ้า ต้องมีชีวิตเช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งคนที่ถูกเล่นงานอาจเป็นข้าก็ได้ ช่างเถอะๆ ความรู้สึกเช่นนี้ คนนอกจะไปเข้าใจอะไร ข้าแค่บ่นบิดบ่นหน่อย หากเจ้าไม่ชอบฟัง ข้าไม่พูดแล้วก็ได้”

ถูกเจียงฮว่าเย่ว์พูดเช่นนี้ เจียงเฉินอวี๋ก็อดละอายใจไม่ได้ นางก้าวเข้าไปกุมมือพี่สาว “พี่สาว มิใช่ว่าข้าไม่ชอบฟัง เพียงแต่…”

“ข้าเข้าใจ ไม่ต้องพูดแล้ว” เจียงฮว่าเย่ว์มองตนเองในคันฉ่องสำริด ดวงหน้ายังคงพริ้มเพราดุจภาพวาด ทว่าดวงตาไม่เหลือประกายความบริสุทธิ์นานแล้ว ไหนเลยจะยังคงเป็นคุณหนูใหญ่สกุลเจียงผู้อ่อนต่อโลกในวันวาน นางมองน้องสาวที่อยู่ด้านหลัง แม้อายุจะห่างกันเพียงสามปี แต่กลับต่างกันลิบลับ ขณะที่ตัวนางผ่านความยากลำบากมาอย่างโชกโชน น้องสาวกลับยังคงได้รับการปกป้องจากครอบครัว จึงยังคงความบริสุทธิ์สดใสดุจบุปผาแรกอรุณ พอคิดเช่นนี้ นางก็อดสะท้อนใจไม่ได้ “คิดดูแล้ว คนที่โชคดีที่สุดในบ้านเราก็เห็นจะเป็นเจ้า ไม่เพียงท่านพ่อท่านแม่ทะนุถนอมดุจสมบัติล้ำค่า ได้ยินว่ายังจัดการเรื่องแต่งงานกับฉีอ้าวโหวให้เจ้าด้วย?”

เจียงเฉินอวี๋กัดริมฝีปากอยู่นานก่อนพยักหน้าน้อยๆ

“ดียิ่ง เจ้าชื่นชมเขามานานแล้วมิใช่หรือ เวลานี้ก็สมหวังดังใจแล้ว”

“เรื่องนี้ยังไม่แน่…”

“จะไม่แน่ได้อย่างไร ในเมืองหลวงเวลานี้ ผู้ที่คู่ควรกับคนที่เหมือนเทพเซียนจุติลงมา ก็มีเพียงเจ้าผู้เป็นน้องสาวข้า” เจียงฮว่าเย่ว์ยิ้ม “วันนี้เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับเขายิ่งนัก ไม่เพียงเรื่องใหญ่ในราชสำนัก แม้แต่เรื่องของฝ่ายใน ฝ่าบาทก็เริ่มจะฟังเขาแล้ว หากสกุลจีและเจียงได้ดองกัน ย่อมไม่ต้องกลัวสกุลเซวียอีก ดูสิ ทำหน้านิ่วอีกแล้ว แค่ได้ยินเรื่องการแย่งชิงอำนาจก็ไม่ชอบใจ น้องสาวผู้โง่งมเอ๋ย สามีที่เจ้าจะแต่งงานด้วยมิใช่ชาวบ้านสามัญ แต่เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เจ้าจะแยกตัวจากเรื่องพวกนี้ไปได้อย่างไร”

เจียงเฉินอวี๋รู้แก่ใจว่าสิ่งที่พี่สาวพูดเป็นความจริง แต่เพราะเหตุนี้นางจึงยิ่งรู้สึกสลดใจ เนื่องจากนางชื่นชมจีอิงด้วยใจบริสุทธิ์ แต่สำหรับวงศ์ตระกูล กลับให้ความสำคัญกับผลประโยชน์จากการแต่งงานมากกว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนฉาบจับไปด้วยลาภยศสรรเสริญ ความบริสุทธิ์จริงแท้สักน้อยก็หามีไม่

เจียงฮว่าเย่ว์หยิบปิ่นมุกออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง บนยอดปิ่นประดับมุกล้ำค่าเม็ดหนึ่ง ขนาดเท่าผลหลงเหยี่ยน[6] ส่องประกายแวววาว

“นี่คือไข่มุกหายากที่ทูตแคว้นอี๋นำมาเป็นเครื่องบรรณาการ มีเพียงคู่เดียวในโลก ฝ่าบาทพระราชทานให้ข้ากับซีเหอคนละเม็ด เม็ดนี้ชื่อว่า ‘ครองคู่นิรันดร์’ ส่วนของนางชื่อว่า ‘มิลืมเลือน’ ข้าให้ช่างทำเป็นปิ่น วันนี้มอบให้น้องสาว ถือว่าเป็นของขวัญงานมงคลของเจ้า”

เจียงเฉินอวี๋รีบคุกเข่าขอบคุณ รับมาอย่างนอบน้อม เมื่อปิ่นมาอยู่ในมือก็ส่องประกายจับผิวเป็นสีฟ้าจางๆ

เจียงฮว่าเย่ว์จ้องปิ่นนี้ ดวงตาอ่อนโยนลง ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปแววทอดอาลัย “ขอให้เจ้าเป็นดังชื่อของมัน ได้ครองคู่กับคนดีตราบนิรันดร์ รักกันจวบจนเส้นผมขาวโพลน”

ครองคู่นิรันดร์หรือ…เป็นชื่อที่ดียิ่งนัก

เจียงเฉินอวี๋ประคองปิ่นนั้นด้วยความรู้สึกเคล้าระคน ตัวนางกับเจียงฮว่าเย่ว์ในยามนี้ไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่า เพราะไข่มุกคู่นี้ ทำให้ชะตาชีวิตของพวกนาง รวมไปถึงซีเหอ และยังมีทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ล้วนถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน

 

หวังได้คู่เคียงชั่วกาล หากผันจำพรากห่างเหิน

หวังลบภาพจำเคยเดิม กลับเติมสัญญามิเลือน

แสนทุกข์เทวษสุดโศก โลกจริงห่างฝันมิเหมือน

 

[1] หนึ่งในพระสูตรของพระพุทธศาสนาในอินเดีย ว่าด้วยการมีสติจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ

[2] ตำแหน่งทางการทหาร องครักษ์ของผู้ปกครองแว่นแคว้น

[4] “กงเติง” โคมไฟทรงแปดเหลี่ยม หกเหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยม กรุด้วยแพรไหมหรือคันฉ่อง มีลวดลายประดับประดาสวยงาม โคมครอบด้านบนมีลักษณะเป็นทรงหลังคาแบบเก๋งจีน โครงเป็นไม้แกะสลักประดับพู่ เนื่องจากเป็นที่นิยมใช้ในวัง จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก “โคมชาววัง”

[5] ปลาตระกูลปลาตีน (Mudfish) ลำตัวลื่น ชอบซุกอยู่ในดินโคลน

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า