[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 3 ตอนที่ 42 ตงผิงจวิ้นอ๋อง

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

42

วงล้อเฟิงสุ่ย

 

ออกจากเขตปกครองซูโจวไปทางตะวันตก ฮวาปู๋ชี่ดั่งวิหคที่ถูกปลดปล่อยออกจากกรง นางใส่ชุดบ่าวรับใช้ คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาว สวมหมวกผ้า ราวกับหวนคืนสู่ช่วงเวลาอิสระยามเป็นขอทานน้อยที่ตำบลเย่าหลิง รอยยิ้มประดับหน้ายามขี่ม้าไม่เคยเลือนหาย

เสื้อคลุมผ้าไหมปักลายผกาเป็นวงกลมยิ่งขับเน้นให้ไขมันหน้าท้องของจูโซ่วเด่นชัดขึ้น มือขาวผุดผ่องดุจหยกกุมเชือกบังเหียน มองปราดเดียวคล้ายคุณชายผู้ดีที่ใช้ชีวิตมีเกียรติมั่งคั่งร่ำรวย

รอยยิ้มสดใสของฮวาปู๋ชี่ทำเขาอารมณ์ดีตามไปด้วย ทิ้งการค้าขายของสกุลจูออกท่องเที่ยวอย่างสบายใจ จูโซ่วรู้สึกว่าได้ติดตามคุณหนูก็มีข้อดีเหมือนกัน

เขาอายุยังไม่ถึงยี่สิบห้า กลับอวบอ้วนไปสักหน่อย ถ้ามองแค่หน้าตาก็ดูดีพอสมควร ตาชั้นเดียวของเสี่ยวเซียนั้นน่าดึงดูด ขณะที่ตาชั้นเดียวของเขาเป็นรอยเล็กๆ บนใบหน้ากลม ไม่ยิ้มก็เหมือนกำลังยิ้ม ดูน่ารักดีเหมือนกัน

ตลอดชีวิตของฮวาปู๋ชี่นี่เป็นครั้งแรกที่พกเงินทองพาผู้คุ้มกันออกเดินทาง เห็นอันใดก็ดูใหม่ไปหมด อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง นางถือป้ายหยกพลางครุ่นคิดว่าขอเพียงหลุดพ้นจากตงฟางสือ ท่องเที่ยวตลอดทางขณะไปหาเฉินอวี้ก็ไม่เลวนัก ในใจลึกๆ นางยังคงหวาดระแวง เดินทางช้าลงสักหน่อย แม้ตงฟางสือจะตามเจอ แต่เขาก็เดาไม่ถูกว่านางต้องการไปหาเฉินอวี้ที่ซีฉู่โจว

เดินทางเจ็ดแปดวันก็เข้าสู่สุยโจว หนึ่งในหกเขตปกครองของเจียงหนาน สุยโจวตั้งอยู่ริมแม่น้ำ กำแพงเมืองสูงใหญ่ หลังจากทั้งสองเข้าเมืองก็เห็นความคึกคักของสุยโจวแล้ว ฮวาปู๋ชี่พุ่งเข้าหาจูโซ่วพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย “คืนนี้พวกเราไปบ่อนกัน”

จูโซ่วคันไม้คันมือ เห็นด้วยทันที

ทั้งสองประหนึ่งผีพนันก็มิปาน รีบร้อนคืนห้อง เร่งรุดไปบ่อนพนันอีเหลี่ยง บ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในสุยโจวตามคำแนะนำของเสี่ยวเอ้อร์

บ่อนพนันแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า ห้องโถงชั้นสองกว้างขวางสว่างไสว ชั้นบนเป็นห้องเล็กๆ สำหรับแขกระดับสูง วิธีพนันง่ายมาก เล่นไพ่เก้าแต้มไม่จำกัดการเดิมพัน

เมื่อเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ฮวาปู๋ชี่อ้าปากร้องเสียงหลง “คึกคักจริงๆ โซ่วโซ่ว มีชีวิตชีวายิ่งกว่าบ่อนพนันของเจ้าอีก”

ภายในห้องโถงมีโต๊ะพนันขนาดเล็กวางอยู่โดยรอบ โต๊ะพนันไม้ฮว่ามู่ขนาดยักษ์วางอยู่ตรงกลาง เสียงเจ้ามือเปิดถ้วยดังรอบด้าน กึกก้องชัดเจน

เสียงโห่ร้องด้วยความผิดหวังดึงดูดความทะยานอยากของฮวาปู๋ชี่และจูโซ่ว ทั้งสองเบียดเสียดข้างโต๊ะพนันที่ทำจากไม้ฮว่ามู่พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ฮวาปู๋ชี่กุมเงินสองตำลึง กติกาของบ่อนพนันคือทุกครั้งที่วางเดิมพันกลางโต๊ะใหญ่ต้องวางแท่งเงินสองแท่งขึ้นไป โต๊ะเล็กรอบๆ ไม่กำหนดเงินเดิมพัน จะเป็นแท่งเงินหรือเหรียญทองแดงก็ได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนรอบโต๊ะพนันไม้ฮว่ามู่ที่อยู่ตรงกลางไม่มากนัก

“วางเดิมพันใด” ฮวาปู๋ชี่ถามจูโซ่วเสียงต่ำพร้อมจ้องถ้วยลูกเต๋าที่เจ้ามือเขย่าแววตาเป็นประกาย

จูโซ่วยิ้มกล่าว “วางเดิมพันตามใจ นายน้อย วันนี้ข้าอนุญาตให้ท่านเป็นนาย”

ฮวาปู๋ชี่แลบลิ้น นางเกือบลืมว่ายามนี้เป็นบ่าวรับใช้ของจูโซ่ว

หลังเขย่าลูกเต๋าในถ้วยแล้ววางบนโต๊ะ เจ้ามือพลันตะโกนอย่างไร้อารมณ์ว่า “แทงเสร็จแล้วเอามือออก”

ฮวาปู๋ชี่ถนัดเล่นลูกเต๋าที่สุด แต่นางไม่มีกำลังภายในจึงไม่ได้ยินเสียงลูกเต๋าในถ้วย จูโซ่วเปล่งเสียงแผ่วเบาว่า “ต่ำ”

นางรีบวางเงินสองตำลึงบนตัวอักษรต่ำ ยิ้มตาหยีมองเจ้ามือไม่ละสายตา

บนตัวอักษรต่ำสีแดงมีเงินวางอยู่ยี่สิบตำลึง บนตัวอักษรสูงมีเงินวางอยู่ไม่กี่ตำลึง เจ้ามือสีหน้าเฉยชา เอ่ยว่า “เปิด…”

เขากำลังจะยกมือขึ้น ฮวาปู๋ชี่เหลือบเห็นนิ้วของเขาขยับเล็กน้อย รีบตะโกนเสียงดังว่า “ช้าก่อน”

เจ้ามืออึ้งงัน ฮวาปู๋ชี่รีบย้ายเงินสองตำลึงไปที่ตัวอักษรสูงอย่างคล่องแคล่ว พยักหน้าพลางโค้งตัวลงกล่าวว่า “ขออภัย ข้าขอเปลี่ยน ยามนี้เชิญท่านเปิดได้เลย”

เจ้ามือเปิดถ้วย สายตาเพ่งเล็งไปที่ฮวาปู๋ชี่ ตะโกนลากเสียงว่า “สามสี่หกสูง…”

ฮวาปู๋ชี่ส่งเสียงโห่ร้องดีใจ ก้านไม้ไผ่ยาวดันกองเงินชนะเดิมพันไปเบื้องหน้านาง ฮวาปู๋ชี่มองจูโซ่วพลางกล่าวว่า “ขอพึ่งใบบุญนายน้อยแล้ว”

ชนะติดต่อกันสิบแปดรอบ จากสองตำลึงกลายเป็นตั๋วเงินจำนวนหกร้อยตำลึง ฮวาปู๋ชี่สะบัดตั๋วเงินก่อนโยนเงินสองแท่งซึ่งเดิมเป็นของตนให้เจ้ามือพลางกล่าวว่า “ขอบคุณมือของเจ้านะ”

บนชั้นสอง บุรุษวัยกลางคนกำชับยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปถามนายน้อยท่านนั้นว่าสนใจเข้ามาเดิมพันในห้องสักรอบหรือไม่”

บ่าวรับใช้รีบลงบันไดอย่างรวดเร็ว เดินไปข้างกายจูโซ่ว ถามอย่างนอบน้อมว่า “คุณชาย นายท่านของพวกเราอยากเชิญทั้งสองท่านไปเล่นพนันในห้องโถง ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านสนใจหรือไม่”

จูโซ่วรู้ดีว่าฮวาปู๋ชี่ชนะติดต่อกันสิบแปดรอบย่อมดึงดูดความสนใจผู้คน เขาเองก็อยากรู้ว่าเจ้าของบ่อนพนันอีเหลี่ยงเป็นคนแบบใด จึงพาฮวาปู๋ชี่ขึ้นชั้นสองด้วยกัน

 

แสงโคมไฟในห้องอบอุ่นสว่างไสว โต๊ะไม้จันทน์แดงแกะสลักใต้ผ้ากำมะหยี่สีเขียว น้ำชาบนโต๊ะเป็นชาเข็มเงินจวินซานชั้นดี ในห้องมีบุรุษวัยกลางคนนั่งอยู่ สิบนิ้วเกลี้ยงเกลาไม่สวมเครื่องประดับใดๆ ตัดเล็บมือเรียบร้อย เขายิ้มกล่าว “ข้าน้อยสกุลฉี มีนิสัยชอบเดิมพัน โดยเฉพาะใช้การเดิมพันคบหาเพื่อนฝูง คุณชายท่านนี้มีนามว่าอันใด”

จูโซ่วลังเลใจก่อนตอบว่า “ข้าน้อยซือหม่าโซ่ว”

คนผู้นั้นเกิดอาการกระตุกเล็กน้อย “สกุลซือหม่าแห่งเจียงหนาน”

จูโซ่วยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว”

ฮวาปู๋ชี่เพิ่งเคยได้ยินชื่อจริงของจูโซ่วเป็นครั้งแรก คิดในใจว่าพ่อบ้านหลายคนแซ่จู เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนแซ่กันทุกคน สกุลซือหม่าแห่งเจียงหนานมีความเป็นมาอย่างไรกันนะ

ทันใดนั้นจูโซ่วก็ดันฮวาปู๋ชี่ กล่าวว่า “คิดว่าท่านคงดูออกแล้วว่านางเป็นหญิง นางคือนายหญิงน้อยสกุลซือหม่า หากนายท่านฉีอยากเล่นพนัน ข้าน้อยย่อมมิกล้าปฏิเสธ”

นายท่านฉียิ้มกล่าว “แม่นางเชิญนั่ง ขอถามว่าแม่นางถนัดการพนันประเภทใด”

ฮวาปู๋ชี่คิดในใจว่าข้าถนัดโกงที่สุด เจ้าจะตัดมือข้าหรือไม่ “ไพ่เก้าแต้มก็แล้วกัน ไหนๆ ก็ไม่มีการพนันใหม่ๆ อยู่แล้ว”

หว่างคิ้วนายท่านฉีขมวดนิดๆ ดวงตาทอแววไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ลอบคิดว่าสกุลซือหม่าแห่งเจียงหนานขึ้นชื่อด้านการพนัน จะหนีพ้นลูกเต๋า ไพ่หม่าเตี้ยว[1] ไพ่เก้าแต้มไปได้หรือ

ไพ่เก้าแต้มที่แกะสลักจากไม้จันทน์แดงสำรับหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ ยามสัมผัสให้ความรู้สึกที่ดีมาก

ฮวาปู๋ชี่ได้ไพ่สองใบ ปลายนิ้วแตะไพ่ของตนเองก็รู้ว่ามีกี่แต้ม นางได้เทียนกวานจิ่วหนึ่งคู่ นี่เป็นไพ่ที่ชนะเห็นๆ

ตั๋วเงินหกร้อยตำลึงถูกโยนลงบนโต๊ะ “เพิ่งชนะมาหยกๆ แพ้ก็ไม่เสียดาย”

นายท่านฉียิ้มกล่าว “ถ้าข้าได้เทียนจิ่วหนึ่งใบ ผิงจิ่วหนึ่งใบ ข้าเป็นเจ้ามือ คุณหนูแพ้แล้ว”

ฮวาปู๋ชี่หัวเราะลั่น “ไพ่ใหญ่ออกก่อน หลังจากนี้ต่างหากถึงจะสนุก ก่อนหน้านี้เดิมพันด้วยโชค จากนี้เดิมพันด้วยสติปัญญา ถ้านายท่านฉีไม่ชอบเดิมพันด้วยโชค มิสู้หยิบไพ่ใหญ่ออกมาเดิมพันว่าผู้ใดจะโชคร้ายได้แต้มเป็นศูนย์”

ไพ่สองใบเลื่อนเข้ามาอีกครั้งระหว่างพูดคุย นายท่านฉีเอ่ยโดยไม่มองไพ่ว่า “ตานี้ต้องเดิมพัน ข้าวางหนึ่งหมื่น”

ฮวาปู๋ชี่ยื่นตั๋วเงินหกร้อยตำลึงให้โดยไม่ไตร่ตรอง “ข้ายอมแพ้”

นายท่านฉีกล่าวว่า “คุณหนูรู้ได้อย่างไรว่าจะแพ้”

ฮวาปู๋ชี่จ้องเขาพลางกล่าวว่า “เพราะตอนที่ข้าตรวจสอบเมื่อครู่ได้แอบเปลี่ยนลำดับไพ่สองใบ นายท่านฉีก็เปลี่ยนลำดับไพ่สองใบเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างโกง เพียงข้าใจไม่เหี้ยมพอ ได้เทียนกวานจิ่วหนึ่งคู่ แต่นายท่านฉีกลับชิงเอาไพ่แต้มสูงสุดไว้ในมือ ท่านเป็นเจ้ามือ ข้าย่อมแพ้แน่นอน”

นายท่านฉีหัวเราะร่า “สมกับเป็นนายหญิงน้อยสกุลซือหม่าแห่งเจียงหนาน ไม่สนุกเลย”

ฮวาปู๋ชี่ค่อยๆ ล้วงภาพใบหนึ่งออกจากอกเสื้อ ดันไปข้างหน้าก่อนกล่าวว่า “ข้ามีวิธีการเล่นพนันแบบใหม่วิธีหนึ่ง ไม่ทราบว่านายท่านฉีสนใจหรือไม่”

กางภาพออกมาเป็นวงล้อใหญ่วงหนึ่ง ฮวาปู๋ชี่ยิ้มกริ่ม “นี่เรียกว่าวงล้อเฟิงสุ่ย เดิมพันได้ทั้งเดี่ยวและคู่ แม่นยำและยุติธรรมกว่าเมื่อเทียบกับเจ้ามือโยนลูกเต๋าเอง บ่อนพนันต้องรู้จักปรับเปลี่ยนของเก่าเป็นของใหม่เสียบ้าง”

นายท่านฉีพิจารณาภาพแผ่นนั้นอย่างละเอียด ดวงตาทอประกายวาววับ เขารู้ดีว่ายังมีภาพโครงสร้างที่พวกเขายังไม่ได้เอาออกมา จึงยิ้มเอ่ย “คุณหนูมาบ่อนพนันอีเหลี่ยงครั้งนี้เพื่อขายวิธีเล่นพนันนี้ให้ข้าหรือ”

จูโซ่วกล่าวว่า “บ่อนพนันอีเหลี่ยงใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในสุยโจว เจ้าของมีชื่อเสียงเลื่องลือ ข้าน้อยเลื่อมใสมานานแล้ว เหล่าผู้อาวุโสสกุลซือหม่าแห่งเจียงหนานคิดค้นวิธีเล่นพนันนี้ขึ้น การนำออกมาเผยแพร่จึงจะไม่ทำให้ความพยายามของเหล่าผู้อาวุโสต้องสูญเปล่า”

“พวกเจ้าต้องการอันใด”

“สามส่วน สามส่วนของกำไรหนึ่งปี วิธีเล่นพนันนี้จะตกเป็นของบ่อนพนันอีเหลี่ยงเท่านั้น”

นายท่านฉีเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล “ตกลง”

วิธีเล่นพนันใหม่ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่านักพนัน ยิ่งกว่านั้นจะเป็นการค้าผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในภายภาคหน้า

จูโซ่วหยิบสัญญาและภาพโครงสร้างวงล้อเฟิงสุ่ยออกมา

หลังลงนามในสัญญาเสร็จสิ้น ฮวาปู๋ชี่แอบกล่าวกับนายท่านฉีว่า “พวกเราค้นคว้าโครงสร้างของวงล้อเอง คำนวณความน่าจะเป็นไว้อย่างแม่นยำ หากปรับเปลี่ยนแล้วกำไรจะลดน้อยลง”

นายท่านฉีแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ รู้สึกว่าคุณหนูสกุลซือหม่าช่างน่าสนใจจริงๆ

เมื่อออกจากบ่อนพนัน บ่าวรับใช้มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ด้วยความนอบน้อม ฮวาปู๋ชี่ดึงออกมาตรวจดู นอกจากตั๋วเงินหกร้อยตำลึงแล้วยังมีตั๋วเงินหกพันตำลึงด้วย นางเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น

เวลานี้เองจูโซ่วจึงถามว่า “คุณหนู ท่านคิดวิธีการเล่นพนันแบบนี้ได้อย่างไรขอรับ”

ฮวาปู๋ชี่ได้แต่ยิ้มไม่ตอบคำ คิดในใจว่าตนกำลังศึกษาสล็อตผลไม้ ไม่รู้ว่าระดับเทคโนโลยีแกนล้อในยามนี้ได้มาตรฐานหรือไม่ หากไม่ใช่เพราะม่อรั่วเฟยรู้จักไพ่โป๊กเกอร์ ตนคงผลิตเองนานแล้ว

ภายในบ่อนพนันอีเหลี่ยง นายท่านฉีมองภาพวงล้อเฟิงสุ่ยอย่างหลงใหล ครู่ใหญ่พลันนึกขึ้นได้ว่า “ต้องรีบแจ้งเรื่องนี้ให้คุณชายทราบ เมื่อมีวิธีการเล่นพนันใหม่ กำไรของบ่อนพนันอีเหลี่ยงปีนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามส่วน”

 

หิมะแรกของต้นฤดูหนาวค่อยๆ โปรยปรายลงมาละลายบนพื้นดิน ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความเย็นสดชื่น

ป่าสนเขียวชอุ่มในคฤหาสน์สกุลม่อแห่งวั่งจิงให้ความรู้สึกเก่าแก่ แผ่ความสงบเงียบงัน

ประตูเรือนหลิงปัวใกล้ป่าสนปิดสนิท ตั้งแต่ฮวาปู๋ชี่จากไป หลิงกูกับเหริ่นตงซึ่งเดิมคอยรับใช้ในเรือนแห่งนี้ก็ถูกย้ายไปที่อื่น ประตูเรือนถูกลงกลอนด้วยกุญแจขนาดใหญ่ ม่อรั่วเฟยกำชับไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ เหล่าผู้ใต้บัญชาก็ไม่มีผู้ใดยอมเข้าใกล้เช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าคุณหนูฮวาตายในเรือนหลังนี้ ที่อยู่อาศัยที่เคยมีคนตายเป็นสถานที่อัปมงคล และมีข่าวลือซึ่งไม่รู้ว่าแพร่จากที่ใด บอกว่าคุณหนูกระอักโลหิตทั่วเรือน เสียชีวิตเพราะยาพิษ วิญญาณยังคงวนเวียนไม่ไปที่ใด

เรือนหลิงปัวค่อยๆ กลายเป็นซอกมุมหนึ่งที่ถูกปล่อยทิ้งร้างในบรรดาเรือนหลายหลังในคฤหาสน์สกุลม่อ

เหล่าผู้ใต้บัญชาเห็นคุณชายเดินย่ำบนเส้นทางไปเรือนหลิงปัวบ่อยครั้ง ต่างลอบคิดว่าคุณชายยังคิดถึงคุณหนูฮวา เวลาผ่านไปกว่าครึ่งปียังคงลืมนางไม่ได้

ม่อฮูหยินล้มป่วยอาการหนัก ทุกคนต่างบอกว่าป่วยเพราะเคืองแค้นที่เหล่าพ่อบ้านสกุลจูแย่งสิทธิ์หมุนเวียนเงินหลวง ทั้งยังเอ่ยถ้อยคำประชดประชัน กระทั่งอ๋องเจ็ดถึงแก่กรรม อาการป่วยของม่อฮูหยินจึงค่อยๆ ดีขึ้น ดูแลคฤหาสน์สกุลม่อได้อีกครั้ง ฟื้นฟูความน่าเกรงขามของนายหญิงผู้ดูแลตระกูล

แต่ครึ่งเดือนก่อนญาติผู้น้องกลับป้อมเหินเมฆาโดยใช้เส้นทางที่ผ่านวั่งจิง จึงหยุดพักที่คฤหาสน์สกุลม่อหนึ่งคืน วันต่อมาม่อฮูหยินก็ล้มป่วยอีก คราวนี้อาการหนักหนายิ่ง หลินอวี้เฉวียนคุณชายใหญ่แห่งหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ตรวจแล้วยังต้องส่ายหน้า

หิมะแรกโปรยลงมาราวกับผงแป้ง แผ่นหินสีเขียวบนทางเดินเปียกแฉะ เมฆหนักอึ้งเป็นชั้นๆ ทับศีรษะ กดดันจนหายใจไม่ออก

เหล่าบ่าวไพร่เห็นคุณชายสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนา ใบหน้าหล่อเหลาปานหยกแกะสลักไร้รอยยิ้ม ถือตะกร้าในมือ ทุกคนต่างถอนหายใจที่คุณชายผู้งดงามดุจเทพเซียนนำธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทองไปยังเรือนหลิงปัวเพื่อเซ่นไหว้คุณหนูฮวา

เรือนหลิงปัวห่างจากเรือนหลักพอสมควร กิ่งสนข้างทางไม่ได้รับการตัดแต่ง เติบโตแผ่กิ่งก้านสาขานานกว่าครึ่งปี กระทั่งม่อรั่วเฟยเดินผ่าน จำต้องเอียงตัวเล็กน้อยจึงจะผ่านไปได้โดยสะดวก

ประตูเรือนลั่นดาลไว้นานแล้ว ม่อรั่วเฟยไม่ได้เปิดประตูเข้าไป แต่ไหนแต่ไรมาเขาปีนกำแพงเข้าไปเสมอ

ดอกสุ่ยเซียนริมสระน้ำในลานเรือนเริ่มแตกหน่อแล้ว ต้นเหมยมุมกำแพงต้นนั้นยังคงโค้งงอ ใบไม้บนกิ่งร่วงโรยลงพื้น อีกไม่กี่วันดอกเหมยหอมหวนก็จะแบ่งบานบนกิ่งก้านที่เปลือยเปล่าเหล่านั้น

หญิงสาวคนหนึ่งนั่งเก้าอี้นุ่มตรงระเบียง มีพรมหนาปิดขา กำลังเย็บปักถักร้อยเรื่อยเปื่อย

ม่อรั่วเฟยเร่งฝีเท้าเข้าใกล้ กล่าวเสียงอ่อนว่า “ทุกครั้งที่มาจะเห็นเจ้าปักบางอย่างอยู่ ไม่กลัวสายตาเสียหรือ”

หญิงสาวเงยหน้า เผยใบหน้างดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แก้มสองข้างแดงเรื่อดูสุขภาพดี ดวงตากระจ่างใสบริสุทธิ์ เส้นผมเปียกหมาดๆ ประบ่า นางคลี่ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์กล่าวว่า “เพิ่งฝึกหมัดมวยเสร็จแล้วอาบน้ำ รอให้ผมแห้งน่ะ”

นางโยนสะดึงปักผ้าในมือไปอีกทาง จ้องตะกร้าในมือของม่อรั่วเฟย คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ไฉนวันนี้ท่านมาส่งข้าวด้วยตนเองเล่า”

ม่อรั่วเฟยกุมมือนาง “วันนี้หิมะตก ลมเย็นพัดเข้ามาตามช่องลม กลับไปกินในห้องเถิด”

หลิ่วชิงเหยียนขานตอบ เดินตามเขากลับห้องอย่างว่าง่าย

นางพักในห้องของหลิงกู ห้องของฮวาปู๋ชี่ถูกปิดสนิท ม่อรั่วเฟยเองก็ไม่อยากเข้าห้องของเหริ่นตง พอก้าวเข้าไปเขามักนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ฮวาปู๋ชี่หน้าซีดเผือดนอนอยู่บนเตียงร่ำไป

เขาหยิบเครื่องเคียงหลายจานกับน้ำแกงถ้วยหนึ่งออกจากตะกร้า ยังมีสุราอีกหนึ่งกา “ข้าจะกินเป็นเพื่อนเจ้า”

หลิ่วชิงเหยียนมองกาสุราแวบหนึ่งก่อนถามช้าๆ “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”

ม่อรั่วเฟยหัวเราะร่วน “ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ปู๋ชี่ยังไม่ตาย นางกลายเป็นคุณหนูสกุลจูไปแล้ว”

หลิ่วชิงเหยียนตกใจเล็กน้อย ตามด้วยเปล่งเสียงหัวเราะลั่น “ข่าวดีคือในใจท่านจะไม่เจ็บปวดยามคิดถึงนางอีก ข่าวร้ายคือสกุลจูจะกลายเป็นศัตรูของสกุลม่อ นางรู้ทุกอย่างแล้ว ถึงนางไม่แก้แค้นให้ตนเอง ก็ต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้สกุลเซว์ เจ้ากับนางถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกันแล้ว”

ม่อรั่วเฟยจ้องนางไม่วางตา กล่าวว่า “เจ้ามีความสุขมากหรือที่เห็นข้าทุกข์ใจ เจ้ามีความสุขมากใช่หรือไม่”

หลิ่วชิงเหยียนพยักหน้าสุดแรง “ข้ามีความสุขแน่นอน เพราะเจ้าต้องปล่อยข้าไป บอกตามตรง ถึงข้าจะถูกเจ้าขังอยู่ในเรือนแห่งนี้ แม้แข็งแรงกว่าห้องใต้ดินร้อยส่วนพันส่วน หากออกจากที่นี่ได้ ข้าย่อมดีใจ”

“ชิงเหยียน ข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีพอหรืออย่างไร จัดหาของอร่อยให้กิน เจ้าแค่ออกจากเรือนไม่ได้เท่านั้น นอกจากท่านแม่ไปไหว้พระทุกเดือนแล้ว แม้แต่ห้องพระ นางยังไม่ยอมออกมาเลย” น้ำเสียงของม่อรั่วเฟยแฝงความเสียใจ ใบหน้างามเศร้าเล็กน้อย

หลิ่วชิงเหยียนอดยื่นมือไปลูบรอยย่นระหว่างคิ้วของเขาไม่ได้ ม่อรั่วเฟยฉวยโอกาสกุมมือพลางกอดนางแนบอก กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าจะใจแข็งทิ้งข้าได้ลงคอหรือ”

อ้อมกอดของเขาอบอุ่นนัก หลิ่วชิงเหยียนเผลอใจลอยชั่วขณะ เขาคือบุรุษงดงามและสุขุมเยือกเย็นที่สุดเท่าที่เคยเจอ นางเกือบเคลิบเคลิ้มกับอ้อมกอดของเขา เชื่อสนิทใจว่าเขารักและผูกพันกับนาง ทว่ายังคงกล่าวเสียงแผ่วว่า “ถ้าข้าไม่ทิ้งท่าน ท่านจะให้ยาถอนพิษข้าหรือไม่ ฟื้นฟูพลังของข้า ไม่ใช้ยาควบคุมข้า”

คนที่โอบกอดนางนิ่งงัน แม้เพียงชั่วครู่เดียวแต่นางก็ยังคงรู้สึกได้ หลิ่วชิงเหยียนกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “สิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับหมู่ตึกจันทราก็บอกเจ้าหมดแล้ว ข้าอยากไปหาหมิงเย่ว์ฮูหยินเพื่อถามให้ชัดเจน จะฟังความข้างเดียวไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็เลี้ยงดูข้ากับชิงอู๋จนเติบใหญ่ สอนวิชายุทธ์ให้พวกเรา ถึงไม่มีบุญคุณที่ให้กำเนิด แต่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูสั่งสอน เจ้าบอกว่านางฆ่าคนในครอบครัวพวกเราทั้งหมดเพื่อแย่งข้ากับชิงอู๋ ข้าอยากออกไปสืบหาหลักฐานเองสักครั้ง ข้าเชื่อเจ้า ช่วยเจ้ารับมือกับนาง เจ้าจะเชื่อหรือไม่”

ม่อรั่วเฟยสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมของนาง หลิ่วชิงเหยียนในอ้อมอกทำให้เขาอธิบายความรู้สึกไม่ถูก นางเป็นดั่งเข็มที่ซ่อนอยู่ในปุยฝ้าย แข็งแกร่งในความอ่อนโยน ใจเย็นและเฉลียวฉลาด หากสตรีเช่นนี้เป็นศัตรูย่อมรับมือได้ยาก แต่เขาทำใจฆ่านางไม่ลง พูดคุยกับนางไม่เหมือนพูดคุยกับท่านแม่ที่เขาต้องคล้อยตามเสมอ และไม่เหมือนพูดคุยกับผู้ใต้บัญชาที่เขาต้องวางท่าน่าเกรงขามทุกครั้งไป

เขายิ้มขื่น รู้สึกเดียวดายอย่างยิ่ง หลังจากมีวงศ์ตระกูล มีครอบครัวใหญ่โตมั่งคั่ง เขายังคงเดียวดายเหมือนเคย

“หมิงเย่ว์ฮูหยินส่งจดหมายมาบอกเรื่องที่ปู๋ชี่ยังไม่ตายและอยู่ที่คฤหาสน์สกุลจู นางส่งจดหมายมาแบบนี้ ก็เพราะต้องการให้สกุลม่อและสกุลจูสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้าดีใจนักที่ปู๋ชี่ไม่ตาย อย่างน้อยบาปกรรมที่ท่านแม่ก่อก็ลดลงหนึ่งส่วน แต่ข้าไม่มีทางปล่อยให้หมิงเย่ว์ฮูหยินนั่งบนภูดูพยัคฆ์กัดกัน ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงอยากจัดการปู๋ชี่ ข้าต้องการลากนางเข้ามาเอี่ยวด้วย สกุลม่อสู้กับสกุลจู หมู่ตึกจันทราเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ สกุลม่อย่อมสูญเสียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความคิดของข้าก็เรียบง่ายเช่นนี้”

ม่อรั่วเฟยเกลี่ยเส้นผมยาวสลวยของนาง ในใจบังเกิดความอาลัยอาวรณ์ ถ้าปล่อยนางกลับหมู่ตึกจันทรา นางจะยังคงอยู่ในอ้อมอกของเขาดังเช่นยามนี้หรือไม่

หลิ่วชิงเหยียนทอดถอนใจ “ข้าคิดว่าอาจารย์ย่อมไม่เห็นด้วยถ้าเจ้าสู้กับสกุลจู นางทำอย่างนี้เห็นชัดว่าต้องการให้ฮวาปู๋ชี่ตาย”

นางเบิกตากว้าง จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งาม เนิ่นนานค่อยกล่าวว่า “เจ้าไม่อยากให้นางตาย แต่เจ้าบอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด แค่ไม่อยากให้นางตายถูกหรือไม่ ดังนั้นเจ้าต้องปล่อยข้ากลับไป ให้ข้าแทนที่ตำแหน่งของชิงอู๋ ช่วยเจ้าเอาชนะสกุลจู หากฮวาปู๋ชี่ต้องการให้ท่านแม่ของเจ้าตาย หรือต้องการชีวิตเจ้าเล่า”

“ไม่มีทาง” ม่อรั่วเฟยพูดโพล่งออกมา นึกถึงฮวาปู๋ชี่ที่ไม่ยอมบอกอวิ๋นหลางเรื่องที่ท่านแม่เป็นผู้วางยา เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าบางทีฮวาปู๋ชี่แค่ไม่อยากให้อวิ๋นหลางเสียใจ ไม่ใช่ทำเพื่อเขา “หากถึงขั้นต้องตายกันไปข้างหนึ่งจริง ข้าจะลงมือสังหารนางก่อน แต่ยามนี้ข้าคิดว่าหลังจากนางรับช่วงดูแลสกุลจู ย่อมต้องการให้สกุลม่อหมดสิ้นอำนาจ เป็นการประมือที่น่าสนุก ข้าอยากดูว่าเด็กน้อยขอทานคนหนึ่งจะทำให้ทรัพย์สินสกุลม่อหมดสิ้นได้จริงหรือไม่”

เขาเผยสีหน้าทะยานอยากที่จะแข่งขัน ร้านแลกเงินซื่อไห่ของสกุลจูชิงสิทธิ์หมุนเวียนเงินหลวงแล้วอย่างไร สกุลม่อไม่ได้ส่งเงินให้คลังหลวง ย่อมมีเงินทุนมากขึ้น

บางครั้งม่อรั่วเฟยก็รู้สึกว่ายุคนี้มอบเงินทองและความรักให้เขาออกจะน่าเบื่อ เขาลองสูบยาเส้นของหยางหนิงหัวหน้าผู้คุ้มกัน ฉุนเสียจนความอยากบุหรี่ของเขาลดลง

วันๆ เอาแต่กินไม่ได้ใช้สมองทำงาน เขาอยากทำบางอย่าง บางทีถ้าฮวาปู๋ชี่ทำสงครามการค้ากับเขาคงน่าสนุกไม่น้อย

คนเรามักมีเป้าหมายมีความฝันคอยผลักดัน ทำให้ไม่ต้องใช้ชีวิตเรียบง่ายเอาแต่นั่งรอวันตาย ม่อรั่วเฟยประคองใบหน้าหลิ่วชิงเหยียนพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้ายอมสู้กับนางในสงครามการค้า ไม่ได้ต้องการเอาชีวิตผู้ใด หากข้าปล่อยเจ้าไป เจ้าจะร่วมมือกับข้าหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเล่นละครตบตาข้ามาตลอด อย่างน้อยได้พูดคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่เหงา”

หลิ่วชิงเหยียนมองเขาด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าไม่เกลียด เขาขังนางกว่าครึ่งปี หากไม่ใช่เพราะมีความอดทนมากกว่าคนปกติ นางคงเสียสติไปแล้ว

ม่อรั่วเฟยปล่อยนาง จิบสุรากล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อข้า คิดว่าข้าใช้พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเจ้ามาทำลายความสัมพันธ์ของเจ้ากับหมิงเย่ว์ฮูหยิน เจ้าแค่เล่นละครตบตา รอโอกาสหลบหนี อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เพียงแต่ยามนี้ข้าตัดสินใจปล่อยเจ้าไป สิ่งที่ข้าต้องการล้วนบอกกล่าวให้เจ้าฟังหมดแล้ว ชิงเหยียน ดูเหมือนว่าข้ามีอันใดก็อยากบอกให้เจ้ารับรู้ หวังว่าตอนเจ้ากลับมาแก้แค้นข้า จะลงมือช้าลงบ้าง รอให้ข้าสู้กับสกุลจูก่อนค่อยว่ากัน ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นรักอีกแล้ว เจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือ”

หลิ่วชิงเหยียนนิ่งเงียบครู่ใหญ่ก่อนกล่าวว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า ข้าขอสาบาน เรื่องน่าอัปยศที่เจ้าทำกับข้าวันนี้ ข้าจะเอาคืนอย่างสาสม ถ้าเจ้ารู้จักชิงอู๋ก็จะรู้ว่าที่จริงแล้วพวกเราสองพี่น้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ดังนั้นคุณชายม่อไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นอ่อนโยนกับข้า”

ในแววตาลึกๆ ของทั้งคู่ต่างซ่อนความรู้สึกที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ ม่อรั่วเฟยยิ้มเอ่ย “เจ้าจะบอกหมิงเย่ว์ฮูหยินว่าครึ่งปีมานี้เจ้าไปที่ใด”

“พูดตามความเป็นจริงก็พอ ข้าเชื่อว่าทุกที่ทั่วคฤหาสน์สกุลม่อมีคนของหมู่ตึกจันทราคอยจับจ้องตลอดเวลา เพียงคาดไม่ถึงว่าจะมิอาจสืบหาความผิดปกติของคฤหาสน์สกุลม่อและร่องรอยของข้าได้ นั่นเป็นเพราะชิงอู๋ไม่อยากให้ข้ากลับไปก็เท่านั้น”

“เอาเถิด เจ้าไปซะ” ม่อรั่วเฟยล้วงขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งออกจากอกเสื้อแล้ววางบนโต๊ะ ก่อนจัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อย เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินอาดๆ จากไปโดยไม่แยแสนาง

หลิ่วชิงเหยียนถือขวดกระเบื้องเคลือบยืนนิ่งอยู่ใต้ชายคาเรือน ในดวงตาทอแววเข้าใจ เจ็บปวดระคนผิดหวัง “ท่านปล่อยข้าไป เพราะอยากให้ข้าต่อสู้กับชิงอู๋ใช่หรือไม่”

ม่อรั่วเฟยหันหลังกลับมา ละอองหิมะโปรยกระทบไหล่ ยิ้มกล่าว “อาหลางบอกข้าว่าหลิ่วชิงอู๋เคยนัดพบกับตงผิงจวิ้นอ๋องที่ศาลาเสี่ยวชุน คนหนึ่งค้นหาอีกคนคอยช่วยเหลือ แบบนี้เจ้าจะได้ไม่เสียเปรียบ สกุลม่อมีเงินมากมาย ข้าใช้ชีวิตราบรื่นเกินไป ลึกๆ ในใจไม่อยากเสวยสุขอยู่แบบนี้ ดังนั้นเป้าหมายของข้าคือการเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า มันทำให้ข้ารู้สึกว่าชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่างสนุกขึ้นมาบ้าง ลาก่อนชิงเหยียน”

“อย่าลืมว่าท่านแม่ของเจ้าต้องการให้ฮวาปู๋ชี่ตาย”

ม่อรั่วเฟยคลี่ยิ้มเล็กน้อย “นั่นมันเมื่อก่อน ยามนี้ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องไปซูโจวด้วยตนเอง ไปพบปู๋ชี่สักครั้งเพื่อยืนยันให้แน่ใจ หากนางต้องการชีวิตข้า ต้องการชีวิตท่านแม่ ข้าคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่”

 

บ่อนพนันอีเหลี่ยงในสุยโจวแห่งเจียงหนานจัดวางของชิ้นใหม่ชิ้นหนึ่ง เป็นถาดกลมใบใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าหนึ่งจั้ง ในถาดมีตารางใช้สีแดงและสีดำวาดตัดกันชัดเจน แต่ละช่องมีตัวเลขตั้งแต่เลขหนึ่งถึงร้อย รวมทั้งหมดร้อยช่อง ตรงกลางมีหลายช่องที่ตกแต่งด้วยผงเงินกับผงทองคำ

ที่น่าประหลาดคือถาดวงกลมเคลื่อนไหวได้ ขณะหมุน เจ้ามือจะใช้กลไกบางอย่างยิงลูกบอลไม้ผิวเรียบทาสีขาวออกไป ลูกบอลไม้ก็จะเด้งกระดอนในถาดไม่หยุด

“วงล้อเฟิงสุ่ยขนาดใหญ่หมุนวนตามความหมายของฮวงจุ้ย ถาดกลมหมุนเก้ารอบ เมื่อหยุดแล้วลูกบอลไม้หยุดที่ช่องใดก็คือเลขที่จับได้ หากหยุดที่ช่องสีเงินจะได้เงินเดิมพันสองส่วน หยุดที่ช่องสีทองจะได้เงินเดิมพันสามส่วน ตัวเลขที่เหลือเป็นช่องสีแดงและดำ ตั้งแต่วันนี้ไปทุกคนที่ต้องการเล่นในบ่อนพนันอีเหลี่ยง เชิญแลกเบี้ยพนันที่ห้องลงชื่อ ไม่ต้องใช้ตำลึงเงินเหรียญทองแดงในบ่อน เมื่อเลิกเล่นก็นำเบี้ยพนันไปแลกเป็นเงินตราได้ที่ห้องลงชื่อ แลกได้ทุกเวลา ไม่มีการค้างชำระ”

ประกาศที่บ่อนพนันอีเหลี่ยงแปะทำเอาเหล่านักพนันตาลุกวาว หนึ่งตำลึงเงินแลกเหรียญทองแดงได้พันเหรียญ แต่ตำลึงเงินก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือคุณภาพของเงินตรานั้นดีที่สุด ข้อเสียคือในบ่อนมักมีปัญหาตำลึงเงินไม่เพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อนพนันอีเหลี่ยงจึงใช้เบี้ยพนันแทน ปัญหาตำลึงเงินเหรียญทองแดงในบ่อนพนันก็จะหมดไป

วงล้อเฟิงสุ่ยไม่เพียงมีโอกาสชนะครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีโอกาสได้เงินสองส่วนจนถึงสามส่วนด้วย เมื่อไม่มีเจ้ามือโยนลูกเต๋าคอยโกง เหล่านักพนันจึงทยอยโอบล้อมหน้าวงล้อลองเล่นพนันแบบใหม่

วงล้อเฟิงสุ่ยไม่เคยหยุดหมุนสิบวันติดต่อกัน เงินไหลเข้าคลังของบ่อนพนันอีเหลี่ยงไม่ขาดสาย

เมื่อตงฟางสือมาถึงบ่อนพนันอีเหลี่ยงในสุยโจว สิ่งที่เห็นคือโคมไฟในบ่อนพนันอีเหลี่ยงไม่เคยดับ เปิดเล่นพนันอย่างคึกคักทั้งวันทั้งคืน เขายืนอยู่บนชั้นสองฟังเสียงโห่ร้องที่ดังมาจากห้องโถงสีหน้าเรียบเฉย คิ้วเรียวดุจใบหลิวเลิกขึ้น ถามนายท่านฉีช้าๆ ว่า “จากสถานการณ์นี้ ถ้าผ่านไปหนึ่งปีกำไรสามส่วนที่สกุลซือหม่าจะได้คือเท่าไร”

นายท่านฉียืนนอบน้อมข้างกายเขา สีหน้าตื่นเต้นตอบว่า “สามสิบหมื่นตำลึงเงินขอรับ” สามส่วนที่สกุลซือหม่าจะได้ไปคือสามแสนตำลึงเงิน ส่วนพวกขราได้เจ็ดส่วน มากเกินกว่าที่เขาคาดไว้

“สามสิบหมื่นตำลึง!” ตงฟางสือกัดฟันกล่าวซ้ำอีกรอบ

บ่อนพนันแห่งเดียวได้สามสิบหมื่นตำลึง แคว้นต้าเว่ยมีเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากมาย หลังจากนี้หนึ่งปีนางจะได้เงินเท่าไร

“คุณชาย บ่อนพวกเราใช้วงล้อเฟิงสุ่ยนี้เพียงเจ้าเดียว ในแคว้นต้าเว่ยไม่มีแห่งที่สอง หลายวันมานี้มีคนต่างถิ่นได้ยินคำเล่าลือจึงมาเยือนไม่น้อย สกุลซือหม่าน่าเชื่อถือ การค้าครั้งนี้เป็นของพวกเราโดยเฉพาะ จ่ายสามส่วนของกำไรหนึ่งปี หลังจากนี้บ่อนพนันของพวกเราก็ใช้งานได้ตลอดไป” นายท่านฉีคิดว่าตงฟางสือกังวลว่าจะถูกคนอื่นแย่งชิงการค้าไปจึงอธิบายอย่างละเอียด

ตงฟางสือตบโต๊ะคราหนึ่ง กล่าวว่า “สกุลซือหม่าช่วยนางสร้างวงล้อเฟิงสุ่ย แล้วจะคิดค้นวิธีเล่นพนันอย่างอื่นให้นางอีกไม่ได้หรือ”

นายท่านฉีร้อนรน ไม่เข้าใจว่าคุณชายโมโหอันใด จากความเห็นของเขา การพนันถ่ายทอดกันมานับพันปี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคิดค้นขึ้นใหม่

ตงฟางสือยันกายลุกยืน “คนเล่า ไปถึงไหนแล้ว”

นายท่านฉีรีบตอบทันที “พวกเขาขึ้นเรือจากสุยโจวไปเจียงเป่ย ข้ามฟากไปก็เป็นเขตแดนของเติงโจวขอรับ”

“ออกไป”

หลังปิดประตูเรียบร้อย จู่ๆ ในใจนายท่านฉีก็รู้สึกหวาดกลัว หรือคุณชายคิดว่าเขาไม่ได้ฆ่าคนสกุลซือหม่าปิดปาก เขานึกถึงคุณหนูสกุลซือหม่าที่มีดวงตาสุกสกาว นั่งที่โต๊ะพนันฝั่งตรงข้าม ในใจก็อดสงสารไม่ได้ อัจฉริยะด้านการพนันแอบเปลี่ยนไพ่เก้าแต้มได้อย่างเงียบเชียบ เขาทำใจลงมือไม่ได้จริงๆ อีกอย่าง นายหญิงน้อยสกุลซือหม่าขายวิธีเล่นพนันให้ถึงที่ จะไม่มีวิธีปกป้องดูแลตนเองจากอันตรายเลยหรือ

เขาย่อมคาดไม่ถึงว่าฮวาปู๋ชี่ไม่ใส่ใจวงล้อเฟิงสุ่ยนี้เลย ทั้งหมดเป็นการทดลองเท่านั้น นางกับจูโซ่วรีบร้อนจากไป นอกจากจูโซ่วแล้ว ข้างกายก็ไม่มียอดฝีมือคนอื่นอีก

ตงฟางสือในห้องยังคงเต็มไปด้วยโทสะคุกรุ่น ไม่นึกว่าเขาจะถูกเด็กน้อยหลอกเข้าแล้ว เขากับเสี่ยวเซียมุ่งหน้าไปวั่งจิง ล่องเรือไปถึงเจียงซินแล้วเพิ่งได้ข่าว พอได้ยินลูกน้องสาธยายก็รู้ว่าเป็นจูโซ่วกับฮวาปู๋ชี่แน่นอน ลอบลงเรือไปสุยโจวกลางดึก ยิ่งได้ยินข่าวร้ายที่ว่าหลังจากนี้หนึ่งปีต้องจ่ายสามสิบหมื่นตำลึงเงินให้ยายเด็กนั่น จะไม่ให้เขาเดือดดาลได้อย่างไร

การค้าของเขากลายเป็นเครื่องมือหาเงินของนาง ปีนี้การค้าต่างๆ ของสกุลจูถูกร้านตงจี้ขายเลหลัง พ่อค้าที่จัดหาสินค้าให้สกุลจูก็เป็นมือเท้าของเขาอย่างลับๆ สินค้าสิบส่วนอย่างมากมีแค่หกส่วนที่จัดหาให้ตรงเวลา ยิ่งล่าช้าออกไป กำไรปีนี้ของสกุลจูก็ยิ่งลดลง

“คาดไม่ถึงว่าเจ้าไม่สนใจการค้าหลักของสกุลจู ยายเด็กน้อยจู ข้าดูถูกเจ้าเกินไป บ่อนพนันหนึ่งแห่งได้เงินสามสิบหมื่นตำลึงเงิน หากเจ้าอาศัยวิธีการพนันของสกุลซือหม่าหาบ่อนพนันใหญ่สิบแห่งก็จะได้ถึงสามร้อยหมื่นตำลึง” ตงฟางสือคำนวณทรัพย์สินของสกุลจูในใจ

ภายใต้การข่มขู่ของตน ร้านแลกเงินซื่อไห่จึงไม่กล้าแตะต้องเงินของคลังหลวง ทำให้สกุลจูยังคงขาดเงินจำนวนมากเช่นเดิม

จู่ๆ เขาก็นึกถึงอีกหนึ่งปัญหา ถ้านางพาจูโซ่วเดินทางเดิมพันกับเฉพาะตระกูลที่ร่ำรวยเล่า ดูจากรอบที่แล้ว โอกาสชนะได้เงินหนึ่งร้อยหมื่นตำลึงก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“ร้ายกาจนัก รอบเดียวก็ได้ตั้งหลายร้อยหมื่นตำลึง” นึกถึงถ้อยคำของฮวาปู๋ชี่ตอนถูกจับที่เขาต้งถิงซีซาน นิสัยชอบเอาชนะของตงฟางสือพลันปะทุขึ้นอีกครั้ง เขาผลักหน้าต่างเปิดออก ทอดมองไปทางเติงโจวแห่งเจียงเป่ย ดวงตาทอแววเหี้ยมเกรียม “จะเงินหรือคนล้วนขึ้นอยู่กับข้า ยายเด็กน้อยจู อย่าคิดว่าจะตัดสินใจเองได้”

นึกถึงท่าทางดึงชายเสื้อเขาแล้วร้องไห้ของฮวาปู๋ชี่ ตงฟางสือคล้ายเห็นท่าทางไร้ที่พึ่งในวันคล้ายวันเกิดอายุสิบเจ็ดปีของนาง

 

คืนนั้นเรือลำหนึ่งแล่นออกจากสุยโจว ตรงไปยังเติงโจวที่อยู่ขอบแดนเจียงเป่ยติดกับแม่น้ำต้าเจียง

หลังฮวาปู๋ชี่กับจูโซ่วชนะพนันได้เงินสิบหมื่นตำลึงที่เติงโจวก็ออกเดินทางไปยังซีฉู่โจว

ฮวาปู๋ชี่ยังคงแต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ อากาศเริ่มเย็น นางเปลี่ยนเป็นเสื้อหนาวสีเขียวบุฝ้าย ใส่หมวกหนัง ขี่ม้าด้วยความกระฉับกระเฉง

“โซ่วโซ่ว เจ้ารู้จักหวยหรือไม่ ของเล่นชนิดนี้เป็นการพนันอย่างหนึ่ง หวยออกหนึ่งครั้งทุกๆ ห้าวัน กรอกลำดับตัวเลขให้ถูกต้องก็ชนะแล้ว หนึ่งใบสองเหรียญทองแดง ข้ารับรองว่าผู้เฒ่าผู้แก่ที่ขายผักในซูโจวต้องอดใจซื้อสักใบไม่ได้แน่นอน เหล่าพ่อค้าซูโจวร่ำรวยแบบนี้ แต่ละงวดเจียดเงินสักห้าตำลึงสิบตำลึงมาซื้อย่อมไม่ใช่ปัญหา พวกเราเอาหวยไปขายที่หังโจวหรือหยางโจวก็ยังได้ จ่ายสองเหรียญทองแดงรับหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน เจ้าว่าเจ้าจะยอมจ่ายสองเหรียญทองแดงโดยไม่เสียดายหรือไม่”ฮวาปู๋ชี่พล่ามไม่หยุด ไม่ทันสังเกตจูโซ่วที่เบิกตากว้าง ใบหน้าอวบกระเพื่อม

ใบหน้าจูโซ่วแดงเลือดฝาด กล่าวรวดเดียวว่า “คุณหนู ยังรออันใดเล่า ข้ารับรองว่าไม่เกินหนึ่งปี หวยนี่ต้องทำเงินได้หลายร้อยหมื่นตำลึง นี่เป็นการพนันรูปแบบใหม่ ต่อให้ร้านตงจี้ขัดขวางการค้าของสกุลจู พวกเราก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”

ฮวาปู๋ชี่ถอนหายใจ สายตามองเมืองวั่งจิง “วิธีหาเงินแบบนี้ดี แต่ทำไม่ได้”

“เพราะเหตุใดเล่าขอรับ”

“น่าจะเป็นไปได้ยาก ข้าหมายถึงการค้าผูกขาดที่ได้รับการสนับสนุนจากทางการ และได้รับการรับรองด้วยความน่าเชื่อถือของสกุลจู แล้วสกุลอื่นทำบ้างไม่ได้หรือไร สกุลจูมั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งในเจียงหนาน แต่ซูโจวถูกควบคุมอย่างเข้มงวด อย่าลืมว่าซูโจวเป็นเขตปกครองของจิ้งอ๋อง ยังมีข้าหลวงซูโจวอีก หากทั้งสองคนนี้แย่งทำ แล้วทางการรังแกสกุลจู โดยมีจิ้งอ๋องออกหน้าให้ ชาวบ้านจะเชื่อพ่อค้าหรือทางการมากกว่ากัน หังโจวหยางโจวไม่มีเจ้าถิ่นหรือ อีกอย่าง ถ้าข่าวแพร่ออกไป ฮ่องเต้สนพระทัย มีพระประสงค์จะให้ทางการทำอย่างเปิดเผยทั่วแคว้น แล้วสกุลจูจะกล้ายื้อแย่งกับฮ่องเต้หรือไร หากการเล่นหวยแพร่หลายออกไปไม่เกินหนึ่งเดือน สกุลจูย่อมทำต่อไม่ได้แน่ พวกเราทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ อย่าเอาเปรียบผู้อื่น”

ใบหน้าเลือดฝาดพลันซีดเซียว จูโซ่วทอดถอนใจเมื่อรู้ความจริง ทว่าดวงตาของเขาลุกวาวอีกครั้ง มองฮวาปู๋ชี่ด้วยความเลื่อมใส “แต่คุณหนูยังมีวิธีอื่นใช่หรือไม่ขอรับ”

ฮวาปู๋ชี่หัวเราะร่า “ใช่ ชีวิตที่ผ่านมาของข้าต้องบอกว่าน่าทึ่งนัก” นางชี้แส้ม้า เชิดคางขึ้นกล่าวว่า “อย่าลืมว่าข้ากับสกุลม่อแห่งวั่งจิงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เงินที่สกุลจูขาดอยู่ ข้ามีวิธีทำให้สกุลม่อจ่ายแทนพวกเราได้เสมอ”

จูโซ่วตะลึงงัน “คุณหนูจะสังหารม่อรั่วเฟย สืบทอดสกุลม่อในฐานะบุตรีของนายท่านม่อหรือขอรับ”

ฮวาปู๋ชี่มองเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “สกุลม่อเป็นสกุลเก่าแก่นับร้อยปี ลูกหลานสายตรงตายไปก็ยังมีญาติอีกนับไม่ถ้วน จะให้บุตรสาวนอกสมรสสืบทอดสกุลม่อได้อย่างไร แม้แต่ศาลบรรพบุรุษสกุลม่อข้าก็ยังไม่เคยเข้า อีกอย่าง ข้าเป็นบุตรสาวสกุลจู ไม่มีทางยอมรับตาเฒ่าสกุลม่อเป็นพ่อแน่นอน”

เห็นจูโซ่วไม่เข้าใจ ฮวาปู๋ชี่หัวเราะร่วนกล่าวต่อว่า “ถึงเวลาค่อยว่ากัน หวังว่ายามนี้สกุลม่อจะไม่กระโดดออกมาหาเรื่องสกุลจู”

ตามความคิดของฮวาปู๋ชี่ หากไม่จำเป็นจริงๆ นางไม่มีทางทำความรู้จักมักคุ้นกับม่อรั่วเฟย ชีวิตนี้เขาและนางอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน มีชีวิตเป็นของตนเอง เลี่ยงได้ก็เลี่ยงอย่ารบกวนกัน ต่างคนต่างเสวยสุขดีกว่า

ทั้งสองคนไม่รู้ตัวว่าตงฟางสือไล่ตามมาติดๆ อยู่ห่างจากพวกเขาเพียงห้าสิบหลี่เท่านั้น

 

ลมแรงพัดผ่านทะเลทรายเกอปี้ หลังเนินทรายมีโจรหลายคนดักซุ่ม ชายผอมกะหร่องไว้เคราแพะคนหนึ่งไถลลงมาถึงเนินอย่างระวังก่อนกล่าวว่า “อีกสามวันพวกเขาก็จะออกจากทะเลทรายเกอปี้ กลับกันเถิด” กลุ่มคนขึ้นม้า เหลือเพียงคนเดียวที่ติดตามกลุ่มพ่อค้าใบชาไปยังเจียงหนาน เกือกม้าถูกหุ้มด้วยผ้า ทะยานจากไปเงียบๆ ไม่มีแม้แต่ละอองฝุ่น

ผ่านไปครู่หนึ่งบุรุษสวมชุดดำแขนธนู สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีดำ มีแล่งธนูพาดหลังม้า ควบอาชาตรงดิ่งมาที่เนินทราย เป็นเฉินอวี้ที่แต่งกายเป็นเหลียนอีเค่อนั่นเอง

เขาทอดมองไปยังทิศทางที่กลุ่มพ่อค้าหายลับ ครุ่นคิดถึงสาเหตุที่เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มไม่ลงมือ เขาลงจากหลังม้า พิจารณาร่องรอยเกือกม้าบนทะเลทรายเกอปี้อย่างละเอียดก่อนไล่ตามพวกโจรชั่วที่หายตัวไป

ทะเลทรายเกอปี้มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด กลางทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่มีป่าหินที่ถูกพายุทรายกัดกร่อนนับพันนับหมื่นปี มีแหล่งน้ำกลางทะเลทรายเล็กๆ บ้างประปราย

กองทหารประจำการเมืองสือเฉิงออกปฏิบัติการหลายคราก็ไม่พบรังของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม ทุกครั้งที่เข้าป่าหินและทะเลทรายก็จะได้รับบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เฉินอวี้ใช้กลุ่มพ่อค้าล่อให้เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มเผยตัว ยามนี้เขาสรุปได้ว่าเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มไม่สนใจใบชา เขาสมควรรอให้กลุ่มพ่อค้าได้เงินจากเจียงหนาน จากนั้นซื้อของแล้วค่อยลงมือ

กลุ่มพ่อค้าเดินทางไปกลับอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามถึงสี่เดือน เวลานานถึงเพียงนี้เขาทนรอไม่ไหว เฉินอวี้พักผ่อนหนึ่งคืนแถวแหล่งน้ำที่ใกล้ป่าหินและทะเลทรายที่สุด หลังให้ม้าดื่มจนอิ่ม เติมน้ำใส่ถุงหนังสองใบจนเต็ม เขาก็มุ่งหน้าไปทางป่าหินทันที

 

ยามนี้ฮวาปู๋ชี่กับจูโซ่วเข้าสู่ทะเลทรายเกอปี้แล้ว

กล่าวให้ถูกต้องคือฮวาปู๋ชี่กับจูโซ่วมาถึงเมืองเล็กๆ ชายขอบทะเลทรายเกอปี้ต่างหาก

ขุนเขาเขียวดุจฉากกำบังในที่ไกลๆ แม่น้ำสายหนึ่งไหลจากภูเขาลงสู่ทิศตะวันออก เมืองเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ควันจากปล่องไฟลอยม้วนสูงขึ้น แม้เป็นต้นฤดูหนาวแต่ภูเขายังคงเขียวขจี มีหญ้าแห้งเหี่ยวทอดยาวตามริมทาง

เป็นตำบลเล็กๆ ที่มีถนนเพียงเส้นเดียวและชาวบ้านกว่าสิบครัวเรือน บ้านเรือนล้วนเป็นบ้านหินเตี้ยๆ สุดขอบตำบลติดภูเขามีอาคารสองชั้นตั้งโดดเด่นกว่าบ้านหลังอื่น ธงที่ถูกกาลเวลาย้อมเป็นสีเหลืองดินแขวนอยู่ใต้ชายคาอย่างไร้ชีวิตชีวา บนนั้นมีอักษรพลิ้วไหวสี่ตัวเขียนว่า “โรงเตี๊ยมหลงเหมิน”

ฮวาปู๋ชี่อ้าปากค้าง จ้องโรงเตี๊ยมหลงเหมินด้วยความดีใจกล่าวว่า “โซ่วโซ่ว หากเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมชื่อจินเซียงอวี้[2] ข้าจะต้องเชื้อเชิญนางมาเป็นภรรยาของเจ้าให้ได้”

จูโซ่วอ้าปากค้างพร้อมมองฮวาปู๋ชี่ด้วยท่าทางประหลาด ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนู นะ…นางชื่อจินเซียงอวี้”

เสียงของเขาเบาหวิวดุจเสียงพิณเส้นสุดท้ายที่ยังคงดังสะท้อนแม้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฮวาปู๋ชี่ตกใจจนตัวสั่นครู่หนึ่ง ถามด้วยความเหลือเชื่อว่า “นะ…นางก็ขายซาลาเปาสิบรสด้วยหรือ”

สีหน้าจูโซ่วเศร้าหมอง “นางไม่ขายซาลาเปา แต่เปิดโรงเตี๊ยมเปิดบ่อนขายผู้หญิง”

ฮวาปู๋ชี่ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่จินเซียงอวี้ไม่ขายซาลาเปาสิบรส มิเช่นนั้นนางคงคิดว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอยู่ในความฝันเป็นแน่ ถึงกระนั้นก็ยังคงเกิดความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกกับโรงเตี๊ยมหลงเหมินสุดขอบตำบลเล็กๆ แห่งนี้ เผชิญหน้ากับทะเลทรายเกอปี้และเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมนามจินเซียงอวี้

“เมื่อก่อนเจ้าเคยมาที่นี่หรือ”

“ขอรับ เหนือจรดใต้ของแม่น้ำต้าเจียงขอเพียงเป็นสถานที่ที่มีบ่อนพนัน ข้าน้อยเคยไปมาหมดแล้ว”

“เจ้ารู้หรือไม่…เหตุใดถึงชื่อโรงเตี๊ยมหลงเหมิน”

จูโซ่วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ออกนอกเมืองไปทางตะวันตกมีขุนเขาสูงชันทอดยาวซ้อนกันเป็นชั้นๆ เต็มไปด้วยอันตราย จากหน้าผาจรดเชิงเขามีธารน้ำสายหนึ่ง เส้นทางภูเขาทอดขนานไปตามแนวลำธาร สองข้างทางเป็นภูเขาหินสูงตระหง่าน ก็เหมือนเส้นทางเล็กๆ ขนาบด้วยป่าของซูโจว ทางออกเปรียบเสมือนประตู ผ่านเขาหลงเหมินไปคือที่โล่งกว้าง ทะเลทรายเกอปี้กว้างใหญ่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ดังนั้นที่นี่จึงชื่อว่าตำบลหลงเหมิน โรงเตี๊ยมชื่อหลงเหมินก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ไปซีฉู่โจวจำต้องผ่านที่นี่ มิเช่นนั้นต้องใช้เส้นทางในป่าลึก เดินทางข้ามเขาสองเดือน ในป่ามีสัตว์ร้าย หลงทางง่าย ดังนั้นทุกคนต้องพักค้างแรมที่ตำบลหลงเหมิน เติมน้ำสะอาดและอาหารแห้งให้เพียงพอค่อยออกเดินทาง”

ฮวาปู๋ชี่พยักหน้ากล่าวว่า “มิน่านางถึงเปิดทั้งโรงเตี๊ยมทั้งบ่อนพนันซ้ำยังเป็นแม่เล้า เงินในกระเป๋าพ่อค้าที่เดินทางสัญจร จำเป็นต้องใช้จ่ายที่นี่วันหรือสองวัน จินเซียงอวี้ทำการค้าได้ไม่เลวทีเดียว”

จูโซ่วยิ้มขื่น “คุณหนู พึ่งพาขุนเขาย่อมเจอขุนโจร จินเซียงอวี้เป็นหญิงตัวคนเดียว กล้าทำการค้าใหญ่โตในตำบลหลงเหมิน ท่านคิดว่าง่ายดายเพียงนั้นหรือ นางแค่ชอบหารายได้ที่มั่นคง ไม่มีทางลงมือง่ายๆ สกุลจูต้องการค้าใบชากับเขตตงผิง ข่าวที่ซื้อได้คือเป็นไปได้มากว่าสตรีคนนี้ขายข่าวลับๆ ให้ทางการ ให้โจรชั่วและให้โจรในทะเลทรายเกอปี้ เกี่ยวพันกับอำนาจหลายฝ่าย ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ทำให้โรงเตี๊ยมหลงเหมินยืนตระหง่านอย่างมั่นคงมาตลอด”

ฮวาปู๋ชี่นึกชื่นชมในใจ อยากรู้อยากเห็นเรื่องของจินเซียงอวี้คนนี้

ระหว่างพูดคุยกัน ทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์สายตาแหลมคมเห็นทั้งสองคนก่อนแล้ว รีบรุดไปจูงม้า เชิญพวกเขาเข้าโรงเตี๊ยมด้วยความกระตือรือร้น

เพิ่งเหยียบเข้าประตูก็ได้ยินเสียงโยนลูกเต๋าและเสียงตะโกนดังลั่น หญิงสาวหน้าตางามแต่งหน้าจัดสวมชุดแดงสลับเขียวยืนเรียงตรงมุมผนัง

พอเห็นจูโซ่วเข้ามา หญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งก็เดินกรีดกรายเข้าหา ฮวาปู๋ชี่จะอ้าปากพูด จูโซ่วยกมือห้ามพลางคลี่ยิ้มล้วงเงินทองแดงพวงหนึ่งออกจากอกเสื้อแล้วโยนให้ จากนั้นส่ายหน้าลากฮวาปู๋ชี่นั่งโต๊ะที่อยู่ตรงมุมร้าน

หญิงคนนั้นเม้มปากยิ้มพลางเก็บเงินทองแดง เดินกรีดกรายกลับไปที่มุมผนังเอนกายพิงเสาด้วยความเกียจคร้าน

“โซ่วโซ่ว เจ้าให้เงินนาง นางจะสนใจเจ้ามากขึ้นหรือไม่” ฮวาปู๋ชี่ถามพลางมองหญิงคณิกาเหล่านั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ไม่ขอรับ ข้าน้อยปฏิเสธไปแล้ว ได้เงินแล้วพวกนางรู้ดีว่าอันใดควรไม่ควร”

ฮวาปู๋ชี่เบิกตากลมโตมองหาจินเซียงอวี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากมุมห้อง “วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือ วางเดิมพันซะ” มองตามเสียง มีสตรีคนหนึ่งในหมู่บุรุษกลุ่มใหญ่ ฮวาปู๋ชี่พยายามมองใบหน้านั้นให้ชัดเจน

จูโซ่วเอ่ยเสียงต่ำว่า “นางก็คือจินเซียงอวี้”

ฮวาปู๋ชี่เท้าคางพลางหันหน้าไปอีกด้าน พึมพำด้วยความผิดหวังว่า “ช่างอัปลักษณ์อย่างยิ่ง!” ในใจของนางผิดหวังยิ่งยวด นึกด่าตนเองที่คิดจะเชื้อเชิญจินเซียงอวี้มาเป็นภรรยาของจูโซ่ว

“โอ้ นี่โซ่วโซ่วไม่ใช่หรือ…” เสียงอ่อน กลิ่นหอมโชยเข้าจมูกในระยะสามก้าว ฮวาปู๋ชี่รู้ว่าจินเซียงอวี้มาแล้ว นึกถึงฟันเหยินผิวหน้าหยาบกร้านของนางก็ตัวสั่นเทา นางเรียกขานสนิทสนมเช่นนี้ ขอร้องว่าอย่าถูกใจจูโซ่วก็พอ

“ไม่เจอกันหลายปี ข้าน้อยคำนับพี่จิน” จูโซ่วยิ้มแย้มพลางประสานมือคำนับ

ฮวาปู๋ชี่รีบลุกขึ้นทำตาม แอบช้อนตามอง เห็นฟันเหยินเต็มปาก กอปรกับริมฝีปากแดงชาดพลันขนหัวลุกซู่ทันที

“โอ้ หนุ่มน้อยรูปงาม ดวงตาเป็นประกายชวนมอง โซ่วโซ่ว วันนี้เจ้าจะมา…”

จูโซ่วรีบร้อนตอบคำ “รุ่งขึ้นจะไปซีฉู่โจว พักหนึ่งคืนเท่านั้น ข้าน้อยไม่ลงมือที่โรงเตี๊ยมหลงเหมินเด็ดขาด”

ดูเหมือนจินเซียงอวี้โล่งใจ เรียกเสี่ยวเอ้อร์จัดห้องพักและสุราอาหารรสเลิศ นางตบไหล่จูโซ่วเต็มแรงแต่สายตากลับเหลือบมองฮวาปู๋ชี่ ยิ้มเอ่ย “พี่สาวจะคิดถึงเจ้า กลับมาแล้วอย่าลืมให้ของขวัญพี่สาวคนนี้เล่า”

ตั้งแต่ต้นจนถึงยามนี้จูโซ่วยังไม่แนะนำฮวาปู๋ชี่ให้นางรู้จัก ส่วนฮวาปู๋ชี่ได้แต่ก้มหน้าทำตัวเป็นบ่าวรับใช้

จินเซียงอวี้มองหมวกและดวงตาสดใสน่าประทับใจของฮวาปู๋ชี่ แล้วสะบัดมือคล้ายไม่ตั้งใจจนหมวกหนังบนหัวของฮวาปู๋ชี่ร่วงหล่น

นิ้วเรียวงามปานหยกขาวคว้าข้อมือของจินเซียงอวี้ในพริบตา จูโซ่วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “น้องสาวข้าซือหม่าเสี่ยวเซีย พี่จินไม่ต้องหยั่งเชิงแล้ว”

จินเซียงอวี้หัวเราะชอบใจ หมุนตัวเดินกลับไปที่มุมโต๊ะอีกครั้ง

ฮวาปู๋ชี่กินหมดภายในไม่กี่คำก่อนลากจูโซ่วเข้าห้อง ผ่อนลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “โชคยังดี”

“คุณหนูไม่ต้องห่วง พวกเราไม่มีความแค้นต่อกันมาก่อน นางไม่ทำร้ายคนโดยไร้เหตุผลขอรับ”

ฮวาปู๋ชี่เผลอพูดว่า “ยังดีที่นางไม่ใช่จินเซียงอวี้ในจินตนาการของข้า มิเช่นนั้นข้าคงนึกว่าฝันร้าย โซ่วโซ่ว เมื่อก่อนเจ้าชนะจนนางกริ่งเกรงหรือไม่”

จูโซ่วตบพุงพลุ้ยของตนเอง กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “มีข้าน้อยลงมือ ไม่มีทางไม่ชนะ คุณหนู พักผ่อนเถิด พวกเราอย่าปรากฏตัวบ่อยนัก เช้าวันพรุ่งต้องรีบไปแล้ว”

 

พลบค่ำเสียงจอแจดังมาจากชั้นล่าง ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มพ่อค้ามาเยือน

หลังนอนพลิกตัวไปมาหลายรอบ ในที่สุดก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

ฮวาปู๋ชี่ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ไม่นานประตูใหญ่ชั้นล่างก็เปิดอีกครั้ง ได้ยินเสียงเสี่ยวเอ้อร์หาวหวอดและกล่าวทักทายดังแว่วมา นางพลิกตัวผล็อยหลับไปอีกครา

เวลานี้เองจินเซียงอวี้ถือตะเกียงน้ำมันเหลียวซ้ายแลขวา เคาะประตูห้องพักของจูโซ่วเบาๆ

จูโซ่วเปิดประตูจ้องนางด้วยความงงงัน

“คืนเหงาเปล่าเปลี่ยว คุณชายต้องการแม่นางสักคนหรือไม่”

จูโซ่วรู้ดีว่านางต้องการพูดให้คนอื่นได้ยิน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดสงสัยว่าเถ้าแก่เนี้ยมาเคาะประตูห้องเขากลางดึก เขายิ้มขื่นกล่าวว่า “ในใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น”

กล่าวจบร่างอวบอ้วนพลันสั่นระริก

กระโปรงสีแดงพลิ้วเข้าห้อง จินเซียงอวี้ยิ้มระรื่นจ้องจูโซ่วไม่วางตา

นางวางตะเกียงน้ำมันไว้ด้านข้าง เอนกายพิงประตูห้อง กระเซ้าเย้าแหย่ว่า “ข้าดูไม่ออกว่าคุณชายซือหม่าจะรักข้ามากถึงเพียงนี้”

จูโซ่วจ้องใบหน้าหยาบกร้านและฟันเหยินของนาง พลันเกิดอาการคลื่นเหียนอาเจียน ฝืนยิ้มกล่าวว่า “พี่จินมาหากลางดึกเช่นนี้มีธุระเร่งด่วนหรือ”

“ไม่ ข้าเร่งรีบที่ใดกันเล่า” จินเซียงอวี้กล่าวช้าๆ “เพียงกลัวว่าคุณชายซือหม่าจะเร่งรีบ เห็นแก่มิตรภาพยาวนานหลายปีของพวกเรา ข้าตั้งใจมาบอกเจ้าว่าเมื่อครู่มีคุณชายคนหนึ่งมาที่โรงเตี๊ยม อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด หน้าตาหล่อเหลา คิ้วเรียวยาวมีชีวิตชีวาดั่งใบหลิว”

ตงฟางสือ เขาไม่หลงกลไปเมืองวั่งจิงหรอกหรือ ไฉนถึงตามมาที่นี่ได้ จูโซ่วยื่นตั๋วเงินใบหนึ่งใส่มือจินเซียงอวี้

จินเซียงอวี้คลี่ยิ้มสดใสกว่าเดิม ยัดตั๋วเงินใส่อกเสื้อ ก่อนขยิบตาให้จูโซ่วแล้วบุ้ยปากไปทางห้องข้างๆ กล่าวว่า “เขากำลังถามถึงแม่นางน้อยที่มีดวงตาสดใสน่าดึงดูด เขาให้ข้าจับตาดู และให้…หนึ่งพัน”

ในมือของนางมีตั๋วเงินเพิ่มขึ้นอีกใบ เมื่อเหลือบมองจำนวนเงิน ดวงตาจินเซียงอวี้ก็ทอแววตื่นตะลึง นางเผยรอยยิ้มกล่าวว่า “โซ่วโซ่ว เห็นแก่ที่พวกเรารู้จักกันมาหลายปี เจ้าจะก่อปัญหาใหญ่ให้ข้าไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าลักพาตัวคู่หมั้นคนอื่นแล้วหนีตามกันมา”

มุมปากจูโซ่วกระตุก กะพริบตากล่าวว่า “ออกจากโรงเตี๊ยมหลงเหมินก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว ข้าอยากให้เจ้าถ่วงเวลาหนึ่งหรือสองชั่วยาม วันหน้าจะตอบแทนอย่างงาม ส่วนบุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับคุณชายคนนั้น เจ้ารู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”

จินเซียงอวี้ชูตั๋วเงินในมือ กล่าวเอาใจว่า “คุณชายซือหม่าไม่รู้หรือว่าข้ามีป้ายทอง รีบปลุกคุณหนูซือหม่าตามข้าไปได้แล้ว”

ฮวาปู๋ชี่ถูกจูโซ่วปลุกตื่นจากห้วงฝัน ได้ยินว่าตงฟางสือมาถึงโรงเตี๊ยมแล้ว นางลอบสบถในใจ ช่างโชคร้ายเสียจริง หลังเก็บสัมภาระเสร็จก็ตามหลังจินเซียงอวี้เข้าทางลับขนาบด้วยกำแพง

ไม่นึกว่าออกจากโรงเตี๊ยมหลงเหมินจะเป็นคอกม้าหลังประตูเรือนของชาวนาหลังหนึ่ง โรงเตี๊ยมหลงเหมินตั้งตระหง่านในเงามืดไม่ไกลนัก ป้ายโรงเตี๊ยมพลิ้วไหวตามสายลม พอนึกถึงตงฟางสือที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแล้ว ฮวาปู๋ชี่ก็อดหวาดกลัวไม่ได้ สาเหตุที่เขาไล่ตามมาติดๆ แบบนี้เพราะป้ายหยกที่นางขโมยหรือไม่

จินเซียงอวี้กล่าวกับพวกเขาว่า “ขี่ม้าที่นี่แก้ขัดไปก่อน”

“ขอบคุณพี่จิน ม้าชั้นเลวยังดีกว่าไม่มีม้า” จูโซ่วถอนหายใจแผ่วเบา

หลังจินเซียงอวี้หมุนตัวเดินกลับเข้าทางลับ จูโซ่วจูงม้าสองตัวออกมา “คุณหนู หากพวกเราข้ามหลงเหมินแล้ว ท่านกับตงผิงจวิ้นอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขตตงผิงอยู่ไม่ไกลจากเมืองสือเฉิง เขาจะปกป้องคุ้มครองท่านเอง”

ฮวาปู๋ชี่ไม่ได้บอกจูโซ่วว่าตงผิงจวิ้นอ๋องเฉินอวี้ก็คือเหลียนอีเค่อ นางขบคิดเรื่องตามหาเฉินอวี้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง บ่อนพนันเซียวจินใหญ่ที่สุดในแถบตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่เมืองสือเฉิง พวกนางเดิมพันตลอดทาง ถึงตงฟางสือจะรู้ว่านางไปซีฉู่โจวก็ไม่มีทางสงสัยว่าเฉินอวี้คือเหลียนอีเค่อ ไม่ว่าจะเป็นการค้าใบชาหรือตามหาเฉินอวี้ที่ซีฉู่โจวล้วนทำได้อย่างเปิดเผย

ทั้งสองคนพลิกตัวขึ้นหลังม้าก็พบว่ากีบเท้าม้าถูกห่อด้วยผ้ากระสอบ ถุงใส่น้ำและอาหารแห้งแขวนอยู่ข้างอาน จูโซ่วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “จินเซียงอวี้เตรียมของไว้หลบหนีกลางดึกทุกเมื่อ รอบคอบถึงเพียงนี้ มิน่าถึงทำการค้าในหลงเหมินได้หลายปี”

ม้าย่ำเท้าไร้เสียงนำพาทั้งสองคนออกจากเขาหลงเหมินที่มืดมิด

 

กลับถึงโรงเตี๊ยม จินเซียงอวี้จ้องตั๋วเงินสองใบที่จูโซ่วมอบให้ครู่ใหญ่ พึมพำกับตนเองว่า “โซ่วโซ่ว อย่าโทษที่ข้ามีเวลาให้เจ้าไม่พอ เจ้ายอมจ่ายห้าพันตำลึง แสดงว่าเด็กน้อยข้างกายเจ้ามีค่ามากกว่านั้น”

นางตะโกนเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ก่อนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “รีบขึ้นเขาไปบอกนายท่านสาม มีแกะอ้วนสองตัว สตรีไม่เป็นวิชายุทธ์ต้องจับเป็น ส่วนบุรุษมาจากสกุลซือหม่าแห่งเจียงหนานวิชายุทธ์ไม่เลว”

หลังบ่าวรับใช้ออกไปแล้ว จินเซียงอวี้ก้าวเท้าเดินเข้าห้องนอน ผลักประตูห้องออก เป่าเทียนดับอย่างสบายใจ

ทันใดนั้นลำคอพลันเย็นวาบ คุณชายรูปงามที่เข้าพักยามวิกาลคนนั้นใช้ดาบเล่มเล็กกดลงที่ลำคอของนาง “พี่จิน เถ้าแก่เนี้ยจิน ดึกถึงเพียงนี้เพิ่งกลับจากชมจันทร์หรือ”

ดาบคมกริบเย็นเยียบทำเอาขนคอลุกซู่ จินเซียงอวี้เย้าว่า “ที่แท้เป็นท่านนี่เอง คุณชาย ข้าก็นึกว่ามีโจรอยู่ในห้อง ไม่ทราบว่าคุณชายมาเยือนห้องข้าด้วยตนเองแบบนี้มีธุระด่วนใดหรือ”

“อย่าหันมา อย่าขยับ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนทำการค้า ย่อมไม่พลาดการซื้อขายที่ทำกำไรแน่นอน ได้ยินบรรดาแม่นางของที่นี่บอกว่า วันนี้มีไอ้อ้วนคนหนึ่งพาบ่าวรับใช้เข้าพัก ยามนี้ในห้องไม่มีคน เจ้าส่งพวกเขาไปแล้วหรือ” ตงฟางสือถามเสียงเนิบนาบ แม้น้ำเสียงของเขานุ่มนวล แต่ดาบเล่มเล็กในมือกลับไม่นุ่มนวลเอาเสียเลย ทำจินเซียงอวี้ต้องเกร็งคอไม่กล้าขยับ

จินเซียงอวี้ลอบด่าเสี่ยวลั่งในใจที่ทิ้งรอยเท้าม้าไว้จนความลับรั่วไหล ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาจากทางด้านหลัง “เจ้าอย่าโทษแม่นางเหล่านั้นเลย อยากอยู่หรือตายพวกนางแยกแยะได้ชัดเจน แต่ดูเหมือนยามนี้พี่จินจะแยกแยะไม่ชัดเจนเสียแล้ว”

รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ลำคอ ดาบคมกริบกดลงบนผิวหนังเบาๆ เลือดไหลตามแนวดาบดุจหนอนตัวเย็นเยียบคลานผ่านคอของนาง จินเซียงอวี้กล่าวเสียงสั่นว่า “เขาให้เงินข้า ส่งพวกเขาไปที่ทางลับ”

“เมื่อไร”

“หนึ่งชั่วยามก่อน”

“เขาชื่ออันใด”

“ซือหม่า…ซือหม่าโซ่ว เด็กน้อยข้างกายเขาชื่อซือหม่าเสี่ยวเซีย คุณชาย ท่านต้องการม้าเร็วหรือไม่ น้ำสะอาดอาหารแห้งเล่า ข้าน้อยเตรียมให้ท่านได้ทันที ม้าที่พวกเขาใช้เป็นม้าชั้นเลวที่ข้าเตรียมไว้ให้ ข้าน้อยจะมอบม้าชั้นดีแก่คุณชาย”

ตงฟางสือหัวเราะร่า “จินเซียงอวี้สมคำเล่าลือจริงๆ เวลาเช่นนี้ยังกล้าทำการค้า บอกข้ามา เจ้าแจ้งคนบนเขาหรือยัง”

จินเซียงอวี้ตกใจ คิดว่าถึงเขาจะขึ้นเขา แต่คนบนเขามีมากมาย เกรงว่าเขาคงรับมือไม่ไหว จึงบอกไปตามจริงว่า “ข้าเห็นซือหม่าโซ่วให้ข้าห้าพันตำลึงและเด็กนั่นก็ไม่เป็นวิชายุทธ์ คิดว่าเป็นแกะอ้วนสองตัว ข้าแจ้งให้คนบนเขาจับตัวนาง สกุลซือหม่าแห่งเจียงหนานเป็นตระกูลที่มีชื่อด้านการพนัน แม้ในครอบครัวจะมีคนน้อย แต่เงินย่อมไม่น้อยแน่นอน จึงต้องการข่มขู่รีดเงินบางส่วน”

ตงฟางสือได้ยินว่าซื้อทางลับด้วยเงินห้าพันตำลึงก็เผลอหัวเราะ มิน่าจินเซียงอวี้ถึงยอมให้พวกเขาจากไป ทั้งที่ตัวเขาเองให้นางแค่สิบตำลึงเท่านั้น เขาครุ่นคิดในใจว่าจูโซ่วมือเติบถึงเพียงนี้ หรือฮวาปู๋ชี่เห็นเขาเป็นคนชั่วช้าจริงๆ พอคิดเช่นนี้ก็เดือดดาลจนแทบทนไม่ไหว

“คุณชาย แต่ละวิถีทางย่อมมีกฎเกณฑ์ของมัน ข้าน้อยบอกหมดเปลือกโดยไม่ปิดบังแล้ว คุณชายยังไม่ยอมวางดาบลงอีกหรือ”

ตงฟางสือเก็บดาบ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พี่จินเป็นคนกว้างขวาง ข้าน้อยจะทำร้ายท่านได้อย่างไร ในเมื่อต้องการจับนางรีดเงิน ข้าน้อยก็ไม่กังวลใจ เพียงแต่เขาหลงเหมินทอดยาวร้อยหลี่ พี่จินโปรดนำทางข้าน้อยด้วย ข้าน้อยอยากทำความรู้จักกับนายท่านสามแห่งเขาหลงเหมินสักหน่อย มิเช่นนั้นข้าน้อยจะจุดไฟเผาตำบลหลงเหมินให้ราบ”

จินเซียงอวี้หันกลับมา สีหน้าไม่เชื่อถือถ้อยคำของเขา

ตงฟางสือยกมือขึ้น ประกายดาบพลันสว่างวาบ เขาถือโอกาสดึงหมอนยัดใส่ปากนาง

เสียงสิ่งของบางอย่างตกพื้นพร้อมเสียงฮึดฮัดของจินเซียงอวี้ที่ไม่ทันระวังตัว นางกุมมือซ้ายที่เจ็บแปลบ รู้สึกว่าเลือดไหลทะลักออกมา แสงไฟยามรัตติกาลนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา นิ้วก้อยที่เปียกชุ่มไปด้วยโลหิตตกอยู่บนพื้น เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าผากของจินเซียงอวี้ นางกัดหมอนในปากสุดแรง ไม่รู้ว่าคุณชายรูปงามที่ดูอ่อนโยนคนนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงได้ลงมือไร้ปรานี วิชายุทธ์สูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ

“ลังเลชั่วขณะ ข้าจะตัดนิ้วของเจ้าอีกนิ้ว ทำการค้าต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ ข้าจะอดทนรอให้พี่จินตัดสินใจ”

จินเซียงอวี้ส่งเสียงอู้อี้สองคราพร้อมพยักหน้าแรงๆ

ตงฟางสือโยนขวดยาให้นาง “ทายาสมานแผลซะ ไปกันได้แล้ว”

เวลาผ่านไปจิบหนึ่งถ้วยชา บนเส้นทางไปยังเขาหลงเหมินมีม้าสองตัววิ่งตะบึงออกมาอย่างรวดเร็ว

 

[1] หรือไพ่นกกระจอก มีไพ่สามแบบ คือ ไพ่จำนวนนับ ไพ่ตัวอักษร และไพ่ดอกไม้กับฤดูกาล

[2] ในภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่อง เดขคัมภีร์แดนพยัคฆ์ มีโรงเตี๊ยมชื่อหลงเหมิน และเจ้าของโรงเตี๊ยมชื่อจินเซียงอวี้

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า