ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃
จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก
แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
3
นางหงส์โผบินสู่ยอด
สกุลหลินเป็นแพทย์มาหลายชั่วอายุคน จึงตั้งชื่อของบุตรชายบุตรสามตามชื่อของยาสมุนไพร คุณชายใหญ่อวี้เฉวียน[1] คุณชายรองคงชิง[2] คุณชายสามสืออิง[3] คุณหนูสี่ตานซา[4]
คุณชายใหญ่กับคุณชายรองแต่งงานแล้ว คุณชายสามปีนี้อายุสิบเจ็ด หมั้นหมายเป็นที่เรียบร้อย ส่วนคุณหนูสี่ตานซาปีหน้าก็จะถึงวัยปักปิ่น[5] มีคนมาเจรจาสู่ขอมากมายจนธรณีประตูเรือนแทบสึกแล้ว
น้อยครั้งที่นายท่านหลินจะตรวจคนไข้ด้วยตนเอง คุณชายสกุลหลินทั้งสามล้วนสืบทอดกิจการของสกุล สามารถรับผิดชอบงานด้านเดียว คุณหนูสี่พอจะรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ติดที่สตรีไม่สะดวกที่จะปรากฏตัว นางอายุยังน้อยกลับรับหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในเรือนหลังของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ ทั้งจัดการได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงได้รับความโปรดปรานจากนายท่านหลิน
ราตรีนี้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์จุดไฟสว่างไสว เนื่องจากมีหัวขโมยบุกเข้ามา ต่อมาศาลาพักม้า[6]ของเขตปกครองซีโจวส่งม้าเร็วจากเมืองวั่งจิงมาที่นี่กะทันหัน คราแรกนายท่านหลินยังมีโทสะ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหลากใจ ครั้นคิดถึงบุตรชายบุตรสาวทั้งสี่คน รวมถึงอนาคตของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจข่มตาหลับลงได้ ไม่ทราบว่าความคิดเวียนวนกลับไปกลับมากี่รอบและคิดไปกี่เรื่องแล้ว
คุณชายใหญ่อวี้เฉวียนตรวจแผลที่แผ่นหลังของเจี้ยนเซิงเด็กรับใช้ของม่อรั่วเฟย ค่อยกลับมาที่ห้องหนังสือ รายงานว่า “ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของเด็กรับใช้ผู้นั้นไม่เป็นอันใดแล้ว เพียงแต่ไม่ว่าจะซักถามอย่างไร เขาก็ไม่ยอมบอกความเป็นมาของคุณชายเรือนเขา พูดเพียงว่าแซ่ม่อเท่านั้นขอรับ”
“ออกไปดูว่าคนที่ไปตามหาปู๋ชี่กลับมาหรือยัง มีข่าวคราวหรือไม่”
เห็นบิดาไม่แยแสเด็กรับใช้ที่สงสัยว่าเป็นหัวขโมย แต่กลับกังวลถึงฮวาปู๋ชี่ที่ออกจากคฤหาสน์อย่างนั้นหรือ แม้หลินอวี้เฉวียนจะแปลกใจ แต่ยังคงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ยังไม่มีข่าวขอรับ”
นายท่านหลินถอนหายใจ หันหลังโบกมือพลางเอ่ย “หาต่อไป ส่วนเจ้าไปเรียกคงชิง สืออิง กับตานซามา พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย”
จากนั้นไม่นานทุกคนก็รวมตัวกันที่ห้องหนังสือ
หลินตานซาปิดปากหาว ถามว่า “ท่านพ่อ เช้าถึงเพียงนี้เรียกลูกมาไยเจ้าคะ มีเรื่องใดท่านกับพวกพี่ชายจัดการกันเองก็ใช้ได้แล้ว”
นายท่านหลินตอบเสียงทุ้ม “พ่อเกรงว่าหากไม่บอกเจ้าไว้แต่เนิ่นๆ พอปู๋ชี่กลับมา เจ้าจะพูดจาเสียมารยาทน่ะสิ! คุณชายม่อผู้นั้นมีวิชายุทธ์สูงส่ง พ่อบ้านหลิวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เพียงพริบตาเดียวก็โยนพ่อบ้านหลิวไว้ข้างหลังได้ ในเมื่อเขารู้ว่าเด็กรับใช้ของตนเองอยู่ที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ ย่อมต้องไล่ตามมาและพาปู๋ชี่กลับมาด้วยแน่นอน”
“ยายเด็กที่ถูกแม่สุนัขเลี้ยงมาหนีไปแล้วก็ช่างประไร ให้นางอยู่ในคฤหาสน์รังแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะ บอกว่ามีคนที่ถูกดูเลี้ยงดูโดยแม่สุนัขอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สกุลหลินของพวกเรา พลอยทำให้สกุลพวกเราเสื่อมเสียไปด้วย! รับเลี้ยงนางมาเจ็ดปี สกุลหลินของพวกเราไม่มีอันใดต้องละอายใจต่อนางทั้งสิ้น” หลินตานซาอดนึกถึงถ้อยคำของบุตรีท่านข้าหลวงหวงผู้เป็นสหายสนิทไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงชื่อเสียงเรื่องความมากเมตตาของคฤหาสน์สกุลหลิน ป่านนี้ฮวาปู๋ชี่ที่ทำให้นางถูกสหายฉีกหน้าคงถูกไล่ออกนานแล้ว
นายท่านหลินยิ้มเจื่อน มองบุตรีอย่างรักใคร่ กล่าวเสียงอ่อนโยน “ที่พ่อเรียกพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องต้องกำชับ พอปู๋ชี่กลับมาแล้ว ต้องปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นน้องสาวของพวกเจ้า และเป็นคุณหนูอีกคนหนึ่งของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ พ่อตั้งใจจะให้นางย้ายมาพำนักที่เรือนชุ่ยอิงของตานซา ส่วนถ้อยคำอย่างถูกแม่สุนัขเลี้ยงดู ห้ามเอ่ยแม้แต่ครึ่งคำ”
“อันใดนะ” คนทั้งสี่อุทานออกมาพร้อมกัน
หลินตานซาหน้าตางดงามผุดผาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ เปี่ยมเสน่ห์ดังดอกมะลิ เพราะเป็นบุตรีคนเล็กของครอบครัว ยามปกติจึงได้รับความรักทั้งจากบิดาและพี่ชาย พอได้ยินถ้อยคำของบิดาพลันโกรธจนพองแก้ม “ข้าไม่เห็นด้วย! ข้าไม่อยากได้กลิ่นสาบสุนัขจากนาง! ข้าได้เป็นลมกันพอดี!”
หลินอวี้เฉวียนเริ่มฝึกฝนเป็นแพทย์ เห็นเรื่องราวมากขึ้นย่อมมีประสบการณ์และสุขุมกว่าพวกน้องๆ เขารีบเอ่ย “น้องสาวอย่าเพิ่งร้อนใจ รอท่านพ่อพูดให้จบก่อน ท่านพ่อจัดการเช่นนี้ ทั้งกำชับพวกเราแต่เนิ่นๆ ย่อมต้องมีสาเหตุแน่นอน”
นายท่านหลินมองบุตรชายคนโตด้วยสายตาชื่นชม หยิบภาพวาดออกมาม้วนหนึ่ง “นี่เป็นของที่ผู้ตรวจการเฉินแห่งวั่งจิงสั่งให้ศาลาพักม้าส่งม้าเร็วมาส่งตั้งแต่เช้ามืด พวกเจ้ารีบดู”
นั่นเป็นภาพวาดสาวงามชมจันทร์ที่วาดได้เหมือนจริงอย่างยิ่ง จันทราในภาพลอยเด่นเหนือผืนฟ้า ดอกหอมหมื่นลี้ส่งกลิ่นหอมกรุ่น โฉมสะคราญแหงนมองศศิแย้มยิ้มเล็กน้อย ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามลมราตรีราวเทพธิดาฉางเอ๋อที่เหาะเหินลงมาจากดวงจันทร์
“เห็นอันใดหรือไม่”
พี่น้องสกุลหลินที่มองภาพวาดเนิ่นนานส่ายหัวพร้อมกัน ไม่ทราบว่าสตรีแปลกหน้าผู้นี้นอกจากงดงามอย่างยิ่งแล้วมีอันใดพิเศษ ก็แค่สาวงามนางหนึ่งเท่านั้น
นายท่านหลินชี้นิ้วไปบนใบหน้าของสตรีในภาพวาด “พวกเจ้ามองให้ละเอียดอีกที รูปร่างหน้าตาของนางคล้ายผู้ใด”
จู่ๆ คุณชายใหญ่หลินอวี้เฉวียนก็นึกถึงเรื่องที่บิดาเป็นห่วงฮวาปู๋ชี่ พอคิดถึงฮวาปู๋ชี่ก็กล่าวว่า “สีหน้ายิ้มแย้มคล้ายปู๋ชี่อยู่บ้าง แต่ปู๋ชี่ไหนเลยจะงดงามเพียงนี้”
นายท่านหลินมองบุตรชายคนโตด้วยสายตาชื่นชม ลูบหนวดอย่างพึงพอใจยอมเอ่ยปาก “ยามพ่อมองภาพวาดเพียงรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง หากคิดอยู่นานกลับคิดไม่ออก ปกติปู๋ชี่เป็นสาวใช้ทั่วไปทำงานที่สวนผัก ถ้าไม่ใช่เพราะคืนนี้นางพบเจ้าหัวขโมยที่บุกเข้าคฤหาสน์ พ่อก็คงไม่นึกถึงนาง ปู๋ชี่ไม่ได้งดงามเช่นสตรีในภาพวาด แต่ยามนางยิ้มแย้ม พ่อกลับจำได้อย่างแม่นยำ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสาวใช้ผู้นี้คล้ายสตรีในภาพวาด คาดว่าอีกราวสามวันภาพวาดนี้จะกระจายไปยังจวนว่าการแต่ละแห่งและสกุลใหญ่ทั้งหมดในซีโจว
“พอดีปีนั้นพ่อเคยช่วยรักษาอาการป่วยของฮูหยินของผู้ตรวจการเฉิน ดังนั้นใต้เท้าเฉินจึงส่งภาพวาดมาให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ล่วงหน้า ทั้งยังเขียนจดหมายอธิบายเหตุผลไว้ด้วย ท่านอ๋องเจ็ดแห่งวั่งจิงรีบร้อนหาเด็กผู้หญิงอายุสิบสองสิบสามคนหนึ่งโดยไม่รู้สาเหตุ เป็นไปได้ว่าจะเป็นบุตรีลับๆ ของท่านอ๋องเจ็ดที่ถูกทิ้งไว้ข้างนอก ไม่แน่อาจเป็นถึงท่านหญิงที่ตกระกำลำบากต้องอาศัยอยู่กับสามัญชน หากปู๋ชี่เป็นคนที่ท่านอ๋องเจ็ดต้องการ หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์นับว่าสร้างผลงานใหญ่แล้ว ดังนั้นพ่อถึงคิดจะให้ปู๋ชี่ย้ายไปอยู่ที่เรือนของเจ้า ให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อนางในฐานะน้องสาว”
หลินตานซาเข้าใจทันใด แต่รู้สึกไม่สบอารมณ์ เบะปากกล่าว “คิดไม่ถึงว่ายายเด็กที่ถูกแม่สุนัขเลี้ยงดูจะกลายเป็นหงส์ที่โผบินขึ้นสู่ยอดไม้ได้!”
นายท่านหลินสีหน้าเคร่งขรึม ตวาดว่า “หุบปาก! ห้ามพูดว่าถูกแม่สุนัขเลี้ยงดูอีก!”
แม้ในใจจะเข้าใจเหตุผล หากพอได้ยินเสียงดุของบิดา นางกลับกัดริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำด้วยความน้อยใจ
หลินอวี้เฉวียนรักเอ็นดูน้องสาวยิ่ง กล่าวเสียงนุ่มนวล “เพียงให้นางย้ายไปอยู่ในเรือนด้วย เจ้าแค่ให้สาวใช้เก็บกวาดห้องให้นางก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจนาง รอวันหน้าทางเมืองวั่งจิงส่งคนมาดู แล้วค่อยส่งนางออกไป หรือไล่นางออกไป ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของน้องสาวหรอกหรือ”
หลินตานซาหัวเราะทั้งน้ำตา
นายท่านหลินมองบุตรี ยังไม่ค่อยคลายใจนัก เขาคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ช่างเถิด นิสัยของตานซาดื้อรั้น ขืนให้นางไปอยู่ในเรือนเจ้า พ่อเกรงจะเกิดเรื่อง ไม่สู้หาเรือนให้นางอยู่คนเดียว เพียงหนึ่งหรือสองเดือนก็รู้ผลลัพธ์ว่าจริงหรือเท็จแล้ว”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ!” หลินตานซารีบปราม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นางดึงนายท่านหลิน เปล่งเสียงออดอ้อน “ท่านพ่อ ลูกได้ยินว่าท่านอ๋องเจ็ดมีบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านอ๋องน้อยทั้งหนุ่มแน่นทั้งรูปงาม ไม่เพียงมีความสามารถเชิงอักษรโดดเด่น ยังเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนวิชายุทธ์ตั้งแต่เด็กด้วย วิชายุทธ์จึงไม่ด้อยกว่าลูกหลานของคนในยุทธภพ หากลูกกับปู๋ชี่เป็นพี่น้องกัน ไม่ใช่ว่าวันหน้าจะมีโอกาสพบท่านอ๋องน้อยหรอกหรือเจ้าคะ”
นายท่านหลินลูบศีรษะนาง หัวเราะฮ่าๆ “เด็กโง่ ไม่เสียแรงที่พ่อเอ็นดูเจ้า พ่อให้นางไปอยู่ที่เรือนของเจ้า ย่อมมีความคิดนี้อยู่แล้ว แม้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์จะมีชื่อเสียงในยุทธภพ แต่กลับมิอาจผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจหรือมีอิทธิพลอย่างแท้จริงได้ ตานซารูปโฉมงดงามน่ารัก ทั้งยังรู้วิชาแพทย์ แม้น้อยมากที่ลูกหลานของพระบรมวงศ์จะเกี่ยวดองกับครอบครัวชาวยุทธ์ แต่หากปู๋ชี่มีวาสนากับท่านอ๋องเจ็ดจริง ท่านอ๋องเจ็ดก็เป็นหนี้น้ำใจครอบครัวพวกเราครั้งใหญ่ ฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้”
ใบหน้าของหลินตานซาแดงเรื่อ กระทืบเท้าพลางร่ำร้อง “ลูกเพียงแค่อยากเห็นท่านอ๋องน้อยสักครั้งเท่านั้น ท่านพ่อพูดไปถึงที่ใดกัน! ไม่สนใจท่านพ่อแล้ว ลูกจะกลับห้อง”
หลังนางออกไป สามพี่น้องสกุลหลินมองหน้ากัน หลินอวี้เฉวียนค่อยรวบรวมความกล้ากล่าวคำ “ท่านพ่อ จวนอ๋องจะเห็นชาวยุทธ์อย่างพวกเราอยู่ในสายตาหรือขอรับ ต่อให้ตานซาสามารถเข้าจวนอ๋องได้ แต่ต้องถูกรังแกอย่างแน่นอน พวกเรามีน้องสาวเพียงคนเดียว ไม่สู้ให้แต่งงานกับครอบครัวชาวยุทธ์ ถึงจะไม่ทำให้ตานซาได้รับความไม่เป็นธรรม”
นายท่านหลินถอนใจยืดยาว เอ่ยตอบ “พวกเจ้าจะไปเข้าใจอันใด เจ้าหัวขโมยผู้นั้นบุกเข้ามาในสวนสมุนไพรบนเขา และลุงรองของพวกเจ้าทำร้ายจนเขาได้รับบาดเจ็บ แม้เขาขโมยของไม่สำเร็จ แต่กลับก่อกวนสวนสมุนไพร จนเกือบจะทำให้ยาที่ข้าหลวงหวงต้องการเสียหาย เพื่อยาไป๋ฮวาเหลิ่งเซียงนั่น หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราต้องใช้เวลาปลูกดอกเย่าฮวาถึงหนึ่งปี กระทั่งถึงยามดอกเหมยเหมันต์บานค่อยเก็บดอกเย่าฮวาไปปรุงเป็นยาลูกกลอน แค่ยาสำหรับรดน้ำดอกไม้ต้นไม้เพียงอย่างเดียวก็ใช้เงินเป็นพันตำลึงแล้ว หากถูกทำลายจริงๆ จะให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์รับผิดชอบอย่างไรไหว ต่อให้กิจการของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ใหญ่โตกว่านี้ ก็ไม่พอต่อความต้องการของข้าหลวงหวง หากไม่ให้ ก็นับว่าล่วงเกิน ถึงหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์พอจะมีชื่อเสียงในยุทธภพ ทั้งคบหากับสหายชาวยุทธ์ แต่มีผู้ใดบ้างที่ไม่ได้คบเพื่อผลประโยชน์ เจอข้าหลวงชั้นผู้น้อยคนหนึ่งก็ยังจนปัญญา”
“เหอะ หวงหมิงซงรังแกคนอื่นเกินไปแล้ว! เพียงเพื่อให้อนุภรรยาของเขาบำรุงผิวพรรณ คงความอ่อนเยาว์ จึงให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราปรุงยาล้ำค่าให้เขาตั้งมากมาย แต่กลับไม่ยอมเสียเงินแม้แต่แดงเดียว! ท่านพ่อ ต่อให้พวกเรามิอาจลงมืออย่างโจ่งแจ้ง แต่สามารถลอบสังหารเจ้าสุนัขของทางการตัวนี้ได้!” คุณชายรองหลินเดือดดาลจนหน้าแดงก่ำ
“คงชิง โบราณกล่าวไว้ว่าชาวบ้านไร้หนทางเอาชนะเจ้าหน้าที่ทางการ พ้นจากข้าหลวงหวง จะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีข้าหลวงหลี่อีก หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ถือเป็นสกุลใหญ่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเขตปกครองซีโจว เจ้าคิดว่าหากไม่เอาอกเอาใจขุนนางผู้เป็นเสมือนบิดาของราษฎรแล้ว จะยังดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้อย่างนั้นรึ หลังพ่อได้ภาพวาดม้วนนี้มาจึงรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสหนึ่ง หวังว่าปู๋ชี่จะเป็นคนที่ท่านอ๋องเจ็ดตามหา สกุลหลินของพวกเราเลี้ยงดูนางมาเจ็ดปี ถือว่ามีความดีความชอบอยู่หลายส่วน แม้ตานซาจะไร้วาสนากับท่านอ๋องน้อยของท่านอ๋องเจ็ด แต่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถอาศัยบารมีของปู๋ชี่ได้”
หลิวอวี้เฉวียนครุ่นคิดก่อนถามไถ่ “หากไม่ใช่นางเล่า ข้าคิดว่าสีหน้าท่าทางคล้ายกัน แต่รูปลักษณ์กลับยังแตกต่างอยู่มากโข”
นายท่านหลินหัวเราะเบาๆ “อายุใกล้เคียง สีหน้าท่าทางคล้ายคลึง มิหนำซ้ำยังถูกทอดทิ้งที่ซีโจว ทุกคนในตำบลล้วนเป็นพยานได้ว่านางเป็นทารกที่ฮวาจิ่วเก็บมาเลี้ยง ในจดหมายของใต้เท้าเฉินไม่ได้พูดถึงสัญลักษณ์อื่นที่มีมาแต่กำเนิดอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงได้แต่อาศัยภาพวาดตามหาคน นางมีความคล้ายอยู่ห้าส่วน หากได้ประทินโฉม แต่งองค์ทรงเครื่อง ก็จะคล้ายถึงเจ็ดแปดส่วน อาศัยภาพวาดเพียงภาพเดียวตามหา สามารถพบคนที่คล้ายคลึงถึงเจ็ดแปดส่วนก็นับว่าใช้ได้แล้ว”
สามพี่น้องสกุลหลินมองบิดาอย่างเลื่อมใส หันมองกันเองแล้วยิ้ม “แล้วแต่ท่านพ่อจะสั่งการขอรับ!”
เมื่อเห็นเรือนที่ตั้งเรียงรายตามเชิงเขา ม่อรั่วเฟยก็เลิกคิ้ว สมแล้วที่เป็นสกุลใหญ่ คฤหาสน์หลังนี้ปลูกบนเนินเขา ผนังอิฐสีเขียวครามล้อมเรือนที่อยู่ด้านในไว้อย่างแน่นหนา แลดูโอ่อ่าไม่ธรรมดา ห่างจากสิ่งปลูกสร้างหนึ่งหลี่[7]มีซุ้มประตูหินสูงใหญ่ อักษรสีทองสามตัวเขียนว่าหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์
มุมปากของม่อรั่วเฟยเผยรอยยิ้ม เขาชะงักฝีเท้า หยุดชื่นชมตัวอักษรบนซุ้มประตู แล้วหันหน้าไปพูดกับฮวาปู๋ชี่ว่า “ถึงหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”
ฮวาปู๋ชี่เห็นประตูใหญ่ของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ไกล ในใจสับสนเล็กน้อย หลังจากนี้นางต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดไปจริงๆ หรือ เมื่อโตขึ้นก็ออกเรือนกับบ่าวรับใช้ชายของหมู่ตึก จากนั้นคลอดบุตรเพื่อเป็นบ่าวไพร่ของสกุลหลินต่อไปอย่างนั้นหรือ นางคิดอย่างประชดประชัน เรื่องเหล่านี้มิได้ขึ้นอยู่กับนาง ผู้ใดใช้ให้นางไม่เกิดในครรภ์ดีๆ แต่กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นขอทานเล่า สามารถชีวิตอยู่ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ ความสนใจที่มีต่อใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของม่อรั่วเฟยก็ลดลงไปหลายส่วน คางคกฝันใฝ่ลิ้มรสเนื้อหงส์ คงทำได้เพียงคิด มิอาจกินได้จริง
นางถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกให้ม่อรั่วเฟยเงียบๆ คำนับ กล่าวอย่างจริงจัง “ดวงอาทิตย์โผล่แล้ว อากาศอบอุ่นขึ้น ขอบคุณคุณชายม่อที่ให้ยืมเสื้อใส่ขับไล่ความหนาว ซ้ำยังแบกปู๋ชี่ลงจากเขาด้วย! ปู๋ชี่จะอธิบายกับนายท่านว่าเด็กรับใช้ของท่านไม่ใช่เจ้าหัวขโมยที่บุกเข้าหมู่ตึกเมื่อคืนนี้”
วาจาของนางฉลาดเฉียบแหลม รู้มารยาท ทั้งยังเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ทำให้ม่อรั่วเฟยไม่คุ้นชินอยู่บ้าง เขาเยาะหยัน “พอข้ามองออกก็แสร้งทำเป็นเชื่อฟัง ไม่รู้ว่าในท้องด่าว่าข้าเป็นเดรัจฉานอยู่หรือไม่”
ฮวาปู๋ชี่ไม่พูดจา
“ไม่พูดแสดงว่ายอมรับแล้วหรือ”
“ไม่นะ! ไม่มีจริงๆ ข้าน้อยสาบานได้! ถ้าในท้องของข้าน้อยด่าคุณชายว่าเดรัจฉาน อย่างนั้นข้าน้อยก็ถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข!” เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในถ้อยคำของเขา ฮวาปู๋ชี่รีบเงยหน้าขึ้นตอบอย่างรวดเร็ว ถ้อยคำนั้นหนักแน่นดังกังวาน สายตาฉายแววจริงใจน่าเชื่อถือ
ม่อรั่วเฟยอยากจะหัวเราะ สุดท้ายก็ขมวดคิ้ว ดุว่า “เด็กผู้หญิงห้ามพูดจาหยาบคาย!”
ฮวาปู๋ชี่ก้มลงหน้าลงช้าๆ คิดในใจว่า ยามข้าดื่มนมของอาหวง ยังไม่รังเกียจมันเลย ครั้งนึกถึงเรื่องที่อาหวงถูกฆ่าตายเมื่อคืนจึงหม่นหมองลง
ม่อรั่วเฟยเห็นฮวาปู๋ชี่ก้มหน้า คิดว่าเขาทำให้นางเสียขวัญอีกแล้ว จึงเอ่ยเสียงอ่อนลง “เข้าไปในหมู่ตึกแล้ว ข้าจะอธิบายกับท่านประมุขหลินเอง เขารู้ว่าเจ้าไม่อยากทำให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ไม่มีทางตำหนิที่เจ้าจากไปโดยพลการหรอก”
ไม่ตำหนิสิแปลก! หากไม่ใช่เพราะนางคิดหาเหตุผลไว้ล่วงหน้า คงไม่แคล้วถูกตีขาหักแน่! ฮวาปู๋ชี่ลอบส่งสายตาเหยียดหยามปราดหนึ่ง
เมื่อมาถึงประตู บ่าวเฝ้าประตูเห็นก็ตะโกนทันที “พวกเขากลับมาแล้ว! รีบไปรายงานนายท่านเร็ว!”
ม่อรั่วเฟยหันมอง เห็นฮวาปู๋ชี่ยังหน้างอ อดหยอกล้อนางไม่ได้ “ยิ้มหน่อยสิ ข้าไม่มีทางผิดคำพูดเด็ดขาด ต้องส่งชามข้าวทองคำให้เจ้าแน่!”
ฮวาปู๋ชี่เงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม ราวกับบุปผาซึ่งจู่ๆ อวดโฉมแบ่งบานบนก้อนหิน ครั้นเห็นม่อรั่วเฟยยิ้มตอบน้อยๆ นางกลับหุบยิ้มทันใดราวกับว่าเมื่อครู่นางไม่เคยแย้มยิ้มมาก่อน ทำเอาม่อรั่วเฟยหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก คิดในใจว่าสาวใช้ผู้นี้ช่างใจกล้านัก เหมือนสาวใช้ปกติที่ใดกัน ทว่าก็ได้แต่ปล่อยนางไป
เข้าประตูไปและเดินอ้อมฉากกั้นที่ทำจากหิน ม่อรั่วเฟยก้าวขึ้นบนระเบียงทางเดินไปยังห้องโถงใหญ่ ฮวาปู๋ชี่เดินมาถึงกลางลานเรือน แล้วคุกเข่าลงบนพื้นหิมะ ไม่พูดอันใดสักคำ
ม่อรั่วเฟยจะออกปาก พลันฉุกคิดได้ว่าสาวใช้ที่กล้าทิ้งเจ้านายแอบหนีไป สกุลใหญ่ล้วนมีกฎประจำสกุลซึ่งมิอาจละเว้นได้ นางขอรับโทษด้วยตนเองก็เป็นสิ่งที่สมควร จึงไม่ได้ขัดขวาง
เมื่อเขามาถึงหน้าห้องโถงใหญ่ นายท่านหลิน คุณชายทั้งสาม พ่อบ้าน ยังมีบ่าวรับใช้ชายหญิงอีกกลุ่มหนึ่งพรูกันออกมา ม่อรั่วเฟยตกตะลึง ปกติคฤหาสน์สกุลหลินต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้นแบบนี้หรือ เขาประสานมือคารวะ กล่าวคำ “ข้าน้อยม่อ…วั่งจิง”
ผู้ใดจะรู้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่สนใจเขาสักนิด พากันเดินลงบันไดตรงไปหาฮวาปู๋ชี่ นายท่านหลินประคองฮวาปู๋ชี่ให้ยืนขึ้น มองครู่หนึ่ง แล้วถามไถ่อย่างห่วงใย “ปู๋ชี่ออกไปทั้งคืนหนาวมากหรือไม่”
ฮวาปู๋ชี่อ้าปากกว้าง แตกตื่นกับความห่วงใยของนายท่านหลิน ปรายหางตามองม่อรั่วเฟยที่ถูกทิ้งไว้ด้านข้าง ในใจคาดเดาว่าหรือนายท่านหลินจะแสร้งทำเป็นมีเมตตาต่อหน้าคนนอก แต่ขอเพียงไม่เฆี่ยนตีนาง นางย่อมยินดีให้ความร่วมมือแน่นอน ฮวาปู๋ชี่พยายามคลี่ยิ้มสดใส “ไม่หนาวมากเจ้าค่ะ คุณชายม่อมอบเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกของเขาให้ข้า เมื่อวานข้าน้อยดูผิดไป เด็กรับใช้ของคุณชายม่อไม่ใช่หัวขโมยที่บุกเข้าหมู่ตึกผู้นั้น!”
นายท่านหลินรีบหันไปประสานมือคารวะม่อรั่วเฟย เอ่ยวาจา “ต้องขอบคุณท่านจอมยุทธ์ม่อที่ให้การช่วยเหลือบุตรีของข้า เด็กรับใช้ของท่านจอมยุทธ์ไม่เป็นอันใดแล้ว พักผ่อนอยู่ในห้องรับรองแขก หลังจากข้าผู้เฒ่าทำธุระเสร็จแล้วจะไปขอโทษท่านจอมยุทธ์ม่ออีกครั้ง เสี่ยวฉิน พาท่านจอมยุทธ์ม่อไปพักผ่อนที่ห้องรับรองแขกที”
นางเป็นบุตรีของท่านประมุขหลินแห่งหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์หรือ จงใจปลอมตัวเป็นสาวใช้เพื่อหนีออกจากเรือนอย่างนั้นหรือ ม่อรั่วเฟยเลิกคิ้ว แปลกใจระคนสงสัย คลับคล้ายเคยได้ยินว่าคุณหนูสี่ของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์หน้าตาน่ารัก แม้อายุยังน้อย แต่ก็สืบทอดวิชาแพทย์ของสกุลมาบางส่วน ทั้งจัดการเรื่องในเรือนได้เป็นอย่างดี ม่อรั่วเฟยตระหนักทันทีว่าเหตุใดฮวาปู๋ชี่ถึงกล้าหาญมากกว่าสาวใช้ทั่วไป
ยามนี้เห็นคนในคฤหาสน์สกุลหลินห้อมล้อมฮวาปู๋ชี่ราวกับดาวล้อมเดือน ไต่ถามทุกข์สุขไม่หยุดหย่อน เขายิ้มเจื่อน คิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกนางหนูผู้นี้ปั่นหัว ยามนี้ได้ยินว่าเจี้ยนเซิงไม่เป็นอันใดแล้ว เขาประสานมือคารวะอย่างสุภาพ หันหลังเดินตามเสี่ยวฉินออกไป
ฮวาปู๋ชี่ได้ยินถ้อยคำของนายท่านหลินก็ตกใจสะดุ้งโหยง ครั้งนี้นายท่านหลินดูจะเสแสร้งเกินไปกระมัง! ไม่เฆี่ยนตีด่าทอก็ทำให้นางซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพรากแล้ว ไฉนยังบอกว่านางเป็นบุตรีของเขาด้วย หรือจะมีคนมาสู่ขอ แล้วคุณหนูสี่ไม่ยอมแต่ง จึงคิดจะให้ตนเป็นเจ้าสาวแทน นอกเหนือจากนี้ นางก็คิดไม่ออกว่าตนเองมีสิ่งใดที่ทำให้นายท่านหลินแสดงความรักออกมาเช่นนี้ได้ ชั่วขณะนั้นฮวาปู๋ชี่รู้สึกแตกตื่นจนทำอันใดไม่ถูก ได้แต่คิดไปในทางร้ายไม่หยุด
“ปู๋ชี่ เหตุใดไม่บอกกล่าวก็ไปจากหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เล่า หรือคฤหาสน์สกุลหลินมีผู้ใดรังแกเจ้า”
สุ้มเสียงห่วงใยของนายท่านหลินเคลือบแฝงความดุดัน ฮวาปู๋ชี่ยิ่งตกใจ รีบส่ายหน้า “ไม่ใช่นะเจ้าคะ ถ้าปีนั้นไม่ใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่ารับเลี้ยงไว้ ปู๋ชี่ยังไม่รู้เลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงยามนี้หรือไม่ คนในคฤหาสน์ปฏิบัติต่อปู๋ชี่ดีมาก ข้าน้อยเพียงแต่ได้ยินเจ้าหัวขโมยผู้นั้นบอกว่าจะกลับมาแก้แค้น จึงหวาดกลัวว่าจะทำให้ทุกคนพลอยเดือดร้อนไปด้วย ถึงได้…”
นายท่านหลินถอนหายใจโล่งอก ขัดจังหวะถ้อยคำของนาง ยิ้มเอ่ย “นับแต่นี้เจ้าเป็นบุตรีบุญธรรมของข้า! คุณหนูของคฤหาสน์สกุลหลิน! ยังจะมีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าอีก เจ้าหัวขโมยผู้นั้นกล้ามาหาเรื่อง ข้าผู้เฒ่าจะตีขาเขาให้หัก!”
บุตรีบุญธรรม…คุณหนูของคฤหาสน์สกุลหลินรึ นายท่านหลินคงไม่ได้ต้องการให้นางทำบางอย่างแทนคุณหนูสี่เพื่อตอบแทนคุณใช่หรือไม่ ฮวาปู๋ชี่กะพริบตามองนายท่านหลิน คิดในใจว่าเงื่อนไขของการแลกเปลี่ยนนี้ดีหรือไม่ดีกันแน่ นับว่านางได้หรือเสียผลประโยชน์กัน
“ปู๋ชี่ เมื่อวานท่านแม่ได้ยินว่าเจ้าจากไป เศร้าใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน นางเอาแต่บอกว่าถูกชะตากับเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนหลานสาวมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ให้เจ้าอาศัยอยู่ที่สวนผักเพราะคำนึงถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับอาหวง บัดนี้อาหวงไม่อยู่แล้ว หลังจากนี้เจ้าก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเรือน คอยอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เถิด เจ้าว่าดีหรือไม่” นายท่านหลินมองฮวาปู๋ชี่อย่างอบอุ่น แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนไม่คาดคิด เกลี้ยกล่อมเสียงเบา “เด็กดี ลองเรียกพ่อบุญธรรมดูหน่อยสิ”
ถ้อยคำของนายท่านหลินหลอกได้เพียงเด็กโง่เขลา ไหนเลยจะหลอกนางได้ คฤหาสน์สกุลหลินรับเลี้ยงนางกับอาหวงไว้ นางซาบซึ้งใจเสมอมา เพราะถึงอย่างไรก็ให้ข้าวนางกิน แต่ความรู้สึกที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลินมีต่อนาง ถ้านางเชื่อ ก็มีชีวิตมาชาติหนึ่งอย่างเสียเปล่าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลินย่อมให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของคฤหาสน์สกุลหลินมากกว่าความรู้สึกที่มีต่อนาง ฮวาปู๋ชี่เชื่อว่าจะต้องมีบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่นอน
จะเกิดอันใดขึ้นหากนางบอกว่ามิอาจเอื้อม ฮวาปู๋ชี่รู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเลือก ในเมื่ออาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ย่อมทำได้เพียงก้มหัว เมื่อเข้ามาอยู่ในหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์แลัว นางก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอีก
ยามนั้นนางพลันนึกได้ว่าคนในคฤหาสน์สกุลหลินล้วนบอกว่านางถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข อาหวงเป็นแม่บุญธรรมของนาง ส่วนนายท่านหลินเป็นบิดาบุญธรรม ช่างน่าสนใจจริงๆ นางหลุดหัวเราะ สีหน้ายินดี ร้องเรียกอย่างใจกว้าง “ท่านพ่อบุญธรรม!”
นายท่านหลินทำราวกับเก็บสมบัติล้ำค่าที่สุดได้ รีบรับคำอย่างยินดีปรีดา หันไปเรียกบุตรชาย “อวี้เฉวียน คงชิง สืออิงยังไม่รีบมาทักทายน้องสาวอีก!”
คุณชายสกุลหลินทั้งสามคนยิ้มตาหยีร้องเรียกฮวาปู๋ชี่ว่าน้องสาว ฮวาปู๋ชี่ก็เรียกพี่ใหญ่พี่รองพี่สามอย่างอ่อนหวาน สนิทสนมราวกับเป็นครอบครัวเดียวกันนานแล้ว
นายท่านหลินยิ้มพอใจ กำชับว่า “พวกเจ้าส่งคุณหนูห้าไปที่เรือนชุ่ยอิงของคุณหนูสี่ ปู๋ชี่ ตานซาอายุมากกว่าเจ้าหนึ่งปี เจ้าเรียกนางว่าพี่สาวเถิด นางให้สาวใช้เก็บกวาดทำความสะอาดห้องให้เจ้าแล้ว เจ้าพำนักอยู่ในเรือนของนางไปก่อน ถ้าไม่คุ้นชิน พ่อบุญธรรมจะสั่งคนไปเก็บกวาดทำความสะอาดอีกเรือนให้เจ้าอยู่”
อย่างไรเสียการพำนักในเรือนชั้นในย่อมดีกว่าการอาศัยในบ้านสุนัขในสวนผัก และการเป็นบุตรีบุญธรรมของนายท่านใหญ่ก็ย่อมดีกว่าการเป็นสาวใช้ เช่นนั้นนางคงทำได้เพียงเดินหนึ่งก้าวพิจารณาหนึ่งก้าวแล้ว ฮวาปู๋ชี่รับคำ คลี่ยิ้มหวานเดินตามสาวใช้ไป
เรือนชุ่ยอิงตั้งอยู่เขตชั้นในประตูรองของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ แฝงความหมายของการรวบรวมความงามไว้ที่เดียวกัน หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ที่เชิงเขา มีเพียงเรือนชุ่ยอิงที่เดียวที่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติ นอกจากเพื่อใช้บำรุงร่างกายแล้ว คุณหนูสี่ตานซายังใช้รดดอกไม้พืชสมุนไพรหายากมากมาย หากกล่าวว่าในเหมันตฤดูยังสามารถชื่นชมดอกเสาเย่ากับดอกโบตั๋นแบ่งบาน ทิวทัศน์เช่นนี้คงมีเพียงในเรือนชุ่ยอิงแห่งนี้เท่านั้น
ฮวาปู๋ชี่อยู่ที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เจ็ดปีแล้ว แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบเข้ามาในเรือนชุ่ยอิง ครั้นเดินผ่านประตูวงเดือนนางก็อดอุทานอย่างชื่นชมไม่ได้
เบื้องหน้ามีสะพานไม้เล็กๆ ที่มีน้ำพุร้อนไหลผ่าน สายน้ำครึ่งหนึ่งแฝงเร้นหลังม่านหมอก ดอกบัวขาวชูช่อหลายดอก บนพื้นขาวพร่างสะอาดตาดุจเดียวกัน ทว่าตัวเรือนที่ไกลออกไปกลับรายล้อมด้วยบุปผชาติหลากสีสัน คิดว่าน้ำพุร้อนคงเป็นเจ็ดคดเก้าเลี้ยว ละอองน้ำกระจายอยู่ในสวน ขับให้ที่นี่ดูราวกับแดนเซียน
ทะลุมิติมาสิบสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฮวาปู๋ชี่ได้เห็นวิวทิวทัศน์งดงามปานนี้ เผลอพูดโพล่ง “การเป็นคุณหนูนี่ช่างดีจริงๆ!”
ฟางหัวเดิมเป็นสาวใช้ของเรือนชุ่ยอิงมีหน้าที่ปรนนิบัติคุณหนูสี่หลินตานซาและมาที่สวนเป็นเพื่อนนาง พอได้ยินถ้อยคำของฮวาปู๋ชี่ก็เอามือปิดปากหัวเราะ “คุณหนูห้า ยามนี้ก็เป็นคุณหนูแล้วนี่เจ้าคะ!”
ฟางหัวเน้นคำว่าคุณหนูอย่างชัดเจน แม้แต่หัวคิ้วยังเลิกขึ้นด้วย
จริงด้วย สาวใช้ที่ทำงานทั่วไปในสวนผัก ขอทานตัวเหม็นที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข ยามนี้กลายเป็นคุณหนูแล้ว หากตนเองเป็นอีกฝ่าย เกรงว่าในปากหรือกระทั่งฟันก็คงเปรี้ยวไปหมดแล้ว ฮวาปู๋ชี่ค่อนแคะในใจ กล่าวคำยิ้มๆ “พี่สาวฟางหัวเฉลียวฉลาดมีความสามารถ หากเป็นสาวใช้ของปู๋ชี่ คุณหนูผู้นี้คงสบายใจขึ้นมาก”
คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า[8] อย่างมากนางก็เพียงสวมรองเท้าแตะ คิดได้ดังนี้ นางก็ไม่ใส่ใจสีหน้าเขียวคล้ำของฟางหัว ยักไหล่เดินเข้าสวน ยามนี้ฮวาปู๋ชี่อยากรู้มากกว่าว่าคุณหนูสี่หลินตานซาที่ปกติชอบดูแคลนนางจะพูดเช่นไร
ทันใดนั้นเสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้นข้างหู “ปู๋ชี่!”
สุ้มเสียงนั้นนุ่มนวล ทั้งหวานเลี่ยนเสียจนฮวาปู๋ชี่ต้องลูบแขน เกรงว่าขนจะลุกชันท่ามกลางสถานที่อันงดงามปานนี้ นางหันกลับไป เห็นหลินตานซาแต่งกายประณีตเดินออกมา
หลินตานซาจะถึงวัยปักปิ่นปีหน้า ยามนี้จึงยังไม่ได้เกล้าผมมวย เรือนผมแบ่งจากตรงกลางเป็นสองช่อซ้ายขวาแล้วถักเปียสองเส้น ด้านหลังผูกด้วยไหมเส้นหนึ่ง ระมาถึงบั้นเอว หน้าผากคาดสร้อยไข่มุกสีชมพูขับเน้นผิวพรรณขาวผุดผาดและใบหน้างดงามราวภาพวาด นางใส่เสื้ออ่าว[9]สีชมพู สวมกระโปรงสีเหลืองอ่อน สายคาดเอวปักลายดอกเหมย ยามนางเยื้องย่าง ป้ายหยกห้อยเอวกระทบกระโปรงจนเกิดท่วงทำนองแผ่วเบา
ช่างงดงามจริงๆ และช่าง…เป็นสตรีที่ถูกประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโต! ก้มดูเสื้อกันหนาวสีเขียวบนร่างของตน หวนคิดถึงชีวิตหลายปีมานี้ ความอิจฉาและความสงสารตนเองล้วนเอ่อล้นขึ้นมา ยามเห็นสีหน้าดูแคลนของฟางหัว ฮวาปู๋ก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแย้ม ยอบกายคารวะ “ปู๋ชี่คารวะคุณหนูสี่เจ้าค่ะ!”
หลินตานซาประคองนางลุกขึ้น กล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อบอกว่ารับเจ้าเป็นบุตรีบุญธรรมแล้ว ยังไม่รีบเรียกข้าว่าพี่สาวอีก!”
ฮวาปู๋ชี่เติบโตในตลาด การหยั่งใจคนมีหรือจะด้อยกว่าหลินตานซา ยิ้มเอ่ย “นายท่านไม่รังเกียจ มิหนำซ้ำยังปฏิบัติต่อปู๋ชี่ดีอย่างนี้ ปู๋ชี่ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ ไหนเลยจะกล้าตีตนเสมอคุณหนู”
หลินตานซาพึงใจกับท่าทีของฮวาปู๋ชี่อย่างยิ่ง หลังเปรียบเทียบหน้าตาของฮวาปู๋ชี่กับสตรีในภาพวาดอย่างละเอียดแล้ว พบความคล้ายคลึงดังที่คาดไว้จริงๆ นึกถึงถ้อยคำของบิดา นางก็รู้สึกสบายใจ คลี่ยิ้ม ก่อนตำหนิ “ในเมื่อท่านพ่อยอมรับเจ้าเป็นบุตรีบุญธรรม เจ้าก็เปลี่ยนไปเรียกว่าท่านพ่อบุญธรรมเถิด คำนับพวกพี่ชายแล้ว แต่ไฉนถึงยังทำตัวห่างเหินกับพี่สาวอีกเล่า ถ้อยคำเช่นนี้ทีหลังอย่าได้เอ่ยอีก พี่สาวจะพาเจ้าไปอาบน้ำแต่งตัว”
ระหว่างพูดนางก็ส่งสัญญาณให้ฮวาปู๋ชี่ตามเข้าเรือน ฮวาปู๋ชี่มองแผ่นหลังของหลินตานซา กลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยนิสัยโอหังหยิ่งผยองของหลินตานซา ทันทีที่นางเดินออกมา สมควรแสดงอำนาจถึงจะถูก การที่ตนเองยอมอ่อนข้อก่อนก็เพื่อหาทางลงให้นาง หากเป็นกาลก่อน หลินตานซาจะต้องสั่งให้ตนทำงานอยู่แต่ในสวนแน่ มีแค่ยามออกไปพบแขกเท่านั้นจึงจะมีฐานะเป็นคุณหนู ไฉนคนครอบครัวนี้ถึงได้ดูโง่งมราวถูกฟ้าผ่ากันหมดเล่า
ฮวาปู๋ชี่เหลียวมองทิวทัศน์ตระการตาในสวน กล่าวเสียงอ่อนหวาน “พี่สาวผู้งดงามตกแต่งสวนได้งามจนเหมือนแดนเซียน ได้ยินว่ามีผู้มาสู่ขอจนแทบเหยียบธรณีประตูของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์สึกหมดแล้ว ไม่รู้ว่าคนแบบใดจะมีวาสนาได้แต่งงานกับพี่สาว!”
หลินตานซาเชิดหน้าขึ้น ตอบอย่างเย่อหยิ่ง “ยังไม่ถูกใจ ท่านพ่อปฏิเสธผู้ที่มาสู่ขอเหล่านั้นหมดแล้ว”
ดูจากสีหน้าและฟังสิ่งที่นางพูดคล้ายยังไม่มีการหมั้นหมายกระมัง ฮวาปู๋ชี่ไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม อย่างนั้นนายท่านหลินมีจุดประสงค์ใดจึงรับตนเป็นบุตรีบุญธรรมเล่า ให้รู้สึกแคลงใจ หลินตานซาพาฮวาปู๋ชี่เดินเข้าศาลาแห่งหนึ่งในสวน เพียงเปิดประตูไม้แกะสลัก ไอน้ำร้อนก็พวยพุ่งออกมา ภายในร้อนมาก มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลาง ผนังเป็นตาน้ำพุร้อน น้ำร้อนไหลออกมาจากหัวสัตว์สลัก ก่อนถูกปล่อยลงบ่อน้ำ อีกฟากยังมีหัวสัตว์ที่มีน้ำไหลออกมาเช่นกัน ยามนี้มีถังไม้ขนาดใหญ่วางอยู่ข้างบ่อน้ำ กลิ่นหอมของยาโชยออกมา
หลินตานซายิ้มแย้มกล่าวคำ “ท่านพ่อสั่งให้คนสร้างศาลาน้ำพุร้อนแห่งนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ การแช่น้ำพุร้อนดีต่อผิวพรรณ ข้าใส่สมุนไพรลงไปในถังไม้ด้วย ไม่เพียงช่วยกำจัดหมัดและเหา ยังทําให้เส้นชีพจรลมปราณแข็งแกร่งขึ้น ปู๋ชี่ เจ้าแช่สักครู่ ข้าสั่งให้คนเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้าแล้ว หลังเจ้าอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยค่อยไปคารวะท่านย่า”
ฮวาปู๋ชี่ยินดีปรีดาทันควัน แม้ตัวนางจะไม่มีทั้งหมัดทั้งเหา กระทั่งอาหวงยังถูกนางจับอาบน้ำอย่างขยันขันแข็ง แต่นางดีใจที่ในที่สุดหลินตานซาก็กลับมาเป็นปกติ ภายนอกยอมรับนางเป็นน้องสาว แต่ในใจยังรังเกียจที่นางสกปรก ดังนั้นจึงผสมยาสมุนไพรให้นาง นี่ถึงจะเป็นหลินตานซาที่นางรู้จัก
หลินตานซาบอกให้ฟางหัวอยู่รับใช้ ก่อนเดินจากไป
ฮวาปู๋ชี่ไม่คุ้นชินกับการมีคนอาบน้ำให้ เห็นสีหน้าของฟางหัวก็รู้ว่านางไม่เต็มใจเช่นกัน จึงบอกให้ฟางหัวออกไปรอหน้าศาลา
เห็นใบหน้าของฟางหัวเปลี่ยนจากบึ้งตึงเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส ฮวาปู๋ชี่ได้แต่ถอนใจ ทำทีพึมพำกับตนเอง “ผิวของข้าคุณหนูบอบบางราวกับต้นกก หากถูกเล็บยาวของเจ้าทิ่มคงแย่แน่”
ฟางหัวขุ่นเคือง แค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง แล้วหันหลังเดินนวยนาดจากไป ฮวาปู๋ชี่อารมณ์ดีทันตา
นายท่านหลินต้องการให้นางเป็นคุณหนู นางไม่มีทางเลือกได้แต่ยอมถูกควบคุม กระนั้นนางไม่มีทางยอมถูกเอาเปรียบ ต้องคอยมองสีหน้าของบ่าวรับใช้เด็ดขาด
ภายในศาลาเหลือแค่ฮวาปู๋ชี่คนเดียว นางมองถังไม้ ช้อนสมุนไพรขึ้นมาดู พบว่าเป็นเปลือกส้ม ดอกกานจวี๋[10]และอี้หมูเฉ่า[11] ล้วนช่วยบำรุงผิวพรรณและกำจัดแมลง นางเบะปาก “รังเกียจว่าข้าสกปรกอย่างนั้นรึ ผู้ใดจะรู้ว่ามีคนใช้ถังไม้นี้กี่คนแล้ว!”
ฮวาปู๋ชี่ถอดเสื้อผ้าออกอย่างว่องไว เดินตรงปรี่ไปทางบ่อน้ำร้อน
อุณหภูมิของน้ำอุ่นพอดี กระแสน้ำพุร้อนที่ไหลผ่านกายขับไล่ความหนาวเย็น นางสบายตัวจนส่งเสียงครางออกมา ฮวาปู๋ชี่คิดเล่นๆ ว่า หากได้แช่น้ำพุร้อนทุกวัน การเป็นบุตรีบุญธรรมของนายท่านหลินก็ไม่เลวเหมือนกัน หวังว่าสิ่งที่นายท่านหลินต้องการให้นางทำจะไม่ยากเกินไป มิเช่นนั้นนางคงได้แต่แอบหนีไปพร้อมกับชามขอทานที่ฮวาจิ่วทิ้งไว้ให้
[1] หรือเนไฟรต์ เป็นหินหาได้ไม่ยากและมีราคาถูก ช่วยรักษาอาการทางไตและทางเดินปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ ช่วยเสริมภูมิต้านทานและสร้างเม็ดเลือดแดง
[2] เป็นแร่ชนิดหนึ่งของหินนกยูงหรือมาลาไคต์
[3] หรือเขี้ยวหนุมาน เป็นแร่ที่มีผลึกใส ช่วยดูดซับสารที่ไม่ต้องการออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว บำบัดอาการปวดและอักเสบ
[4] ซินนาบาร์ หรือชาด เป็นแร่สีแดงในตระกูลปรอท ชาวจีนโบราณเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยา ใช้คุมกำเนิด อีกหนึ่งความเชื่อคือเป็นยาที่ช่วยยืดชีวิตคน ช่วยให้อายุยืนยาว
[5] เด็กสาวอายุสิบห้าปีถือเป็นวัยที่ออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว ยามนั้นต้องเกล้ามวยเสียบปิ่น
[6] หรือจุดพักข่าว เป็นศูนย์ควบคุมดูแลและอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ส่งข่าวสาร หลังสมัยราชวงศ์ฮั่น ศาลาพักม้าตามรายทางเหล่านี้ยังเป็นทั้งที่พัก ที่ส่งข่าวสาร และที่ร่ำลาของบรรดาขุนนางที่ต้องโยกย้ายไปประจำการยังต่างถิ่น
[7] หน่วยวัดระยะทาง 1 หลี่ เท่ากับ 500 เมตร
[8] หมายถึง ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
[9] เสื้อกันหนาวตัวนอก แขนเสื้อกว้างแล้วสอบเข้าตรงข้อมือ สาบเสื้อทบกันแล้วผูกด้านข้างหรือผ่าหน้ากลัดกระดุม มีทั้งเสื้อตัวสั้นและตัวยาว
[10] ดอกคาโมมายล์
[11] กัญชาเทศ