[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 3 ตอนที่ 40 ตงผิงจวิ้นอ๋อง

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

40

ตงผิงจวิ้นอ๋อง

 

พื้นที่ราบทางตะวันตกของแคว้นต้าเว่ยค่อยๆ กลายเป็นเนินเขา หลังผ่านทะเลทรายเกอปี้[1]ไปก็จะเป็นภูเขาสือว่าน แม่น้ำหลายพันสายที่อยู่มาเป็นร้อยล้านปีได้กัดเซาะภูเขาใหญ่จนกลายเป็นร่องน้ำและที่ราบลุ่มขนาดเล็กนับไม่ถ้วน ด้านหลัง-v’เขตปกครองซีฉู่โจวติดกับภูเขาสือว่าน ตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทะเลทรายเกอปี้ ตะวันตกเฉียงใต้ติดกับหุบเขาของแม่น้ำต้าเจียง มีชายแดนสำคัญของเมืองสือเฉิงคุมเชิงกับพวกชนเผ่าซยงหนูตะวันตก ซีฉู่โจวอยู่ไกลโพ้นและรกร้างกันดาร ขณะเดียวกันก็เป็นประตูสู่ตะวันตกของแคว้นต้าเว่ย

เนื่องจากเป็นประตูสู่ตะวันตก ฮ่องเต้จึงไม่ได้ยกซีฉู่โจวให้เป็นที่ดินศักดินาของเหล่าอนุชา พอเฉินอวี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตงผิงจวิ้นอ๋อง ก็นับเป็นพระบรมวงศ์ที่มีศักดิ์ฐานะสูงที่สุดในซีฉู่โจว

ขุนนางบุ๋นของซีฉู่โจว8nvข้าหลวงตู้หยวนเฮ่า ขุนนางบู๊8nvแม่ทัพกวนเหยี่ยที่มีทหารในมือยี่สิบหมื่นนาย หลายปีที่ผ่านมาทั้งสองต่างรู้ว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง[2] แต่ยังร่วมกันดูแลซีฉู่โจวอย่างสงบสุข

การมาของตงผิงจวิ้นอ๋องทำให้คนทั้งสองไม่สบายใจ ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้แล้วอย่างไร ผู้มาเป็นบุตรชายของซิ่นชินอ๋อง ใครๆ ต่างรู้ว่าซิ่นชินอ๋องเป็นอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้ เป็นอ๋องเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้รั้งให้อยู่วั่งจิงเพื่อดูแลคลังหลวงยี่สิบกว่าปี สิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งสองโล่งอกคือ ที่ดินศักดินาของเฉินอวี้ไม่ได้อยู่ในเมืองสือเฉิงซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการและค่ายทหาร แต่อยู่ที่เขตตงผิงห่างจากเมืองสือเฉิงร้อยหลี่

ตงผิงจวิ้นอ๋องใช้เวลาเดินทางดุจหอยทากนานถึงสามเดือนกว่า กวนเหยี่ยกังวลอยู่บ้าง “อาลัยอาวรณ์ความเจริญรุ่งเรืองของวั่งจิง ในที่สุดอีกไม่กี่วันก็จะมาถึงแล้ว เหล่าตู้ เจ้าคิดว่าเขาจะพักในเมืองสือเฉิงได้ถึงสามเดือนหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นต้องแย่แน่ ข้าไม่มีเวลาว่างไปคำนับจวิ้นอ๋องทุกวันหรอก!”

ตู้หยวนเฮ่ากลอกตา หัวเราะเหอะๆ พลางลูบหนวดเครา “เร็วๆ นี้กองทัพขนาดเล็กของเผ่าซยงหนูทางตะวันตกก่อกวนหมู่บ้านชายแดนไม่ใช่หรือ ได้ยินว่าเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มแห่งทะเลทรายเกอปี้ปล้นสินค้าของพวกพ่อค้า ท่านแม่ทัพมีหน้าที่สำคัญที่ต้องปกป้องเมือง ส่วนข้าน้อยก็มิอาจแยกร่างได้ ข้าน้อยจะสั่งให้ศาลาพักม้าดูแลต้อนรับจวิ้นอ๋องอย่างดี”

คนทั้งสองเข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องพูด ไม่เห็นตงผิงจวิ้นอ๋องอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ฐานะสูงส่งแล้วอย่างไรเล่า สูญเสียความโปรดปรานของฮ่องเต้ จึงถูกส่งมาเป็นจวิ้นอ๋องที่เขตตงผิงจะนับเป็นอันใดได้

กองขบวนยาวปรากฏขึ้นที่ทะเลทรายเกอปี้ ในที่สุดตงผิงจวิ้นอ๋องเฉินอวี้ก็ไล่ตามขบวนจนมาถึงซีฉู่โจว หลังหยุดพักที่ศาลาพักม้าของเมืองสือเฉิง ผู้ให้การต้อนรับเป็นขุนนางอาลักษณ์ของที่ว่าการ ข้าหลวงกับแม่ทัพกวนเหยี่ยไม่ได้ปรากฏตัว เฉินอวี้ย่อมเข้าใจกระจ่างแจ้ง หากสองคนนี้มาต้อนรับก็เพราะให้เกียรติเจ้า ถ้าไม่มา เจ้าก็พูดอันใดไม่ได้ ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปเยี่ยมเยียนถึงเรือนเพื่อทำความรู้จักกันกระมัง

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำเขาหัวเราะ สองคนนี้มีธุระรัดตัว ไม่มีเวลามาพบ จึงสั่งให้คนส่งของขวัญมาให้ ถือว่ามีมารยาทแล้ว

อาสือไม่พอใจอย่างยิ่ง หานเย่ตบโต๊ะ ถึงอย่างไรเฉินอวี้ก็เป็นถึงจวิ้นอ๋อง ใต้หล้านี้เป็นของสกุลเฉิน ไม่เคารพเฉินอวี้ก็เท่ากับไม่เคารพราชวงศ์ คนทั้งสองคิดเช่นนี้ เฉินอวี้กลับกล่าวว่า “ข้าเป็นเพียงจวิ้นอ๋องที่ถูกลดขั้นและถูกไล่ออกจากวั่งจิง คาดว่าคงกังวลว่าข้าจะอยู่ที่สือเฉิงไม่ยอมจากไป พวกเขาคนหนึ่งบุ๋น อีกคนบู๊ ยึดครองสือเฉิงไว้แล้ว จู่ๆ มีพระบรมวงศ์ปรากฏตัวกะทันหัน คงทำลายความสมดุลอย่างเลี่ยงไม่ได้ สั่งการลงไปว่า วันรุ่งขึ้นให้ออกเดินทางแต่เช้า แล้วส่งของขวัญไปสองชุด”

ท่าทางไม่สะทกสะท้านของเฉินอวี้ทำขุนนางอาลักษณ์จดจำไว้ในใจ ลอบนับถือความสุขุมของจวิ้นอ๋องผู้นี้เงียบๆ เมื่อหันหลังไปก็ตกใจ เพราะสีหน้าของตงผิงจวิ้นอ๋องดูไม่เศร้าเสียใจที่ถูกลดขั้นแม้แต่น้อย กลับค่อนข้างให้ความสนใจภูมิประเทศอย่างภูเขา แม่น้ำ ผู้คน และประเพณีของซีฉู่โจว หรือนายท่านผู้นี้เพียงขายผ้าเอาหน้ารอด รอให้ฮ่องเต้หายขุ่นเคืองก่อน หรือหากไทเฮาคิดถึงก็อาจจะเรียกเขากลับเมืองวั่งจิง อย่างนั้นข้าหลวงตู้มิต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะตามมาหรอกหรือ เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาก็ตัดสินใจทันทีว่าจะรายงานให้ข้าหลวงตู้ทราบ อย่างน้อยก็สมควรให้เกียรติเต็มที่ เพื่อที่ตงผิงจวิ้นอ๋องจะได้ไม่ผูกใจเจ็บในภายภาคหน้า

คาดไม่ถึงว่าตู้หยวนเฮ่าจะเกิดเรื่อง ด้วยว่าเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มผู้โหดเหี้ยมแห่งทะเลทรายเกอปี้ปรากฏตัวแล้ว เขาปล้นกลุ่มคาราวานพ่อค้าสองกลุ่ม สังหารคนสิบคน หลังเขาได้รับรายงานจากขุนนางอาลักษณ์ก็ตัดสินใจจะไปพบจวิ้นอ๋อง ทว่าขบวนของจวิ้นอ๋องออกจากเมืองสือเฉิงไปยังเขตตงผิงแล้ว

เมื่อเทียบกับท่าทางของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองของเมืองสือเฉิงแล้ว ผู้ว่าเขตตงผิงกับคหบดีที่มีหน้ามีตาในท้องถิ่นกลับออกมารอนอกเขตนานแล้ว

เขตตงผิงมีภูเขาและห้วยหนองคลองบึงมาก มีพื้นที่เพาะปลูกน้อย เป็นเขตการปกครองที่ยากจน ขณะที่เขตหนานซ่างที่อยู่ติดกันกลับอุดมสมบูรณ์มาก หมู่ตึกจันทราที่มีชื่อเสียงทั่วแผ่นดินตั้งอยู่ที่เขตหนานซ่าง ในเขตหนานซ่างมีถ้ำหลายแห่งที่เผาเครื่องกระเบื้องขาวเจียงซินที่ฮ่องเต้ชมไม่ขาดปากโดยทำงานกันทั้งวันทั้งคืน

หลังเฉินอวี้เดินทางถึงเขตตงผิงอย่างเหน็ดเหนื่อย และทักทายผู้ว่ากับคหบดีท้องถิ่นแล้ว ก็คิดอยากจะพักผ่อนเร็วๆ

บ้านเรือนในเขตตงผิงต่ำเตี้ย ส่วนใหญ่สร้างจากหินสีเทาขาว มองแล้วสบายตาสบายใจ ริมถนนมีร้านค้าเปิดอยู่ไม่กี่แห่ง มีคนสัญจรน้อยมาก เฉินอวี้ไม่ได้คาดหวังกับสภาพของจวนจวิ้นอ๋องเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามรอยยิ้มแฝงนัยของผู้ว่ากับเหล่าคหบดีทำให้เขารู้สึกแปลกๆ

พอเข้าเขตตงผิงแล้วขบวนรถก็แล่นไปทางตะวันตก ไม่ไกลนักก็เห็นถนนตรงหน้าเปลี่ยนจากถนนขรุขระเป็นถนนหินสีขาว สองข้างทางไม่มีบ้านเรือนราษฎร แต่ปลูกต้นเฟิงแทน หลังเข้าสู่สารทฤดู ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ขับให้ถนนหินสีขาวยิ่งดูงามมากขึ้น

ทุกคนในขบวนรถถึงกับตะลึงตาค้าง

เมื่อเทียบกับบ้านเรือนราษฎรที่ต่ำเตี้ยแล้ว จวนจวิ้นอ๋องดูโดดเด่นขึ้นทันตา ราวกับหญิงสาวชนบทที่หยาบกระด้างแต่งให้นายน้อยสูงศักดิ์ คาดไม่ถึงว่าจะมีพ่อบ้านบ่าวไพร่นับสิบคนสวมชุดใหม่ยืนรอที่หน้าประตูจวนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

เฉินอวี้หัวเราะเมื่อเห็นฉากที่ไม่สมควรเกิดขึ้น เขาค่อยๆ ลงจากรถม้า หลังรับการคำนับจากทุกคนแล้ว ก็ใช้กำลังภายในตะโกนเข้าไปในจวนว่า “คุณหนูใหญ่หลิ่วชิงอู๋ เจ้ายังไม่ออกมาต้อนรับข้าอีกหรือ”

เสียงหัวเราะอ่อนหวานดังแว่วมา จากนั้นทุกคนก็ตาลาย ด้วยปรากฏเงาร่างงดงามยืนอยู่ตรงหน้าของเฉินอวี้

นางทำหน้าทะเล้นใส่เฉินอวี้ แววตารักใคร่ห่วงใยและกิริยาท่าทางที่สนิทสนมพาให้ทุกคนเกิดจินตนาการไม่รู้จบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่ของหมู่ตึกจันทรากับตงผิงจวิ้นอ๋อง

หลิ่วชิงอู๋พยักหน้าให้ผู้ว่า “จวิ้นอ๋องเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยแล้ว อย่างนั้นให้จวิ้นอ๋องพักสักหน่อย ยามเย็นค่อยไปร่วมงานเลี้ยงของท่านผู้ว่า”

ถ้อยคำสองประโยคต้องการไล่ผู้ว่าให้จากไป เห็นได้ชัดว่าต้องการกดข่ม ทว่าผู้ว่าก็ไม่ถือสาที่นางไม่ให้เกียรติ กล่าวทักทายไม่กี่ประโยคก็พาคนจากไปทันที

เฉินอวี้แปลกใจเล็กน้อย หมู่ตึกจันทราเข้าควบคุมเขตหนานซ่างแล้ว หรือเขตตงผิงที่อยู่ติดกันก็เป็นเขตอิทธิพลของนางด้วย

“ชอบหรือไม่” หลิ่วชิงอู๋หันหน้าไปถามยิ้มๆ

เฉินอวี้สั่งให้หานเย่กับอาสือนำเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ไปจัดเก็บ คลี่ยิ้มกล่าวว่า “หากรู้แต่แรกว่าเจ้าจะช่วยซ่อมจวนจวิ้นอ๋องให้ข้าจนงามถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่โอ้เอ้แม้แต่วันเดียว”

“จ่างชิงต้องการเป็นเพื่อนบ้านของหมู่ตึกจันทรา ในฐานะที่ชิงอู๋เป็นเจ้าบ้านย่อมต้องต้อนรับอย่างเต็มที่ ดั่งสุภาษิตที่ว่าญาติอยู่ไกลสู้เพื่อนบ้านใกล้เคียงไม่ได้ จ่างชิงต้องอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต หากเรือนพำนักไม่สะดวกสบายจะใช้ชีวิตได้อย่างไรเล่า ลองตรวจดู ถ้ายังขาดเหลืออันใด สั่งพ่อบ้านโจวให้ไปทำได้ พ่อบ้านโจวเป็นคนที่ท่านแม่คัดเลือกเองกับมือ เขาฉลาดหลักแหลม มีความสามารถ จ่างชิงเพิ่งมาครั้งแรก หากมีคนที่คุ้นเคยกับเขตตงผิงอยู่ข้างกายจะสะดวกมากขึ้น”

หมิงเย่ว์ฮูหยินคัดเลือกพ่อบ้านโจวเองกับมือหรือ หางตาของเฉินอวี้เหลือบมองพ่อบ้านโจวที่เดินตามหลังห่างสองก้าว

พ่อบ้านโจวในวัยสี่สิบปี หน้าตอบดำคล้ำ ดวงตาเล็กมากแต่มีชีวิตชีวา เฉินอวี้นึกถึงตอนที่พ่อบ้านโจวคำนับเขาที่หน้าประตู ท่าทางได้มาตรฐานยิ่ง ราวกับได้รับการฝึกฝนจากตระกูลใหญ่จนกลายเป็นความเคยชิน เขาสังเกตเห็นมือของพ่อบ้านโจวในแขนเสื้อ ทำให้คนรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง หรือเขาฝึกฝนกำลังภายในที่ดุดันอย่างกรงเล็บเหยี่ยว

“เงินที่ได้รับจากราชสำนักไม่เพียงพอ ท่านแม่นึกถึงตอนที่ซิ่นชินอ๋องยังมีชีวิตอยู่และนางได้รับการดูแลจากท่านอ๋อง จึงมอบเงินให้ผู้ว่าเขตตงผิงไว้ หมู่ตึกจันทราออกเงินทุนสร้างจวนจวิ้นอ๋อง แต่มีลานเรือนเพียงสามชั้น ซึ่งแตกต่างจากจวนซิ่นชินอ๋องที่วั่งจิงมากโข หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”

ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ว่าจะเคารพหลิ่วชิงอู๋ ที่แท้ก็เป็นเพราะใช้เงินของหมู่ตึกจันทรา ดูท่าหมู่ตึกจันทราจะซื้อตัวขุนนางน้อยใหญ่ของที่นี่ไว้แล้ว

เขาลอบคิด การที่หมิงเย่ว์ฮูหยินซ่อมแซมจวนอ๋องและจัดเตรียมพ่อบ้านและบ่าวไพร่ให้ เพราะนางต้องการให้เขาสำนึกบุญคุณ ขณะเดียวกันก็วางสายสืบไว้ในจวนอ๋อง หรือหมิงเย่ว์ฮูหยินสงสัยว่าฮ่องเต้ตั้งใจส่งเขามาที่นี่ หรือบางทีในใจนางมีแผนร้าย จึงคิดจะวางอุบายสองชั้น เพื่อให้เขารู้ว่าเขตตงผิงก็เป็นเขตอิทธิพลของหมู่ตึกจันทราเช่นกัน และเขาจะได้อยู่ในสายตาของนาง

เขายิ้มน้อยๆ แล้วเดินตามหลิ่วชิงอู๋ไปตลอดทาง พ่อบ้านโจวคอยเดินตามหลัง เฉินอวี้ลอบคิดว่าเมื่อหลิ่วชิงเหยียนหายตัวไป หลิ่วชิงอู๋ก็ไร้คู่แข่ง นางจึงไม่คิดจะร่วมมือกับเขาอีกเช่นนั้นรึ แล้วไยนางถึงเตือนเขาว่าพ่อบ้านโจวเป็นคนของหมิงเย่ว์ฮูหยินเล่า

เขามองการตกแต่งภายในจวนอย่างชื่นชม สิ่งปลูกสร้างของที่นี่แตกต่างจากความโอ่อ่าของวั่งจิง เป็นความงามของเจียงหนาน ผนังส่วนใหญ่เป็นหิน ด้านบนเป็นโครงสร้างไม้ เรือนสร้างจากหินขาวดูหรูหราและสง่างาม ด้านหลังมีกังหันน้ำขนาดใหญ่คอยสูบน้ำที่ไหลจากภูเขาเข้าจวน ท้องฟ้าคราม เมฆขาว เมื่อมองไกลๆ สีของภูผาสวยสดงดงาม เฉินอวี้อดชื่นชมไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่าเขตทุรกันดารจะมีทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ ต่างจากที่เคยได้ยิน”

หลิ่วชิงอู๋ยิ้มน้อยๆ “จ่างชิง ท่านพักผ่อนก่อนสองวัน หากท่านว่างแล้ว ท่านแม่ขอเชิญท่านไปเป็นแขกที่หมู่ตึกจันทราที่เขตหนานซ่าง”

เฉินอวี้กล่าวขอบคุณ จู่ๆ หลิ่วชิงอู๋ก็กดเสียงต่ำ “ข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่ท่านเป็นเหลียนอีเค่อ ท่านก็ลืมข้อตกลงของพวกเราเสียเถิด”

เฉินอวี้ตะลึงงัน กล่าวเสียงแผ่วว่า “เจ้าได้ดูแลหมู่ตึกจันทราก็รู้จักพอแล้ว แต่ข้าไม่มีทางตัดใจจากปี้หลัวเทียนได้”

ดวงตาของหลิ่วชิงอู๋ทอประกายเหมือนเสียใจและขุ่นเคือง ผ่านไปสักพักค่อยกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านคิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”

“เป็นไปไม่ได้!”

หลิ่วชิงอู๋กัดฟันกล่าวว่า “ข่าวลือที่มีคนตามหาตัวเหลียนอีเค่อไปทั่วแผ่นดินเล่าลือมาถึงซีฉู่โจวแล้ว เพราะบังอาจแย่งภรรยาของเขา ท่านไม่ทันสืบเรื่องปี้หลัวเทียนก็ต้องตายแน่แล้ว”

“ตงฟางสือรึ” หัวใจของเฉินอวี้สั่นไหว ตงฟางสือต้องการแต่งให้ปู๋ชี่อย่างนั้นรึ เขารู้ทันทีว่าเขาพลาดบางสิ่งที่สำคัญมากไป

หางตาของเฉินอวี้เห็นพ่อบ้านโจวกับบ่าวไพร่สองคนยืนอยู่ข้างหลังไม่ไกล เขาจับมือของหลิ่วชิงอู๋ ยิ้มกล่าว “ชิงอู๋ ข้าเห็นกังหันน้ำนั้นงามนัก เจ้าพาข้าไปดูหน่อยเถิด”

เขาออกแรงบีบมือ หลิ่วชิงอู๋ขึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคืองทีหนึ่ง ในใจรู้ว่าเฉินอวี้ไม่อยากเปิดเผยวิชายุทธ์ ก็คล้องแขนของเขาแล้วพาเขาทะยานขึ้นไปบนหลังคาเรือนไม้ข้างกังหันน้ำ แต่เฉินอวี้คล้ายซวนเซและเหมือนจะโอบเอวของนางอย่างไม่ตั้งใจ

เมื่อสายลมภูเขาพัดสาบเสื้อของคนทั้งสอง นัยน์ตาของพ่อบ้านโจวที่มองอยู่ไกลๆ ก็มียิ้มพาดผ่าน เขากล่าวกับบ่าวไพร่คนหนึ่งว่า “กลับไปรายงานฮูหยิน จวิ้นอ๋องเหมือนจะชอบคุณหนูใหญ่มาก”

 

มีเพียงเสียงสูบน้ำของกังหันน้ำดังอยู่รอบๆ เฉินอวี้เลิกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งบนหลังคา มือโอบเอวของหลิ่วชิงอู๋อย่างสนิทสนม คล้ายว่ากำลังจูงมือหญิงงามชมสีสันของฤดูสารททั่วขุนเขา

หลิ่วชิงอู๋หงุดหงิด “ท่านทำแบบนี้คงไม่ใช่จะลากข้าลงน้ำหรอกนะ”

“ข้าเพิ่งมาถึง มีแต่เจ้าที่คุ้นเคยกับเขตตงผิงและหนานซ่างมากที่สุด ยามนี้เจ้าคิดจะถอนตัว เพราะเจ้าคิดว่าหลิ่วชิงเหยียนไม่อยู่แล้ว และเจ้าก็จะได้ครอบครองหมู่ตึกจันทรา ส่วนข้ายามนี้อยากรู้เรื่องของปี้หลัวเทียน ถ้าเจ้าไม่บอกข้า ข้าก็จะถามหมิงเย่ว์ฮูหยินเอง”

เฉินอวี้ข่มขู่นางอย่างสบายใจ เค้าโครงหน้าที่ชัดเจนและยิ้มบางที่ประดับริมฝีปากช่างมีเสน่ห์อย่างยิ่ง แขนของเขาทรงพลังมากจนหลิ่วชิงอู๋รู้สึกอยากพึ่งพา

นางพิงไหล่ของเขา กระซิบข้างหูเขาว่า “ช่างเถิด เวลานี้สิ่งที่ข้ารู้คือมีจดหมายส่งมาจากเจียงหนาน หลังอาจารย์ได้รับจดหมายแล้วก็สั่งว่าหากเจอเหลียนอีเค่อให้จับเป็น ตอนที่นางได้รับจดหมาย นางหัวเราะหยัน พึมพำกับตนเองว่า ‘คิดจะแย่งชิงภรรยากับคุณชาย ใต้หล้ามีคนใจกล้าเช่นนี้ด้วยรึ!’ เย็นนั้นนางไปจากหมู่ตึกทันที ผ่านไปครึ่งเดือนถึงได้กลับมา ข้าเดาว่านางอาจจะไปปี้หลัวเทียน คุณชายผู้นั้นจะใช่คุณชายของปี้หลัวเทียนหรือไม่ หากข้าเปิดโปงฐานะของท่าน ท่านคิดว่าพวกเขาจะปล่อยข้าไปหรือไม่”

ยามที่พูดประโยคนี้ เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย อดขยับเข้าใกล้เฉินอวี้อีกนิดไม่ได้

เฉินอวี้ยื่นมือไปดันศีรษะของนางออก “เลิกแสร้งกลัวได้แล้ว พ่อบ้านโจวไปแล้ว” เขาไม่สบายใจ หากตงฟางสือเกี่ยวข้องกับปี้หลัวเทียนจริง อย่างนั้นก็นับเป็นความผิดพลาดที่เขาออกจากซูโจว ตราบใดที่ตงฟางสือต้องการตามหาเหลียนอีเค่อ เขาก็ไม่มีทางสลัดตงฟางสือหลุด

เฉินอวี้กังวลว่าตงฟางสือที่อยู่ซูโจวห่างเป็นพันหลี่จะทำอันใดฮวาปู๋ชี่ ไฉนตงฟางสือถึงอยากแต่งให้ฮวาปู๋ชี่ พลันนั้นเฉินอวี้ก็พบว่าเขาดูแคลนจูจิ่วหัวที่ออกจากคฤหาสน์ไปเป็นขอทานเสียแล้ว สกุลจูสามารถพาฮวาปู๋ชี่ที่ถูกยาพิษไปจากวั่งจิงได้ เรื่องเหล่านี้มีข้อน่ากังขามากมาย เดิมเขาคิดจะให้ฮวาปู๋ชี่ใช้ชีวิตอยู่ที่คฤหาสน์สกุลจูอย่างสงบสุข รอให้เขาเสร็จธุระแล้วจะกลับไปหานาง ดังนั้นตอนที่เขาอยู่ซูโจวจึงไม่ทันได้นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮวาปู๋ชี่ จูจิ่วหัวกับเซว์เฟยอย่างลึกซึ้ง

ขณะที่เขาครุ่นคิด หลิ่วชิงอู๋ก็มองเขาอย่างแค้นเคือง เฉินอวี้ปรายตามองนางแวบหนึ่ง “ท่านพ่อของข้าส่งคนไปที่หมู่ตึกจันทราในเขตหนานซ่าง ทหารเดนตายแปดคนไม่มีใครรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว เจ้ารู้หรือไม่”

หลิ่วชิงอู๋ตกใจ แววตาประหลาดใจ ไม่เหมือนเสแสร้ง

เฉินอวี้หัวเราะเบาๆ “ท่านพ่อได้รับข้อมูลของปี้หลัวเทียนจากจุดส่งข่าวสุดท้าย เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าเปิดเผยความลับของข้าแล้วพวกเขาจะปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นรึ ข้าไม่ขอปิดบังเจ้า ที่ข้ามาเขตตงผิงครั้งนี้ก็เพื่อสืบหาความลับของปี้หลัวเทียน ข้อตกลงของพวกเราอาจจะได้รับการพิจารณาใหม่ เจ้าจงอยู่ที่หมู่ตึกจันทราคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหมิงเย่ว์ฮูหยิน วันใดที่นางจะออกเดินทางไกลก็บอกข้าสักคำ อย่างอื่นเจ้าไม่ต้องทำอันใด ข้ารับปากว่า วันหน้าหากควบคุมหมู่ตึกจันทราได้จะให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด”

หลิ่วชิงอู๋แค่นเสียงเย็นว่า “ข้าต้องการเพิ่มเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อ แม้ท่านจะตกอยู่ในกำมือของพวกเขา ท่านก็ห้ามซัดทอดข้า”

เฉินอวี้กล่าวเสียงนุ่มว่า “หากข้าตกอยู่ในกำมือของพวกเขาจริง คนแรกที่กระโดดออกมาเปิดโปงข้าก็คือเจ้า”เขาเบือนหน้ามองจวนอ๋องที่งดงามด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากลับไปบอกนางว่าข้าชอบจวนจวิ้นอ๋องมาก แต่ให้พาคนกลับไปด้วย ข้าไม่ต้องการแม้แต่คนเดียว”

“ท่านไม่คิดแสร้งเป็นจวิ้นอ๋องผู้โชคร้ายที่ถูกไล่ให้มาอยู่ซีฉู่โจวอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าต่อหน้าแสวงหาความสุขสำราญ วันนี้มีสุราให้ดื่ม ก็ดื่มจนสะใจ ลับหลังก็สืบหาหรอกหรือ”

เฉินอวี้กล่าวว่า “เดิมข้าวางแผนจะทำเช่นนั้น กระทั่งคิดจะให้จวิ้นอ๋องล้มหมอนนอนเสื่อ แต่วันนี้เห็นจวนอ๋องแล้ว ข้าจึงเปลี่ยนความคิด หลิ่วหมิงเย่ว์สงสัยในพระประสงค์ของฮ่องเต้ที่รับสั่งให้ข้ามาที่เขตตงผิง ในหล้านี้จะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ มีเขตการปกครองตั้งหลายแห่ง ไฉนถึงส่งข้ามาที่เขตตงผิงเล่า เจ้าไม่รู้ว่าท่านพ่อของข้าส่งทหารเดนตายไป ทว่าหมิงเย่ว์ฮูหยินย่อมรู้อยู่แก่ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอันใดที่จะต้องแสร้งทำ ยามนี้ข้าคิดจะเปลี่ยนการคาดเดาของนางให้กลายเป็นความจริง ทำให้นางร้อนใจ และออกเดินทางไปปี้หลัวเทียน”

“อย่างนั้นข้า…”

เฉินอวี้เชยคางของนาง หยอกล้อว่า “ทรายเข้าตาคุณหนูใหญ่หลิ่วจนตาพร่ามัว เผลอหลงรักข้าจวิ้นอ๋องผู้นี้เข้าแล้ว”

หลิ่วชิงอู๋ผินหน้าหนี หัวใจเต้นตึ้กตั้ก สีหน้าเย็นชาพูดว่า “ข้าสมควรส่งจวิ้นอ๋องกลับจวนได้แล้ว นานมากแล้ว ข้ากลัวว่าพ่อบ้านโจวจะสงสัย”

 

ฟ้าเริ่มมืด เฉินอวี้ไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่จัดขึ้นโดยผู้ว่าเขตตงผิง ดื่มสุราสามรอบก็เมาแล้ว สีหน้าซึมเศร้าพูดเสียงดังว่าวันหน้าจะปิดประตูอ่านหนังสือ ผู้ว่าจะได้ไม่ไปรบกวนเขาที่จวนอ๋อง

ในท้องที่ที่มีผู้ทรงอิทธิพลมากมาย ผู้ว่าย่อมไม่ดีใจ ในใจคิดว่าหากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เงินของหมู่ตึกจันทรา ผู้ใดจะสนใจจวิ้นอ๋องว่างงานผู้หนึ่ง หลังเกลี้ยกล่อมโดยที่ปากไม่ตรงกับใจอยู่นาน ในที่สุดผู้ว่าก็คล้อยตามความต้องการของเฉินอวี้ รับรองว่าหากยังไม่ถึงเวลาจัดเก็บภาษีที่นา จะไม่ไปรบกวนเขาที่จวนจวิ้นอ๋อง

หลังเฉินอวี้นั่งรถม้าแล้วก็สร่างเมาทันที เขามองดวงเดือนสุกสกาวกลางนภายามรัตติกาลของเขตตงผิง พึมพำว่า “ปู๋ชี่ เหลียนอีเค่อจะปรากฏตัวที่ซีฉู่โจว หากข้าล่อตงฟางสือมาที่เขตตงผิง เจ้าก็จะมีชีวิตที่สงบสุข”

เขาตัดสินใจแล้วว่า จะต้องอวดศักดาให้หมิงเย่ว์ฮูหยินดู

ห้องโถงใหญ่กว้างขวาง องครักษ์ยี่สิบกว่านายของเขายืนสองแถวหันหน้าเข้าหากัน โดยมีบ่าวไพร่ที่หมิงเย่ว์ฮูหยินส่งมายืนอยู่กลางห้องโถง เมื่อเฉินอวี้ออกจากวั่งจิง ผู้ที่ติดตามมาด้วยมีเพียงแม่นมสองคน พ่อครัวหนึ่งคน อาสือกับขันทีเฒ่าอีกหนึ่งคนเท่านั้น พวกเขาล้วนแต่รับใช้เขาที่เรือนหลิวสุ่ยตั้งแต่เขายังเล็กและเป็นคนเก่าคนแก่ที่ไม่มีที่ไป

บ่าวไพร่สิบคนและพ่อบ้านโจวยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่เพื่อฟังเฉินอวี้พูด

ทว่าเขาไม่เปิดปากพูด เพียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ มองถ้วยกระเบื้องขาวในมือ แล้วหันหน้าไปถามพ่อบ้านโจวว่า “นี่คือชาอันใด ใบชาอวบใหญ่ สีเข้มมาก รสชาเข้มข้น พอเข้าปากแล้วหอมนัก”

พ่อบ้านโจวกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนท่านอ๋อง เป็นใบชาเกาซานต้าที่ปลูกเฉพาะในเขตตงผิง แตกต่างจากชาของเจียงหนานขอรับ”

เฉินอวี้ส่งเสียงอืม แล้วพลิกสมุดบัญชีรายชื่อกับสัญญาขายตัวในมือ จู่ๆ ก็ถามว่า “พ่อบ้านโจวเป็นวิชายุทธ์ใช่หรือไม่”

“รู้เพียงวิชาป้องกันตัวไม่กี่กระบวนท่าขอรับ”

เฉินอวี้หัวเราะเหอะๆ “หานเย่ เจ้าลองประมือกับพ่อบ้านโจวสักหน่อย เพียงแลกเปลี่ยนฝีมือกัน อย่าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ”

ดวงตาไหววูบ หานเย่ชักดาบออกมา ตะโกนเสียงดังแล้วเงื้อฟันพ่อบ้านโจว ดาบนี้ฟันอย่างดุดัน ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนฝีมือกันแม้แต่น้อย ทำสาวใช้จำนวนไม่น้อยตกใจจนหน้าถอดสี ด้วยเห็นชัดว่าพ่อบ้านโจวเลือดออก

ลูกตาดำของพ่อบ้านโจวหดลง หมุนกาย เบี่ยงหลบได้อย่างน่าหวาดเสียว

เฉินอวี้เห็นอย่างชัดเจนว่าหานเย่ออกดาบดุดัน แต่พ่อบ้านโจวกลับหลบได้สบาย เขาจิบชาพลางมองทุกคนในห้องโถงอย่างละเอียด ผ่านไปครึ่งเค่อก็กล่าวว่า “หยุดมือเถิด หานเย่ เจ้าเจอคู่ต่อสู้แล้ว พ่อบ้านโจวฝีมือไม่เลว”

หานเย่เก็บดาบ แล้วกลับไปยืนอยู่ในกลุ่มองครักษ์ตามเดิม

เฉินอวี้วางถ้วยชาลง เดินมาตรงหน้าพ่อบ้านโจวแล้วหัวเราะเหอะๆ “วิชายุทธ์ของพ่อบ้านโจวดีถึงเพียงนี้ รู้อันใดควรไม่ควร หมิงเย่ว์ฮูหยินส่งเจ้ามาเป็นพ่อบ้านที่จวนข้า ช่างใช้ผู้ที่มีความสามารถสิ้นเปลืองโดยแท้”

พ่อบ้านโจวกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินบอกว่าซิ่นชินอ๋องเป็นสหายเก่า ส่วนจวิ้นอ๋องต้องจากวั่งจิงมาไกล ข้างกายไม่มีใครดูแล นางจึงไม่สบายใจขอรับ”

เป็นเพียงสายสืบยังกล้าพูดจาวางโตอีกรึ เฉินอวี้รู้สึกเลื่อมใสความกำเริบเสิบสานของหมิงเย่ว์ฮูหยินยิ่ง พอเขานึกถึงสตรีที่งามหยาดเยิ้มที่เรือนไผ่ที่วั่งจิง ก็รู้สึกว่าดูแคลนนางไม่ได้จริงๆ เขากล่าวว่า “ข้าเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นเคยกับเขตตงผิง หลังจากนี้เรื่องในและนอกจวนฝากพ่อบ้านโจวดูแลด้วย”

แผ่นหลังของพ่อบ้านโจวเหยียดตรงเล็กน้อย กล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “ท่านอ๋องเป็นสหายของหมู่ตึกจันทรา ข้าน้อยจะทำงานรับใช้จวิ้นอ๋องอย่าง…เจ้า!”

เฉินอวี้ดึงกริชออกจากท้องน้อยของพ่อบ้านโจวช้าๆ จากนั้นแทงคอเขาเพื่อจบชีวิต เฉินอวี้แค่นเสียงเย็น “ข้าเพิ่งมาถึงแล้วอย่างไรเล่า กล้าวางคนไว้ข้างกายข้า และคิดจะตัดสินใจแทนข้าทุกเรื่อง ยามที่ท่านพ่อข้ายังมีชีวิตอยู่ไม่เคยมีกฎเช่นนี้!”

สิ้นเสียง องครักษ์รอบๆ ชักดาบแล้วจัดการกับบ่าวไพร่ที่หมู่ตึกจันทราส่งมา เมื่อประกายดาบวาบขึ้น ในสิบคนก็ล้มลงเจ็ดคน ยังเหลืออีกสามคนที่หันหลังชนกัน ทั่วร่างเต็มไปด้วยโลหิต สายตาคั่งแค้น หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “ตงผิงจวิ้นอ๋อง เจ้ากล้าลงมือกับพวกเราอย่างนั้นรึ!”

เฉินอวี้หัวเราะ “สังหารก็สังหารแล้ว ยังมีอันใดที่ไม่กล้าอีก”

“เจ้าจะสังหารแม้แต่คนที่ไม่รู้วิชายุทธ์รึ!”

สีหน้าเฉินอวี้เย็นชา “คิดจริงๆ หรือว่าข้าเป็นลูกล้างผลาญที่ดีแต่ขี่ม้าฝึกเหยี่ยวจากเมืองหลวง คิดหรือว่าหมู่ตึกจันทราจะส่งแต่ผู้ที่รู้วิชายุทธ์มาข้างกายข้าเท่านั้น”

เขาเดินเข้าใกล้สามคนนี้ ยกเท้าเตะหน้าไม้ที่ประณีตและงดงามออกจากแขนเสื้อของบ่าวไพร่คนหนึ่ง “ไม่เป็นวิชายุทธ์แต่ใช้หน้าไม้เป็น นิ้วข้างขวาเหลืองเล็กน้อย เห็นชัดว่าหยิบยามาหลายปี อย่าบอกข้านะว่าเป็นเพราะหยิบยาบำรุง! รองเท้าที่สาวใช้ผู้นี้สวมอยู่หนาถึงเพียงนี้ คงซ่อนใบมีดไว้ เจ้าเด็กนี่พอได้ยินถ้อยคำของข้า หูก็กระดิก ดูจะเชี่ยวชาญการแอบฟัง หมิงเย่ว์ฮูหยินส่งคนสิบคนที่ไร้ประโยชน์มาอย่างนั้นรึ เข้าใจว่าข้าจะเก็บไว้สักคนสองคนก็ประสบความสำเร็จแล้วกระมัง”

ดวงตาของคนทั้งสามฉายแววตกใจ คนหนึ่งตะโกนว่า “สู้ตายกับเขา!”

คนทั้งสามคิดจะสู้สุดกำลัง เฉินอวี้แย่งดาบขององครักษ์นายหนึ่งด้านข้าง จากนั้นเงื้อเป็นวงอย่างงดงาม ปลิดชีพพวกเขาทันใด เขาโยนดาบทิ้งแล้วแค่นเสียงว่า “ส่งกลับหมู่ตึกจันทรา!”

เหล่าองครักษ์ใช้น้ำล้างพื้นแล้วแบกศพออกไป ยามนี้คล้ายอาสือเพิ่งรู้จักเฉินอวี้จริงๆ กล่าวเสียงสั่นว่า “นายน้อย พวกเราเพิ่งมาถึง ที่แห่งนี้เป็นเขตอิทธิพลของหมู่ตึกจันทรานะขอรับ!”

“นับแต่นี้ไปเจ้าเป็นพ่อบ้านของจวนจวิ้นอ๋อง พวกเราพาคนเก่าคนแก่มาไม่มาก ไม่พอใช้ก็ไปซื้อเพิ่มอีกสองสามคน หมิงเย่ว์ฮูหยินอยากยัดคนเข้าจวน ผู้ว่าเขตตงผิงคิดจะวางสายสืบไว้ในจวนก็ปล่อยให้พวกเขาทำไป”

อาสืออึ้งงัน กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนที่จะซื้อเข้ามา ไยยังต้องสังหารพวกเขาด้วยขอรับ”

เฉินอวี้กล่าวเสียงเย็นว่า “ข้าซื้อได้ แต่นางมิอาจส่งมาได้ นายน้อยของเจ้าไม่ใช่ไก่อ่อนที่กินข้าวนิ่ม[3]! จวนนี้ตกแต่งได้ไม่เลว ข้าจะรับไว้แล้วกัน แต่หากคิดจะวางสายสืบก็ต้องให้ข้าพยักหน้าเห็นด้วยเสียก่อน!”

 

หมิงเย่ว์ฮูหยินนั่งพิงตั่ง เสื้อคลุมไหมสีชมพูคลุมร่างไว้หลวมๆ กระโปรงยาวลากพื้น ดูเหมือนยิ่งอ่อนแอมิอาจต้านทานแรงลม นางนั่งเท้าคาง เผยให้เห็นข้อมือขาวปานหิมะ ยังคงถามเสียงอ่อนว่า “เขาเพียงพาเจ้าชมทิวทัศน์อย่างเดียวรึ”

หลิ่วชิงอู๋กล่าวเสียงแผ่วว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เขาไม่พอใจที่พ่อบ้านโจวแอบฟังอยู่ด้านข้าง จึงพาข้าหลบออกมาเพื่อถามบางอย่างเจ้าค่ะ”

“หืม”

หลิ่วชิงอู๋ประหม่า แต่ยังคงพูดตามที่ตกลงกับเฉินอวี้ว่า “เขาไม่ค่อยพอใจ จึงให้ข้าพาคนกลับมาด้วย และบอกว่าเขาชอบจวนจวิ้นอ๋องมาก”

“ไฉนเจ้าถึงไม่พากลับมาด้วยเล่า หากพากลับมาด้วยก็จะสูญเสียไม่กี่คน” หมิงเย่ว์ฮูหยินถอนหายใจแผ่วเบา ดวงตางดงามฉายแววกลัดกลุ้ม “ตอนอยู่วั่งจิงรู้สึกว่าตงผิงจวิ้นอ๋องก็แค่คนผู้หนึ่ง วิชายุทธ์จะว่าสูงก็ไม่สูง จะว่าต่ำก็ไม่ต่ำ ช่างทำให้คนอ่านไม่ออก”

หลิ่วชิงอู๋ทำใจกล้าพูดว่า “อาจารย์ ฮ่องเต้พระราชทานเขตตงผิงให้เป็นที่ดินศักดินาของเขา ซึ่งอยู่ห่างจากเขตหนานซ่างของพวกเราไม่กี่สิบหลี่ เขาจะจัดการพวกเราหรือไม่เจ้าคะ”

“เขาย่อมจัดการพวกเรา เพราะฮ่องเต้ทรงระแวงสงสัย หลายปีมานี้สตรีทำการค้าใหญ่ขึ้น เขาต้องสงสัยว่าเบื้องหลังข้ามีบุรุษที่เก่งกาจหรือไม่ และหาเงินมากถึงเพียงนี้เพื่ออะไร” หมิงเย่ว์ฮูหยินหลุดหัวเราะราวกับบุปผาบนหน้าผาแบ่งบานท่ามกลางสายลมสารท

หลิ่วชิงอู๋มองท่าทางเปี่ยมเสน่ห์ของหมิงเย่ว์ฮูหยินแล้วใจลอยเล็กน้อย สตรีเช่นนี้ไม่มีบุรุษแม้แต่คนเดียวออกจะแปลกเกินไปแล้ว นางอดเดาไม่ได้ว่าบุรุษของอาจารย์จะต้องอยู่ที่ปี้หลัวเทียน

“ชิงอู๋ ตงผิงจวิ้นอ๋องเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ซ้ำหน้าตาหล่อเหลา ในเมื่อเขาได้รับพระราชทานเขตตงผิงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่ตึกจันทรา หากเจ้าแต่งเป็นภรรยาของเขา ก็ไม่มีทางทิ้งงานของหมู่ตึกอย่างไม่ไยดี ข้ามีจวิ้นอ๋องเป็นบุตรเขยก็สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจแล้ว”

หลิ่วชิงอู๋ตกใจ ใบหน้าขาวผ่องแดงเรื่อ แม้แต่หูของนางก็ยังแดง หมิงเย่ว์ฮูหยินมองความน่ารักไร้เดียงสาของสาวน้อยก็ใจลอยโดยไม่รู้ตัว หยอกล้อว่า “เหตุใดเล่า หรือหวั่นไหวเข้าแล้วจริงๆ”

“ไม่เจ้าค่ะ อาจารย์อย่าล้อชิงอู๋เล่นสิเจ้าคะ”

“ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น ชิงเหยียนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าเชื่อความสามารถของนาง นางจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”

หลิ่วชิงอู๋รู้สึกสะอิดสะเอียน นางลังเลมาโดยตลอดว่าจะหักหลังเฉินอวี้ดีหรือไม่ ขณะลังเลไม่แน่ใจก็ได้ยินถ้อยคำนี้จึงเปลี่ยนใจ นางนึกถึงไหล่กว้างของเฉินอวี้ และท่วงท่าสง่างามที่ด่านเทียนเหมิน ก็ตัดสินใจจะเชื่อถ้อยคำของเขา

หมิงเย่ว์ฮูหยินโบกมือกล่าวว่า “ขอเพียงจวิ้นอ๋องไม่ได้พาทหารมาเหยียบหมู่ตึกจันทราให้ราบเป็นหน้ากลอง ก็ปล่อยให้เขากระวนกระวายไปเถิด อย่าให้คนของเขตตงผิงไปหาเรื่องที่จวนจวิ้นอ๋อง ยามนี้เขาเป็นเสือหิวจนเสียสติแล้ว ไม่ป้อนอาหารให้เขาก็ใช้ได้แล้ว เจ้าออกไปเถิด หากว่างก็ไปอยู่เป็นเพื่อนจวิ้นอ๋อง บุรุษเปล่าเปลี่ยวมักต้องการสตรี จะจับเขาอย่างไร คงไม่ต้องให้ข้าสอนเจ้ากระมัง!”

หลิ่วชิงอู๋ก้มหน้าลง แล้วออกไปเงียบๆ

 

นางจากไปไม่นาน ก็มีชายชุดดำผิวดำ เบ้าตาลึกโหลผู้หนึ่งเดินเข้าห้องโถง

หมิงเย่ว์ฮูหยินกล่าวเสียงเฉื่อยเนือยว่า “เฮยเฟิ่ง เจ้าไปบอกคุณชายว่าชิงอู๋กับเหลียนอีเค่อเคยประมือกันมาก่อน นางเคยยิงธนูใส่เหลียนอีเค่อหนึ่งดอก วิชายุทธ์ของเขาสูงส่ง ข้ามีข้อมูลเกี่ยวกับเหลียนอีเค่อมากมาย ก่อนหน้านี้เขาเคยปรากฏตัวใกล้ๆ วั่งจิง หากคุณชายอยากตามหาเขา ก็ให้ก่อเรื่องที่วั่งจิง ไม่แน่ว่าเหลียนอีเค่ออาจจะปรากฏตัว”

หลังเฮยเฟิ่งคำนับนางแล้วก็หันกายเดินออกไป

หมิงเย่ว์ฮูหยินลุกยืน สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู นางผลักประตูเปิดและเดินไปที่ลานเรือน เงยหน้ามองดวงจันทร์สุกสกาวบนท้องฟ้า ดวงตาค่อยๆ เต็มไปด้วยน้ำตา

เฮยเยี่ยนที่ผอมแห้งหน้าตาบูดบึ้งเดินตามหลัง กล่าวเสียงต่ำว่า “คุณชายอาจจะห่วงเล่น!”

“เขาให้เฮยเฟิ่งเดินทางเป็นพันหลี่เพื่อสอบถามเรื่องของเหลียนอีเค่อ หากเขาไม่สนใจ จะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ข้ารู้ว่าดวงตาคู่นั้น ดวงตาคู่นั้น…” เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะในน้ำเสียงเจือความเคียดแค้น ท่าทางยามนี้ของหมิงเย่ว์ฮูหยินคงทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสาร

นัยน์ตาของเฮยเยี่ยนฉายแววสงสารและกระตือรือร้น เขาปกปิดความรู้สึกอย่างระมัดระวัง กล่าวเสียงแผ่วว่า “ฮูหยินจะเกลี้ยกล่อมคุณชายหรือขอรับ”

หมิงเย่ว์ฮูหยินลูบดอกเบญจมาศดอกหนึ่ง ก่อนออกแรงหักก้าน กัดฟันกล่าวว่า “คุณชายต้องการแต่งให้ใคร ข้าหรือจะขัดขวางได้ ส่งข่าวที่ฮวาปู๋ชี่กลายเป็นหลานสาวสกุลจูไปให้ม่อฮูหยินที่วั่งจิง ยายเฒ่าอสรพิษนั่นจะต้องไม่ปล่อยนางแน่ และส่งคนไปเจียงหนาน ภายในสองปีคุณชายไม่มีทางแต่งให้นาง ข้าไม่เชื่อว่าสองปีนี้ข้าจะหาโอกาสสังหารนางไม่ได้! เซว์เฟย เดิมข้าคิดจะปล่อยบุตรีของเจ้าไป ได้แต่โทษโชคชะตาของนางเองที่บุรุษสกุลตงฟางต้องตาต้องใจ!”

เฮยเยี่ยนถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวว่า “ข้าน้อยจะจัดการเองขอรับ”

“เฮยเยี่ยน” หมิงเย่ว์ฮูหยินจ้องเขา ดวงตางดงามแดงเล็กน้อย กล่าวเสียงสั่นว่า “เจ้าไม่ต้องไป หากคุณชายรู้ จะต้องสังหารเจ้าแน่ ข้างกายข้าไม่มีคนที่ไว้ใจได้อีกแล้ว ดูเหมือนชิงอู๋จะฉลาดหลักแหลม แต่กลับเอาใจออกหากจากข้า ส่วนชิงเหยียนก็หายตัวไปนานถึงเพียงนี้ ผู้ที่จับตามองสกุลม่อก็ไม่ได้ส่งข่าวมา ข้ากลัวว่า…”

โลหิตในกายของเฮยเยี่ยนพลุ่งพล่านเร่าร้อน รู้สึกเต็มใจหากต้องตายเพื่อสตรีตรงหน้าผู้นี้ เขาหมุนตัวเดินออกไป กลับไม่รู้ว่ารอยยิ้มเยาะหยันผุดที่มุมปากของหมิงเย่ว์ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างหลัง

นางเก็บดอกเบญจมาศดอกนั้นขึ้นมาจากพื้นแล้วเสียบใส่กระถางดอกไม้ด้วยความสงสาร กล่าวเสียงแผ่วว่า “ในสายตาในหัวใจของข้ามีแต่ท่านคนเดียว ไยท่านต้องชอบเซว์เฟย ปีนั้นท่านมาดูตัวข้าที่สกุลเซว์ แต่นับแต่นั้นเหตุใดในสายตาท่านจึงมีแค่นางผู้เดียว ปีแล้วปีเล่าที่ข้าขอร้องท่าน ท่านก็ยังทิ้งข้าให้อยู่ที่หมู่ตึกจันทรานี้ตามยถากรรม นางมีอันใดดี สู้ข้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าหาเงินให้ท่านตั้งมากมาย นางมีแต่ทำให้ท่านเสียใจ”

หมิงเย่ว์ฮูหยินเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน ยามสะบัดแขนเสื้อ ภายในสวนบุปผาก็ไม่เหลือดอกไม้บนกิ่งแม้แต่ดอกเดียว

หลิ่วชิงอู๋รีบเดินเข้าลานเรือนอย่างเร่งร้อน เมื่อเห็นดอกไม้ในสวนร่วงหมดก็ตะลึงอ้าปากค้าง

ดวงตาของหมิงเย่ว์ฮูหยินฉายแววดุดัน เงื้อฝ่ามือตบหน้านางฉาดหนึ่ง ตวาดว่า “ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามา!”

หลิ่วชิงอู๋คุกเข่าลงด้วยความตกใจ “ทางตงผิงส่งข่าวมาว่าจวิ้นอ๋องสังหารคนที่พวกเราส่งไปทั้งหมด และส่งศพกลับมาคืนนั้นทันทีเจ้าค่ะ!”

“สังหารได้ดี! ฮ่าๆ ข้าคิดอยู่ว่าจวิ้นอ๋องอ่อนแอเกินไป ไม่ใช่คู่ต่อสู้!” จู่ๆ หมิงเย่ว์ฮูหยินก็หัวเราะ ไม่งดงามหรือทำตัวอ่อนแอดังปกติ นางหัวเราะพักหนึ่ง ค่อยกล่าวกับหลิ่วชิงอู๋ว่า “หากเจ้าทำให้จวิ้นอ๋องลุ่มหลงเจ้าได้ หมู่ตึกจันทราก็เป็นของเจ้าแล้ว”

หลิ่วชิงอู๋อ้าปาก ร้องเรียกเบาๆ “อาจารย์!”

หมิงเย่ว์ฮูหยินประคองหลิ่วชิงอู๋ลุกขึ้น ลูบแก้มของนางเบาๆ ยิ้มน้อยๆ “ยังเจ็บอยู่หรือไม่ เมื่อครู่อาจารย์ลืมตัวจนเสียกิริยา ชิงอู๋ อาจารย์รักเอ็นดูเจ้าที่สุด”

หนังศีรษะของหลิ่วชิงอู๋ชาหนึบ ฝืนยิ้มกล่าวว่า “เป็นเพราะชิงอู๋ใจร้อนเกินไปไม่ทันรายงานก็บุกเข้ามา ตำหนิอาจารย์ไม่ได้เจ้าค่ะ”

“สังหารแล้วก็แล้วไปเถิด เขาบอกข้าว่าเขาไม่ใช่คนที่จะถูกควบคุมได้ง่ายๆ และเขาก็ไม่ชอบถูกควบคุมด้วย วันรุ่งขึ้นข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าอยู่เป็นเพื่อนจวิ้นอ๋องเถิด ชิงอู๋ อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้สึกอันใดกับเขา ตอนที่เห็นเขาที่เรือนไผ่ ข้าคิดว่าหากเขาเป็นเหลียนอีเค่อผู้นั้นจะดีสักเพียงใดหนอ!”

ดวงตาของหมิงเย่ว์ฮูหยินสุกสกาวดั่งแสงจันทร์กระจ่าง ขณะเดียวกันก็เจือความเย็นชาของแสงจันทร์ทรงกลด ทำหลิ่วชิงอู๋อดแข้งขาอ่อนไม่ได้ จนต้องทรุดลงคุกเข่าต่อหน้านางอีกครั้ง

“คนที่ทำให้เจ้าจดจำมิรู้ลืมมีเพียงเหลียนอีเค่อผู้เดียว ชิงอู๋ ข้าเพียงเดาเท่านั้น จิตใจเจ้าอำมหิต ลงมือเหี้ยมโหด แต่ขาดความสุขุม ข้าเคยบอกเจ้านานแล้วว่าเจ้าสู้ความอดทนของชิงเหยียนไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นนาง ไม่ว่าจะทำอย่างไรข้าก็มิอาจหลอกถามความจริงได้”

สีหน้าหลิ่วชิงอู๋หวาดกลัว คว้าชายกระโปรงของหมิงเย่ว์ฮูหยินแล้วอ้อนวอน “อาจารย์ ข้าไม่กล้าปิดบังท่านอีกแล้ว ท่านยกโทษให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

หมิงเย่ว์ฮูหยินหัวเราะเสียงต่ำ “ข้ายกโทษให้เจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ข้าไม่ได้บอกคุณชายว่าเหลียนอีเค่อที่เขาตามหาอยู่คือจวิ้นอ๋อง ข้าเพียงต้องการให้เจ้ากุมหัวใจของเขาไว้ให้แน่น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ เจ้าอยากได้หมู่ตึกจันทรา ข้ามอบให้เจ้าได้ เจ้าชอบจวิ้นอ๋อง ข้าก็ส่งเสริมให้เจ้ารักเขา เด็กโง่ เจ้าสู้ฮวาปู๋ชี่ไม่ได้หรือ”

หมิงเย่ว์ฮูหยินดึงหลิ่วชิงอู๋เข้าห้องโถง หยิบกล่องแพรใบหนึ่งส่งให้ถึงมือของนาง กล่าวว่า “ฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่ระแวงเจ้า ใช้สิ่งนี้อ้างสิทธิ์ว่าเป็นคนของเขา ขอเพียงเจ้าตั้งครรภ์ลูกของเขา จวิ้นอ๋องไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าอย่างไม่ไยดี”

หลิ่วชิงอู๋รับกล่องแพรท่ท่าทางคล้ายคนโง่งม สมองสับสนว้าวุ่น ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของหมิงเย่ว์ฮูหยิน

“ข้าต้องการแก้แค้น ไม่ว่าบุรุษคนใดที่เคยรักเซว์เฟยและบุรุษคนใดที่คิดอยากแต่งให้บุตรีของนาง ข้าก็จะไม่ยอมให้พวกเขาสมหวัง” หมิงเย่ว์ฮูหยินมองหลิ่วชิงอู๋เงียบๆ กล่าวเสียงอ่อนว่า “เจ้าก็รู้จุดจบของคนที่หักหลังข้า เจ้าคิดว่าเวลานี้จวิ้นอ๋องปกป้องเจ้าได้หรือไม่ ไยไม่ลองบอกเขาดูเล่า”

เฉินอวี้ปกป้องนางได้หรือไม่ หากเขารู้ว่าหมิงเย่ว์ฮูหยินมองนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง มิอาจหาประโยชน์จากนางได้อีกต่อไป เขายังจะปกป้องนางอยู่หรือไม่ หลิ่วชิงอู๋นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เฉินอวี้ปกป้องฮวาปู๋ชี่ยามอยู่ที่จวนอ๋องเจ็ด นึกถึงถ้อยคำของเขาที่พูดกับฮวาปู๋ชี่คืนฝนตก และนึกถึงเขาที่ลงมือจัดการนางที่ศาลาเสี่ยวชุนอย่างไม่ไว้หน้า นางก็กัดฟันกอดกล่องแพรแน่น “ข้าเชื่ออาจารย์เจ้าค่ะ”

“ต้องลงมือให้เร็วที่สุด” หมิงเย่ว์ฮูหยินพิงตั่งอย่างเกียจคร้าน เล็บมือสีกุหลาบเกี่ยวผมปอยหนึ่งมาสาง แววตาอ่อนโยน

หลิ่วชิงอู๋ตัดสินใจที่จะไม่ลังเลอีก ถามอย่างนอบน้อมว่า “อาจารย์ เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้”

“เขาสังหารคนของพวกเราแล้วจะต้องไม่ยอมอยู่แต่ในจวนอย่างว่าง่ายแน่ เชื่อข้าสิ เขาต้องคิดจะใช้ฐานะของเหลียนอีเค่อล่อหลอกให้คุณชายอยู่ห่างจากฮวาปู๋ชี่ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขากับซิ่นชินอ๋องจะงมงายในรักเหมือนกัน เจ้าบอกเขาว่าวันมะรืนข้าจะออกไปที่ภูเขาสือว่านทางตะวันตก ชิงอู๋ ข้าจะใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เจ้าอย่าได้พลาดโอกาสนี้เป็นอันขาด”

“ข้าสมควรทำอย่างไรเจ้าคะ”

“ใช้แส้ของเจ้า ธนูของเจ้า อาวุธลับของเจ้า คนของเจ้าลงมือสังหารข้า!”

เห็นหลิ่วชิงอู๋ตะลึงงัน หมิงเย่ว์ฮูหยินถอดเสื้อออก มีรอยมีดยาวใต้ไหล่ดูน่าเกลียดมาก นางยิ้มน้อยๆ “ปีนั้นข้าใช้แผนทรมานสังขารเพื่อแต่งให้คนผู้หนึ่ง พวกเราศิษย์อาจารย์ไม่มีอันใดที่จะต้องเกรงใจกัน หากเจ้าช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เขาจะต้องเชื่อฟังเจ้าอย่างแน่นอน”

ทันใดนั้นหลิ่วชิงอู๋ให้รู้สึกหวาดกลัว สตรีผู้นี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว นางถึงกับยอมทำร้ายตนเองเพื่อสร้างโอกาสเช่นนี้ ทว่าเป้าประสงค์นั้นเห็นได้อย่างชัดเจนคือ ให้ตนแย่งเฉินอวี้เพื่อทำให้ฮวาปู๋ชี่เสียใจ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังไม่ต้องการให้คุณชายครองคู่กับฮวาปู๋ชี่ด้วย หรือนางต้องการตั้งตนเป็นศัตรูกับปี้หลัวเทียน!

หลิ่วชิงอู๋หนาวสั่น ปี้หลัวเทียนคืออันใด อาจารย์เป็นหญิงที่แข็งแกร่ง ภายในสิบปีสามารถก่อตั้งหมู่ตึกจันทรา เช่นนั้นแล้วบุรุษที่นางแต่งงานด้วยผู้นั้นจะน่ากลัวมากเพียงใด หากตนทำตามแผนที่นางวางไว้ แล้วปี้หลัวเทียนจะจัดการกับตนอย่างไร

พลันนั้นก็รู้สึกชาที่ลำคอ หลิ่วชิงอู๋ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา หมิงเย่ว์ฮูหยินก็ยกแขนของนางขึ้น นางตกใจอ้าปากค้าง กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย ดวงตาเบิกกว้าง เห็นเข็มทองที่บางดั่งขนวัวถูกแทงเข้าสู่ร่างกาย

“ภายในสิบวันข้ายังเอาเข็มออกให้เจ้าได้ หาไม่แล้วมันจะเข้าสู่กระแสเลือดของเจ้าแล้วแทงหัวใจของเจ้า จุดจบจะเป็นเช่นเดียวกับซิ่นชินอ๋อง ชิงอู๋ อาจารย์จะช่วยตัดสินใจแทนเจ้าเอง หากงานสำเร็จ ข้าจะเอาเข็มออกให้เจ้า”

หมิงเย่ว์ฮูหยินปล่อยมือออกจากลำคอของหลิ่วชิงอู๋ที่มีเข็มทองเล่มนั้นปักอยู่ แล้วยิ้มน้อยๆ “ไปเถิด”

หลิ่วชิงอู๋ระงับความกลัวในใจ สูดลมหายใจเข้าลึก “ชิงอู๋ไม่มีทางทำให้อาจารย์ผิดหวังเจ้าค่ะ”

 

เข้าปลายฤดูสารทแล้ว เมื่อตื่นเช้าจะเห็นน้ำค้างเกาะตามบนต้นไม้และใบหญ้าข้างทาง เปล่งประกายแวววาวดุจหิมะที่โปรยปรายลงสู่พื้นดิน สีสันของสารทฤดูในป่าเขายังไม่จางหาย สีเขียวเข้ม สีเหลืองทอง สีแดงเพลิงอาบย้อมหลายชั้นพาให้ป่าเขางดงามอย่างไม่น่าเชื่อ

นภาในซีฉู่โจวกว้างใหญ่และเป็นสีคราม ไม่มีก้อนเมฆให้เห็นแม้แต่น้อย สดใสอย่างยิ่ง ดวงตะวันที่เพิ่งทอแสงดูเหมือนจะร้อนแรง ทุกอย่างถูกแสงส่องจนปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน แต่เมื่อแสงส่องกระทบร่างกลับมีแต่ความอบอุ่น

กังหันน้ำสูบน้ำในลำธารให้ไหลเข้าจวนอย่างชื่นมื่น เฉินอวี้เอามือไพล่หลังยืนอยู่ข้างกังหันน้ำ ไม่รู้คิดอันใดอยู่ แม้อาสือจะเลื่อนขั้นเป็นพ่อบ้านแล้ว แต่ยังคงรับใช้ข้างกายเฉินอวี้ เขาคลุมเสื้อคลุมขนนกกระเรียนให้เฉินอวี้อย่างระมัดระวัง น้ำเสียงเจือตำหนิเล็กน้อย “นายน้อย ที่นี่หนาวกว่าวั่งจิง ระวังเป็นหวัดขอรับ แม่นางหลิ่วมาแล้ว บ่าวให้นางรอในห้องโถงใหญ่”

เฉินอวี้อดหัวเราะไม่ได้ หยอกล้ออาสือว่า “ใช้อำนาจของพ่อบ้านเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ”

อาสือเบะปาก “เมื่อวานไม่ใช่นายน้อยหักหน้าหมู่ตึกจันทราหรือขอรับ ไฉนบ่าวต้องทำสีหน้าดีๆ ให้นางด้วยเล่า!”

“เชิญนางมาที่สวนบุปผา” เฉินอวี้สั่งเสร็จค่อยเดินเข้าไปนั่งในสวน

ชุดน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะไม้ เฉินอวี้ลงมือต้มชาด้วยตนเอง น้ำต้มชาเป็นน้ำพุจากภูเขาสูง ชาเป็นใบชาเกาซานต้าที่ปลูกเฉพาะในเขตตงผิง น้ำชาเข้มข้น กลิ่นหอมกรุ่น จู่ๆ เขาก็นึกถึงยาลูกกลอนขับร้อน แก้พิษยุง และเงินหนึ่งพันตำลึงที่จูลู่ หลงจู๊ร้านแลกเงินซื่อไห่ของวั่งจิงส่งมาให้ตอนที่ไม่รู้ว่าฮวาปู๋ชี่อยู่ที่เขตปกครองซูโจว ริมฝีปากของเฉินอวี้ผุดยิ้ม ความเฉลียวฉลาดของฮวาปู๋ชี่ทำเขาตกตะลึงพรึงเพริด นางสนใจใบชาเกาซานต้านี้กระมัง ถึงกับใช้วิธีนี้สร้างสัมพันธ์ทางการค้ากับเขตตงผิง เพื่อจะได้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของเขา

“เด็กโง่” เขายิ้มและตำหนิเสียงแผ่วเบา จากนั้นสูดดมความหอมของชาอย่างพึงใจ และจิบช้าๆ

หลิ่วชิงอู๋ยืนอยู่หน้าประตูสวนบุปผา นางนึกถึงยามที่เจอเฉินอวี้ครั้งแรก เขาสวมเสื้อสีน้ำเงินพร้อมกับกลิ่นอายสูงศักดิ์ปรากฏกายบนหอบุปผาของหมู่ตึกจันทราที่ตรอกหนานเซี่ยซึ่งจัดงานเทศกาลโคมไฟ

เฉินอวี้ไม่หล่อเหลาเหมือนม่อรั่วเฟย แต่ขอเพียงเอาเขาไปซ้อนทับกับเหลียนอีเค่อ คนหนึ่งคือคุณชายสูงศักดิ์ผู้อ่อนโยน อีกคนคือจอมยุทธ์ผู้เย็นชาเคร่งขรึม เมื่อรวมกันทำให้นางรู้สึกถึงความยอดเยี่ยม ความถือดีและความน่าเกรงขามของเหลียนอีเค่อยามอยู่ที่ด่านเทียนเหมิน กับความอ่อนโยนและความเงียบขรึมของเฉินอวี้ที่อยู่ตรงหน้านี้ นางสูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว อากาศบริสุทธิ์ยามเช้าตรงเข้าสู่หัวใจและปอด ทำให้นางค่อยๆ ใจเย็นลง

“คุณหนูหลิ่วมาแต่เช้า มิทราบว่ามีธุระใด”

เฉินอวี้เบือนหน้ามอง แสงอาทิตย์ส่องใบหน้าของเขา ช่างสมบูรณ์แบบ ยามนี้หลิ่วชิงอู๋เหมือนจะพบว่า เบ้าตาใต้คิ้วดำเข้มของเฉินอวี้นั้นลึกนิดหน่อย ไม่น่าแปลกใจที่นางมักรู้สึกว่าดวงตาของเขาฉายแววลุ่มลึก

นางเยาะหยันตนเอง หรือเป็นเพราะอาจารย์เอาเข็มนั้นแทงถุงน้ำดี[4]ของนาง ทำให้นางนอนไม่หลับทั้งคืน และมองอันใดก็รู้สึกว่าแปลกใหม่อยากรู้อยากเห็น เหมือนว่ามองเขาเท่าไรก็ไม่พอ

นางค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับเฉินอวี้

เขายื่นถ้วยชาให้นาง ไม่ใช่ถ้วยกระเบื้องขาวเจียงซิน “กระเบื้องขาวเบาและบางดั่งหยก เหมาะกับชาเขียวของเจียงหนาน ขณะที่ใบชาเกาซานต้าที่ต้มแล้วใส่ป้านชาที่ทำจากดินจื่อซาของเมืองอี๋ซิงจะดีกว่ากระเบื้องขาวเจียงซิน”

“ของที่มาจากเจียงหนานดีหมดกระมัง” หลิ่วชิงอู๋อดเหน็บแนมไม่ได้

เฉินอวี้ไม่ปฏิเสธ กล่าวว่า “นางดีทุกอย่าง”

ความเศร้าเอ่อล้นขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ เหตุใดถึงไม่มีคนรักนางแบบนี้บ้าง มือซ้ายของหลิ่วชิงอู๋ยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด เมื่อเข้าปากก็รู้สึกขมเล็กน้อย แต่พอไหลลงคอแล้วรู้สึกถึงรสหวาน

นางกัดฟันกล่าวว่า “เย็นนี้อาจารย์จะออกไปข้างนอก”

เฉินอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “ไยถึงเร็วเช่นนี้”

หลิ่วชิงอู๋กล่าวเสียงเย็นว่า “ท่านหวังให้นางรีบไป แล้วท่านจะได้ไล่ตามไปได้ตลอดทางไม่ใช่หรือ หลังสืบพบสิ่งที่ท่านต้องการแล้วก็จะไปจากที่นี่ จากนั้นก็ไปเจียงหนานกระมัง”

เฉินอวี้จ้องนางครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอื้อมมือไปกุมมือขวาของนาง ถามอย่างประหลาดใจว่า “ไฉนถึงเย็นเช่นนี้”

หลิ่วชิงอู๋ใช้มือซ้ายปัดมือเขาออก ไม่ขยับมือขวา แต่แค่มือซ้ายมือเดียวจะเอาชนะเฉินอวี้ได้อย่างไร ไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกเขาจับจุดชีพจรแล้ว นางกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ข้ามาแจ้งข่าวที่ท่านอยากรู้แล้ว ท่านคิดจะทำอย่างไร”

เฉินอวี้ปล่อยมือนาง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะไม่ทำอันใดทั้งนั้น เจ้ากลับไปได้แล้ว ขอบคุณสำหรับข่าวของเจ้า”

หลิ่วชิงอู๋ดึงมือกลับ ตะลึงงันและนั่งนิ่งไม่ไหวติง ผ่านไปสักพักก็ถามว่า “ให้ข้าอยู่กินอาหารกลางวันด้วยได้หรือไม่ ข้าไม่อยากกลับไปเร็วนัก”

“ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้เล่า พ่อครัวของบ้านข้าเพิ่งจับปลาในลำธารมาได้ เที่ยงวันนี้ข้าขอเชิญเจ้ากินปลา”เฉินอวี้ผลิยิ้ม ยังคงต้มชาต่อและอาบแดดพร้อมกับชมทิวทัศน์

หลังอาหารกลางวัน หลิ่วชิงอู๋ขี่ม้ากลับไป ขี่ไปได้สักพักก็หันหน้ากลับมา เห็นเฉินอวี้ยังคงยืนอยู่ใต้ต้นเฟิงสีแดงหน้าประตูจวน มองนางยิ้มๆ นางแตะมือขวาโดยไม่รู้ตัว ในใจเศร้าสลดเล็กน้อย แล้วรีบควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินอวี้เลือนหายพร้อมกับร่างของนางที่จากไป เขาหันหลังเดินเข้าจวน ยืนอยู่ข้างกังหันน้ำตามลำพังเป็นเวลานาน จากนั้นเรียกหานเย่ไปสนทนาที่ห้องหนังสือตลอดบ่าย

เมื่อนภาเริ่มมืดแล้ว ก็มีอาชาสิบตัวขี่ออกจากจวนจวิ้นอ๋องไปตามถนนหินสีขาวที่ปูใหม่เส้นนั้นเพื่อออกจากเขตตงผิง

ชาวบ้านในเขตตงผิงที่หลบอยู่ไกลๆ ชี้นิ้วไปที่คุณชายสูงศักดิ์รูปงามที่มีกองกำลังติดตามไปเป็นพรวน

กลางดึก ทุ่งกว้างของเขตหนานซ่างสว่างไสวด้วยแสงไฟ มองเห็นควันสีเขียวพุ่งขึ้นที่จุดรวมพล ที่นั่นคือเตาเผาที่ไม่เคยดับไฟ ยิ่งเข้าใกล้ภูเขา แสงไฟยิ่งน้อยลง

 

นอกประตูใหญ่ของหมู่ตึกจันทรามีเกี้ยวหลังหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนไปทางตะวันตก

หมิงเย่ว์ฮูหยินนั่งพิงอยู่ในเกี้ยว หลับตาลงพักผ่อน

ครั้นเกี้ยวขึ้นสู่ทางเดินบนเขาแล้ว คบเพลิงในมือของผู้คุ้มกันด้านหน้าส่องทางบนเขาจนสว่างไสว

เกี้ยวเคลื่อนตัวช้าๆ ทั้งคืน เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนก็ข้ามยอดเขาลูกหนึ่งและหยุดพักข้างลำธาร

หมิงเย่ว์ฮูหยินลงจากเกี้ยว ค่อยๆ สูดอากาศในหุบเขา พรมผืนหนาถูกปูบนหญ้าใต้ต้นไม้ นางนอนตะแคงเอามือเท้าขมับเหมือนกำลังงีบหลับ

เหล่าผู้คุ้มกันกระจายอยู่โดยรอบ เปลี่ยนเวรกันพักผ่อน

ไม่ถึงสองชั่วยาม หมิงเย่ว์ฮูหยินลุกนั่ง เช็ดหน้า กินอาหาร แล้วขึ้นเกี้ยวออกเดินทางต่อ

จนกระทั่งวันที่สามก็มาถึงจุดอันตราย ด้านหนึ่งของภูเขาเป็นหน้าผาสูงชัน อีกด้านเป็นป่าทึบเทือกเขาสูง เมื่อยืนอยู่บนทางขึ้นเขา มองลงไปเห็นแม่น้ำใต้หน้าผาไหลเชี่ยวกราก คลื่นกระทบหินจนเกิดคลื่นขนาดใหญ่

เกี้ยวหยุดลงที่นี่ หมิงเย่ว์ฮูหยินลงจากเกี้ยว ในมือถือเชือกตะขอเหล็ก นางยืนอยู่ริมหน้าผาแล้วออกแรงเหวี่ยงตะขอเหล็กให้เกี่ยวกับต้นไม้เก่าแก่ที่ยื่นออกจากหน้าผา จนนกฝูงหนึ่งตกใจบินหนี

ต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้นมีอายุเป็นพันปี ใบเขียวชอุ่ม เถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ยาวหลายจั้ง ปลายด้านหนึ่งยื่นออกไปไกลระหว่างภูเขาสองลูกเหนือแม่น้ำ

จากหน้าผาสูงชันไปถึงต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้นระยะห่างสิบกว่าจั้ง นอกจากหมิงเย่ว์ฮูหยินจะมีวิชายุทธ์สูงส่งแล้ว เห็นชัดว่านางมาที่นี่หลายครา จึงมีความชำนาญ

ผู้คุ้มกันนายหนึ่งจับปลายเชือกอีกด้านหนึ่ง ทะยานขึ้นเขาอย่างรวดเร็ว แล้วผูกเชือกกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กลางอากาศก็ปรากฏเชือกเส้นหนึ่ง หมิงเย่ว์ฮูหยินสะกิดปลายเท้าเบาๆ ไถลไปตามเชือกเพื่อไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่อีกด้านของชะโงกผา

หมิงเย่ว์ฮูหยินพาผู้คุ้มกันมาด้วยสิบนาย ยามนี้เฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างต้นไม้ มือกำดาบ สีหน้าเคร่งเครียด

ใบไม้ในป่าสั่นไหว ลูกธนูดอกหนึ่งถูกยิงใส่ลำคอของหนึ่งในผู้คุ้มกันอย่างแม่นยำ พอลูกธนูดอกนี้ถูกยิงออกมา ก็มีลูกดอกถูกยิงออกจากในป่าดังฟิ้วๆ เหล่าผู้คุ้มกันกระเจิงไปคนละทิศ ขณะจะอ้าปากส่งเสียงตะโกน ก็มีลูกธนูดอกหนึ่งยิงใส่ลำคอ การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง

เฉินอวี้ยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ มองเชือกเส้นสุดท้ายพลางถอนหายใจ หากไม่ใช่กับดัก เขาตามไปก็ใช้ได้แล้ว แต่หากเป็นกับดัก ขอเพียงเขาขึ้นไปบนเชือก แล้วหมิงเย่ว์ฮูหยินตัดเชือกที่ผูกกับต้นไม้เก่าแก่ทิ้ง เขาก็จะร่วงตกเหวลึกทันใด สมควรจะทำเช่นใดดี เขาจะต้องตัดสินใจ จากนั้นมีองครักษ์นายหนึ่งเดินออกมา สีหน้าเด็ดเดี่ยว เขาเชี่ยวชาญวิชาตัวเบาและการปีนป่ายมากที่สุดในบรรดาองครักษ์ที่ติดตามเฉินอวี้ เขาสวมเสื้อเหมือนเฉินอวี้ เป็นชุดดำเข้ารูปแขนธนู ด้านหลังสะพายแล่ง มีเชือกพันเอว

เฉินอวี้ตบไหล่ขององครักษ์ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

องครักษ์นายนั้นเกี่ยวเชือกอย่างคล่องแคล่ว แล้วไถลไปที่ต้นไม้เก่าแก่ ทุกคนมองเขาอย่างเคร่งเครียด เมื่อเห็นเขาไปถึงต้นไม้ ขณะจะถอนหายใจโล่งอก ก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากที่ไกลๆ จู่ๆ ร่างของเขาก็ร่วงตกลงไปข้างล่าง ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน เขาโยนเชือกในมือทิ้งแล้วคว้าจับเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้เก่าแก่ เพื่อลดแรงกระแทก ก่อนตกลงไปในแม่น้ำ

“ผู้ที่อยู่ปลายแม่น้ำไปถึงแล้วหรือยัง” เฉินอวี้จ้องต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้นพลางถาม

“ถึงแล้วขอรับ ตราบใดที่อาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรง สมควรจะไม่เป็นไร” หานเย่ตอบ

เฉินอวี้ยื่นมือไปชักดาบของเขาออกมาตัดเชือก เมื่อเห็นเชือกเส้นนั้นตกลงไปข้างล่างแล้ว เขาหัวเราะ แล้วสั่งให้พักผ่อน

เมื่อฟ้ามืด เฉินอวี้ก็ลุกยืน ตรวจสอบของที่อยู่ตามตัว จากนั้นตบไหล่ของหานเย่ “ถอนกำลังกลับตามแผนที่วางไว้”

เหล่าองครักษ์ประสานมือกล่าวเสียงแผ่วว่า “นายน้อยระวังตัวด้วยขอรับ”

เฉินอวี้หัวเราะ ลองผูกเชือกกับต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง แล้วกระโดดลงจากหน้าผา เชือกในมือพาเขาลงไปข้างล่างเงียบๆ คล้ายเหยี่ยวภูเขา พอถึงปลายสุด เขาก็จับเชือกไว้แน่นด้วยมือข้างเดียว ปลายเท้าเหยียบผนังเขา แล้วอาศัยแสงจันทร์สลัวพินิจระหว่างภูเขาอย่างละเอียด ก่อนยิงธนูใส่หินผาดอกหนึ่ง ลูกธนูยาวปักที่ซอกหินลึกครึ่งหนึ่งอย่างแม่นยำ เขายิ้มพึงใจและค่อยๆ ปล่อยเชือกในมือ อาศัยแรงเหวี่ยง คนก็ลอยไปยืนอยู่บนลูกธนูยาว หลังพิงผนังผา และยิงลูกธนูดอกที่สองออกไป

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาเข้าใกล้ต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้น ไม่นานก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้เงียบๆ เฉินอวี้สังเกตต้นไม้ต้นนี้อย่างละเอียด ตะขอที่หมิงเย่ว์ฮูหยินโยนทิ้งไว้ยังติดอยู่บนต้นไม้ เขาไม่กล้าขยับตัว เพราะมีวิหคหลายตัวเกาะต้นไม้ หากทำให้วิหคที่ออกหากินยามวิกาลตกใจบินหนีก็เท่ากับเปิดโปงตนเอง

เขารอเงียบๆ เวลานี้เฉินอวี้สงสัยใคร่รู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ หมิงเย่ว์ฮูหยินไม่รู้ว่าเขาสะกดรอยตามนางจริงๆ น่ะหรือ หรือนางมั่นใจในฝีมือตนเอง ไม่กลัวว่าเขาจะไล่ตามทันหรือ

เขาพิงต้นไม้ หลับตาลงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ เขาไม่คิดออกจตามหา แต่รอให้หมิงเย่ว์ฮูหยินออกมา

 

เมื่อดวงเดือนลอยเด่นกลางท้องฟ้า ที่ลำต้นใหญ่และแข็งแรงของต้นไม้ต้นนี้ก็ปรากฏโพรงโพรงหนึ่ง วิหคที่เกาะต้นไม้ตกใจกระพือปีกบินหนี แล้วหมิงเย่ว์ฮูหยินก็เผยตัว

นางอยู่ห่างจากเฉินอวี้ไม่ถึงสองจั้ง เฉินอวี้เห็นนางแล้วรู้สึกแปลกๆ ในใจ เขารอเงียบๆ อยากรู้ว่าหมิงเย่ว์ฮูหยินจะจากไปอย่างไร

เขาเห็นนางหันซ้ายแลขวา แล้วปลดเชือกตะขอเส้นนั้นออก ก่อนกลับเข้าโพรงไม้อีกครั้ง

ที่แท้หมิงเย่ว์ฮูหยินไม่คิดจะกลับทางเดิม มิน่านางถึงทิ้งผู้คุ้มกันฝีมืออ่อนด้อยกลุ่มนั้นไว้ เขามองโพรงไม้อย่างอยากรู้อยากเห็น ขณะที่วิหคที่ออกหากินยามค่ำยังคงกระพือปีก เขาเดินไปข้างโพรงไม้ สัมผัสถูกปุ่มปมไม้ที่ยื่นออกมา ให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย เขาออกแรงกด เปลือกไม้ก็ขยับ เขาจึงกระโดดเข้าไป

ภายในโพรงไม้ไม่มืด แสงจันทร์ส่องลอดรอยแตกของเนื้อไม้มาได้เล็กน้อย ด้วยแสงสลัวนี้เอง เฉินอวี้จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นโพรงไม้ตามธรรมชาติ ตลอดทางที่เขาร่วงลงมาได้ยินเสียงกลไก แย่แล้วมีทางลับ เขาตบที่ลำต้นเพื่อทะยานขึ้นไป จมูกได้กลิ่นหอมคล้ายบุปผานานาพรรณในสวนบุปผาที่ผลิบานในฤดูวสันต์ จู่ๆ เหมือนว่าเขาจะสูญเสียพละกำลังกะทันหัน จึงร่วงลงไป

“เหอะๆ จวิ้นอ๋อง พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”

ตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งสว่างขึ้น หมิงเย่ว์ฮูหยินผู้งดงามยืนอยู่เบื้องหน้าเฉินอวี้ เขายิ้มเจื่อน “ฮูหยินฝีมือร้ายกาจ กำลังรอข้าอยู่หรือ”

“เจ้าไม่มา ข้าจะกล้าจากไปได้อย่างไร ข้าไม่คิดจะสังหารเจ้า ที่เจ้าสูดเข้าไปเป็นผงสลายกระดูก อีกสามวันข้าจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อถึงยามนั้นกำลังภายในของเจ้าก็จะสูญเกือบหมดแล้ว กลายเป็นจวิ้นอ๋องที่ไร้วิชายุทธ์และได้รับที่ดินศักดินาติดกับหมู่ตึกจันทรา คิดว่าวันหน้าข้าคงร่วมมือกับจวิ้นอ๋องได้อย่างดีแล้ว” หมิงเย่ว์ฮูหยินกล่าวจบก็ทิ้งตะเกียงน้ำมันที่ถือไว้ แล้วจากไปพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

เฉินอวี้ยิ้มขื่น “ต้องทนหิวสามวัน ซ้ำยังสลายกำลังภายในของข้า ไม่ใช่ว่าฮูหยินเร่งให้ข้าตายเร็วขึ้นหรอกหรือ”

หมิงเย่ว์ฮูหยินหันกลับไปกล่าวว่า “ไม่ตายหรอก แค่สามวันเท่านั้น” นางเดินไปข้างหน้าแล้วยกมือผลัก ปรากฏโพรงโพรงหนึ่ง นางหายเข้าไปในโพรงนี้

เฉินอวี้นอนรออยู่ที่พื้น ผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ได้ยินเสียงฝีเท้าลนลานดังขึ้นในโพรง เฉินอวี้หันหน้าไปเห็นหลิ่วชิงอู๋ เขาหัวเราะเหอะๆ “ฟ้าไม่ปิดกั้นหนทางคน ดูท่าสวรรค์ค่อนข้างดีต่อข้า!”

หลิ่วชิงอู๋ออกแรงพยุงเขา กล่าวว่า “ต้นไม้นี้ยังมีทางเข้าลับอีกทาง ข้าจะพาท่านไป”

เฉินอวี้พิงร่างนางแล้วยิ้ม “มีแต่เจ้าที่รู้ทางลับนี้ เจ้าไม่กลัวว่าหมิงเย่ว์ฮูหยินจะสังหารเจ้าหรือ”

หลิ่วชิงอู๋ไม่พูดจา พาเขาไปยังทางลับและเดินตรงไปข้างหน้า นางเดินเหมือนคุ้นเคยทาง พวกเขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ฉับพลันนั้นได้ยินเสียงของหมิงเย่ว์ฮูหยินดังขึ้นอีกครั้งว่า “ชิงอู๋ เจ้ากล้าทรยศข้ารึ!”

มีลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาในทางลับ หลิ่วชิงอู๋ถูกหมิงเย่ว์ฮูหยินโจมตีใส่ฝ่ามือหนึ่ง นางกระอักโลหิตใส่เฉินอวี้ ยืนโงนเงน โอบเขาไว้แล้วกลิ้งตัว ไม่รู้ว่านางกดกลไกใด ร่างของทั้งสองคนจึงตกลงไปข้างล่าง

ภายใต้แสงเดือนสลัว พลันปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของหมิงเย่ว์ฮูหยิน นางพึมพำว่า “ชิงอู๋ ความจริงที่เจ้าทำแบบนี้ดูดีกว่าการใช้ยากับเขาเป็นร้อยส่วน ที่ผ่านมาข้าคิดว่าเจ้าไร้เล่ห์เหลี่ยม ยามนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าโง่หรือฉลาดกันแน่ หลังจากนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จวิ้นอ๋องจะลืมบุญคุณของเจ้า ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็ทำให้ข้าบรรลุเป้าหมายได้เช่นกัน”

 

หลิ่วชิงอู๋ค่อยๆ ได้สติ มีผ้าดำพันเอวนางไว้อย่างแน่นหนา ไม่ไกลนักเฉินอวี้นั่งเหม่อข้างกองไฟ เมื่อนางพยายามยันกายลุกนั่งก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกอีกครั้งจึงร้องออกมา

เฉินอวี้รีบเดินมากดไหล่ของนางไว้ กล่าวว่า “กระดูกซี่โครงหัก อย่าเพิ่งขยับ”

นางนอนลง แสงจันทร์ส่องใบหน้างดงามของนาง ผิวพรรณขาวผ่องดุจหยก นางพึมพำว่า “ท่านไม่ได้สูดผงสลายกระดูกเข้าไปรึ”

เฉินอวี้ไม่ปฏิเสธ

“ท่านรู้ได้อย่างไร”

เฉินอวี้หัวเราะ “ข้าเพียงรู้สึกว่าหาปี้หลัวเทียนเจอง่ายเกินไป เลยระวังตัวไว้สักหน่อยก็เท่านั้น”

ดวงตาของหลิ่วชิงอู๋ค่อยๆ มีน้ำเอ่อคลอ “ท่านตำหนิข้าหรือไม่ หากข้าไม่มา ท่านก็จะไล่ตามนางไปได้”

เฉินอวี้นั่งลงข้างกองไฟแล้วย่างนกตัวหนึ่ง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “นางไม่มีทางพาข้าไปปี้หลัวเทียนง่ายๆ แน่ เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าที่มาไม่ทัน ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมาช่วยข้า”

หลิ่วชิงอู๋เบือนหน้าไปกล่าวเยาะหยันว่า “ท่านไม่ต้องขอบคุณข้า หากข้าดีต่อท่าน ข้าสมควรบอกความลับของโพรงนี้ให้ท่านรู้ นี่เป็นแผนทรมานสังขารของอาจารย์ แผนเดิมของนางคือจับท่านหรือทำร้ายท่าน แล้วให้ท่านเป็นหนี้น้ำใจข้า เมื่อข้าช่วยท่านไว้ ท่านก็จะซาบซึ้งบุญคุณของข้าและรู้สึกหวั่นไหว ยามนี้ดูเหมือนอาจารย์จะดูเบาท่านเกินไป หากข้าทำตามแผนของนางจริงก็จะหลงกลท่าน ท่านไปซะเถิด!”

เฉินอวี้หยิบนกตัวนั้นขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นๆ กล่าวเสียงนุ่มว่า “อ้าปาก!”

“ข้าไม่กิน! ท่านไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ มีขวดในถุงหอมที่ห้อยเอวของข้า คิดว่าน่าจะเป็นยาปลุกกำหนัด ท่านน่าจะรู้ว่าหากข้าทำตามแผน ท่านยังมีหน้าไปพบฮวาปู๋ชี่อยู่อีกหรือ”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้กินมื้อหนึ่งก็คงไม่หิวตาย พักสักหน่อย อย่าขยับซี้ซั้ว หาไม่แล้วกระดูกที่หักจะทิ่มแทงอวัยวะภายในของเจ้า” เฉินอวี้กินเอง ไม่ตอบคำถามของหลิ่วชิงอู๋ เขาเอาแต่มองแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไม่ไกล แววตาลึกล้ำดุจรัตติกาล

เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน มีแพหนังแพะแพหนึ่งลอยมาตามลำน้ำ พอเห็นแสงไฟ องครักษ์สามนายที่ยืนบนแพก็ลิงโลดใจ ตะโกนเสียงดัง “เจอแล้ว!”

เฉินอวี้เอาเท้าเหยียบกองไฟจนดับ จากนั้นอุ้มหลิ่วชิงอู๋อย่างระมัดระวัง ก่อนกระโดดขึ้นแพหนังแพะ เขากล่าวว่า “กลับจวน”

แพหนังแพะหันหัวกลับ แล้วล่องไปตามแม่น้ำ องครักษ์ใช้ไม้ถ่อดันแพอย่างคล่องแคล่ว แพหนังแพะหลบกระแสน้ำวนแนวหินโสโครกอย่างว่องไว และพุ่งออกจากภูเขาอย่างเร็วรี่

หลิ่วชิงอู๋หันมองเขาเขียวสองข้างทาง พึมพำว่า “ไยท่านถึงไม่ทิ้งข้าไว้ ท่านไม่รู้หรือว่าข้าเป็นคนที่ดักซุ่มโจมตีที่ด่านเทียนเหมิน ท่านไม่รู้หรือว่าข้าเป็นคนยิงธนูใส่ท่านที่ตรอกหนานเซี่ย ที่ศาลาเสี่ยวชุนข้าก็ข่มขู่ท่านก่อน เดิมข้าโลภมากจนขาดสติ และลงมือเหี้ยมโหดอำมหิต ไยท่านถึงช่วยข้า”

เฉินอวี้นั่งบนแพ แววตาทอประกายที่หลิ่วชิงอู๋อ่านไม่ออก ไม่ตอบนาง

“ท่านพูดสิ!” นางพยายามจะลุกขึ้น

เฉินอวี้ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนสกัดจุดข้างคอนางทำให้สลบ

ยามนี้หานเย่ถึงค่อยกล่าวกับเฉินอวี้ว่า “นายน้อยสั่งให้เผาต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นหรือขอรับ”

เฉินอวี้หันกลับไป มีควันสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากภูเขา เขากล่าวว่า “โชคดีที่มีต้นไม้เพียงต้นเดียวบนหน้าผา หาไม่แล้วป่าแห่งนี้คงถูกทำลายจนวายวอดแล้ว”

หมิงเย่ว์ฮูหยินสั่งให้หลิ่วชิงอู๋ยั่วยวนเขา คิดจะทำลายความสัมพันธ์ของเขากับฮวาปู๋ชี่ ตงฟางสือสำคัญสำหรับหมิงเย่ว์ฮูหยินมากเพียงนั้นเชียวหรือ ยามนี้หลิ่วชิงอู๋ทรยศนาง นางจะตอบโต้อย่างไร เฉินอวี้นั่งบนแพเงียบๆ ละอองน้ำสาดกระเซ็นต้องหน้าของเขา บางครั้งน้ำเข้าแพก็จะถูกฝ่ามือของเขาฟาดออกไป หลิ่วชิงอู๋นอนบนแพ ใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีน้ำกระเซ็นโดนหน้าแม้แต่หยดเดียว

ผ่านไปครึ่งวันทิวเขาทั้งสองฝั่งก็บางตาลง แม่น้ำกว้างขึ้น แพหนังแพะเคลื่อนออกจากภูเขา หลังทิ้งแพขึ้นฝั่ง เฉินอวี้ขมวดคิ้ว “ไปหารถม้ามา”

องครักษ์ที่รออยู่ริมแม่น้ำเพียงจูงม้ามารอเฉินอวี้ กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีหลิ่วชิงอู๋ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพิ่มมาอีกคน พอได้รับคำสั่งก็ไปหารถม้า ไม่นานก็ได้รถม้าลากคันหนึ่ง โชคดีที่องครักษ์นายนี้ละเอียดรอบคอบ ปูผ้าห่มผืนหนาไว้บนรถก่อนแล้ว

เฉินอวี้อุ้มหลิ่วชิงอู๋ขึ้นรถ แล้วสั่งว่า “ขับช้าหน่อย ระวังนางสะเทือน”

เหล่าองครักษ์มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ลอบประเมินความสำคัญของหลิ่วชิงอู๋ในใจของเฉินอวี้ใหม่อีกครั้ง

ครั้นเข้าจวนแล้ว อาสือเห็นเฉินอวี้อุ้มหลิ่วชิงอู๋เข้าเรือนชั้นใน ก็อดถามหานเย่ไม่ได้ว่า “เหตุใดนายน้อยถึงดีต่อแม่นางหลิ่วเช่นนี้”

หานเย่กะพริบตาแล้วหัวเราะเหอะๆ “ยามตกทุกข์ได้ยากจึงพบน้ำใสใจจริงกระมัง ดูท่าในที่สุดนายน้อยก็หวั่นไหวแล้ว”

อาสือส่งเสียงถุย “พูดเหลวไหล! ไม่กี่วันก่อนนายน้อยยังไร้ปรานีกับคนของหมู่ตึกจันทราอยู่เลย จากนั้นไม่กี่วันไฉนก็เปลี่ยนใจแล้วเล่า”

หานเย่ลูบหน้าผาก “บางทีไม่กี่วันนี้นายน้อยอาจพบข้อดีของนางก็เป็นได้”

ขณะคาดเดาส่งเดช เฉินอวี้ก็เดินออกจากห้องโถง ตะโกนว่า “หานเย่ ไปเรียกเสี่ยวลิ่วมาแล้วให้เขาเอาหีบของเขามาด้วย!”

หลิ่วชิงอู๋ที่ห้องข้างฟื้นแล้ว การต่อกระดูกที่หักขณะได้สติจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง นางถามเฉินอวี้เสียงแผ่วว่า “ท่านพาข้ากลับจวนอ๋องเช่นนี้ ไม่กลัวว่าอาจารย์จะเล่นงานท่านหรือ หมู่ตึกจันทราอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปี จวนอ๋องเล็กๆ จวนหนึ่งกับองครักษ์ยี่สิบนายไม่มีทางเอาชนะนางได้ ข้าไม่มีประโยชน์ต่อท่านแล้ว ข้าสืบหาที่อยู่ของปี้หลัวเทียนไม่พบ ไยท่านต้องลำบากรั้งข้าไว้ด้วยเล่า”

เฉินอวี้จับมือขวาของนาง มือข้างนี้มีเลือดคั่งเล็กน้อยและเย็นเฉียบ

หลิ่วชิงอู๋คิดจะชักมือออก เฉินอวี้จึงออกแรงจับ “อย่าขยับ ประเดี๋ยวเสี่ยวลิ่วจะต่อกระดูกที่หักให้เจ้า ข้าเรียกแม่นมมาพันแผลใส่ยาให้แล้ว”

“ข้าบอกว่าข้าไม่มีประโยชน์ต่อท่านแล้ว!” หลิ่วชิงอู๋ตวาดอย่างขุ่นเคือง จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บจนเหงื่อผุดซึมที่หน้าผาก

เฉินอวี้หันไปกล่าวเสียงแผ่วว่า “เจ้ายอมช่วยข้าจนแขนใช้การไม่ได้ คิดว่าข้าไม่รู้หรือ”

หลิ่วชิงอู๋อ้าปากเล็กน้อยราวกับไม่กล้าเชื่อหูของตนเอง นางกัดริมฝีปาก กลัวว่าหากอ้าปากก็จะร้องไห้ออกมา

เฉินอวี้สั่งแม่นมสองสามประโยค แล้วเดินออกไป

นอกประตูมีคนกลุ่มหนึ่งแอบฟัง พอเห็นเขาออกมาก็วิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง เสี่ยวลิ่วที่แบกหีบมาด้วยคำนับเฉินอวี้ แล้วรีบวิ่งเข้าห้อง ผ่านไปสักพักก็เดินออกมา หัวเราะแหะๆ “นายน้อย ฝีมือการต่อกระดูกของบ่าวแม้ไม่เลว ทว่าแม่นางผู้นั้นเอาแต่จ้องบ่าว หากกระดูกอยู่ผิดตำแหน่งจริงๆ บ่าวคงไม่กล้าต่อ มิสู้นายน้อย…”

“ลิ้นยาวไปใช่หรือไม่ ไม่ต้องการแล้วหรือ” เฉินอวี้ปรายตามองเขาผาดหนึ่ง เสี่ยวลิ่วตกใจกลัวรีบเอามือปิดปากฉับพลัน

เมื่อได้ยินแม่นมบอกว่าพันแผลเสร็จแล้ว เฉินอวี้ตวาดเสียงต่ำว่า “ยังไม่เสร็จเรื่อง ตามข้าเข้าไป!”

เสี่ยวลิ่วก้มหน้าแบกหีบตามเฉินอวี้เข้าห้องพลางพึมพำว่า “หรือท่านสามารถต่อกระดูกในอากาศได้ขอรับ” ทันทีที่เงยหน้าก็เห็นแววตาของเฉินอวี้เย็นชาเล็กน้อย เสี่ยวลิ่วปิดปากแน่น

เฉินอวี้เดินมาข้างเตียง แล้วเปล่งเสียงอ่อน “แม่นางหลิ่ว เจ้าต้องรู้จักหมิงเย่ว์ฮูหยินมากกว่าข้า เจ้ายับยั้งเข็มทองของนางไว้ที่แขนได้ เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาเถิดว่าเอาออกอย่างไร”

ทันใดนั้นใบหน้าของหลิ่วชิงอู๋ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง กล่าวกระอึกกระอัก “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเข็มทอง!”

เฉินอวี้ยิ้มน้อยๆ “วันนั้นข้าเห็นเจ้าจิบชา มือขวาห้อยลงเหมือนไม่กล้าใช้แรง ในใจก็นึกกังขา ตอนที่ท่านพ่อของข้าเสียชีวิตได้ทิ้งจดหมายบอกข้าเรื่องที่หมิงเย่ว์ฮูหยินใช้เข็มทองฝังจุดลมปราณให้ท่าน ทว่าน่าเสียดายเข็มของท่านพ่อต่างกับของเจ้า เอาออกไม่ได้ ในเมื่อเจ้าพันผ้าที่แขนขวา คิดว่าเจ้าจะต้องรู้ทิศทางของเข็มนี้ ข้าเอาออกให้เจ้าดีหรือไม่”

หลิ่วชิงอู๋กัดริมฝีปาก เบือนหน้าหนีกล่าวเสียงแหบพร่าว่า “ข้าเอาออกเองได้”

“ขออภัยด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ข้าไม่มีทางเลือก จำต้องทำเช่นนี้”เฉินอวี้ทำให้นางสลบ แล้วส่งสัญญาณให้เสี่ยวลิ่วตัดแขนเสื้อของนาง

แขนขวาของนางถูกมัดด้วยไหมละเอียดอย่างแน่นหนา แขนทั้งแขนเขียวช้ำเพราะเลือดไม่ไหลเวียน เฉินอวี้ถอนหายใจ ยกมือของนางขึ้น แล้วส่งกำลังภายในไปบังคับเข็มให้เลื่อนไปตามเส้นเอ็นและชีพจรที่แขนของนางลงมาข้างล่าง จากนั้นไม่นานก็เห็นเข็มเล็กๆ ปรากฏใต้ผิวหนัง

เขาตะโกนว่า “เอาเข็มออก!”

เสี่ยวลิ่วเปิดหีบ ด้านในบรรจุมีดหลายประเภท เขาเลือกมีดเรียวยาวคล้ายตะเกียบกรีดอย่างรวดเร็ว เฉินอวี้ใช้กำลังภายในบังคับให้เข็มทองเล่มนั้นออกจากแขนของหลิ่วชิงอู๋พร้อมกับหยาดโลหิต

เฉินอวี้ไม่ปล่อยมือ เสี่ยวลิ่วค่อยๆ แกะไหมที่แขนของนาง เฉินอวี้หลับตาลง กำลังภายในไหลเข้าสู่เส้นเอ็นและชีพจรที่แขนและร่างกายของนางอย่างต่อเนื่อง เม็ดเหงื่อค่อยๆ ผุดซึมที่หน้าผาก หากยังยืดเวลาออกไป แขนของหลิ่วชิงอู๋ก็จะพิการแล้ว

เขาจับแขนของนางรู้สึกว่าไม่เย็นเฉียบอีกแล้ว พอลืมตาขึ้น นภานอกหน้าต่างก็มืดสนิท เฉินอวี้ลุกยืน กล่าวกับแม่นมท่าทางอ่อนเพลียว่า “ใช้สุราเช็ดแขนของนางอย่างเบามือ อย่าขัดถูผิวเด็ดขาด จากนี้ไปพวกเจ้าสองคนผลัดเวรกันอย่าได้หยุดพัก”

เขาเดินออกจากห้อง นอกประตูเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง เฉินอวี้ตวาดว่า “มองอันใด!”

เสี่ยวลิ่วกล่าวอย่างตื้นตันใจว่า “นายน้อยช่างดีต่อแม่นางหลิ่วจริงๆ ขอรับ”

เฉินอวี้ตบหน้าผากเสี่ยวลิ่วทีหนึ่ง ด่าว่า “ดีอันใด แค่เห็นนางน่าสงสาร ขนาดแขนเกือบจะใช้การไม่ได้ก็ยังวิ่งมาช่วยข้า หากแม่นางอายุสิบหกสิบเจ็ดไม่มีแขนข้างหนึ่งจะเหมือนอะไรเล่า! เสี่ยวลิ่ว เจ้ามีวิชาแพทย์ อย่างนั้นฝากให้เจ้าดูแลนางก็แล้วกัน”

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหมิงเย่ว์ฮูหยินสั่งให้คนส่งจดหมายมาที่จวนอ๋องฉบับหนึ่ง เขียนว่าให้คุณหนูใหญ่หลิ่วชิงอู๋เป็นผู้สืบทอดหมู่ตึกจันทรากับเตาเผาเครื่องกระเบื้อง

เฉินอวี้ยื่นจดหมายให้หลิ่วชิงอู๋

เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้เป็นสิ่งที่หลิ่วชิงอู๋รอมานานหลายปี เมื่อนางได้รับสิ่งที่ต้องการ ดวงตาของนางก็เปียกชื้นทันที ถามเฉินอวี้อย่างน่าสงสารว่า “ข้าสมควรทำอย่างไร”

เฉินอวี้จิบชาแล้วกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ”

“ไฉนอาจารย์ถึงปล่อยข้าง่ายๆ เช่นนี้ หลังจากนี้นางจะจัดการกับข้าเช่นไร ข้า…” นางก้มหน้าลง หยาดน้ำตาคลอคลองอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วดูอ่อนแอขึ้นหลายส่วน

ไม่รู้เพราะเหตุใด ท่าทางอ่อนแอของนางทำเฉินอวี้รู้สึกบางอย่าง เหมือนเห็นหมิงเย่ว์ฮูหยิน ทว่านางอายุเพียงสิบหกปี เฉินอวี้ถอนหายใจ โยนความรู้สึกอ่อนโยนทิ้งไป “หากเจ้าอยากอยู่รักษาอาการบาดเจ็บที่จวนอ๋องต่อก็ทำได้ หากเจ้าไม่อยากดูแลการค้าของหมู่ตึกจันทรา เจ้าก็ขายเตาเผาทิ้ง”

นัยน์ตาของหลิ่วชิงอู๋ทอประกายทันใด กล่าวอย่างคาดหวังว่า “ข้าขายให้ท่านดีหรือไม่ ถึงอย่างไรเขตตงผิงก็ห่างไกลและยากจน ภาษีที่นาก็ไม่สูง จวนอ๋องมีคนเยอะถึงเพียงนี้จำเป็นต้องใช้เงิน”

เฉินอวี้ตื่นตะลึง เขาหัวเราะเหอะๆ ส่ายหัวกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่พ่อค้าและไม่มีเวลาดูแลการค้า หากเจ้าไม่อยากรับช่วงต่อก็แค่ปล่อยข่าวออกไป จะต้องมีพ่อค้าที่ฉลาดหลักแหลมนับไม่ถ้วนจากทั่วแผ่นดินมาขอซื้อเตาเผาเหล่านี้แน่”

หลิ่วชิงอู๋ผิดหวัง คิดอยู่พักหนึ่งค่อยกล่าวว่า “รอให้ข้าหายดีแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถิด จ่างชิง ยามนี้ข้ายังไม่อยากกลับหมู่ตึกจันทรา ข้าอยู่ที่จวนอ๋องต่อได้หรือไม่ หากท่านไม่สะดวก ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้”

“เจ้ารักษาตัวให้หายดีแล้วค่อยไปเถิด หากจะไปยามนี้ ข้าส่งองครักษ์สองนายคอยคุ้มกันเจ้าได้ ด้วยวิชายุทธ์ของหมิงเย่ว์ฮูหยิน ถ้าต้องการสังหารเจ้าก็ทำได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ในเมื่อนางทิ้งหมู่ตึกให้เจ้า อย่างน้อยยามนี้คงไม่สังหารเจ้าแน่”

เฉินอวี้กล่าวจบ ก็ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเดินจากไป

 

หานเย่ในห้องหนังสือถามเฉินอวี้ด้วยความกังขาว่า “ไฉนไม่ให้แม่นางหลิ่วกลับหมู่ตึกจันทราเล่าขอรับ หากนางกลับไป ไม่แน่ว่าคนของปี้หลัวเทียนอาจมาตามหานาง เช่นนี้นายน้อยจะไม่…”

“นางช่วยข้าโดยยอมเสียแขนข้างหนึ่ง ข้ามิอาจหาประโยชน์จากนางได้อีก น่าเสียดายที่หมิงเย่ว์ฮูหยินได้กลิ่นผิดปกติก็หนีไปแล้ว เมื่อมาที่เขตตงผิงถึงสืบได้ว่าหมิงเย่ว์ฮูหยินเกี่ยวข้องกับปี้หลัวเทียน นับว่าได้ข้อมูลเยอะมากแล้ว หลังจากนางหายดีก็ส่งนางกลับเขตหนานซ่าง ข้ามีวิธีที่ทำให้คนของปี้หลัวเทียนมาหาข้า” เฉินอวี้ขัดถ้อยคำของหานเย่

หานเย่กล่าวว่า “หมิงเย่ว์ฮูหยินจากไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่นายน้อยจะรั้งอยู่ที่เขตตงผิงต่อ”

แววตาของเฉินอวี้เจ้าเล่ห์ “ทุกปีกระเบื้องขาวเจียงซินทำเงินให้หมู่ตึกจันทราหลายร้อยหมื่นตำลึง เมื่อมีไก่ที่ออกไข่เป็นทอง ข้าเดาว่าผู้อยู่เบื้องหลังหมิงเย่ว์ฮูหยินไม่มีทางปล่อยมือง่ายๆ แน่ ยิ่งกว่านั้นข้าอยากรู้ว่าผู้ที่จะรับช่วงต่อจะเป็นตงฟางสือผู้นั้นหรือไม่ หมิงเย่ว์ฮูหยินเรียกเขาว่าคุณชาย เขาจะต้องมีฐานะในปี้หลัวเทียนสูงกว่านาง ปล่อยกระต่ายหนึ่งตัว แต่หลอกได้แพะอ้วนหนึ่งตัว ไม่ถือว่าพวกเราขาดทุน”

เขาไม่ได้บอกจุดประสงค์อื่นในใจให้หานเย่รู้ เขาอยากปกป้องฮวาปู๋ชี่ที่อยู่ไกลหลายพันหลี่ เขาจะไม่ยอมให้สุนัขป่าที่น้ำลายไหลยืดอยู่ข้างกายนาง แต่เป็นเพราะเขาแยกร่างไม่ได้ จึงทำได้เพียงล่อสุนัขป่าให้มาหาเท่านั้น

หลายปีที่ใช้ชีวิตที่วั่งจิงอย่างเอ้อระเหยลอยชายทำให้เขารู้สึกว่าไร้กำลัง ได้แต่กินข้าวและรอความตาย แต่เมื่อเขากลายเป็นเหลียนอีเค่อ ถึงได้ท่องยุทธภพอย่างอิสรเสรี หายใจได้อย่างสบายใจ ซิ่นชินอ๋องบอกว่าอย่าเป็นเหมือนเขา ขณะที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง การใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังแบบนี้ก็คล้ายเหยี่ยวที่ถูกหักปีก ทำได้แต่ขดตัวและเดินบนพื้นดิน มองท้องฟ้าอยู่ไกลๆ มิอาจกางปีกบิน

หากจะให้เขาหุบปีก กระทำการอย่างถ่อมตนนั้นย่อมได้ เพราะเขาใช้ชีวิตเช่นนี้ตั้งแต่เล็ก จึงไม่ใช่เรื่องยากอันใด ทว่าเขาทนไม่ได้ที่จะให้ฮวาปู๋ชี่ใช้ชีวิตเหมือนเขา

นางแย้มยิ้มสดใสกว่าแสงตะวัน ความระมัดระวังในส่วนลึกของดวงตาคือเมฆหมอกหลังแสงอาทิตย์ นางเช็ดน้ำชาที่เลอะหน้าอย่างไม่สนใจไยดี นางระงับความโกรธตอนอยู่ที่หน้าประตูจวนอ๋อง แล้วเข้าประตูข้างอย่างใจเย็น ทว่าในคืนฝนตกนั้นเขาเห็นอย่างชัดเจนว่ายากเพียงใดที่นางต้องระงับความเจ็บปวดในใจ

สายธารสว่างดุจแสงจันทร์ เนื้อนวลนางผุดผาดดุจหิมะ มวลหมู่เมฆาหยุดเคลื่อนคล้อย บุปผาวสันต์ล้วนร่วงโรย ลุ่มหลงเมามายปี้หลัวเทียน นายท่านม่อ ท่านพ่อ และคนของปี้หลัวเทียนผู้นั้นลุ่มหลงความงามของเซว์เฟย นายน้อยเก้าสกุลจูเต็มใจเป็นขอทานเพื่อนาง ฮวาปู๋ชี่ในสกุลจูเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นางคล้ายไก่ขอทาน เมื่อค่อยๆ กะเทาะดินออกจะส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล วันหน้าฮวาปู๋ชี่จะมีชีวิตที่อาภัพเหมือนมารดาของนางหรือไม่ เฉินอวี้ตัวสั่นสะท้าน ในใจโศกศัลย์ เขาไม่รู้ว่าความรักของท่านพ่อที่มีต่อเซว์เฟยลึกซึ้งมากเพียงใด เขารู้แต่ว่าเขาตัดใจไม่ได้ จะสงสารก็ดี จะเห็นใจก็ช่าง เขามิอาจตัดใจได้ ความรู้สึกนี้ทำเขาร้อนใจอยากตามหาปี้หลัวเทียนให้เจอโดยไว

มีกระดาษขาวหลายสิบแผ่นถูกคลี่กางบนโต๊ะ เป็นแผนที่ภูมิประเทศอย่างภูเขาแม่น้ำที่ไม่กี่วันก่อนเหล่าองครักษ์ที่ขึ้นเขาสือว่านวาดออกมา เฉินอวี้มองอย่างละเอียด ผิดหวังที่พบว่าไม่คล้ายคลึงกับแผนที่ในความทรงจำแม้แต่น้อย เพราะแผ่นที่แผ่นนั้นในสมอง เขาถึงกล้าสรุปว่าหมิงเย่ว์ฮูหยินไม่ได้ไปปี้หลัวเทียน ฉะนั้นจึงเตรียมป้องกันตนเองตอนที่เข้าโพรงไม้

หากไม่อยู่ในภูเขาสือว่าน แล้วปี้หลัวเทียนอยู่ที่ใด “อย่าหยุดวาดแผนที่ภูมิประเทศกลางคัน” เฉินอวี้ออกคำสั่ง พลันนึกถึงบทกวีที่เขียนบนผ้าแพร “ท่ามกลางขุนเขาพนาไพร สายธาราไหลระเรื่อยเชี่ยวกราก ท่าเรือโบราณตั้งริมฝั่ง ดอกซิ่งบานล้อมหมู่ตึกโดดเดี่ยว จากตลิ่งเห็นหอสูงชายคาโค้ง เดือนเพ็ญลอยใต้นภาคราม”

เฉินอวี้พึมพำว่า “ท่าเรือโบราณ ริมฝั่ง ดวงจันทร์ยังคง…” จู่ๆ ดวงตาของเขาก็สว่างวาบ ยกพู่กันขึ้นมาวาดแผนที่ใหม่ตามบทกวีบทนี้

มุ่งหน้าไปตามแม่น้ำ มีเรือลำเล็กถูกผูกไว้ที่ท่าเรือโบราณ มีบ้านเรือนอยู่ท่ามกลางดอกซิ่งขาวผลิบาน หลังหมู่ตึกมีภูเขาลูกหนึ่ง บนยอดเขามีชายคาโค้งที่ราวกับต้องการแทงทะลุท้องฟ้าสีครามสดใส

เขามองแผนที่นี้อย่างพอใจ ในสมองก็นึกถึงดวงจันทร์สองคำนี้ไม่หยุด

หานเย่มองเขาขยับพู่กันวาดภาพอย่างงุนงง

“เจ้าคิดว่าที่นี่คล้ายที่ใด”

“เจียงหนานขอรับ” หานเย่พูดโพล่ง

เฉินอวี้ครุ่นคิดอยู่นานก่อนกล่าวว่า “อยู่ทางทิศตะวันออก ดวงจันทร์ขึ้นทางตะวันตกและตกทางตะวันออก ดวงจันทร์อยู่ทางตะวันออก สถานที่ที่ติดกับแม่น้ำต้าเจียง และทางด้านตะวันออกมีภูเขาสูงชัน ไปเอาแผนที่แคว้นต้าเว่ยมา”

เขามองแผนที่ ลากนิ้วไปทางตะวันออกตามแม่น้ำต้าเจียง ก่อนหยุดที่เขตปกครองซีโจว แล้วชี้ที่เขตปกครองหูโจวแห่งเจียงหนานกับเขตปกครองจิงโจวแห่งเจียงเป่ย กล่าวว่า “เจ้าแบ่งคนสิบคนออกเป็นสองกลุ่ม จดจำแผนที่นี้ไว้ เสาะหาตามแม่น้ำ”

“ขอรับ!”

เฉินอวี้ถอนหายใจ เดินออกจากห้องหนังสือพร้อมกับนวดหว่างคิ้ว ขณะเดินผ่านห้องของหลิ่วชิงอู๋ เขาก็หยุดฝีเท้า ตะโกนเรียก “อาสือ!”

อาสือขานรับ แล้ววิ่งเข้ามาถามว่า “นายน้อยมีเรื่องใดหรือขอรับ”

“ไปหยิบบันทึกเรื่องแปลกห้ารัฐในห้องหนังสือ เจ้าว่างไม่มีอันใดทำก็อ่านให้แม่นางหลิ่วฟังที”

เฉินอวี้ทิ้งอาสือที่อ้าปากค้างไว้แล้วเดินจากไปช้าๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าของอาสือ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ หางตาเหลือบเห็นเหล่าองครักษ์ที่ยื่นหน้าออกจากมุมห้อง เขาอดคิดไม่ได้ว่า หรือเขาจะแสดงเกินจริงไปหน่อย แต่จู่ๆ เขาก็คิดว่าเขามีเหตุผล ตราบใดที่ปู๋ชี่ไม่เข้าใจข้าผิด พวกเขาจะคิดอย่างไร ไยข้าจะต้องสนใจด้วย

 

[1] หรือทะเลทรายโกบี ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างทางใต้ของมองโกเลียกับเขตปกครองตนเองมองโกเลียซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจีน

[2] หมายถึง ต่างฝ่ายต่างไม่ข้องเกี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่

[3] หมายถึง เลี้ยงชีพด้วยการเกาะผู้หญิงกิน

[4] แปลตรงตัวว่า ถุงน้ำดี มีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ความใจกล้า

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า