ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃
จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก
แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
1
ถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ลมหายใจอบอุ่นและเปียกชื้นรินรดใบหน้า ตามมาด้วยกลิ่นอันยากจะบรรยาย อวิ๋นหลางที่สลบไสลอยู่อดขมวดคิ้วไม่ได้ ขณะคิดจะตวาดว่าเป็นบ่าวคนใดไม่มีตามารบกวนฝันหวานของเขา กลับรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน ระลึกได้ว่าหลังตนเองบาดเจ็บ ได้อาศัยสติสัมปชัญญะสุดท้ายลอบเข้าเรือนของผู้อื่น หรือเป็นพวกมันไล่ตามมาทันแล้ว เขาเร่งรวบรวมพลังทั้งหมดในร่าง ไม่คิดไตร่ตรองใดๆ ก็สะบัดฝ่ามือออกไปหนึ่งที
ครั้นได้ยินเสียงร้องน่าเวทนา อวิ๋นหลางถึงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เห็นสุนัขขนสีเหลืองตัวหนึ่งถูกเขาสังหารไม่ไกลนัก เขาหายใจหอบ ในใจลอบก่นด่าว่าพยัคฆ์ร่วงสู่พื้นราบโดนสุนัขรังแก[1]
ขณะจะมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ พลันแว่วเสียงฝีเท้าแผ่วเบาย่ำบนพื้นหิมะจากเบื้องหลัง ทว่าน่าเสียดายที่เขาใช้พลังทั้งหมดแล้ว แค่จะหันศีรษะไปทางด้านหลังยังเจ็บปวดยิ่ง ดวงตาของอวิ๋นหลางเปี่ยมด้วยความเศร้าสลดและความคั่งแค้นแทบจะพ่นไฟออกมาได้ เลือดที่กระอักออกจากปากอาบย้อมหิมะขาวสะอาดบนพื้นจนบาดตา
เขาพ่นประโยคหนึ่งอย่างยากลำบาก “วันนี้นายท่านอย่างข้าต้องจบชีวิตที่นี่ ถือว่าเป็นเจตนารมย์ของสวรรค์ บอกชื่อแซ่ของเจ้ามา!”
“อ๊า” เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเคืองแค้นดังมาจากเบื้องหลังเขา
อวิ๋นหลางเบิกตากว้าง รอให้ผู้มาเยือนใช้ฝ่ามือหรือไม่ก็กระบี่คร่าชีวิตเขา แต่ผู้ใดจะคิดว่าเงาร่างสีฟ้าอมเทานั่นกลับวิ่งผ่านร่างเขาไป แล้วฟุบหน้าลงบนร่างสุนัขขี้เรื้อนขนสีเหลือง ร่ำไห้เสียงดัง “อาหวง! อาหวง! อาหวง!”
เห็นเด็กน้อยสวมเสื้อนวมสีฟ้าอมเทากอดสุนัขขี้เรื้อนตัวนั้นในอ้อมแขน อวิ๋นหลางค่อยตระหนักว่าผู้มาไม่ใช่ผู้ไล่ล่าตนจึงถอนหายใจโล่งอก ในหัวแว่วเสียงวิ้งๆ แล้วหมดสติไปอีกครั้ง
ฮวาปู๋ชี่กอดสุนัข เห็นอาหวงหลับตาแล้ว ในใจเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง ทำได้เพียงร่ำไห้จนหายใจแทบไม่ทัน
นางเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง ขอทานฮวาจิ่วในตำบลเย่าหลิงเก็บนางมาเลี้ยง
ว่ากันว่าบรรพบุรุษเก้ารุ่นของฮวาจิ่วล้วนแต่เป็นขอทาน ฮวาจิ่วพิการตั้งแต่ยังเยาว์ ล่วงถึงวัยชราก็ยังไม่มีบุตรชายบุตรสาวสืบทอดสกุลฮวา หลังเขาเก็บฮวาปู๋ชี่มาเลี้ยง ย่อมอดยิ้มเบิกบานไม่ได้ ทั้งถอนหายใจยาว ในที่สุดสกุลฮวาก็มีทายาทแล้ว เขาไม่ได้สืบทอดธรรมเนียมของของสกุลฮวา จึงตั้งชื่อเด็กหญิงที่เก็บมาเลี้ยงส่งๆ ว่าฮวาสือ แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ไม่สู้ตั้งชื่อทารกที่ถูกทอดทิ้งว่าฮวาปู๋ชี่ดีกว่า ที่ตั้งว่าปู๋ชี่[2]เพื่อต้องการให้อาชีพขอทานของสกุลฮวาได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
จะว่าไปก็แปลก ฮวาปู๋ชี่อายุหนึ่งขวบก็สามารถร้องเพลงเหลียนฮวาลั่ว[3]ได้แล้ว พออายุสองขวบก็รู้ว่าต้องแย้มยิ้มแบมือขอเงิน แต่ละคำที่เรียกท่านลุงท่านป้าท่านน้าท่านอาออกเสียงชัดถ้อยชัดคำ ในดวงตาดำขลับยังคล้ายมีหยาดน้ำเอ่อคลอ ชวนให้คนเวทนาสงสาร
ฮวาจิ่วชื่นชมที่ฮวาปู๋ชี่มีพรสวรรค์ในการเป็นขอทานนับแต่ถือกำเนิด จึงถ่ายทอดวิชาความรู้การเป็นขอทานให้หมดสิ้น ฮวาปู๋ชี่เฉลียวฉลาด มากไหวพริบ ทั้งยังเรียนรู้การขโมยของได้อย่างรวดเร็ว บอกให้ร่ำไห้ก็ร่ำไห้ บอกให้ยิ้มก็ยิ้ม ปากหวานราวกับเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ฮวาจิ่ววางใจจนกล้านอนอาบแดดหาเหาอยู่ที่หัวสะพานอย่างเกียจคร้านนับแต่นั้นมา
เมื่อฮวาปู๋ชี่อายุห้าขวบ ช่วงหิมะตกหนักอันหาได้ยากยิ่งทำให้ฮวาจิ่วหนาวตาย นางได้แต่เอาเสื่อขาดๆ มาปิดหน้าฮวาจิ่ว กอดชามขอทานที่ฮวาจิ่วใช้มาตลอดชีวิตไว้ในอ้อมอก อาศัยโพรงสุนัขคลานเข้าเรือนของหลิวเอ้อร์เหนียง
คราวนั้นสุนัขขนสีเหลืองเพิ่งได้เป็นแม่ หากหลิวเอ้อร์เหนียงเอาลูกสุนัขที่เพิ่งคลอดไป ยามเห็นดวงตากลมโตดำขลับของฮวาปู๋ชี่บางทีคงคลับคล้ายลูกของตนเอง ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ มันจึงรับเลี้ยงฮวาปู๋ชี่ไว้
หลังหิมะหยุดตก หลิวเอ้อร์เหนียงถึงพบว่าฮวาปู๋ชี่อยู่ในบ้านสุนัข นางเอาอาหารมาวางไว้หน้าบ้านของมัน ครั้นเห็นว่าสุนัขขนสีเหลืองไม่ได้มุดออกมาจากบ้านดังปกติ หลิวเอ้อร์เหนียงประหลาดใจ ก้มลงดู แล้วต้องตื่นตะลึงทันใด
สุนัขขนสีเหลืองนอนอยู่ในบ้านอย่างเงียบเชียบ เผยให้เห็นท้องอบอุ่น ฮวาปู๋ชี่กำลังดูดนมของมัน
หลิวเอ้อร์เหนียงผงะถอยหลังหลายก้าว จากนั้นยกกระโปรงขึ้น วิ่งไปที่ลานด้านหน้าร้องเรียกสามีให้มาดูเรื่องประหลาด เมื่อพวกเขามาถึงลานหลังเรือนจึงเห็นฉากอันอบอุ่น
แสงอาทิตย์สาดส่องต้องหิมะบนพื้นทอประกายสีเหลืองอ่อนจาง หนึ่งคนหนึ่งสุนัขกินอาหารในชามสุนัขอย่างสงบสุข
สุนัขขนสีเหลืองกินไม่กี่คำก็ขยับถอยไปอีกด้าน จ้องฮวาปู๋ชี่อย่างอ่อนโยน ฮวาปู๋ชี่ไม่ได้กินจนหมด กลับยกชามไปวางตรงหน้าสุนัขขนสีเหลือง นางลูบขนมันเบาๆ ใบหน้าเย็นจนขึ้นสีเรื่อค่อยๆ เผยรอยยิ้มหวาน
หลิวเอ้อร์เหนียงเช็ดน้ำตา คนจะสู้สุนัขไม่ได้เชียวหรือ นางดึงสามีเดินจากไป ยินยอมให้ฮวาปู๋ชี่อยู่ในบ้านของอาหวง
อาหวงเลี้ยงดูฮวาปู๋ชี่ด้วยน้ำนมของมันและอาหารสุนัขจนนางอิ่ม ร่างกายอบอุ่น บ้านสุนัขยังช่วยกันพายุหิมะ ช่วยให้ฮวาปู๋ชี่มีชีวิตรอดผ่านฤดูหนาวที่หนาวเหน็บไปได้
ฮวาปู๋ชี่เข้าใจว่าผู้คนล้วนมีทั้งด้านเย็นชาและมีน้ำใจ จึงไม่เคยเดินเข้าออกประตูใหญ่ เพียงแต่มุดโพรงสุนัขลอด ถ้าขออาหารมาได้ก็ไม่เคยลืมแบ่งส่วนหนึ่งให้อาหวง ทุกวันยังเติมน้ำสะอาดใส่ถังในเรือนหลิวเอ้อร์เหนียงจนเต็ม ทั้งที่ยามนั้นนางเป็นเพียงขอทานอายุยังไม่ถึงหกขวบ
เรื่องนี้เล่าลือออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนทั่วตำบลเย่าหลิงต่างรู้เรื่องแปลกประหลาดนี้ พากันชื่นชมสุนัขขนสีเหลืองเรือนหลิวเอ้อร์เหนียงว่ามีเมตตา และชื่นชมฮวาปู๋ชี่ แม้อายุยังน้อยกลับรู้จักทดแทนบุญคุณ
ยามฤดูวสันต์มาเยือน ชีวิตของฮวาปู๋ชี่เป็นดั่งกิ่งไม้แห้งที่แตกหน่ออ่อน ระเบิดพลังชีวิตใหม่ออกมา
หลังฮูหยินผู้เฒ่าหลินของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ผู้นับถือพุทธศาสนาได้ยินเรื่องประหลาดว่ามีคนดื่มนมสุนัขเพื่อเอาชีวิตรอด ก็สั่งให้คนไปพาฮวาปู๋ชี่มา พอล้างหน้าจนสะอาด เห็นดวงหน้างดงาม นัยน์ตาดำขลับฉายแววฉลาดเฉลียว ไหนจะปากเล็กๆ ช่างจำนรรจาเอ่ยแต่คำหวานหู ทุกคราวยามเรียกฮูหยินผู้เฒ่าพาให้นางเบิกบานใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหลินพยักหน้าพึงใจ ให้ฮวาปู๋ชี่เป็นสาวใช้รดน้ำสวนผักในสวนหลังเรือนของครอบครัวสกุลหลิน ถือเป็นการรับเลี้ยงนาง
หลังอาศัยในสวนผักของสกุลหลิน ฮวาปู๋ชี่ได้รับอนุญาตจากฮูหยินผู้เฒ่าให้ไปจุดธูป เผากระดาษเงินกระดาษทองที่หลุมศพของฮวาจิ่ว
ป่าเขาลำเนาไพรแตกกิ่งก้านสาขา แต้มเติมสีเขียวขจีดังหยก ทั้งมอบความรู้สึกสดชื่นให้ผู้คน สายลมเย็นโชยเพียงแผ่ว แสงแดดอ่อนรางเลือนสาดส่อง แม้ในยามรัตติกาลสุสานก็ยังไม่น่าพรั่นพรึง มีเพียงความเงียบสงัด
สายลมหอบเถ้ากระดาษเงินกระดาษทองปลิวกระจัดกระจาย ฮวาปู๋ชี่นั่งหน้าหลุมศพ เหม่อมองตามเศษเถ้าที่ลอยหายไปอย่างทึ่มทื่อ นางกอดอาหวงพลางพึมพำกับตนเอง หากผู้อื่นได้ยินเข้าคงจุดไฟเผานางเป็นแน่
ฮวาปู๋ชี่พูดไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง พอเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้ว นางค่อยเอ่ยกับสุนัขขี้เรื้อนว่า “ในยุคโบราณนี่ขาดแคลนสิ่งใดเล่า ผู้มีความสามารถอย่างไรเล่า! การเป็นสาวใช้เป็นงานอย่างหนึ่ง แม้ไม่ใช่เจ้านายตนเองอีกต่อไป ทว่าใต้ต้นไม้ใหญ่ย่อมมีร่มเงามากมาย จะกอดขา[4]ทั้งทีต้องกอดขาใหญ่ๆ สักหน่อย ข้ารู้สึกว่าคฤหาสน์สกุลหลินนี้ไม่เลว เจ้าคิดว่าอย่างไร”
อาหวงถูหัวกับร่างของนางอย่างสนิทสนม ฮวาปู๋ชี่คลี่ยิ้ม “ไป จะพาเจ้าไปดูทางเข้า อย่าเห็นว่าคฤหาสน์สกุลหลินกว้างขวาง แต่สวนผักกลับอยู่ติดกำแพง ที่กำแพงมีโพรงสุนัขลอดใหญ่มาก เจ้ามาหาข้าได้ไม่มีปัญหา ผู้ใดมีน้ำนมเลี้ยงดูย่อมต้องเรียกผู้นั้นว่าแม่ หลังจากนี้ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้กินดีอยู่ดี!”
อาหวงผูกพันกับฮวาปู๋ชี่ กอปรกับคฤหาสน์สกุลหลินมีอาหารอุดมสมบูรณ์ จึงย้ายมาอยู่หลังสวนผักของสกุลหลิน ไม่กลับเรือนสกุลหลิวอีก หลิวเอ้อร์เหนียงทำได้เพียงทอดถอนใจ กล่าวว่า “ฝนจะตก สุนัขต้องการคนรัก[5] ปล่อยมันไปเถิด!”
นับแต่นั้นอาหวงกับฮวาปู๋ชี่ก็อาศัยอยู่ที่สวนผักของคฤหาสน์สกุลหลินด้วยกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลินกล่าวอมิตาภพุทธ ค่อยเอ่ยวาจา “มิอาจให้ปู๋ชี่กับแม่สุนัขของนางแยกจากกัน!”
ทุกคนในคฤหาสน์สกุลหลินปิดปากหัวเราะกับคำว่าแม่สุนัข ต่อมาก็สั่งให้คนสร้างกระท่อมใกล้ๆ กำแพงที่มีโพรงสุนัขลอด ให้ฮวาปู๋ชี่ได้อยู่กับอาหวง
กล่าวว่าเป็นกระท่อม วางได้เพียงเตียงไม้หลังเล็กหนึ่งหลังกับโต๊ะไม้อีกหนึ่งตัว ทว่าฮวาปู๋ชี่กลับยินดีปรีดายิ่ง นี่เป็นครั้งแรกหลังทะลุมิติที่นางมีเรือนเป็นของตนเอง นางนอนกอดอาหวงบนเตียงที่แสนสบาย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ใหญ่กว่าบ้านสุนัขที่เรือนของหลิวเอ้อร์เหนียงเสียอีก”
อาหวงเห่าเป็นเชิงว่าเห็นด้วย กระโดดลงจากเตียงไปปัสสาวะรอบกระท่อมเป็นวงกลม
ยังจะมีอันใดอีก ไม่มีการด่าทอ ไม่มีงานที่ทำไม่จบไม่สิ้น ไม่มีสัญญาให้นางลงนามขายตัว มิหนำซ้ำยังมีสายตาอบอุ่นของอาหวงและร่างอ่อนนุ่มทำให้นางอบอุ่น แม้คุณชายคุณหนูสกุลหลินจะเคยชี้ให้สหายดู บอกว่านางถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข ฮวาปู๋ชี่ก็ยอบกายคารวะดังปกติ
ยามที่นางเพิ่งมาถึงคฤหาสน์สกุลหลินมักนั่งเก้าอี้ตัวเล็กแหงนหน้าดูดวงดาว ครุ่นคิดว่าได้เกิดในร่างทารกที่ถูกทอดทิ้งพร้อมกับความทรงจำในภพก่อน เช่นนี้ถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ มองจนปวดเมื่อยคอก็ยังคิดไม่ออก ฮวาปู๋ชี่ปิดปากหาว พูดกับอาหวงว่า “ถือว่าโชคดีกระมัง ชั่วดีอย่างไรข้าก็มีชีวิตมาแล้วสองชาติภพ ท่านอาเก้า[6]เรียกข้าว่าฮวาปู๋ชี่ ยามนี้ข้าไม่รังเกียจที่เกิดมาเป็นขอทาน มิหนำซ้ำยังมีเจ้าเป็นแม่สุนัขด้วย ไปนอนกันเถิด!”
เจ็ดปีผ่านไปอย่างสงบสุข อาหวงกลายเป็นสุนัขขี้เรื้อนแสนเกียจคร้านตัวหนึ่ง ฮวาปู๋ชี่กลายเป็นสาวใช้มือไม้คล่องแคล่วทำงานทั่วไปในสวนผักของคฤหาสน์สกุลหลิน
เวลานี้ร่างของอาหวงสุนัขขี้เรื้อนที่นางกอดอยู่ค่อยๆ เย็นลง ฮวาปู๋ชี่รู้สึกราวกับถูกมีดกรีดเฉือนดวงใจออกไป ความอบอุ่นของอาหวง เรื่องราวในอดีต การไร้ที่พึ่งพิงในภพนี้เริ่มผุดพรายในห้วงความคิด ฮวาปู๋ชี่ยิ่งร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ
สวนผักอยู่ในที่ลับตาคน ยามเหมันตฤดูที่เต็มไปด้วยน้ำค้างแข็งและหิมะอันหนาวเหน็บ ต่อให้เป็นพวกบ่าวรับใช้ยังซุกตัวอยู่แต่ในห้องอบอุ่น แม้สวนผักที่เงียบสงบจะมีเสียงร่ำไห้ของฮวาปู๋ชี่สะท้อนไปมา แต่ไม่ทันดังลอดออกไปด้านนอกก็ถูกลมพัดหายไปเสียก่อน
ฮวาปู๋ชี่เช็ดน้ำตา พลันนึกถึงฆาตกรที่สังหารอาหวง ความคิดอยากสังหารอีกฝ่ายผุดขึ้นมาทันใด ครั้นเหลียวกลับไปมอง พบว่าร่างกายของเด็กหนุ่มที่สังหารอาหวงชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นอนสลบไสลไม่ได้สติบนพื้นหิมะ
นางกัดฟันกรอด แววตาเปี่ยมไปด้วยความชิงชัง เด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บจนหมดสติคนหนึ่งมีอันใดให้กลัว มิสู้สังหารเขาเพื่อแก้แค้นให้อาหวง เช่นนี้ย่อมไม่มีคนสงสัยนาง ฮวาปู๋ชี่ถือไม้กระบองเดินเข้าไปพร้อมความคิดสังหารคน หากเมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของอวิ๋นหลาง ในใจกลับรู้สึกพรั่นพรึง
เงื้อไม้กระบองขึ้นหลายครา สุดท้ายกลับไม่ได้ฟาดลงไป ถึงอย่างไรเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหก ทั้งยังเป็นชีวิตคนคนหนึ่ง ฮวาปู๋ชี่ได้แต่ทิ้งไม้กระบองลงอย่างอ่อนแรง มองสุนัขขี้เรื้อน กล่าวอย่างปวดใจว่า “อาหวง ต่างพูดกันว่าตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ ถ้าเจ้าป้อนนมให้คุณหนูสี่กิน ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่ขนเส้นเดียว ข้ามือไม้อ่อนมิกล้าสังหารคน มิอาจแก้แค้นให้เจ้าได้ เจ้าอย่าตำหนิข้าเลย!”
นางมิอาจลงมือ แต่ก็ไม่ยินดีจะช่วยเขา จึงถ่มน้ำลายลงพื้น ก่นด่าหัวขโมยอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนอุ้มสุนัขขี้เรื้อนไปหาที่ฝังศพ
หิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักฝังกลบรอยโลหิตบนพื้นช้าๆ บริเวณที่อวิ๋นหลางนอนอยู่จึงคล้ายกองหิมะที่สูงขึ้นมาเล็กน้อย
ฮวาปู๋ชี่กลับจากการฝังอาหวง นภาก็มืดแล้ว ภายในสวนผักเงียบสงัด แสงจันทร์เย็นเยียบสาดประกายบนพื้นหิมะขาวโพลน นางยืนนิ่งไม่ไหวติง ก้มลงมองเงามืดใต้แสงจันทร์เบื้องหลัง เมื่อปราศจากเงาของอาหวงกับความรักของมัน ความเหงาก็ปรากฏชัด นับแต่วันนี้ไปนางต้องอยู่เพียงลำพังในโลกใบนี้
ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ฮวาปู๋ชี่เช็ดน้ำตา เค้นรอยยิ้มปลอบใจตนเอง นางกอดอกเดินเข้ากระท่อม เพิ่งเดินได้สองก้าวก็สะดุดเข้ากับร่างของอวิ๋นหลางที่ถูกหิมะปกคลุมจนล้มลงกับพื้น เขายังไม่จากไปอีกหรือ หรือเสียชีวิตแล้ว ฮวาปู๋ชี่ใช้ไม้กระบองค่อยๆ สะกิดอวิ๋นหลาง ทว่าไม่มีการตอบสนอง หรือตายแล้วจริงๆ นางใช้ไม้กระบองปัดหิมะบนตัวของอวิ๋นหลางออก เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือด
มุมปากของเขายังเหลือคราบเลือดแห้งกรัง ใบหน้าขาวราวกับหิมะบนพื้นส่งให้คิ้วยิ่งดำเข้มดุจน้ำหมึก โลหิตบนร่างจับตัวกลายเป็นสีม่วงดำ วันรุ่งขึ้นคงแข็งตาย ความแค้นของอาหวงย่อมถือว่าได้รับการชำระแล้ว
ภายในสวนผักใหญ่โตกลับมีคนกลายเป็นศพหน้ากระท่อมสุนัขของนาง เพียงแค่คิดฮวาปู๋ชี่ก็ขนลุกเกรียว
ยามนั้นเอง อวิ๋นหลางบนพื้นเริ่มขยับตัว ทำฮวาปู๋ชี่แตกตื่น หวีดร้องโดยไม่รู้ตัว
อวิ๋นหลางได้ยินเสียงดังก็ไม่ใส่ใจกับความเจ็บปวดที่แผ่นหลัง กระโดดพรวดขึ้นจากพื้น ใช้มือตะครุบปิดปากของฮวาปู๋ชี่ กดนางลงกับพื้นหิมะ หายใจหอบพลางขู่ “ถ้าขืนยังตะโกนอีกข้าจะสังหารเจ้า!”
ฮวาปู๋ชี่ตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ เขายังไม่หนาวตายอีกหรือ! เหตุใดเขาจึงดวงแข็งเช่นนี้ นึกถึงความโชคร้ายของอาหวง นางเต็มไปด้วยความสังเวชใจ ยิ่งกว่านั้นอวิ๋นหลางยังกดนางจมพื้นหิมะจนขยับเขยื้อนไม่ได้ เหตุใดก่อนหน้านี้นางไม่เป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน ต่อให้ไม่สังหารเขาก็จับเขามัดได้นี่นา! ฮวาปู๋ชี่เสียใจสุดซึ้ง ยามนี้ทำได้เพียงเบิกตากว้าง จดจำท่าทางดุร้ายของเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ พยายามพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว
หยดน้ำในยามเหมันต์เมื่อถูกความเย็นยังกลายเป็นน้ำแข็ง สำมะหาอันใดกับบาดแผลฉกรรจ์จากกระบี่ โลหิตที่บาดแผลย่อมแข็งตัวและหยุดไหลโดยปริยาย หาไม่อวิ๋นหลางคงเสียเลือดมากจนตายไปนานแล้ว ต่อให้นอนบนพื้นหิมะ ทว่าเขาหมดสติเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งกำลังฟื้นฟูพละกำลัง ไม้กระบองของฮวาปู๋ชี่ปลุกเขา พอได้ยินเสียงนางหวีดร้อง เขารีบรวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นคว้าฮวาปู๋ชี่ พลางแยกเขี้ยวเพราะความเจ็บปวดเนื่องจากบาดแผลที่แผ่นหลังปริออก
อวิ๋นหลางหอบหายใจ พบว่าคนเบื้องล่างเป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสองสิบสามเท่านั้น เขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เลื่อนมือมากุมลำคอของนางเบาๆ ฮวาปู๋ชี่ผอมแห้งราวถั่วงอก เพียงมือเขาข้างเดียวก็หักคอนางได้แล้ว อวิ๋นหลางได้แต่ขบขันกับความตื่นตระหนกของตนเอง พอเห็นดวงตาดำขลับของฮวาปู๋ชี่เผยแววหวาดหวั่น จึงผ่อนแรงลงเล็กน้อย
เขาถามเสียงต่ำ “ที่นี่คือที่ใด”
มือของฮวาปู๋ชี่ยันหน้าอกของอวิ๋นหลางไว้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด สายตาที่จ้องมองกลับฉายแววหงุดหงิด ต่อให้ในใจแค้นเคืองเพียงใด ยามนี้ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ตอบเขาเสียงแผ่วเบา “คฤหาสน์สกุลหลิน!”
“คฤหาสน์สกุลหลินของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นรึ”
ฮวาปู๋ชี่พยักหน้า
อวิ๋นหลางโอดครวญในใจ วิ่งมาครึ่งค่อนวัน เหตุใดยังวนอยู่ที่คฤหาสน์สกุลหลิน เขามองไปรอบๆ ค่อยค้นพบอย่างน่ายินดีว่าที่นี่เป็นสวนผักที่ค่อนข้างกว้างขวางและเปิดโล่ง มีกระท่อมตั้งอยู่โดดเดี่ยว ต่อให้ฮวาปู๋ชี่ร้องตะโกน เขายังมั่นใจว่าจะทำให้นางตะโกนครั้งที่สองไม่ได้แน่ อวิ๋นหลางสูดลมหายใจ กำแขนของฮวาปู๋ชี่แน่น ใช้กระบี่พยุงกายที่แทบทรงตัวไม่อยู่ลุกขึ้น “เข้าไป!” อวิ๋นหลางตวาดเสียงต่ำพลางสังเกตกระท่อมตรงหน้า
ในใจของฮวาปู๋ชี่ทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขา อดทนต่อความเจ็บปวดที่แขน พยุงอวิ๋นหลางเข้ากระท่อม
ภายในกระท่อมเรียบง่ายและคับแคบ มีเพียงเตียงหนึ่งหลังกับโต๊ะหนึ่งตัว อวิ๋นหลางนั่งบนเตียง ฉวยโอกาสหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาเขย่า พบว่ามีน้ำอยู่ก็อดดีใจไม่ได้ แหงนหน้าดื่มรวดเดียวหมด
อาการบาดเจ็บที่แผ่นหลังต้องมีผ้าพันไว้จึงจะใช้ได้ อวิ๋นหลางเห็นฮวาปู๋ชี่ขดตัวอยู่ข้างผนังท่าทางน่าสงสาร อดกล่าวเสียงอ่อนไม่ได้ “เด็กน้อย เจ้าพันแผลให้ข้าที แล้วข้าจะไม่สังหารเจ้า!”
ฮวาปู๋ชี่ปรารถนาอย่างยิ่งให้บาดแผลของเขาสาหัสจนมิอาจเยียวยาและเสียชีวิต นางถ่วงเวลาด้วยการขยับตัวอย่างเชื่องช้า สีหน้าหวาดกลัว
“มานี่!” อวิ๋นหลางตะคอกเสียงต่ำ บีบถ้วยน้ำชาในมือจนแหลกละเอียด
เขาออกแรงที่มือ หากสายตาจับจ้องลำคอของฮวาปู๋ชี่ ราวกับบอกนางว่า ถ้าสิ่งที่บีบเมื่อครู่เป็นลำคอของนาง ชีวิตของนางก็ไม่เหลือแล้ว
ฮวาปู๋ชี่เหลียวมองหน้าประตูอย่างอดไม่ได้
อวิ๋นหลางมองนาง กล่าวอย่างเย็นชา “ข้ารับรองว่าเจ้าจะถูกสังหารก่อนวิ่งออกไป ยายหนูไร้เดียงสา ถ้าอยากให้นายท่านอย่างข้าฝังเจ้า เจ้าก็ตะโกนเถิด!”
“อย่าสังหารข้า! ข้าไม่ตะโกนแล้ว!” คราวนี้น้ำเสียงของฮวาปู๋ชี่สั่นเครือแล้วจริงๆ นางหันหลังกลับ แข้งขาอ่อนแรงจนขยับไม่ได้ หวาดกลัวจนดวงตาเริ่มมีละอองน้ำใส ก่อนค่อยๆ ร่วงพรูลงมาในที่สุด
ภายในกระท่อมไร้แสงไฟ มีเพียงแสงสะท้อนจากหิมะที่ส่องผ่านทางหน้าต่างกระดาษเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้น อวิ๋นหลางเหม่อมองฮวาปู๋ชี่ราวกับสูญเสียวิญญาณบางส่วน เขารู้สึกว่านางช่างน่าสงสารเหมือนลูกสุนัข หากไม่ใช่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอันตราย อวิ๋นหลางเชื่อว่า เขาไม่มีทางทำให้แม่นางน้อยเช่นนี้ต้องตกใจกลัว เขากล่าวเสียงอ่อน “อย่างน้อยเจ้าช่วยข้า ข้าย่อมไม่มีทางสังหารเจ้า เพียงรบกวนเจ้าช่วยพันแผลให้ข้าสักหน่อย ข้าจะรีบจากไปโดยเร็วที่สุด ไม่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้เจ้า”
ฮวาปู๋ชี่ขยับไปหน้าเตียงอย่างเชื่องช้า มองร่างอวิ๋นหลางที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างโง่งม ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากที่ใดดี
อวิ๋นหลางถอดเสื้อออกอย่างสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเพราะบาดแผลบนหลังแห้งกรังติดเสื้อ ขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างยิ่ง เขาขมวดคิ้วบอกเสียงต่ำ “ฉีกผ้าปูที่นอนแล้วเอามาพันแผล!”
ฮวาปู๋ชี่จับผ้าปูที่นอน หวนนึกถึงเมื่อคืนที่ยังได้นอนกอดอาหวง โทสะในใจพลันพลุ่งขึ้นมาอีกรอบ เสียงฉีกขาดของผ้าปูที่นอนราวกับคมมีดที่แทงทะลุหัวใจของนางอย่างรุนแรง นางพันผ้าให้อวิ๋นหลางเงียบๆ น้ำตาร่วงริน เพราะภายในห้องนี้ไร้เงาของอาหวงแล้ว
หลังพันแผลเสร็จ อวิ๋นหลางลองขยับดู พบว่าสบายตัวขึ้นไม่น้อย เขาหิวและอ่อนเพลียจึงอยากกินอาหารสักเล็กน้อยเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง จะได้รีบจากไปให้เร็วที่สุด พอเห็นฮวาปู๋ชี่หลั่งน้ำตาไม่หยุด ถึงเพิ่งรำลึกได้ว่าตนเองข่มขู่เด็กหญิงอายุสิบสองสิบสามคนหนึ่ง อดละอายใจไม่ได้ ทว่าสถานการณ์คับขันเช่นนี้เขาได้แต่แกล้งทำเป็นดุร้ายน่ากลัว จ้องฮวาปู๋ชี่เขม็ง ถามว่า “ที่นี่มีของกินหรือไม่!”
หัวใจของฮวาปู๋ชี่กระตุกวูบ หลุบตาลงแล้วตอบ “นอกเรือนมีหัวไชเท้า ข้าจะไปเอามาให้”
ท่าทางของนางยามนี้ดูใสซื่อและน่าสงสาร ทั้งสวนผักเป็นที่กว้างโล่ง อวิ๋นหลางจึงไม่ติดใจอันใด เพียงตอบรับพร้อมหายใจหนักๆ “ได้”
เห็นเขาพยักหน้า ฮวาปู๋ชี่ค่อยเดินออกไป พอเดินถึงหน้าประตู นางหันหน้ามาเห็นอวิ๋นหลางหลับตาพักผ่อน มือดึงประตูปิดฉับและลงกลอนอย่างรวดเร็ว จากนั้นหยิบกระทะกับตะหลิวข้างกระท่อมขึ้นมาเคาะ อ้าปากตะโกนลั่น “ผู้ใดก็ได้! จับหัวขโมย! มีหัวขโมย! เกิดไฟไหม้…”
อวิ๋นหลางได้ยินทั้งเสียงลงกลอนประตูและเสียงร้องตะโกนของฮวาปู๋ชี่ ลอบด่ายายเด็กหน้าเหม็นว่าเล่นงิ้วได้ดีนัก! เขายกกระบี่ขึ้นแล้วพุ่งออกทางหน้าต่าง
หน้าต่างถูกกระแทกจนพัง จากนั้นอวิ๋นหลางก็กระโดดออกมา
ฮวาปู๋ชี่หันขวับกลับไปมองตามเสียง สบกับดวงตาเยียบเย็นคู่หนึ่งซึ่งจับจ้องนางท่ามกลางประกายหิมะ ในใจแตกตื่น โยนกระทะทิ้งโครม รีบวิ่งไปทางด้านหลังสวนผัก อ้าปากส่งเสียงดังกว่าเดิม
“ยายเด็กหน้าเหม็น กล้าหักหลังนายท่านอย่างข้า!” อวิ๋นหลางคำรามเสียงลอดไรฟัน
เสียงของนางกระจ่างใส กังวานก้องท่ามกลางราตรีอันมืดมิด หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา วิชาแพทย์ที่สืบทอดของสกุลช่วยรักษาคนในยุทธภพมากมาย ยังซื้อใจยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งให้ดูแลรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์ด้วย ไกลออกไปค่อยเริ่มมีคนจุดไฟถือโคมวิ่งมาที่สวน อวิ๋นหลางย่อมมิอาจไล่ตาม เพียงจ้องนางที่วิ่งรวดเร็วราวกระต่ายอย่างแค้นเคือง ก่อนหันหลังเดินซวนเซไปที่กำแพง
กำแพงอิฐฝั่งสวนของคฤหาสน์สกุลหลินสูงอย่างน้อยสองจั้ง[7] อวิ๋นหลางสูดลมหายใจ หมายจะกระโดดข้ามกำแพง บาดแผลจากกระบี่ที่แผ่นหลังปริออกทันที ทำเอาเขาเจ็บจนต้องมุ่นคิ้ว ตามปกติความสูงระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา หากเวลานี้เขามีเพียงใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ยามที่ได้รับบาดเจ็บและหนีตายเขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระโดดเข้ามา พอถึงยามนี้กลับมิอาจกระโดดออกไปได้ มองแสงไฟนอกสวนเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อวิ๋นหลางเลื่อนสายตาลงเห็นโพรงสุนัขลอดข้างกำแพง จึงหลับตาก้มลงไป
ฮวาปู๋ชี่วิ่งออกจากสวนอย่างรวดเร็ว ความคั่งแค้นอัดแน่นในอกพรั่งพรูออกมา นางหวังว่าคนในหมู่ตึกจะจับอวิ๋นหลางได้และแก้แค้นให้อาหวง จังหวะที่นางหันกลับไปพลันพบว่าอวิ๋นหลางกำลังมุดโพรงสุนัขลอด เขาคิดจะหนีอย่างนั้นหรือ ฮวาปู๋ชี่ชะงักฝีเท้า ตะโกนเสียงดังลั่น “เจ้าหัวขโมยจะมุดโพรงสุนัขหนีแล้ว! เขามุดโพรงสุนัขแล้ว! เขามุดโพรงสุนัขแล้ว!”
เสียงใสกังวานก้องท่ามกลางความมืดลอยเข้าหูของอวิ๋นหลาง โทสะเต็มใบหน้าหล่อเหลาที่ขาวซีด ประมุขน้อยแห่งป้อมเหินเมฆาที่น่าเกรงขามถึงกับมุดโพรงสุนัขเพื่อหนีเอาชีวิตรอด หากวันหน้ายายเด็กนี่จำได้แล้วปล่อยข่าวออกไป เขายังมีหน้ายืนอยู่ในยุทธภพอีกหรือ
ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ แค้นครั้งเขาต้องจัดการแน่! อวิ๋นหลางกัดฟันกรอด ก้มมองโพรงสุนัขลอดที่มืดมิดใต้กำแพง แบกรับความเจ็บปวดจากบาดแผล รวบรวมกำลังภายในตวาดเสียงเย็นเยียบ “ยายเด็กหน้าเหม็น! เจ้าตายแน่! นายน้อยอย่างข้าจะต้องกลับมาหาเจ้าแน่!”
เสียงของเขาข้ามผ่านกำแพงเพียงแผ่วเบา ฮวาปู๋ชี่กลับรู้สึกคล้ายถูกอสนีบาตฟาด ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงวูบ ล้มหัวทิ่มลงไปในกองหิมะ ทำให้ลิ้มรสหิมะเข้าไปเต็มปาก
[1] หมายถึง คนที่เคยมีตำแหน่งสูง หรือมีอำนาจลาภยศ ต้องกลายมาเป็นคนสามัญธรรมดา หรือถูกลดตำแหน่ง ทำให้ไม่มีคนยำเกรงหรือเกรงกลัว
[2] แปลว่า ไม่ทอดทิ้ง
[3] ในอดีตเป็นบทงิ้วที่ร้องโดยขอทานตาบอด เนื้อหาส่วนใหญ่โน้มน้าวให้ผู้คนส่งเสริมคนดี ลงโทษคนชั่วร้าย และทำบุญทำทาน
[4] หมายถึง ประจบประแจง เลียแข้งเลียขา
[5] หมายถึง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มาจากสำนวนที่ว่าฝนจะตก คนจะแต่งงาน
[6] คำว่า “จิ่ว” จากชื่อฮวาจิ่ว แปลว่า เก้า
[7] หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร