[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 3 ตอนที่ 41 ตงผิงจวิ้นอ๋อง

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

41

เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว

 

การเดินทางเข้าเขตปกครองซีฉู่โจวจะต้องผ่านทะเลทรายเกอปี้ มีโจรโหดเหี้ยมอาศัยอยู่ในทะเลทรายมาช้านาน ได้ยินว่าหัวหน้าโจรมีสายเลือดชนเผ่าซยงหนูตะวันตก ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเครา จึงได้รับฉายาว่าเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม โจรกลุ่มนี้มักออกปล้นสะดมกลุ่มพ่อค้าบ่อยครั้ง มารวดเร็วดุจสายลมไม่เห็นแม้กระทั่งเงา ทำใต้เท้าตู้ของซีฉู่โจวปวดเศียรเวียนเกล้า กองกำลังทหารพ่ายแพ้ในการสู้รบหลายครา แน่นอนว่าเฉินอวี้เลือกเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มเป็นเป้าหมายของเขา

“หานเย่ ไปจวนของผู้ว่า บอกผู้ว่าให้ร่วมมือกับข้ารับซื้อใบชาเกาซานต้าจำนวนมาก” เขาคิดว่าร้านชาของสกุลจูแห่งเจียงหนานจะต้องดีใจมากแน่ เขาอดคิดไม่ได้ว่าปู๋ชี่จะต้องดีใจมากเช่นกัน

เขตตงผิงเป็นเขตยากจน เนื่องจากการสัญจรไม่สะดวก พวกโจรปรากฏตัวบ่อยครั้ง ใบชาเกาซานต้าแทบจะไม่เคยส่งออกไปขายต่างถิ่น ส่วนใหญ่มีไว้ให้คนท้องถิ่นหรือคนในโรงน้ำชาดื่ม ของหายากมักมีราคาแพง เหล่าขุนนาง คหบดี โรงน้ำชา และหอสุราหรูในเมืองสือเฉิงจึงนิยมชาเขียวของเจียงหนาน

เฉินอวี้เคยจิบชาเกาซานต้า คิดว่าชาชนิดนี้มีราคาถูกในท้องถิ่น แต่เมื่อไปถึงเจียงหนานแล้วจะไม่ใช่ราคานี้อีกต่อไป

พอข่าวลือสะพัดว่าตงผิงจวิ้นอ๋องกับร้านชาของสกุลจูแห่งเจียงหนานร่วมมือกัน โดยตัดสินใจจะใช้ใบชาเกาซานต้าแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจียงหนาน เหล่าวาณิชของซีฉู่โจวที่มีความรู้สึกไวก็เห็นโอกาสทางการค้า ตงผิงจวิ้นอ๋องคือผู้ใดน่ะหรือ ก็คือบุตรชายของซิ่นชินอ๋องที่ดูแลคลังหลวงปีนั้นอย่างไรเล่า แน่นอนว่าเขาสามารถร่วมมือกับสกุลจูแห่งเจียงหนานโดยที่ไม่มีทางขาดทุนอย่างเด็ดขาด

จวนจวิ้นอ๋องออกหน้าซื้อขายครั้งนี้ เงื่อนไขของเขาง่ายมาก นั่นคือเหล่าพ่อค้ารับซื้อใบชาจากชาวบ้านเขตตงผิง แต่ไม่อนุญาตให้โกงชาวบ้าน จากนั้นพวกเขาเพียงจ่ายภาษีให้จวนจวิ้นอ๋องตามกฎหมายของแคว้นต้าเว่ยก็ใช้ได้แล้ว

ผู้ว่าเขตตงผิงจึงเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อตงผิงจวิ้นอ๋อง เหล่าพ่อค้ารู้สึกขอบคุณที่ตงผิงจวิ้นอ๋องเป็นคนกลางติดต่อให้ ชาวบ้านดีใจที่จะมีหนทางทำกินในภายภาคหน้า

เขตตงผิงที่เงียบเหงาเปลี่ยนเป็นครึกครื้นทันตา ริมถนนมีหอสุรา โรงเตี๊ยม และหอนางโลมมากขึ้น หลายคนต่างพูดกันว่าตงผิงจวิ้นอ๋องไม่รับเงินแม้แต่แดงเดียว เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ชาวบ้าน ถือว่าเป็นผู้ที่มีเมตตาธรรมและคุณธรรมสูงส่ง

ข้าหลวงของซีฉู่โจวรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เขาดูเบาตงผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้เกินไป เมื่อเขตตงผิงร่ำรวย ทุกปีตงผิงจวิ้นอ๋องก็จะได้รับภาษีที่นาของตนเองเพิ่มสองส่วน ความจริงตงผิงจวิ้นอ๋องเพียงส่งองครักษ์มาแล้วใช้ประโยชน์จากการเป็นพระบรมวงศ์ ให้คนของศาลาพักม้าของเมืองสือเฉิงเขียนจดหมายถึงสกุลจูแห่งเจียงหนานที่อยู่ห่างออกไปแปดร้อยหลี่ก็พอแล้ว

เขาอดใช้อำนาจของข้าหลวงแอบอ่านเนื้อหาในจดหมายไม่ได้ ในนั้นเขียนประโยคง่ายๆ เพียงประโยคเดียวว่าใบชาเกาซานต้าของเขตตงผิงจะไปถึงเจียงหนานก่อนวสันตฤดู

ใต้เท้าตู้กับแม่ทัพกวนเหยี่ยเชิญเฉินอวี้มาร่วมงานเลี้ยงที่เมืองสือเฉิง ในงานเลี้ยงคนทั้งสองรู้สึกเลื่อมใสตงผิงจวิ้นอ๋องที่อายุเพียงสิบเก้าปี เฉินอวี้จึงถือโอกาสยืมทหารของแม่ทัพกวนเหยี่ยไปคุ้มกันกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางลงใต้

ใบชาเกาซานต้าทำจากใบชาป่าที่เติบโตบนภูเขาสือว่าน ต้นชาชนิดนี้ต่างกับของเจียงหนานที่จะเก็บยอดอ่อนก่อนถึงวันชิงหมิง[1] หนึ่งปีมีสี่ฤดู สามารถเก็บใบสดอ่อนได้ทั้งปี วิธีการชงชาก็ต่างกัน เมื่อเก็บใบชาสดแล้วไม่จำเป็นต้องเอาไปคั่ว หลังตากแดดไม่กี่วันก็นำไปใส่โอ่งขนาดใหญ่ แล้วเอาแผ่นหินทับไว้ ผ่านไปหนึ่งเดือนก็เอาออกมาทำแผ่นชาได้แล้ว

ดังนั้นเมื่อหิมะแรกของฤดูเหมันต์มาเยือน จวนจวิ้นอ๋องจึงจัดกองคาราวานขนส่งใบชาไปเจียงหนานท่ามกลางการคุ้มครองของกองกำลังของเมืองสือเฉิง

ผู้ที่เดินทางติดตามไปด้วยยังมีองครักษ์ของจวนจวิ้นอ๋องอีกสองนาย ตงผิงจวิ้นอ๋องเพิ่งเคยมาซีฉู่โจวครั้งแรก จึงค่อนข้างคิดถึงความเจริญรุ่งเรืองของวั่งจิงและสินค้าของเจียงหนาน เขากำชับองครักษ์ให้เอาเงินไปมากๆ โดยวางแผนเดินทางไปเจียงหนานพร้อมกับกลุ่มพ่อค้าเพื่อซื้อสินค้าที่เขาชื่นชอบกลับมา

 

ขณะที่กลุ่มพ่อค้าออกเดินทางไปส่งใบชา ฮวาปู๋ชี่กับจูโซ่วก็ออกเดินทางจากซูโจวไปยังซีฉู่โจว

พอได้รับจดหมายของเฉินอวี้ ฮวาปู๋ชี่คิดว่าจะไปถึงซีฉู่โจวก่อนวันปีใหม่ นางยกเหตุผลและข้ออ้างง่ายมาก นั่นคือต้องการศึกษาวิธีหาเงินแบบใหม่ให้สกุลจู จุดประสงค์หลักคือเพื่อหลบเลี่ยงตงฟางสือ นางจึงต้องการหลบหนี

นับแต่ตงฟางสือบอกว่าแต่งเข้าสกุลจูได้ ท่าทีของนายผู้เฒ่าแปดก็เหมือนไม่หยาถัง[2]ที่เหนียวหนึบ ตงฟางสือปิดร้านตงจี้ทั้งหมดอย่างใจป้ำ อย่างไรก็ตามเขาร้ายกาจยิ่งนัก สั่งลดราคาสินค้าทั้งหมดในร้านตงจี้

เมื่อคู่แข่งน้อยลงหนึ่งคน เหล่าพ่อค้าในซูโจวก็ดีใจมาก คนเขาตัดสินใจถอนตัวออกไปแล้ว เจ้าก็มิอาจห้ามให้เขาจัดการกับสินค้าได้กระมัง ดังนั้นการลดราคาสินค้าของร้านตงจี้จึงคึกคักยิ่ง

ทุกคราที่ฮวาปู๋ชี่กับเสี่ยวเซียเดินผ่านร้านค้าของตงจี้ จะเห็นหน้าร้านติดว่าเถ้าแก่มีเรื่องมงคล และแถบกระดาษสีแดงลดราคา ก็กัดฟันกรอด

เสี่ยวเซียงุนงงไม่เข้าใจ

ฮวาปู๋ชี่กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ข้ารับรองว่าเขาจะต้องลดราคาและจัดการสินค้าที่เก็บไว้นานถึงหนึ่งปี เขาย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว ส่วนจูจี้ก็เป็นทุกข์”

คราแรกเหล่าพ่อบ้านของคฤหาสน์สกุลจูยังไม่เห็นด้วย คิดว่าคุณหนูแทบอยากจะใช้ไม้กวาดกวาดตงฟางสือออกจากซูโจวใจจะขาด ทว่าสองเดือนผ่านไป ร้านตงจี้ก็ยังคงลดราคาสินค้าอยู่

จูฝูถามฮวาปู๋ชี่อย่างกังขาว่า “คุณหนูรู้ได้อย่างไรว่าตงจี้จะต้องใช้เวลานานในการจัดการสินค้าที่เก็บไว้”

แน่นอนว่าฮวาปู๋ชี่ไม่สะดวกที่จะบอกเขาว่าภพก่อนร้านค้าเล็กๆ ที่ตัดสินใจย้ายร้านเพราะถูกรื้อถอนต้องขายสินค้าเลหลังอยู่นานหลายปี หลังจากขายเลหลังหลายปี การค้าถึงจะกลับมาเป็นปกติ นางคิดอยู่นานถึงได้คำตอบ “กำไรน้อยแต่ขายได้มาก”

จูฝูเข้าใจทันที จึงขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตัว

ฮวาปู๋ชี่ตบหน้าผากครุ่นคิดเนิ่นนาน ก่อนกล่าวกับจูฝูว่า “เพื่อขอบคุณความรักที่ชาวซูโจวมีต่อจูจี้ ทุกห้าวันให้เอาของอย่างหนึ่งมาลดราคา นอกจากนี้เอาผ้าแพรบางๆ ที่ใช้ในฤดูคิมหันต์มาลดต่ำกว่าราคาที่ขายในฤดูคิมหันต์ก็ใช้ได้แล้ว”

นางเสนอความคิดนี้จบก็ทอดถอนใจ เผยสีหน้าที่ทำให้คนเห็นแล้วปวดใจ

ทุกคนเข้าใจว่านางกลัดกลุ้มว่าจะหาเงินมาใช้หนี้อย่างไร ทว่าฮวาปู๋ชี่นึกถึงเหตุการณ์ภพก่อนตอนที่ตนเองไปห้างสรรพสินค้าเป็นบางครั้งเพื่อแย่งสินค้าลดราคากับพวกป้าน้าอา “คนเราชอบเอารัดเอาเปรียบ ความจริงในสายตาของพ่อค้า การชอบเอารัดเอาเปรียบก็คือขาดทุน พ่อค้าหน้าเลือด ไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกงก็ไม่ใช่พ่อค้า ถึงราคาถูกกว่านี้ก็ยังได้กำไร นี่ถึงจะเรียกว่าพ่อค้า!”

เมื่อนายผู้เฒ่าแปดได้ยินถ้อยคำธรรมดาประโยคนี้ก็ตบขาเสียงดังแล้วร้องว่ายอดเยี่ยม

ฮวาปู๋ชี่หัวเราะ กล่าวกับทุกคนทั้งสีหน้าสบายใจว่า “เคยมีร้านอาหารที่เปิดตัวอาหารจานพิเศษตอนเที่ยงของทุกวัน สั่งข้าวเปล่าไม่ต้องจ่ายเงิน ผักดองไม่ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นคนยากจนสองคนจึงไปกินอาหารนี้ทุกวันโดยไม่สั่งอาหารจานอื่นเลย ในที่สุดเถ้าแก่ก็เดือดจัด มีครั้งหนึ่ง เถ้าแก่ยกอาหารอย่างหนึ่งแล้วเชิญคนยากจนทั้งสองกิน หนึ่งในนั้นดีใจมาก อีกคนกลับกล่าวว่า ‘วันหยุดสุดสัปดาห์ราคาพิเศษซื้อหนึ่งได้เปล่าอีกหนึ่ง หลังจากนี้พวกเราจะมาวันหยุดสุดสัปดาห์!’”

ทุกคนไม่เข้าใจว่าวันหยุดสุดสัปดาห์หมายความว่าอย่างไร แต่กลับฟังเรื่องตลกนี้เข้าใจก็พากันหัวเราะ

ฮวาปู๋ชี่สรุปว่า “คนที่เอาเปรียบพ่อค้าได้ก็คือพวกอันธพาล คนที่ไม่ทำมาหากิน ไม่มีอนาคตอย่างตงฟางสือ! อันธพาลที่ไม่ทำมาหากินแต่มีเงินยิ่งหน้าไม่อาย”

อันธพาลเป็นคำเรียกนักเลงหัวไม้ในพื้นที่ซูโจวและหังโจว คนที่ไม่ทำมาหากินเป็นภาษาถิ่นของหยางโจว ฮวาปู๋ชี่อยากด่าทอนักเลง แต่ก็กลัวว่านายผู้เฒ่าแปดกับคนอื่นๆ ฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงเอาพวกอันธพาล คนที่ไม่ทำมาหากิน ไม่มีอนาคตมารวมกัน พอได้ยินดังนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันอีกครั้ง

นายผู้เฒ่าแปดมองสีหน้าของฮวาปู๋ชี่อย่างระมัดระวัง ไตร่ตรองแล้วกล่าวว่า “คุณชายตงฟางเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ!”

สำหรับเหล่าวาณิชแล้ว มีซิ่วไฉถือกำเนิดในเรือน วันหน้าก็สอบเป็นจิ้นซื่อได้ ก็เหมือนกับหญิงคณิกาที่กลับตัวเป็นคนดีแล้วแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนก็มีเกียรติได้เช่นกัน มีหรือฮวาปู๋ชี่จะคิดเช่นนั้น นางกล่าวโดยไม่ต้องหยุดคิดว่า “เขาท่องบทกวีสู้ข้าไม่ได้”

ทุกคนตะลึงตาค้าง ไม่สนใจถ้อยคำที่ฮวาปู๋ชี่บอกว่าท่องบทกวีได้ เพียงคิดว่าคุณหนูที่มักหลุดถ้อยคำแปลกใหม่สามารถแต่งกวีได้ด้วยหรือ

นายผู้เฒ่าแปดกล่าวอย่างมีเหตุผล “หญิงสาวในห้องหอที่เสียวจิ่วสั่งสอนจะแต่งกวีไม่ได้ได้อย่างไร! แต่ยายหนู เจ้าสอบเป็นจ้วงหยวนไม่ได้ แต่คุณชายตงฟางทำได้!”

ในสมองของฮวาปู๋ชี่มีความคิดเดียวมาโดยตลอด นางจะท่องบทกวีของผู้ใดดี และนางสามารถท่องวรรคทองไม่กี่วรรคที่ทำให้ตงฟางสืออับอายจนต้องกลับคฤหาสน์ได้หรือไม่! ชาติก่อนนางไม่ได้เรียนหนังสือ ข้อดีของการเล่นอินเทอร์เน็ตคือได้รู้จักตัวหนังสือ คิดอยู่นานก็นึกได้บทหนึ่ง ท่องออกมาว่า “แสงศศิสาดส่องหน้าตั่งเตียง ดั่งน้ำค้างแข็งทาบทอพื้นห้อง แหงนหน้ามองดวงเดือนกระจ่างฟ้า ก้มหน้าคะนึงหาถิ่นกำเนิด”

นายผู้เฒ่าแปดตะลึงงัน ทันใดนั้นดวงตาก็แดงเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่บุตรชายเขียนยามคิดถึงบ้านอย่างนั้นหรือ

พลันนั้นก็ได้ยินเสียงตบมือ “กวีดี ความหมายดี ประทับใจ!” ตงฟางสือเหมือนลูกผู้ดีมีเงินที่ชอบถือพัดไม้ไผ่ สวมเสื้อไหมสีเขียว ดวงตาบนใบหน้างดงามจ้องฮวาปู๋ชี่อย่างเจ้าเล่ห์ ราวกับเห็นแม่นางที่ร้องผิงถานแล้วสามารถพูดจาแทะโลมได้ เขาพลิกมือคลี่พัดดังฟึ่บ มีลมสารทพัดโชย ยิ้มกล่าว “ที่แท้คุณหนูจูก็เป็นสตรีที่มีความรู้ความสามารถผู้หนึ่ง!”

สมองของฮวาปู๋ชี่ส่งเสียงวิ้งๆ จู่ๆ นางก็รู้สึกหวาดกลัว หลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยพูดถึงชีวิตชาติก่อน หากบทกวีของหลี่ไป๋บทนี้ถูกเล่าลือออกไป แล้วม่อรั่วเฟยรู้เข้าจะส่งผลลัพธ์ใดตามมา นางกะพริบตาปริบๆ พยายามทำใจให้สงบ ดวงตาแดงเรื่อ “ท่านอาเก้าเป็นคนเขียน”

ม่อรั่วเฟยทะลุมิติมาได้ ฮวาจิ่วย่อมทำได้เช่นกัน ความผิดปกติทั้งหมดและทุกสิ่งที่นางรู้แตกต่างจากยุคสมัยนี้ซึ่งสามารถอธิบายได้ ฮวาปู๋ชี่ค่อนข้างพอใจกับไหวพริบของตนเอง

เป็นอย่างที่คาดไว้! นายผู้เฒ่าแปดจับมือของฮวาปู๋ชี่อย่างปวดใจและให้ท้าย ในเมื่อปู๋ชี่ไม่ชอบ เขาจะฝืนใจนางได้อย่างไร สีหน้าเขาบึ้งตึง “ไม่ทราบว่าคุณชายตงฟางมีธุระใดหรือ”

ตงฟางสือคำนับนายผู้เฒ่าแปด “ผู้เยาว์มาเพราะอยากบอกนายผู้เฒ่าสักคำ ตงจี้ยังต้องการขายสินค้าที่เก็บไว้ในราคาถูกต่อไป เห็นชัดว่าความเร็วในการหาเงินของจูจี้ไม่มีทางตามทัน ผู้เยาว์ไม่อยากเห็นคุณหนูจูลำบากมากเกินไป จึงมาบอกกล่าว จะได้ไม่ทำเรื่องไร้ประโยชน์”

เขากล่าวอย่างสุภาพเรียบร้อย แล้วล้วงสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกจากอกเสื้อ ช่วยสกุลจูคิดบัญชีอย่างละเอียด ตัวอย่างเช่นสกุลจูมีที่ดินเท่าไร ร้านค้าเท่าไร คฤหาสน์ของสกุลจูมีมูลค่าเท่าไร เครื่องเคลือบลายคราม ทรัพย์สินในคฤหาสน์ตีราคาได้เท่าไร หลังกล่าวจบก็หุบพัด กล่าวว่า “ถึงจะขายคนก็ยังหาได้ไม่พอขอรับ!”

ฮวาปู๋ชี่เดือดดาล แค่นเสียงเย็น “ผู้ใดก็ได้! ปล่อยสุนัข!”

ตงฟางสือหลุดหัวเราะ “ไม่ต้องไล่ ข้าก็จะไปแล้ว! ข้ายังอยากบอกว่าหากคุณหนูจูกินข้าวเป็นเพื่อนข้าหนึ่งมื้อ จะลดเงินให้หนึ่งหมื่นตำลึง แต่หากไปชมทิวทัศน์ ร่ายกวี เที่ยวเป็นเพื่อนข้าหนึ่งวันจะลดให้ห้าหมื่นตำลึง เป็นอย่างไร”

เป็นเพื่อนเขาสิบวันคิดเป็นเงินห้าสิบหมื่นตำลึง หนึ่งร้อยวันห้าร้อยหมื่นตำลึง หากอยู่เป็นเพื่อนสองปีจะหาเงินได้พันหมื่นตำลึงหรือไม่ จูสี่ล้วงลูกคิดออกมาดีด กล่าวกับนายผู้เฒ่าแปดว่า “คุ้มค่า!”

“คุ้มค่ากับผีน่ะสิ!” ฮวาปู๋ชี่ถลึงตาจ้อง

ตงฟางสือหัวเราะฮ่าๆ ยักคิ้วหลิ่วตา “ไม่ต้องรีบตอบข้า ข้ายังอยู่ในซูโจว เรียกยามใดก็มายามนั้น!”

เห็นเขาเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย นายผู้เฒ่าแปดก็สุมหัวกับเหล่าพ่อบ้าน

“อย่างแรก ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ ต้องเชิญเขามากินข้าวที่คฤหาสน์สกุลจู ถึงอย่างไรคุณหนูก็ต้องกินข้าวอยู่แล้ว คิดเสียว่ามีคนร่วมโต๊ะอาหารอีกคน อย่างที่สอง เชิญคุณชายตงฟางมาชมทิวทัศน์ริมทะเลสาบและร่ายกวีเที่ยวเล่นในคฤหาสน์ก็คิดเสียว่าคุณหนูเดินเล่นหลังกินข้าว ให้บ่าวชายตามไปด้วย อย่างนี้สกุลจูยังสามารถหักเงินที่ติดค้างได้ คุณหนูเองก็ไม่ต้องกังวลว่าต้องแต่งให้เขาแล้ว”

จูฝูสรุปความคิดของทุกคนแล้วแสดงความคิดเห็น

ด้านหนึ่งคือเงิน อีกด้านคือ…ศักดิ์ศรี ฮวาปู๋ชี่ถอนหายใจกล่าวว่า “ไม่มีเงินก็คือน่าขายหน้า แค่กินข้าวเถิด ข้าไม่มีอารมณ์อยู่เป็นเพื่อนเขาทั้งวัน”

ทุกคนดีใจ ต่างชมว่าฮวาปู๋ชี่ทำการค้าเป็น

 

วันรุ่งขึ้น ตงฟางสือมาร่วมงานเลี้ยงของสกุลจูอย่างลำพอง

ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์สกุลจูจัดโต๊ะไว้สี่ตัว อนุภรรยาของนายผู้เฒ่าแปดสามสิบคนนั่งสามโต๊ะ เหล่าพ่อบ้านก็ร่วมโต๊ะด้วย นายผู้เฒ่าแปดกับฮวาปู๋ชี่มองตงฟางสือแล้วแสร้างยิ้ม เชิญเขานั่งอย่างกระตือรือร้น

ฮวาปู๋ชี่เปล่งเสียงว่า “ยกอาหารขึ้นโต๊ะ!”

อนุภรรยาสามสิบคนผลัดกันทำความรู้จักกับตงฟางสือ พวกนางล้วนเป็นผู้อาวุโส ตงฟางสือเพิ่งนั่งลงก็ต้องลุกยืนอีกครั้ง นายผู้เฒ่าแปดพยายามระงับความหิวแล้วแนะนำให้เขารู้จักทีละคน

ไม่ง่ายเลยกว่าจะแนะนำครบทั้งหมด ฮวาปู๋ชี่กินเสร็จนานแล้ว ยกถ้วยชามาใต้คาง จูสี่รีบหยิบสมุดบัญชีเล่มใหม่เอี่ยมแล้วเดินไปข้างหน้าขอให้ตงฟางสือลงนาม เมื่อเห็นรอยนิ้วประทับสีแดงที่สกุลจูคืนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงแล้ว ฮวาปู๋ชี่ลิงโลดใจ เอ่ยว่า “คุณชายตงฟาง วันรุ่งขึ้นยามอู่มากินข้าวด้วยกันอีกสิ!”

ตงฟางสือเพียงมองนางยิ้มๆ ประสานมือคำนับ และเดินออกไปอย่างสุภาพ

วันรุ่งขึ้นเขามาถึง หยิบสัญญาที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าผลัดกันตัดสินใจคนละครั้ง

ตงฟางสือกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “กินข้าวหนึ่งมื้อ คืนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นกฎที่ข้าตั้งเอง ฉะนั้นกฎนี้ก็สมควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้า ข้าคิดว่าผลัดกันตัดสินใจคนละครั้งถึงจะยุติธรรม สกุลจูจะไม่ลงนามก็ได้”

ลงนามหรือไม่ลงนามดี ฮวาปู๋ชี่โบกมือกล่าวว่า “ไม่ลงนาม เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”

มือของนางอยู่ในอุ้งมือของตงฟางสือ เขาจับมือนางแน่น กล่าวเสียงดังว่า “ไม่ลงนามก็ได้ วันนี้ต้องอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนข้าถึงจะได้!”

เสี่ยวเซียทะยานร่างเข้ามาปัดออก ตงฟางสือหลบอย่างว่องไว กล่าวเสียงแผ่วว่า “เจ้ากล้าลงมือรึ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะลักพาตัวนางไปอีกครั้ง”

เสี่ยวเซียชะงัก ได้ยินฮวาปู๋ชี่กล่าวว่า “ข้าวมื้อเดียวหาเงินได้หมื่นตำลึง ข้าหิวอยู่พอดี”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตงฟางสือก็พาฮวาปู๋ชี่ออกไปท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคนในคฤหาสน์สกุลจู ก่อนไปทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า “ข้าจะส่งนางกลับก่อนตะวันตกดิน!”

พอฮวาปู๋ชี่ได้ยินเขาบอกว่าจะกลับก่อนตะวันตกดิน ก็รีบหันไปตะโกนว่า “พ่อบ้านสี่ วันนี้ห้าหมื่นตำลึง ลงนามแล้วค่อยไป!”

ตงฟางสือตะลึงงัน กวักมือกล่าวว่า “ข้าลงนาม!”

หลังตวัดพู่กันลงนามแล้วค่อยดึงฮวาปู๋ชี่ออกไป

เขาขี่ม้า แต่ฮวาปู๋ชี่ไม่ยอมขี่ม้าตัวเดียวกับเขา

ตงฟางสือกลอกตา กล่าวว่า “ขี่ม้าตัวเดียวกับข้าหนี้ลดห้าร้อยตำลึง ข้ารับรองว่าจะไม่ลวนลามเจ้า”

ดวงตาของฮวาปู๋ชี่สว่างวาบทันใด “ได้ อีกห้าร้อยตำลึง พ่อบ้านสี่!”

ตงฟางสือประหลาดใจที่จู่ๆ นางก็เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน เขาลงนามอีกครั้ง หลังจากช่วยฮวาปู๋ชี่ขึ้นม้าแล้ว เขากระซิบข้างหูนางว่า “ดูเจ้ามีความสุขมากนะ!”

ฮวาปู๋ชี่กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าคิดว่าค่าใช้จ่ายในการออกไปข้างนอกคือเงินสิบหมื่นตำลึง แม่นางที่งดงามที่สุดแถบแม่น้ำซูโจวยังมีค่าตัวไม่สูงเท่าข้า หากข้านอนเป็นเพื่อนเจ้าหนึ่งคืน จะใช้หนี้หมดใช่หรือไม่”

ดวงตาของตงฟางสือค่อยๆ ฉายแววขุ่นเคือง “หากเจ้ากลายเป็นคนของข้าแล้ว ยังคิดจะแต่งให้คนอื่นอีกรึ”

ฮวาปู๋ชี่หัวเราะ “ใช้หนี้หมดแล้ว ไยข้าต้องแต่งให้เจ้าด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่เป็นเพื่อนสามอย่าง[3]รึ กินเป็นเพื่อน เที่ยวเป็นเพื่อน นอนเป็นเพื่อน หากใช้หนี้ได้ ชั่วพริบตาก็ผ่านไปแล้ว ข้าจะหลับตาแล้วจินตนาการว่าเจ้าคือเหลียนอีเค่อ!”

ถ้อยคำที่น่าตระหนกตกใจและหน้าไม่อาย ทำให้ตงฟางสือสูดลมหายใจเย็น เฆี่ยนแส้ใส่สะโพกม้า กัดฟันกล่าวกับนาง “อย่าได้ฝันเลย! ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีทางให้เจ้าใช้หนี้เงินสามพันหมื่นตำลึงหมดแน่! เจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า บังคับให้ข้าประทับลายนิ้วมือ วันนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าทั้งหมด!”

 

อาชาวิ่งผ่านเขตการค้า เสียงหัวเราะของฮวาปู๋ชี่ดังก้องกังวาน นางไม่สนใจถ้อยคำตงฟางสือแม้แต่นิด แสร้งทำท่าว่าไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน

ผ่านไปครู่ใหญ่ตงฟางสือหัวเราะบ้าง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าอายุยังน้อย แต่ใจกล้าไม่เบา แน่ใจหรือว่าข้าจะไม่ทำอย่างนั้น”

ฮวาปู๋ชี่หัวเราะ “ตอนอยู่ที่เขาต้งถิงซีซานไม่ใช่เจ้าพนันกับข้าหรอกหรือ เจ้าไม่อยากเห็นหรือว่าข้าจะหาเงินอย่างไร ใต้หล้านี้มีสตรีงดงามมากมาย เงินสามพันหมื่นตำลึงซื้อหญิงงามในใต้หล้ากลับคฤหาสน์ได้จำนวนมาก ข้าเป็นเพียงหญิงป่าเถื่อนที่เติบโตในตลาด เพียงมีแม่เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ต้องการตัวข้าหรือต้องการเงินสามพันหมื่นตำลึงของสกุลจู แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าสมควรเลือกอย่างไร เจ้าแค่ไม่พอใจที่ข้าไม่ยอมแต่งให้เจ้าเท่านั้น หากต้องแต่งให้เจ้าจริงๆ ไม่เพียงไม่ได้เงินคืน แต่เจ้ายังต้องส่งสินสอดจำนวนมากมาให้ข้าด้วย เหตุใดพ่อค้าที่ฉลาดหลักแหลมอย่างคุณชายตงฟางถึงยอมขาดทุน ข้าเพียงมั่นใจว่าความจริงแล้วเจ้าอยากได้เงิน”

“หากข้าอยากได้ตัวเจ้าจริงเล่าๆ”

ฮวาปู๋ชี่หันมองเขาอย่างแปลกใจราวกับมองสัตว์ประหลาด ถามหยั่งเชิงว่า “ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด ไฉนปีนั้นบรรพบุรุษของบ้านเจ้าถึงตั้งเงื่อนไขเช่นนั้น ไฉนต้องแต่งให้บุตรีของสกุลจูด้วย”

ตงฟางสือหุบปากทันควัน ก่อนชี้ไปที่ดวงตะวันหลังเมฆดำหนาทึบจนมองไม่เห็นเงา ยิ้มแห้งๆ “แดดดีมาก วันนี้เป็นวันดูงิ้ว”

ไม่ยอมบอกอย่างนั้นหรือ ในใจฮวาปู๋ชี่นึกสงสัยมานานมากแล้ว สีหน้าของตงฟางสือทำนางยิ่งอยากรู้อยากเห็นทบทวี ความงามของเซว์เฟยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากนายผู้เฒ่าแปดแต่งหญิงงามอันดับหนึ่งของซูโจวเป็นภรรยา สมัยพี่สาวน้องสาวทั้งสิบยังสาวก็งดงามยิ่งเช่นกัน คนที่เจ้าชู้มีภรรยามากที่สุดในใต้หล้าคือฮ่องเต้ ทว่าบุตรีของสกุลจูไม่งามพอที่จะได้รับเลือกเข้าวังเป็นสนมของฮ่องเต้

นางพยายามคิดเชื่อมโยงอย่างเต็มที่ ไม่แน่ว่าบรรพบุรุษสกุลตงฟางอาจเป็นคนที่ร่อนเร่ในยุทธภพ จู่ๆ วันหนึ่งก็ถูกศัตรูไล่สังหาร แล้วบรรพบุรุษสกุลจูช่วยเอาไว้ จึงเลื่อมใสในตัวหญิงงามจนน้ำลายไหล ทว่าก็ทำได้เพียงมองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงพยายามหาเงินสร้างฐานะ ต่อมาคนรุ่นหลังได้ช่วยนายท่านหกแก้ไขปัญหาเพื่อตอบแทนบุญคุณ และได้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบรรพบุรุษว่าต้องแต่งให้บุตรีของสกุลจู หาไม่แล้วบรรพบุรุษสกุลตงฟางคงตายตาไม่หลับ

ฮวาปู๋ชี่ถอนหายใจ มองสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ของตงฟางสืออย่างเห็นอกเห็นใจ “การแต่งงานแบบคลุมถุงชนไม่มีความสุขหรอก เมื่อร้อยปีก่อนบรรพบุรุษของบ้านเจ้าคงคิดไม่ถึงว่าข้าที่เป็นทายาทคนเดียวและเป็นทายาทรุ่นที่สิบของสกุลจะไม่งดงาม อีกอย่าง ข้าก็ไม่เคยเรียนหนังสือ กิริยาท่าทางของคุณหนูล้วนแสร้งทำ ข้าไม่เพียงเป็นอันธพาลในตลาด ยังไม่ซื่อสัตย์ด้วย หากแต่งข้าเข้าตระกูลจริงๆ บรรพบุรุษบ้านเจ้าจะต้องโมโหจนกระโดดออกจากหลุมแล้วด่าเจ้าว่านอกคอกแน่”

ตงฟางสือไม่พูดจา ออกแรงจับบังเหียนแน่นเกินไปจนเห็นข้อต่อกระดูกมือ ยิ่งฮวาปู๋ชี่เผยความคิดออกมามากเท่าไรก็ทำให้เขาตื่นตกใจ อดคิดไม่ได้ว่าหากได้ยินถ้อยคำของนาง บรรพบุรุษจะโมโหจนกระโดดออกจากหลุมจริงๆ หรือไม่

ระหว่างพูดคุยก็มาถึงหน้าหอฉางจู[4] ฮวาปู๋ชี่เงยหน้าหัวเราะคิกคักเมื่อเหลือบเห็นแผ่นป้าย จุปากสองทีก่อนกล่าวว่า “น่าเสียดายข้าเป็นเพียงลูกตาปลาที่ปะปนอยู่ท่ามกลางคุณหนูสกุลผู้ดีทั้งหลาย[5]!”

ตงฟางสือพึมพำว่า “ผู้ใดกล้าบอกว่าเจ้าเป็นลูกตาปลา ผู้นั้นต่างหากที่เหมือนลูกตาปลา!”

ฮวาปู๋ชี่หันกลับไปกล่าวว่า “เจ้าว่าอันใดนะ”

สีหน้าตงฟางสือเคร่งขรึมพูดว่า “ข้าบอกว่าในที่สุดกลางวันนี้ข้าไม่ต้องคอยคำนับยายแก่สามสิบคนอีก!”

“ฮ่าๆ!” ฮวาปู๋ชี่หัวเราะเสียงดัง ครั้นนึกถึงอาหารกลางวันเมื่อวานก็ยิ้มหน้าบาน

ตงฟางสือพานางลงจากหลังม้า สีหน้าบึ้งตึง “ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมสิ่งที่ข้าพูด”

ฮวาปู๋ชี่ตะลึงงัน เขาพูดตั้งเยอะ นางต้องจำประโยคใดเล่า ในสมองพลันผุดเรื่องที่เคยวางยาปลุกกำหนัดเขา ฮวาปู๋ชี่ตัวสั่นด้วยความกริ่งเกรง ขยับเท้าถอยหลัง ชี้ไปที่ท้องฟ้า “วันนี้แดดดี กินข้าวในคฤหาสน์น่าเบื่อ ได้ยินว่าบรรยากาศร้านจั๋วจิ่นดี ปรุงอาหารจานปลาได้ไม่เลว มิสู้…”

ตงฟางสือเลิกคิ้วดุจใบหลิวอย่างมีชีวิตชีวา ขยับไปกระซิบข้างหูนางว่า “สายเกินไปแล้วที่คิดจะหนี” เขาคว้าแขนของนาง ลากไปที่ธรณีประตูสูง ออกคำสั่งว่า “ปิดประตู ปล่อยสุนัข!”

สุนัขตัวใหญ่หลายตัวที่หลุดจากโซ่เงินวิ่งเข้ามาเห่าในลานเรือนหน้าห้องโถงใหญ่ ตงฟางสือปล่อยมือทั้งสองข้างที่จับฮวาปู๋ชี่ แล้วรอดูนางตกใจจนแข้งขาอ่อน

ฮวาปู๋ชี่ไม่ขยับและไม่กลัวแม้แต่น้อย แววตาของนางอ่อนโยนยามมองสุนัขตัวใหญ่สีเหลืองตัวหนึ่ง พึมพำว่า “อาหวง!”

สุนัขวิ่งรอบตัวฮวาปู๋ชี่สองรอบ ดมฟืดฟาด หยุดเห่า ก่อนส่ายหางอย่างเชื่อฟัง

ลูกตาของตงฟางสือแทบจะถลนออกมา สุนัขชั่วร้ายเหล่านี้กลายเป็นเด็กดีต่อหน้านางได้อย่างไร

ฮวาปู๋ชี่ยอบกายลง ลองยื่นมือออกไป “อาหวง เจ้าชื่ออาหวงดีหรือไม่ เจ้าหน้าตาเหมือนอาหวงมาก”

สายตาระแวดระวังของสุนัขสีเหลืองตัวนั้นค่อยๆ เลือนหาย หมอบอยู่แทบเท้าของฮวาปู๋ชี่

ฮวาปู๋ชี่หัวเราะเหอะๆ ยื่นมือไปเกาคอของมัน สุนัขตัวนั้นเงยหน้าอย่างแสนสบาย จากนั้นหงายท้อง สี่เท้าชี้ฟ้า และแลบลิ้นอย่างพอใจ

ฮวาปู๋ชี่นึกถึงอาหวงจึงเกาสุนัขตัวนั้นอย่างอดทน สีหน้าปรีดายิ่ง พูดกับมันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ลำคอของตงฟางสือแห้งผาก ใจอ่อนยวบ ทันใดนั้นเขาก็ได้สติ วันนี้เขาต้องการสั่งสอนนางให้ได้รับบทเรียน เขาดึงฮวาปู๋ชี่ออกมา แล้วเตะสุนัขขนเหลือง ตวาดว่า “ผู้ใดปล่อยสุนัขออกมา!”

บ่าวชายสองคนรีบวิ่งเข้ามาดึงสุนัขออกไปอย่างรวดเร็ว ฮวาปู๋ชี่เสียใจ “ข้ายังอยากเล่นกับมัน!”

“ได้เวลากินข้าวแล้ว!” ตงฟางสือกล่าวจบ ในใจก็เศร้าสลด นางไม่เคยทำดีกับเขาเหมือนที่ทำกับสุนัขตัวนั้น จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดอยากจับสุนัขสีเหลืองตัวนั้นไปตุ๋นอย่างยิ่ง

“ช่างเถิด ไปเอาเงินเจ้าดีกว่า ข้าจะกินข้าวเป็นเพื่อนเจ้า”

คำตอบที่สมเหตุสมผลของฮวาปู๋ชี่ทำตงฟางสือเดือดดาล เขาเหลือบมองนาง ในใจคิดว่าเขาจะจัดการเด็กอายุสิบห้าคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

 

มื้ออาหารจัดขึ้นที่โถงบุปผา อาหารถูกปรุงอย่างประณีตและงดงาม ฮวาปู๋ชี่กินอย่างมีความสุขยิ่ง ทว่านางกินช้ามาก แอบเหลือบมองนภาข้างนอกบ่อยครั้งพลางคำนวณเวลา กินอาหารนานกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดนางก็ตบท้องและวางตะเกียบอย่างจนปัญญา

ตงฟางสือกล่าวว่า “กินดีกินอิ่ม ซ้ำยังสามารถหาเงินได้ เจ้าได้กำไรแล้ว”

ฮวาปู๋ชี่หัวเราะแหะๆ ในใจคิดว่านี่ไม่ใช่กฎที่เจ้าตั้งเองหรือไร นางไม่ขาดทุนแต่อย่างใดย่อมต้องกินให้อิ่ม นางนึกดูถูกคนที่มีผลประโยชน์วางอยู่ตรงหน้าแต่กลับแสร้งไม่สนใจ

“สิบหมื่นตำลึง ตอนบ่ายดูงิ้วเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่” ตงฟางสือลุกยืนแล้วพาฮวาปู๋ชี่เดินไปที่สวนบุปผา

แม่นางที่ร้องผิงถานในศาลาริมน้ำที่อยู่ไกลๆ ลุกยืนคำนับ และเริ่มขับขานเพลงเบาๆ

ฮวาปู๋ชี่ฟังแล้วอยากหลับ ครั้นนึกถึงเงินสิบหมื่นตำลึงก็อดอารมณ์ดีไม่ได้

ศาลาริมน้ำแบ่งเป็นสองห้อง ฟังเพลงที่ร้องอย่างอ่อนหวานผ่านประตูไม้แกะสลักพลางจิบชาชมทิวทัศน์ด้านนอกไปด้วย ให้ความรู้สึกไม่เลว

ตงฟางสือกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าก่อนจะมาข้าบอกเจ้าว่าเจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า บีบบังคับให้ข้าประทับลายนิ้วมือ วันนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าทั้งหมด”

ฮวาปู๋ชี่กะพริบตากล่าวว่า “เจ้าคงไม่ใจแคบถึงเพียงนั้นกระมัง บ้านข้าเชิญท่านหมอมารักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้า แต่เจ้ากลับจากไปโดยไม่ร่ำลา ตอนเย็นยังกล้าบุกเข้าห้องนอนข้าอีก ถึงตาเฒ่าจะรู้สึกว่าเจ้าไร้มารยาท แต่บ้านข้าก็ไม่ตำหนิเจ้าแล้ว ไฉนเจ้าถึงได้ใจแคบเช่นนี้เล่า”

ตงฟางสือหัวเราะเบาๆ “ถูกต้อง ข้าเป็นคนใจแคบ”

ขณะพูดเขาก็ดึงฮวาปู๋ชี่ “ข้าเตรียมการแสดงนี้ไว้นานแล้ว เจ้าจะดูหรือไม่ดู”

ฮวาปู๋ชี่มองตงฟางสืออย่างกังขา

เขากล่าวว่า “ข้าเชิญแขกที่เจ้ารู้จักมา วิชายุทธ์ไม่เลว แต่กลอุบายสู้ข้าไม่ได้”

เฉินอวี้อยู่ไกลถึงเขตปกครองซีฉู่โจว ไม่มีทางเป็นเขา!

ตงฟางสือขยับภาพวาดที่แขวนบนผนัง เผยให้เห็นทางเข้า เขาดึงฮวาปู๋ชี่เดินเข้าไปข้างใน “ข้าขอแนะนำว่าเจ้าไม่ควรส่งเสียงดัง หากเขารู้ว่าเจ้ากำลังมองอยู่ เขาจะต้องรู้สึกแย่มาก”

ความสงสัยใคร่รู้ของฮวาปู๋ชี่ทวีขึ้น เดินตามเขาเข้าไป หลังประตูเป็นบันไดหิน ฮวาปู๋ชี่มองเขาอย่างหวาดระแวง “เจ้าคงไม่คิดจะหลอกข้าไปที่คุกใต้ดินกระมัง”

“เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้าไปด้วยอย่างนั้นหรือ เจ้าอยู่ในคฤหาสน์ของข้า หากข้าคิดจะทำอันใด จะยอมให้เจ้าตัดสินใจได้อย่างไร” ตงฟางสือค่อยๆ เดินลงบันไดหิน

ฮวาปู๋ชี่คิดแล้วก็ใช่ จึงค่อยๆ เดินตามไป

ด้านล่างเป็นห้องศิลาว่างเปล่า นางมองตงฟางสืออย่างงุนงง

เขาโอบไหล่นางพลางยิ้มน้อยๆ ผลักนางนั่งเก้าอี้ข้างผนัง แล้วม้วนภาพวาดบนผนังขึ้น “ดูเถิด!”

หลังภาพวาดมีรูสี่เหลี่ยมเล็กๆ ฮวาปู๋ชี่ขยับเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วตกใจสะดุ้งโหยง ตะโกนเสียงดัง “อวิ๋นหลาง!”

“เจ้าตะโกนไปก็ไร้ประโยชน์ เขาไม่ได้ยินหรอก”

ฮวาปู๋ชี่ยังคงมองอย่างร้อนรน ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้ามา

ห้องตรงข้ามได้รับการตกแต่งเหมือนห้องข้าง อวิ๋นหลางใบหน้าแดงเรื่อนั่งกับพื้นพลางหลับตา มีสตรีคนหนึ่งผมยาวเคลียไหล่ขดตัวบนเตียง หากไม่ใช่หลินตานซาแล้วจะเป็นผู้ใด

ฮวาปู๋ชี่หันกลับไปถามเสียงสั่นเครือว่า “เจ้า เจ้าคงไม่ได้…ไม่ได้วางยาปลุกกำหนัดเขากระมัง”

“ถูกต้อง!” ตงฟางสืออดหัวเราะเสียงดังไม่ได้

เขามองฮวาปู๋ชี่ที่เคืองแค้นจนตัวสั่น กล่าวอย่างไม่จริงจังว่า “จะให้ข้ามองเจ้าถูกวางยาปลุกกำหนัด ข้าทำใจไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่คิดจะให้เจ้าหลับตาแล้วคิดว่าข้าเป็นเหลียนอีเค่อด้วย เพราะในใจข้าคงอึดอัดจนหายใจไม่ออก ได้ยินว่าประมุขน้อยของป้อมเหินเมฆารู้สึกลึกซึ้งกับเจ้า ข้าก็ได้แต่ลงมือกับเขาแล้ว”

อวิ๋นหลาง เขาคืออวิ๋นหลาง อวิ๋นหลางที่มีรอยยิ้มเบิกบานผู้นั้น คนที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจนาง ฮวาปู๋ชี่วิ่งไปหน้ารู เห็นหลินตานซาลุกขึ้นจากเตียง แล้วยื่นมือไปหาอวิ๋นหลาง

หัวใจของฮวาปู๋ชี่บีบรัดกะทันหัน ผินหน้าไปจะตบหน้าตงฟางสือฉาดหนึ่ง ด่าว่า “เจ้าทำแบบนี้กับเขาได้อย่างไร เจ้ามีความแค้นกับเขาอย่างนั้นรึ ไยเจ้าถึงทำร้ายเขา!”

ตงฟางสือจับมือนาง สายตาเย็นชา “ไฉนข้าจะทำแบบนี้กับเขาไม่ได้ กล้าแย่งภรรยาของข้า ข้าดีต่อเขาอย่างยิ่ง! ในเมื่อคุณหนูสี่สกุลหลินรู้สึกลึกซึ้งกับเขา! และเขารับปากจะแต่งให้นางแล้ว ข้าเพียงช่วยให้เขาสมหวังก็เท่านั้น”

ฮวาปู๋ชี่ร้อนใจจนน้ำตาไหลริน ออกแรงสะบัดมือของเขาออก แล้วยกเก้าอี้ขึ้นมาทุบผนัง

บางทีอาจเพราะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของผนัง อวิ๋นหลางลืมตา รีบถอยไปด้านหลัง ตวาดว่า “ตานซา อย่าเข้ามา!”

ฮวาปู๋ชี่พยายามตะโกนผ่านผนังว่า “อวิ๋นหลาง ท่านอดทนไว้!”

“ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ได้ยินเสียงของเจ้า” ตงฟางสือเห็นนางร้อนใจ ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ที่แท้ในใจของนางมีบุรุษกี่คนกันแน่

ฮวาปู๋ชี่ลูบคลำผนังตลอดทาง ทว่ายังคงเป็นผนังหินที่ขวางอยู่เบื้องหน้า นางร้อนใจจนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก นั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ “ขอร้องเจ้าละ ปล่อยเขาไปเถิด เจ้าอย่าทำแบบนี้กับเขา เจ้าอย่าทำให้เขาต้องเสียใจชั่วชีวิต! เขาจะแต่งให้คุณหนูสี่ก็ปล่อยเขาไป! เจ้าอย่าทำร้ายเขาอย่างนี้ ข้าขอร้องเจ้าได้หรือไม่”

นี่เป็นครั้งแรกที่นางขอร้องเขา นั่งยองโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีและไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเอง ดึงชายเสื้อของเขาพร้อมร่ำไห้อย่างขลาดกลัว

ตงฟางสือยอบกายลง ขมวดคิ้วดุจใบหลิวจนเป็นปม เขาเชยคางของนางขึ้น ประกายแวววาวในดวงตาของฮวาปู๋ชี่ทำให้เขาเสียใจ ตบโต๊ะยาวข้างๆ กล่าวเสียงเย็นว่า “ร้องไห้เสียใจเช่นนี้ไม่กลัวว่าเหลียนอีเค่อของเจ้าจะกินน้ำส้มหรือ ก็แค่ให้เจ้าดูละครเท่านั้น ใช้เขาข่มขู่เจ้า เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอ”

ฮวาปู๋ชี่สะอึกสะอื้นครู่หนึ่ง แววตาเปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา รีบลุกขึ้นมองผ่านรูเล็ก เห็นคนสองสามคนปรากฏตัวในห้อง เอาถังน้ำสองถังสาดใส่อวิ๋นหลางกับหลินตานซา ก่อนทิ้งขวดกระเบื้องไว้ขวดหนึ่ง

อวิ๋นหลางหยิบขวดกระเบื้องขึ้นมาแล้วเอายาลูกกลอนออกมาดมเม็ดหนึ่ง กินก่อนหนึ่งเม็ด จากนั้นค่อยป้อนหลินตานซา

ฮวาปู๋ชี่เห็นเขาเอาผ้าห่มบนเตียงห่อตัวหลินตานซาไว้โดยไม่สนใจว่าตนเองจะเปียกชุ่ม นางยิ้มทั้งน้ำตา นี่คืออวิ๋นหลาง อวิ๋นหลางที่มีคุณธรรมน้ำมิตร

“เย็นนี้ข้าจะปล่อยพวกเขา เขาไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของข้า หากเจ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าต้องเก็บไว้เป็นความลับ ข้าคิดว่าเขาเองก็คงไม่อยากให้เจ้าเห็นสภาพน่าอับอายของเขา” ตงฟางสือกล่าวเสียงเรียบเฉย หลินตานซาย่อมจะให้อวิ๋นหลางไปส่งนางกลับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างเชื่อฟัง อวิ๋นหลางไม่มีทางทิ้งหลินตานซาไว้โดยไม่ไยดี บุรุษผู้นี้ก็จะหายไปจากสายตาของฮวาปู๋ชี่

“ข้าไม่พูดเด็ดขาด เขากับข้าไม่เกี่ยวข้องกัน เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก” ฮวาปู๋ชี่ตอบอย่างรวดเร็ว เบือนหน้าแล้ววางภาพวาดนั้นลง วันหน้าก็ขึ้นอยู่กับอวิ๋นหลางเองแล้ว นางไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“หากเหลียนอีเค่อเห็นเจ้ากับข้าเป็นแบบนี้ เขาจะทำอย่างไร เขาเกี่ยวข้องกับเจ้ากระมัง” ตงฟางสือถามด้วยความกังขา

ฮวาปู๋ชี่กัดริมฝีปากเบาๆ พลางถลึงตาใส่เขา “เขาจะสังหารเจ้า”

“หากเจ้าเห็นเหลียนอีเค่อทำเช่นนี้กับสตรีอื่น เจ้าจะทำอย่างไร”

“ข้าจะให้สตรีนางนั้นเป็นอนุ! มีเท่าไรก็ให้เขาแต่งมากเท่านั้น!”

ตงฟางสือหัวเราะเสียงดัง พอหัวเราะแล้วก็ดึงมือของนางให้เดินขึ้นบันได แม่นางที่อยู่ข้างนอกยังคงขับขานผิงถานอย่างอ่อนหวานเช่นเดิม

ฮวาปู๋ชี่นั่งลงจิบชาอย่างว่าง่าย

นางไม่เถียงกับตงฟางสืออีก ในใจนางเหน็บหนาว เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บุรุษผู้นี้ทำได้ทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการ วันนี้เขากล้าลงมือกับอวิ๋นหลาง วันหน้าจะลงมือกับคนคฤหาสน์สกุลจูหรือไม่

ตงฟางสือมองฮวาปู๋ชี่พักหนึ่ง ก่อนยื่นมือมาอุ้มนางนั่งตัก เห็นนางไม่ดิ้นรนขัดขืน ก็อดกล่าวอย่างหงุดหงิดไม่ได้ว่า “แสร้งว่าง่ายกระมัง กลัวว่าข้าจะเปลี่ยนใจไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างนั้นรึ”

“เจ้าจะเปลี่ยนใจหรือไม่”

“พวกเขาสองคนไม่มีค่าพอให้ข้าเก็บมาใส่ใจ!”

“ความหมายคือเจ้ารักษาคำพูด เย็นนี้จะปล่อยพวกเขาไป จะไม่ทำร้ายพวกเขาอีกใช่หรือไม่”

ฮวาปู๋ชี่จ้องเขา เห็นตงฟางสือเบะปากอย่างเยาะหยัน นางก็ก้มลงกัดไหล่ของเขาอย่างแรงทีหนึ่ง หวังว่าจะกัดจนเนื้อหลุด

ตงฟางสือเจ็บจนตัวสั่น ยื่นมือบีบคางนาง แล้วดึงนางออกจากไหล่

ไม่รอให้เขาลงมืออีก ฮวาปู๋ชี่ตะโกนเสียงดังว่า “ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่ลวนลามข้า!”

“ได้ ได้!” ตงฟางสือเปลี่ยนจากโมโหเป็นหัวเราะ “ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะพบอันธพาลหญิง ปู๋ชี่ จูจู ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า หากเจ้าเหมือนท่อนไม้ ข้าก็ไม่ต้องการแล้ว!”

“ข้าเปลี่ยนเป็นท่อนไม้ยามนี้ทันหรือไม่”

“สายไปแล้ว! บุรุษสกุลตงฟางจะต้องแต่งให้สตรีสกุลจูให้ได้ เจ้าจำถ้อยคำของข้าไว้ให้ดี” เขาปล่อยปู๋ชี่ แล้วลูบไหล่ที่ถูกกัด กล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ หากเจ้ายังอยู่ในคฤหาสน์ของข้าต่อ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะกลับคำ!”

ฮวาปู๋ชี่ตะลึงงัน ผลักประตูไม้แกะสลักออก ก่อนวิ่งออกไปดุจกระต่าย

 

ออกจากหอฉางจู นางเห็นเสี่ยวเซียขี่อาชามารออยู่หน้าประตู เพราะรู้ว่าเสี่ยวเซียไม่วางใจจึงตามมาด้วย ฮวาปู๋ชี่ส่งเสียงเรียก “เสี่ยวเซีย พวกเรารีบไปกันเถิด!”

เสี่ยวเซียดึงนางขึ้นม้า ฮวาปู๋ชี่กอดเอวของนาง หัวใจเต้นโครมคราม ม้าห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไกลจากหอฉางจูแล้ว ฮวาปู๋ชี่ก็หยิบถุงแพรออกจากอกเสื้อ นี่เป็นของที่นางแอบขโมยจากอกเสื้อของตงฟางสือ นางเปิดถุงแพรออก เห็นป้ายหยกสี่เหลี่ยม ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นก้อนเมฆบนหน้าผา อีกด้านเขียนอักษรสองสามตัว จวนเฉิงอ๋อง

เขตปกครองจิงโจวแห่งเจียงเป่ยเป็นที่ดินศักดินาของเฉิงอ๋อง เหตุใดตงฟางสือถึงมีป้ายหยกนี้ ฮวาปู๋ชี่ได้สติกล่าวว่า “เสี่ยวเซีย ข้าไม่กลับคฤหาสน์แล้ว เจ้าพาข้าไปที่บ่อนพนันของพ่อบ้านโซ่วที ข้ากับเขาจะออกเดินทาง ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่ อย่าให้ตงฟางสือรู้เด็ดขาดว่าข้าไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ บอกนายผู้เฒ่าว่าข้ากับพ่อบ้านโซ่วจะไปหาวิธีหาเงินอย่างลับๆ”

แม้เสี่ยวเซียจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รับคำ

หากเสี่ยวเซียอยู่ที่คฤหาสน์จะตบตาตงฟางสือได้ แต่หากนางไม่อยู่ ตงฟางสือจะต้องสงสัยแน่

“คุณหนู ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”

“ซีฉู่โจว!” ฮวาปู๋ชี่กล่าวอย่างหนักแน่น ตงฟางสือทำแผ่นป้ายนี้หายจะต้องออกตามหานางอย่างแน่นอน ยามนี้นางไร้กำลังที่จะเผชิญหน้ากับเขา จึงได้แต่หวังพึ่งเฉินอวี้

สกุลตงฟางค่อนข้างลึกลับ พฤติกรรมของพวกเขาที่อยากแต่งให้บุตรีของสกุลจูออกจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว

จวนเฉิงอ๋องรึ ตงฟางสือกับจวนเฉิงอ๋องเกี่ยวข้องกัน ในฐานะที่เฉินอวี้เป็นพระบรมวงศ์จะต้องเข้าใจแน่

ยามนี้ฮวาปู๋ชี่ไม่รู้ว่าเฉินอวี้ต้องการจะทำอันใด และนางไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของปี้หลัวเทียน แต่ลางสังหรณ์บอกนางว่าเฉินอวี้จะต้องสนใจตงฟางสือเป็นแน่

นางกำป้ายหยกนี้แน่น ตงฟางสือคงไม่คิดไม่ฝันว่านางที่เป็นหญิงไร้วิชายุทธ์จะมีทักษะการขโมยยอดเยี่ยม

คนทั้งสองห้อตะบึงมาตลอดทาง จนถึงบ่อนพนันในความดูแลของจูโซ่ว ฮวาปู๋ชี่พูดแค่คำสองคำ แล้วนางก็จะไปทันที

จูโซ่วลังเลครู่หนึ่ง ถามว่า “ไฉนต้องรีบร้อนด้วยขอรับ”

“ช้ากว่านี้ก็สายเกินไปแล้ว!”

ฮวาปู๋ชี่ครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “ปิดบังคนในคฤหาสน์ไว้ก่อน บอกสาวใช้ที่เรือนจิ้งซินให้แต่งกายเป็นข้า หากปิดบังไม่ได้แล้ว ก็ค่อยบอกว่าข้าออกไปหาวิธีหาเงิน ให้บอกว่าข้าไปวั่งจิงแล้ว”

“พวกเราจะใช้เส้นทางใดขอรับ”

“ไปทางตะวันตกตามแม่น้ำต้าเจียง” ฮวาปู๋ชี่ตื่นเต้น “พวกเราจะแวะบ่อนพนันตลอดทาง แม้เขาจะหาข้าเจอ แต่ก็ไม่มีทางรู้จุดประสงค์ของข้า”

เสี่ยวเซียถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ไฉนคุณหนูต้องไปซีฉู่โจวด้วยเจ้าคะ”

ฮวาปู๋ชี่กัดฟัน ดวงตาทอประกาย “เหลียนอีเค่ออยู่ที่ซีฉู่โจว เขาเป็นคนเดียวที่จะจัดการตงฟางสือได้! ข้ารู้ว่ายามนี้พวกเจ้าไม่เข้าใจ แต่ข้าไม่สะดวกอธิบายในเวลานี้ พ่อบ้านโซ่วเตรียมการที ข้าขี่ม้าเป็น ข้าจะปลอมตัวเป็นบ่าว!”

จูโซ่วรับคำ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเขากับฮวาปู๋ชี่ปลอมตัวเป็นพ่อค้ากับบ่าวรับใช้ แล้วออกจากซูโจวก่อนที่ประตูเมืองจะปิด

ยามนี้ตงฟางสือค่อยพบว่าป้ายหยกหายไปแล้ว

 

ตะวันลับเหลี่ยมเขา ตงฟางสือปล่อยอวิ๋นหลางกับหลินตานซาไปแล้ว จนถึงเวลานี้อวิ๋นหลางก็ยังไม่รู้ว่าใครจับตัวพวกเขา

ตงฟางสือนั่งในศาลาริมน้ำสักพักให้รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่ายายเด็กนั่นจะขโมยของเป็น มิหนำซ้ำยังไม่รู้ตัวว่านางลงมือ ตงฟางสือยิ่งคิดยิ่งขึ้งเคียด

นางเห็นป้ายหยกนั้นแล้วจะคาดเดาอย่างไร

ตงฟางสือคิดว่าฮวาปู๋ชี่คงคาดเดาว่าเป็นของแทนใจ คิ้วที่ขมวดแน่นจึงค่อยๆ คลายออก บางทีนางคงคิดว่าเขาเป็นแขกสูงศักดิ์ของจวนเฉิงอ๋อง หรือไม่ก็สนิทสนมกับคนของจวนเฉิงอ๋อง

“ยายเด็กน้อยจู ทุกครั้งเจ้าแสดงลูกไม้ใหม่ๆ ให้เห็น ทำหัวใจข้าคันยิบๆ หากปล่อยเจ้าไป วันเวลาหลังจากนี้จะไม่จืดชืดไร้รสชาติหรอกหรือ วันพรุ่งก็มีเหตุให้ไปคฤหาสน์สกุลจูแล้ว” ตงฟางสือพูดพึมพำกับตนเอง

เขาคาดไม่ถึงว่าฮวาปู๋ชี่พร้อมกับจูโซ่วที่เชี่ยวชาญการเล่นพนันจะปลอมตัวแล้วออกจากเขตปกครองซูโจวไปแล้ว

จนกระทั่งหลังอาหารเย็น สายสืบประตูหน้าและหลังของคฤหาสน์สกุลจูเข้ามารายงานเหมือนเช่นทุกวัน ตงฟางสือถึงผุดลุกขึ้น “เสี่ยวเซียขี่ม้ากลับคฤหาสน์สกุลจูคนเดียวแล้วกระโดดข้ามกำแพงสวนหลังคฤหาสน์คนเดียวอย่างนั้นรึ”

เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว ตงฟางสือสั่งการว่า “ส่งสายสืบกระจายออกไปตามหอสุรา โรงน้ำชาและบ่อนพนันในซูโจว ข้าต้องรู้ให้ได้ว่านางไม่กลับคฤหาสน์สกุลจู แต่ไปที่ใดคนเดียว!”

ลูกน้องคนหนึ่งกล่าวช้าๆ “คุณชาย สกุลจูมีญาติพี่น้องในซูโจวค่อนข้างมาก ถ้านางไปที่เรือนของญาติคนใดคนหนึ่งเล่าขอรับ”

แววตาของตงฟางสือเย็นชา ตำหนิว่า “เจ้าโง่! ถ้านางไปหาญาติสักคนจะไม่พาสาวใช้ไปด้วยแม้แต่คนเดียวหรือ นางไม่กลัวว่าเหล่าญาติพี่น้องสกุลจูจะสังหารเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินของสกุลจูรึ เรื่องนี้แปลกประหลาด หรือนางจะแอบไปพบคน…” หน้าเขาเปลี่ยนสีฉับพลัน กัดฟันกล่าว “หรือจะไปพบเหลียนอีเค่อ เสี่ยวเซียถึงไม่ตามนางไป”

ไม่นานลูกน้องอีกคนก็เข้ามาส่งข่าวว่า “คุณหนูจูไม่ได้กลับคฤหาสน์ ได้ยินว่านางป่วย พักรักษาตัวอยู่ที่เรือนจิ้งซินขอรับ”

ตงฟางสือส่งเสียงอืม

ลูกน้องคนนั้นรีบกล่าวว่า “ข้าน้อยจะสอบถามบ่าวไพร่ในคฤหาสน์สกุลจู ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ แยกย้ายไปตามหาในซูโจวขอรับ”

คนไม่ได้กลับคฤหาสน์ แต่กลับพักรักษาตัวที่เรือนจิ้งซินรึ ตงฟางสืออดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ หากสกุลจูไม่ปกปิดร่องรอยของนางเร็วถึงเพียงนี้ ก็อาจจะหลอกเขาได้ แต่คำโกหกที่ไม่แนบเนียนเช่นนี้คิดว่าจะหลอกเขาอย่างนั้นรึ

เขาคิดจะลอบเข้าสกุลจูกลางดึก เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่เข้าป่าหลิวแล้วถูกระเบิดเกือบตาย เขาก็ลังเล จึงตัดสินใจรอ บางทีอาจจะได้ข่าวของนางจากในเมือง

รอจนกระทั่งยามจื่อก็ยังไม่พบฮวาปู๋ชี่ในซูโจว ตงฟางสือยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในห้องหนังสือ ยายเด็กนี่ขโมยป้ายหยกของเขาและหายตัวไปอย่างรีบร้อน หรือเขาทำให้นางตกใจจนหนีเตลิดแล้ว หรือป้ายหยกแผ่นนั้นจะทำให้นางตกใจ แล้วนางจะไปที่ใด เหลียนอีเค่ออยู่ซูโจวตลอดเวลาอย่างนั้นรึ

ตงฟางสือนอนไม่หลับทั้งคืน คำถามเหล่านี้รบกวนเขาจนนอนไม่หลับ เมื่อตื่นขึ้นมายามเช้า ใต้ดวงตาก็ปรากฏรอยดำ เขาหงุดหงิดที่นอนไม่หลับเพราะยายเด็กคนนั้น!

ท้องฟ้าค่อยๆ กลายเป็นสีขาว อากาศยามเช้าตรู่ในสารทฤดูเย็นเล็กน้อย ตงฟางสือสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ จากนั้นไปที่ประตูหลังของคฤหาสน์สกุลจูด้วยตนเองเพราะอดรนทนไม่ไหว

ริมถนนมีร้านค้าที่ขายอาหารว่างตอนเช้าหลายร้าน ตงฟางสือเดินไปถึงมุมกำแพงของคฤหาสน์สกุลจู จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงเข้าไป

ใบหลิวร่วงลงมากองและกิ่งไม้แห้งหนาทึบขวางหน้าดั่งผ้าม่าน เขาไม่ได้เข้าไป แต่สูดลมหายใจเข้า แล้วเปล่งเสียงโดยใช้กำลังภายในว่า “อรุณสวัสดิ์ยายเด็กน้อยจู! หากเจ้าไม่ออกมาข้าจะจุดไฟเผาที่นี่ซะ!”

ไม่นานเสี่ยวเซียก็ปรากฏตัวในป่าหลิว นางกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ท่านทำให้คุณหนูตกใจจนล้มป่วยแล้ว นางพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนจิ้งซิน คิดจะมาหานางขอเชิญท่านเข้าทางประตูใหญ่ แล้วโน้มน้าวนายผู้เฒ่าเพื่อขอพบนาง พึงรู้ว่าชายหญิงแตกต่าง ห้องส่วนตัวของคุณหนูไม่สะดวกที่จะให้บุรุษเข้าไป”

“ป่วยจริงรึ”

“ไม่รู้ว่าคุณชายตงฟางชวนคุณหนูไปกินอันใด พอออกมาแล้วเดินไม่กี่ก้าวก็เป็นลมทันที” น้ำเสียงที่พูดโกหกของเสี่ยวเซียยังคงเรียบเฉยดุจเดิม

ตงฟางสือฉงน หรือตกใจเพราะเห็นอวิ๋นหลางกับหลินตานซาถูกวางยาปลุกกำหนัด เขาประสานมือกล่าวว่า “อย่างนั้นข้าเดินเข้าประตูใหญ่ก็ใช้ได้แล้ว”

เสี่ยวเซียมองเขาจากไปพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ให้เขาพบ เขาก็จะก่อกวน หรือแม้กระทั่งแอบปีนกำแพงเข้ามา นางต้องประมือกับเขาอีกอย่างนั้นหรือ นางกระโดดขึ้นไปบนกำแพง ตะโกนใส่ตงฟางสือว่า “ช่างเถิด ข้าคร้านจะสู้กับท่าน คุณหนูไม่อยู่ในจวนและไม่อยู่ในซูโจว”

ตงฟางสือได้ยินก็หันกลับมากล่าวว่า “เจ้าไม่บอกข้าเสียเลยเล่า เจ้าจะได้ไม่ต้องสู้กับข้า แล้วถูกบีบบังคับให้พูด”

“วั่งจิง” เสี่ยวเซียกล่าวจบก็ไม่สนใจเขาอีก

นางไปทำอันใดที่วั่งจิง ซ้ำยังเอาป้ายหยกของเขาไปด้วย นางต้องการไปพบใคร

“สถานที่ที่เหลียนอีเค่อปรากฏตัวบ่อยที่สุดคือวั่งจิง พวกเจ้าตามหาเหลียนอีเค่ออยู่จริงหรือ ต้องการให้เขาสืบข้อมูลของข้าจากจวนเฉิงอ๋องกระมัง” ตงฟางสือเข้าใจทันที

ทันใดนั้นเสี่ยวเซียก็ปรากฏกายอีกครั้ง “ตอนที่ท่านไปวั่งจิงมาเรียกข้าด้วย ข้าจะได้ตามไปคุ้มครองนาง”

ตงฟางสือหัวเราะ “เหตุใดต้องไปกับข้าด้วย”

เสี่ยวเซียกล่าวอย่างสมเหตุสมผลว่า “ท่านเป็นภัยกับคุณหนู ข้าไปกับท่านจะได้ถือโอกาสปกป้องนาง”

จู่ๆ สายตาของตงฟางสือก็เปลี่ยนเป็นหื่นกระหาย พูดจาไม่น่าฟัง “เสี่ยวเซีย มิสู้เจ้าติดตามข้าเถิด วันหน้าหลังจากนางแต่งเข้ามาแล้ว เจ้าจะได้คุ้มครองนางด้วย”

เสี่ยวเซียยืนอยู่บนกำแพงแล้วปรายตามองเขา “คุณหนูช่างมีสายตาเฉียบคม” เห็นตงฟางสือลำพองใจ นางค่อยๆ กล่าวเสริมว่า “ท่านยังห่างชั้นกับเหลียนอีเค่ออีกไกล”

ขณะที่นางกระโดดลงจากกำแพง ก็ได้ยินเสียงด่าทอของตงฟางสือดังข้ามกำแพงว่า “วันรุ่งขึ้นข้าจะไปจับยายเด็กนั่นที่วั่งจิง! แล้วสังหารเหลียนอีเค่อต่อหน้านาง!”

เสี่ยวเซียยักไหล่ ใบหน้าเกิดริ้วแดงเพราะความตื่นเต้นที่ได้หลอกตงฟางสือ นางจะได้ถือโอกาสไปดูจวนแม่ทัพพิทักษ์นคราด้วย นางพอใจกับวิธีการยั่วยุของตนเองอย่างยิ่ง

 

[1] หรือเทศกาลเช็งเม้งที่คนไทยรู้จัก ถือเป็นช่วงที่มีอากาศดีที่สุดในจีน

[2] น้ำตาลข้าวมอลต์

[3] มีความหมายอีกนัยว่า โสเภณี โดยกินข้าวเป็นเพื่อน ดื่มเหล้าเป็นเพื่อน และนอนเป็นเพื่อน

[4] แปลว่า หอซ่อนไข่มุก

[5] มาจากสำนวน ตาปลาปลอมปนไข่มุก ใช้ในความหมายทางลบ หมายถึง การแอบอ้างว่าเป็นของดีเพื่อเจตนาให้ผู้อื่นเข้าใจผิด

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า