[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 3 ตอนที่ 43 ไปทะเลทรายเกอปี้ด้วยกัน

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

43

ไปทะเลทรายเกอปี้ด้วยกัน

บนภูเขาไร้เดือน สายลมต้นเหมันตฤดูพัดผ่านเส้นทางคับแคบระหว่างหุบเขา ฮวาปู๋ชี่หนาวเหน็บจนตัวสั่น

นางมองเส้นทางภูเขาที่มืดมิด ถามจูโซ่วว่า “เหตุใดทุกครั้งที่ข้าขึ้นเขามักรู้สึกไม่ดี ก่อนหน้านี้ที่ด่านเทียนเหมินก็เป็นอย่างนี้ เพียงไม่ได้สูงชันเต็มไปด้วยอันตรายเหมือนที่นี่ ตอนไปวั่งจิงปีนเขาซิ่งหลงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ มืดจนมองไม่เห็นอันใด โซ่วโซ่ว ข้ากลัวนิดหน่อย”

จูโซ่วผ่อนลมหายใจกล่าวว่า “คุณหนู พวกเราหันหลังกลับกันดีหรือไม่ ตงฟางสือหาพวกเราสองคนเจอก็ไม่เป็นไร เขาชอบไล่ตามแบบนี้อยู่แล้ว ถือว่ามีผู้คุ้มกันเพิ่มอีกคน”

ฮวาปู๋ชี่ยิ้มขื่น “ข้าขโมยของของเขามา” นางล้วงป้ายหยกออกจากอกเสื้อยื่นให้จูโซ่ว

ป้ายหยกล้ำค่าเปล่งแสงโปร่งใสเล็กน้อย จูโซ่วพลิกป้ายหยกเห็นอักษรคำว่าจวนเฉิงอ๋องพลันขมวดคิ้วกล่าวว่า “คุณหนู เฉิงอ๋องคนนี้เป็นอนุชาของฮ่องเต้องค์ก่อน เสียชีวิตก่อนจะได้ขึ้นครองราชย์ จิงโจวแห่งเจียงเป่ยเดิมเป็นที่ดินศักดินาของเฉิงอ๋อง ยามนี้ที่นั่นไม่มีอ๋องแล้ว”

ฮวาปู๋ชี่พยักหน้า “ข้ารู้ พวกเจ้าเอาหนังสือที่เกี่ยวกับอำนาจในใต้หล้าให้ข้าอ่านแล้วไม่ใช่หรือ แต่ข้าแปลกใจ ไฉนตงฟางสือถึงมีป้ายของเฉิงอ๋องที่เสียชีวิตแล้ว ซ้ำยังพกติดตัวด้วย ข้าจึงอยากไปซีฉู่โจว ถามตงผิงจวิ้นอ๋องสักหน่อย”

พูดถึงเฉินอวี้ ใบหน้าของนางพลันแดงระเรื่อ โชคดีที่ตอนกลางคืนมืดมิดทำให้จูโซ่วไม่ทันเห็น

จูโซ่วเก็บป้ายหยกชิ้นนี้ไว้ในอกเสื้อด้วยความฉงน

ฮวาปู๋ชี่กัดฟันกล่าวว่า “มาถึงนี่แล้ว ข้าไม่อยากเจอตงฟางสือ พวกเราไปกันเถิด เขาอยากไล่ตามมาก็ช่าง มีปัญญาหาพวกเราให้เจอก่อนค่อยว่ากัน”

นางสะบัดแส้หวดสะโพกม้า ทะยานเข้าสู่เส้นทางภูเขาที่มืดมิด

ธารน้ำไหลเอื่อย เสียงกีบเท้าม้าย่ำสายน้ำทำลายความเงียบสงบกลางขุนเขา ดวงดาวบนนภาสาดส่องเพียงแสงสลัว ฮวาปู๋ชี่แทบไม่กล้ามองเงาภูเขาทั้งสองข้าง ได้แต่ควบม้าไปข้างหน้า

จู่ๆ ม้าพลันร้องเสียงดัง กีบเท้าหน้าทรุดลง ฮวาปู๋ชี่กรีดร้องเสียงหลงร่างถลันไปข้างหน้า จูโซ่วที่ตามหลังมาติดกับดักเชือกพันม้า ทว่าดูเหมือนร่างกายอวบอ้วนของเขาจะไม่ส่งผลต่อความเร็วของเขา เขาผละจากหลังม้า คว้าตัวฮวาปู๋ชี่ไว้พร้อมฉวยโอกาสเตะหนึ่งครั้งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นคนที่ซุ่มอยู่ในที่มืดก็ส่งเสียงร้องลั่นน่าเวทนา

เมื่อม้าของเขากระโจนเข้ามา จูโซ่วโยนตัวฮวาปู๋ชี่ขึ้นหลังม้าก่อนแผดเสียงดังลั่นว่า “รีบไป ข้าเอาตัวรอดเองได้”

ฮวาปู๋ชี่โอบแผงคอม้าวิ่งตะลุยไปข้างหน้า นางได้ยินเสียงปะทะดังมาจากข้างหลังก็รู้ว่าจูโซ่วต่อสู้กับศัตรู นางอยู่ต่อก็เป็นตัวถ่วงของเขา จำต้องมุ่งหน้าโดยไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น

เวลานี้เองไฟหลายจุดตกลงมาจากบนเขา มีคนไถลลงมาจากผนังเขา

“สกัดนางไว้ นางต่างหากคือแกะอ้วน”

เงามืดสายหนึ่งไถลลงตามเชือก แล้วลงมาอยู่ข้างกายฮวาปู๋ชี่พอดี นางตื่นตัวรีบยกมือขึ้นอย่างว่องไว คนคนนั้นเปล่งเสียงร้องน่าอนาถ ฮวาปู๋ชี่ตะลุยฝ่าไป ก่อนหันกลับไปมองแสงไฟกระจัดกระจายด้านหลัง

หลังจากโจรชั่ววางกับดักเชือกพันม้าบนเส้นทางภูเขาคับแคบเสร็จก็ซุ่มอยู่ริมแม่น้ำ บางคนใช้เชือกโรยตัวลงมาจากเขา แต่คาดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของจูโซ่วจะว่องไวถึงเพียงนี้ วิชายุทธ์ก็ไม่เลว จนฮวาปู๋ชี่หนีรอดไปได้ พอนึกถึงเจ้าอ้วนตรงหน้าคนนี้เป็นคนของสกุลซือหม่าที่ล้วงตั๋วเงินหนึ่งใบมูลค่าห้าพันตำลึงออกมาง่ายๆ จับตัวเขาผลลัพธ์ย่อมเหมือนกัน ปล่อยให้หนีรอดหนึ่งคน แต่จะกลับไปมือเปล่าไม่ได้เด็ดขาด จึงอาศัยกำลังคนมากกว่าโอบล้อมจับตัวจูโซ่ว

จูโซ่วเห็นฮวาปู๋ชี่ฝ่าออกไปได้ในใจก็หมดห่วง จำนวนคนโดยรอบมากขึ้นเรื่อยๆ เขาสู้จนเหงื่อเต็มตัว ร่างกายค่อยๆ หมดแรง เมื่อรู้ว่าเป็นจินเซียงอวี้ที่รายงานข่าว เขาตะโกนเสียงดังว่า “ไม่สู้แล้ว! ทำเพื่อเงินใช่หรือไม่ จับตัวข้าสกุลซือหม่าย่อมจ่ายค่าไถ่อย่างงาม”

เขาหยุดมือ เหล่าโจรชั่วก็ชะงัก พากันโอบล้อมเขาไว้ตรงกลาง

“หนึ่ง ข้าจะเขียนจดหมายให้คนนำไปส่งที่เจียงหนาน สอง ให้ข้ากินดีอยู่ดี ถ้าข้าหิวโซผอมลงเล็กน้อย บาดเจ็บเพียงนิดหรือโมโห ข้าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ทุกคนแยกย้ายทางใครทางมัน ต่างก็ทำการค้าเหมือนกัน เน้นการปรองดองย่อมก่อเกิดทรัพย์จริงหรือไม่ สาม คนที่ข้าฆ่าตายหรือทำร้ายบาดเจ็บ จะชดใช้ให้เป็นรายบุคคล”

เหล่าโจรชั่วตะลึงงัน ตวาดลั่นว่า “ไม่ต้องพูดมาก ถูกพวกเราจับเรียกค่าไถ่ ขืนเล่นลิ้นอีก จะตัดลิ้นเจ้าแล้วส่งกลับบ้านซะ”

จูโซ่วฝืนยิ้มไม่เอ่ยวาจา ปล่อยให้พวกเขามัดและปิดตา เขาลอบฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบเงียบๆ หลังเหยียบลำธารเดินขึ้นเขา จู่ๆ ร่างกายของเขาก็ถูกหาม เขาขยับข้อมือ สุดท้ายก็ทิ้งความคิดที่จะปลดเชือก ไปถึงค่ายก่อนค่อยว่ากัน หนียามนี้ โจรชั่วย่อมไล่ล่าตามหลังเป็นฝูงใหญ่

หลังถูกผลักให้เดินนานถึงสองชั่วยาม ผ้าปิดตาก็ถูกดึงออก จูโซ่วลืมตาขึ้นพบว่าเข้าถ้ำแล้ว เขาเผลอหัวเราะ คาดไม่ถึงว่ากลุ่มโจรเขาหลงเหมินจะอาศัยถ้ำตามธรรมชาติเป็นรังโจร

ถ้ำขนาดใหญ่ หินงอกหินย้อยนับไม่ถ้วน พื้นกลางถ้ำมีบ่อน้ำลึก ตรงข้ามมีถาดน้ำมันสองถาดเผาไหม้ลุกโชน แสงไฟในถ้ำสว่างไสวระยิบระยับ

จูโซ่วเงยหน้ามอง เหนือศีรษะมีดวงดาวเต็มฟ้า มิน่าที่นี่ถึงไม่อุดอู้อึดอัด

“ได้ยินว่าเจ้าตั้งเงื่อนไขและค่าตอบแทน รู้หรือไม่ว่ายามนี้ข้าฆ่าเจ้าง่ายดานราวพลิกฝ่ามือ” บุรุษร่างเล็ก อายุประมาณสี่สิบ แววตาดุจพยับเมฆมืดทะมึนนั่งเก้าอี้หนังสัตว์

“นายท่านสาม”

นายท่านสามตกใจ เปล่งเสียงหัวเราะร่า “ไม่นึกว่าเจ้าจะรู้จักชื่อข้า”

เวลานี้จูโซ่วเอ่ยอย่างจนใจว่า “จำข้าไม่ได้หรือ ยามนั้นเจ้าเล่นพนันที่ซูโจว ผู้ใดเป็นคนใช้หนี้ให้เจ้า”

นายท่านสามตะลึงงัน กระโดดลงจากเก้าอี้ เร่งฝีเท้าตรงดิ่งมาตรงหน้าจูโซ่ว ถามว่า “จูโซ่วอย่างนั้นหรือ”

“ข้าเอง” จูโซ่วแสยะยิ้ม

นายท่านสามถอนใจ “ไฉนเจ้าถึงอ้วนแบบนี้เล่า”

จูโซ่วยิ้มกล่าว “อาหารของสกุลจูแห่งเจียงหนานดีเกินไป ข้าเป็นพ่อบ้านสาม อาหารอร่อยสุราเลิศรสมีพร้อม จะไม่อ้วนได้อย่างไร” ข้อมือของเขาสั่นเล็กน้อย ปลดเชือกแล้วโยนใส่โจรที่อยู่ด้านหลัง

นายท่านสามส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าแค่บอกชื่อแซ่ก็ได้ เชือกเส้นเดียวมัดเจ้าได้ที่ใดกันเล่า”

จูโซ่วล้วงตั๋วเงินหลายใบยัดใส่มือของนายท่านสามพลางกล่าวว่า “ทั้งเนื้อทั้งตัวข้ามีเพียงเท่านี้ เจ้ารับไว้เถิด ยามนั้นข้ารีบร้อนสักหน่อย ไม่เจอเจ้าหลายปี ข้าไม่รู้ว่าหัวหน้าโจรเขาหลงเหมินเปลี่ยนคนหรือไม่ อีกอย่าง ข้าอยากให้เจ้าช่วยถ่วงเวลาคนผู้หนึ่ง ชายหนุ่มที่มีคิ้วดุจใบหลิว ฆ่าไม่ได้ก็ไม่ต้องฆ่า แค่ถ่วงเวลาเขาไว้ก็พอ”

นายท่านสามรับตั๋วเงิน เห็นตัวเลขบนนั้นก็อดดีใจไม่ได้ ไม่ต้องจับตัวเรียกค่าไถ่ ซ้ำยังได้เงินหมื่นตำลึง การค้าที่ไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเดียวเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่ทำ

“ข้าต้องรีบตามสหายของข้าให้ทัน นายท่านสามโปรดหาคนนำทางด้วย” นึกถึงฮวาปู๋ชี่ จูโซ่วไม่พูดมากให้เสียเวลา

นายท่านสามรีบเรียกคนนำทางให้จูโซ่วทันที

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีรายงานจากผู้สังเกตการณ์ว่า “พี่จินพาคนผู้หนึ่งมาด้วยขอรับ”

“ผู้ใด”

“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง”

นายท่านสามขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำให้จินเซียงอวี้ยอมพามาถึงรังได้ ภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เขาทอดมองทิศทางที่จูโซ่วจากไปก่อนตะโกนว่า “ห้ามผู้ใดพูดถึงเรื่องคืนนี้ ผู้ใดกล้าปากมาก รนหาเรื่อง ข้าจะแขวนมันบนหน้าผาให้เป็นอาหารของเหยี่ยว” กล่าวจบ สีหน้าเขาผ่อนคลายลง “จัดสุรา ขัดขวางตามกฎของค่าย ขวางไม่ได้ก็พาเข้ามา”

 

แสงดาวบนท้องฟ้าสาดส่องป่าเขา หลังพ้นป่าทึบออกมา เบื้องหน้าปลอดโปร่งโล่งแจ้ง

ตงฟางสือยืนอยู่ข้างหน้าผาอุทานว่า “แนวร่องน้ำช่างอันตรายนัก”

เบื้องหน้าเป็นแอ่งลึกธรรมชาติเหมือนชามใบหนึ่งฝังในภูเขา รอบๆ เป็นผนังเขาเกลี้ยงเกลา มีเพียงเส้นทางเล็กๆ เส้นเดียวที่ซ่อนในป่าทึบที่เดินไปถึงก้นเหวลึกได้

จินเซียงอวี้กุมมือที่เจ็บปวด กัดฟันกล่าวว่า “ต้องลงจากตรงนี้เท่านั้น นายท่านสามยอมทำการค้ากับท่านหรือไม่ข้าน้อยไม่รู้ ต้องดูความสามารถของคุณชายแล้ว”

สายลมรัตติกาลพัดปกเสื้อตงฟางสือ เขาสูดลมหายใจ ตะโกนลากเสียงยาวว่า “มีคนหรือไม่”

เสียงสะท้อนดังก้องในหุบเขายาวนานต่อเนื่อง ดูเหมือนตงฟางสือจะรู้สึกว่าน่าสนุก เขาตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “มีคนหรือไม่…ไม่มีคนมารับ อย่างนั้นข้าลงไปเอง”

เสียงตะโกนดังก้องไม่ทันขาด ก็มีอีกเสียงดังแว่วมาจากเส้นทางเล็กๆ “ผู้ใดกล้าบุกรุกค่ายหลงหู่”

ตงฟางสือลากจินเซียงอวี้ออกมา “ทางแคบมาก รบกวนพี่จินอยู่ข้างหน้าเปิดทางให้ที ถ้ามีลูกธนูยิงมา บังให้ข้าด้วยก็แล้วกัน”

จินเซียงอวี้ถูกเขาผลักมาอยู่ข้างหน้า ในใจประหวั่นชั่วขณะ ตะโกนเสียงดังว่า “โหวจื่อ ข้าเอง พาคนมาเจรจาการค้ากับนายท่านสาม”

เชือกเส้นหนึ่งกับผ้าดำผืนหนึ่งถูกโยนลงมาจากเส้นทางเล็ก โหวจื่อตอบว่า “พี่จิน กฎของค่าย ท่านรู้ดี”

จินเซียงอวี้คิดในใจ ถ้ามัดมือปิดตาเขาได้ ข้าเตะเขาลงจากหน้าผานานแล้ว นางจำใจหันกลับไปมองตงฟางสือ

ตงฟางสือเก็บเชือกขึ้นมา แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ได้ ข้าจะทำตามกฎของค่ายพวกเจ้า” เขายื่นมือคว้าแขนของจินเซียงอวี้แล้วมัดเชือก

จินเซียงอวี้วิงวอนเพราะความหวาดผวา “คุณชาย ข้าน้อยแค่แลกเปลี่ยนข่าวสารกับค่าย ไม่ใช่คนในค่าย”

ตงฟางสือถือโอกาสมัดนางไว้กับต้นไม้ ยิ้มกล่าว “ถ้าข้ากลับมาแล้วไม่เห็นเจ้า ข้าจะเผาตำบลหลงเหมิน ให้หล้านี้ไม่มีโรงเตี๊ยมหลงเหมินอีกต่อไป”

เวลานี้เองจินเซียงอวี้ถึงรู้ว่าเขาไม่ได้จะพานางเข้าค่าย นางพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าน้อยไม่หนี ตีให้ตายข้าน้อยก็จะรอคุณชายอยู่ที่นี่”

ตงฟางสือหัวเราะเบาๆ พลางชักกระบี่อ่อนออกจากเอว ใช้วิชาตัวเบา เบาดุจวิหค ว่องไวดุจวานร เหินลงไปตามเส้นทางภูเขาประหนึ่งหมอกควัน

ได้เห็นวิชายุทธ์เป็นที่ประจักษ์ จินเซียงอวี้ตกใจยิ่งกว่าเดิม ความเกรงกลัวที่มีต่อตงฟางสือยิ่งทวี

บนเส้นทางภูเขาแว่วเสียงร้องโหยหวน ได้ยินเสียงของโหวจื่อก็รู้ว่าเขาตายแล้วเป็นแน่ นางบังเกิดความกลัวจับใจ

ตงฟางสือลงมือเหี้ยมโหด บรรดาลิ่วล้อทำตามคำสั่งนายท่านสามทิ้งเส้นทางภูเขาหลบหนีไป ไม่นานนักเขาก็ยืนอยู่ตรงก้นหุบเขา ทอดมองถ้ำใหญ่เชิงเขาพลางหัวเราะสบายใจ

คบเพลิงสองอันถูกโยนเข้าถ้ำ ตงฟางสือเก็บกระบี่อ่อน เอามือไพล่หลัง ก้าวเดินเข้าไปช้าๆ

นายท่านสามจ้องชายหนุ่มคนนี้ เห็นสัญญาณเตือนบนใบหน้าและความเย็นชาในแววตาของอีกฝ่าย ตั๋วเงินในอกเสื้อพลันแผดเผาขั้วหัวใจของเขา เขารู้ฝีมือตนเองดี แยกแยะเรื่องที่เกิดขึ้นบนเส้นทางภูเขาได้อย่างชัดเจน จินเซียงอวี้กลิ้งกลอกเท่าใดยังถูกบีบให้พามาที่ค่ายหุบเขาได้ จูโซ่วให้เขาขวางชายหนุ่มคนนี้ ดูท่าเขาคงทำไม่ได้แล้ว

เขาพยายามรักษาท่วงท่าของหัวหน้าค่าย “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้บุกเข้าค่ายหลงหู่มีธุระใด”

“คนที่เจ้าจับมาเล่า เอาไว้เรียกค่าไถ่ไม่ใช่หรือไร ข้าต้องการซื้อตัวนาง” ตงฟางสือกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข เขาอยากรู้ว่าหากเขาซื้อฮวาปู๋ชี่แล้ว เด็กน้อยนั่นจะมีท่าทีอย่างไร

ใบหน้านายท่านสามแข็งเกร็ง จับตัวประกันเพื่อเงิน ยามนั้นจูโซ่วใช้หนี้แทนเขาที่บ่อนพนันที่ซูโจว วันนี้จับตัวจูโซ่วมาเรียกค่าไถ่ แต่เขากลับยัดเงินหมื่นตำลึงให้ จะจับเขาต่อไปไย

นายท่านสามเงียบไปชั่วขณะก่อนตอบ “ปล่อยคนไปแล้ว เขาจ่ายให้ข้าหมื่นตำลึงเป็นค่าไถ่ ตั๋วเงินอยู่นี่ คุณชายเอาไปเถิด”

เงินกับชีวิต นายท่านสามเลือกอย่างหลัง

ตงฟางสือสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ขึ้งโกรธจนหน้าแดง ตลอดทางมานี้เขาขบคิดนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะยั่วยุเด็กน้อยอย่างไร จะทำตัวเป็นวีรบุรุษอย่างไรให้นางเลื่อมใส นึกไม่ถึงว่าโจรกว่าร้อยคนจะรั้งนางไว้ไม่ได้ โจรพวกนี้ช่าง…โง่เง่าสิ้นดี

“หากเจ้ามีปัญญาพาข้าผ่านเขาหลงเหมินไปได้อย่างรวดเร็ว ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” ตงฟางสือกล่าวชัดถ้อยชัดคำ ระงับความขุ่นเคืองในใจแทบไม่ไหว

ดวงตานายท่านสามทอประกาย เรียกคนมา กำชับว่า “พาคุณชายไปทางลับ เอาม้าตัวนั้นของข้าให้คุณชาย”

ตงฟางสือโยนของชิ้นหนึ่งให้นายท่านสามก่อนกล่าวว่า “วันหน้าหากมีคนถือป้ายคำสั่งแบบเดียวกันมา ต้องทำตามคำสั่งของเขา อาจจะมีคนมาหรือไม่มาก็ได้”

“คุณชายโปรดวางใจ” นายท่านสามเก็บป้ายคำสั่งราวกับสุนัขรับใช้ สมองคิดทบทวนว่าสมควรเปลี่ยนสถานที่ปล้นดีหรือไม่ เงยหน้าเห็นไอสังหารในดวงตาของตงฟางสือ ตัวเขาสั่นเทาฝืนยิ้มน่าเกลียดออกมา

“ปล่อยจินเซียงอวี้ ให้นางอยู่ที่โรงเตี๊ยมต่อไป” ตงฟางสือมุ่งมั่นไล่ตามฮวาปู๋ชี่ เหลือบมองโจรชั่วกว่าร้อยคนนี้ด้วยความเหยียดหยาม ก่อนจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

หลังตงฟางสือไปแล้ว ลิ่วล้อคนหนึ่งเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองใจว่า “นายท่านสาม พวกเรามีคนมาก ไยต้องกลัวเขาด้วย”

เวลานี้นายท่านสามมีท่าทีน่าเกรงขามดังเคย สะบัดฝ่ามือตบหน้าลิ่วล้อหนึ่งฉาด “เจ้าตาบอด แต่ข้าตาไม่บอด หันกลับไปดูซะ!”

ลิ่วล้อคนนั้นเหลียวมองนอกถ้ำตามที่นายท่านสามชี้ เส้นทางคดเคี้ยวนอกถ้ำมีรอยเท้าสลักบนพื้นหินลึกสามเฟิน[1] เขาตัวสั่นระริกกล่าวว่า “กำลังภายในแข็งแกร่งยิ่งนัก!”

 

เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ตงฟางสือเดินทางพ้นจากใจกลางภูเขา เห็นทะเลทรายเกอปี้เวิ้งว้างเบื้องหน้า เขาตบแผงคอม้าพลางพึมพำว่า “ยายเด็กน้อยจู เจ้าไปเมืองสือเฉิงในซีฉู่โจวเพื่อเล่นพนัน หรือไปหาเหลียนอีเค่อกันแน่ แต่ขอให้เจ้าโชคดีไม่เจอโจรทะเลทรายเกอปี้”

ความมืดมิดสุดท้ายก่อนรุ่งสาง ดวงดาราที่ทะเลทรายเกอปี้ยิ่งส่องสว่างเป็นประกาย ตงฟางสือจ้องตำแหน่งของดาวเหนือเจ็ดดวงก่อนควบม้าไปทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว

นับว่าเป็นคราวซวยของฮวาปู๋ชี่ นางออกจากด่านหลงเหมินมาได้ แต่ยังคงห่วงจูโซ่ว ทะเลทรายเกอปี้เวิ้งว้างกว้างใหญ่ นางไม่กล้าเดินทางยามค่ำคนเดียว จึงได้แต่วนเวียนอยู่แถวด่านหลงเหมิน

นางค้นพบแอ่งเขาใต้ลม ใช้พุ่มไม้หนามเป็นเชื้อเพลิง เวลานี้นางจินตนาการว่าใช้ชามขอทานของท่านอาเก้าต้มน้ำร้อนดื่ม หยิบถุงน้ำและหมั่นโถวออกมา เคี้ยวไปพลางขบคิดไปพลาง ข้ามทะเลทรายเกอปี้ไปถึงเขตตงผิงอย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งเดือน รุ่งเช้านางจะเดินทางกลับงจะออกเดนทงจกด่านหลงเหมิน หาคนไปช่วยจูโซ่วก่อน

ในใจพลันเกิดความคิดอย่างหนึ่ง ถ้ากลับไปเจอตงฟางสือ ขอร้องให้เข้าช่วยจูโซ่วได้หรือไม่

ยามนี้นางได้ยินเสียงฝีเท้าม้า ฮวาปู๋ชี่ดับกองไฟไม่ทัน มือซ้ายคลำหน้าไม้สั้นที่ผูกติดกับแขนขวา กัดริมฝีปากแน่น ครุ่นคิดว่ามีแค่ม้าตัวเดียว หากเป็นคนชั่ว นางจะฉวยโอกาสลงมือไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว

ฮวาปู๋ชี่ไม่เป็นวิชายุทธ์ จูโซ่วจึงทำหน้าไม้สั้นอันนี้ให้ นางมีฝีมือดีใช้งานได้อย่างชำนาญ ตอนฝ่าออกจากด่านหลงเหมินก็อาศัยหน้าไม้สั้นนี้ยิงโจรชั่วนั่น

นางหมอบกับพื้น ค่อยๆ โผล่หน้ากวาดสายตามองหา อาศัยแค่แสงดาวก็จำได้ว่าเป็นตงฟางสือ ฮวาปู๋ชี่ดีใจกระโดดพรวดขึ้นมา ยกมือร้องเรียก “ตงฟางสือ ข้าอยู่นี่”

ตงฟางสือหัวเราะเสียงดัง “เด็กน้อย ในที่สุดก็ตามเจ้าทัน” ระหว่างพูดเขาควบม้าขึ้นเนินดินก่อนกระโดดลงจากหลังม้ากล่าวว่า “ข้าเห็นแสงไฟแต่ไกลแล้ว เจอข้าต้องดีใจถึงเพียงนี้เลยหรือ เจ้าคิดจะทิ้งข้ามาตลอดไม่ใช่หรือ”

ฮวาปู๋ชี่แสร้งไม่เข้าใจ สีหน้าเคลือบแคลง “ข้าคิดจะทิ้งเจ้าตั้งแต่เมื่อไร ข้าออกจากซูโจวไปเที่ยวเล่น ต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือเจ้ามาตามหาข้า เพราะเหตุใดเล่า”

“เจ้าคิดจะหาเงินลับหลังข้าไม่ใช่หรือ กลัวว่าถ้าข้ารู้เข้าจะทำให้เจ้าเสียการใหญ่”

ฮวาปู๋ชี่เหลือบมองตงฟางสือปราดหนึ่งพลางกล่าวว่า “ป้ายหยกที่เก็บได้วันนั้นอยู่กับพ่อบ้านโซ่ว วันหลังค่อยคืนให้เจ้าก็แล้วกัน”

นางเชื้อเชิญตงฟางสือนั่งลง ยื่นน้ำดื่มยื่นอาหารแห้งให้อย่างกระตือรือร้น

ตงฟางสือพบว่าจูโซ่วไม่อยู่ ในใจเกิดความกังขา ถามว่า “ก่อนเฉิงอ๋องเสียชีวิตเคยช่วยเหลือสกุลตงฟาง ข้าจึงเก็บป้ายหยกของเขาไว้”

ฮวาปู๋ชี่ร้องอ้อ แสร้งไม่สนใจ เติมฟืนลงในกองไฟ ลอบคิดในใจว่าเจ้าอธิบายอะไร ยิ่งอธิบายยิ่งมีพิรุธ

นางปิดปากเงียบไม่พูดถึงป้ายหยกชิ้นนั้นอีก ส่งยิ้มหวานหยดให้เขา “ตงฟางสือ เจ้าขัดขวางสกุลจูทำการค้า แม้แต่เงินที่ข้าชนะพนัน เจ้าจะใจแคบขัดขวางข้าด้วยหรือ”

ตงฟางสือครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “หากเจ้าไม่ทิ้งข้า ข้าไปเมืองสือเฉิงเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้”

ฮวาปู๋ชี่ปรีดายิ่ง “ยอดไปเลย มีผู้คุ้มกันวิชายุทธ์สูงส่งอย่างเจ้าอยู่ข้างกายก็ไม่ต้องห่วงว่าเงินที่ข้าชนะพนันจะถูกคนฉกไป แต่ก่อนไปสือเฉิง ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าช่วย”

ตงฟางสือเหล่ตามองนางครู่หนึ่ง “จู่ๆ ก็ทำดีกับข้า เกรงว่าเรื่องที่ให้ช่วยคงยุ่งยากมากสินะ”

ฮวาปู๋ชี่มุ่ยปากกล่าวว่า “ไม่ยุ่งยากอันใด ด้วยฝีมือของคุณชายตงฟาง ขึ้นเขาช่วยพ่อบ้านสามของข้าออกจากรังโจรย่อมไม่ใช่เรื่องยาก หรือเจ้าไม่กล้ารับมือกระทั่งโจรชั่วคนหนึ่ง ขี้ขลาดแบบนี้ มีคุณสมบัติใดมาขอข้าแต่งงาน”

“ฮ่าๆ” ตงฟางสือหัวเราะจนปวดท้อง ทันใดนั้นเขาก็หุบยิ้ม กล่าวเสียงเย็นว่า “หากไม่ใช่เพราะจูโซ่วถูกโจรชั่วจับตัวไป เกรงว่าพอเจอข้า เจ้าคงรับมือด้วยการใช้หน้าไม้สั้นอันนั้นแล้ว”

ฮวาปู๋ชี่ยิ้มแห้งๆ พลางลูบแขนโดยไม่รู้ตัว “ข้าไม่เป็นวิชายุทธ์ แค่ป้องกันตัว ไหนเลยจะกล้าใช้มันรับมือเจ้า อีกอย่าง หน้าไม้นี้ในสายตาของเจ้าก็เป็นเพียงของเล่นเด็ก ทำร้ายเจ้าไม่ได้ ตงฟางสือ ตกลงเจ้าจะช่วยพ่อบ้านสามหรือไม่”

ตงฟางสือรู้สึกว่านางพูดถูกต้อง หน้าไม้อันเดียวทำอันใดเขาไม่ได้ เขาหัวเราะเยาะตนเอง “จูโซ่วหนีไปนานแล้ว บนเขาไม่มีคน แต่น่าเสียดายที่เขาโชคร้ายไม่เจอเจ้า”

ได้ยินว่าจูโซ่วเอาตัวรอดได้ ฮวาปู๋ชี่ทั้งดีใจทั้งท้อใจ นางปรับความคิดอย่างรวดเร็ว ตบหน้าอกผ่อนลมหายใจกล่าวว่า “เขาหาข้าไม่เจอจะต้องไปเมืองสือเฉิงแน่ ข้ากับเขาตกลงกันว่าจะไปเล่นพนัน คุณชายตงฟางยินดีไปเมืองสือเฉิงกับข้าหรือไม่”

ตงฟางสือคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ข้ายินดีแน่นอน ยายเด็กน้อยจู บางครั้งข้านับถือเจ้าจากใจจริง ใช้ประโยชน์จากใบหน้ายิ้มแย้มได้อย่างเต็มที่ในเวลาที่สมควรใช้ หากไม่มีข้า กลางทะเลทรายเกอปี้อย่างนี้ เจ้าตัวคนเดียวไม่กลัวหรือ ไม่เป็นไร ไม่ต้องอธิบาย แค่จดจำไว้ว่าข้าเป็นผู้คุ้มกันให้เจ้า วันหน้าเจ้าต้องตอบแทนข้า”

“จากที่เจ้าพูด ข้าประจบสอพลอขนาดนั้นเชียวรึ เช่นนั้นวันพรุ่งเราต่างคนต่างไป เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคุณหนูร่ำรวยอยู่แต่ในเรือน ไม่ก้าวข้ามประตูออกไปที่ใดจริงหรือ เจ้าอยากเดิมพันกับข้าสักครั้งหรือไม่ ดูว่าข้าคนเดียวเดินทางข้ามทะเลทรายเกอปี้ได้หรือไม่ นอนดีกว่า วันพรุ่งคุณชายตงฟางอย่าตามข้ามาอีก”

ตงฟางสือหัวเราะร่า “ข้าพูดผิดไป คุณหนูจูเฉลียวฉลาด แม้เจอโจรชั่ว อาศัยลิ้นสาลิกาของเจ้าย่อมโน้มน้าวให้พวกเขาเปลี่ยนทิศทางของปลายดาบได้ ข้ายินดีไปเมืองสือเฉิงเป็นเพื่อนเจ้า”

“เจ้าอยากให้ข้ารับรักเจ้า ชดใช้คืนให้เจ้าวันหน้าไม่ใช่หรือ”

“ช้าเร็วเจ้าต้องเป็นคนของข้า ข้าปกป้องเจ้าเป็นหลักการที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คืนไปคืนมาไม่มีประโยชน์”

ฮวาปู๋ชี่ยิ้มแยกเขี้ยวยิงฟัน “อย่าพูดจาโอหัง รอข้าหาเงินมากพอ ข้าก็ไม่ต้องแต่งกับเจ้าแล้ว”

“ข้าถึงอยากไปเมืองสือเฉิง ดูว่าเจ้าจะชนะได้เงินเท่าไรในบ่อนเซียวจินทางตะวันตก”

ฮวาปู๋ชี่ขุ่นเคืองไม่พูดจา พลิกตัวนอนบนพรม คลุมตัวครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งรองบนพื้น ขดตัวเป็นก้อน ในสมองพลันขบคิดว่าไยข่าวของตงฟางสือถึงไวเช่นนี้ ไล่ตามมาได้อย่างแม่นยำ ความสามารถของคนคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว นางรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าหาเงินไม่พอจนต้องแต่งให้เขาจริงๆ

ตงฟางสือเหนื่อยล้าเช่นกัน เขาล้มตัวนอนข้างกองไฟใช้สองมือประสานรองศีรษะมองดวงดาวเต็มนภา ในสมองครุ่นคิดว่าเหตุใดเขาต้องไล่ตามมาด้วย ก่อนอื่นไม่ต้องคิดว่านางจะไปหาเหลียนอีเค่อ ยามนี้ดูเหมือนว่านางแค่ต้องการหาเงินเท่านั้น

ไฉนเขาต้องรับปากว่าจะไปบ่อนเซียวจินเมืองสือเฉิงกับนางด้วย เขาสมควรพานางกลับซูโจวไม่ใช่หรือ ผู้ใดใช้ให้นางหาเงินไม่ครบเล่า เขาชะเง้อมองด้วยความกังขา เห็นใบหน้าหมดจดของฮวาปู๋ชี่ในม้วนพรม

“เจ้ากลัวและเกลียดข้ามาตลอดไม่ใช่หรือ ไม่กลัวว่าข้าจะคิดชั่วร้ายหรือไร” เขาพึมพำแผ่วเบา

สายลมพัดโชย ตงฟางสือหยิบพรมข้างอานม้า เดินเข้าใกล้ฮวาปู๋ชี่ด้วยต้องการจะห่มให้นาง ลูกศรคมกริบดอกหนึ่งพุ่งตรงใส่หน้า เหงื่อเย็นเยียบไหลเต็มแผ่นหลัง รีบเบี่ยงตัวหลบหงายหลังลงกับพื้น ลูกศรดอกนั้นเฉียดผ่านแก้มของเขาไป

ตงฟางสือเดือดดาล “ยายเด็กน้อยจู ข้าหวังดีช่วยห่มผ้าให้ เจ้ากลับคิดจะฆ่าข้า ฆ่าข้าแล้วก็ไม่ต้องแต่งงานสินะ ฝันหวานเกินไปแล้ว”

ฮวาปู๋ชี่กะพริบตาปริบๆ ราวกับไม่มีความผิด เอ่ยว่า “ขอโทษด้วย ข้าหลับจนเลอะเลือน ลืมไปว่ามีผู้คุ้มกันอย่างเจ้าอยู่ข้างกาย พอได้ยินเสียงก็กดกลไกโดยไม่รู้ตัว”

“จริงหรือ”

“ข้าสาบานว่าทั้งหมดที่ข้าพูดเป็นความจริง ข้าตัวคนเดียวถูกโจรชั่วไล่ล่า และยังเป็นห่วงพ่อบ้านโซ่วด้วย ข้า…ไหนเลยจะกล้าฆ่าเจ้า ถึงอยากฆ่าก็ไม่ใช่ยามนี้ ที่นี่ปราศจากผู้คน เจ้าต้องคุ้มกันข้า ฆ่าเจ้าแล้วข้าก็เหลือตัวคนเดียว” ฮวาปู๋ชี่พูดแล้วเบะปาก หยาดน้ำตาใสคลอเบ้า ไหลหยดลงมาตามแพขนตางาม ท่าทางน่าสงสารเป็นที่สุด

ตงฟางสือจ้องนางครู่ใหญ่ ก่อนถอนใจเบาๆ ห่มผ้าให้นาง เขาคว้าแขนขวาของนางก่อนถลกแขนเสื้อขึ้น เห็นหน้าไม้ที่ประณีตงดงาม ด้านบนยังติดลูกศรเล็กๆ หกดอก

เขาเดินไปเก็บลูกศรที่ยิงออกไปไกลดอกนั้นกลับมาติดบนหน้าไม้ให้นาง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป หลับให้สบาย เจ้าก็รู้ว่าข้าวิชายุทธ์สูง ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเจ้าแน่”

ในใจฮวาปู๋ชี่หวั่นไหว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตงฟางสือยามนี้ไม่ได้เลวร้ายนัก นางส่งยิ้มขอบคุณให้เขาก่อนข่มตานอนต่อ

นางตั้งใจยิงใส่ นับแต่ที่เห็นเขาวางยาปลุกกำหนัดอวิ๋นหลาง นางก็คิดฆ่าเขามาตลอด

นางไม่ใช่คนดีอันใด ในสมองผุดความคิดต้องการสังหารตงฟางสือ นางรู้สึกว่าถ้าเขาตายแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องแต่งให้เขาอีก ที่นี่กว้างใหญ่ไพศาล เงียบสงบเวิ้งว้าง ฆ่าเขาตายย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ น่าเสียดายที่ยิงไม่โดนเขา ครั้งนี้ยิงพลาด ตงฟางสือไม่มีทางให้โอกาสนางเป็นครั้งที่สองแน่

ฮวาปู๋ชี่บอกตนเองว่าอย่าถูกเขาหลอก นึงถึงอวิ๋นหลาง นึกถึงเขาที่ต้องการฆ่าเหลียนอีเค่อ ไม่นานนักใบหน้าอ่อนโยนของตงฟางสือในสมองก็กลับกลายเป็นอัปลักษณ์ดุร้ายอีกครั้ง

นางหลับตาย่อมไม่เห็นสีหน้าของตงฟางสือ เขานอนตะแคงเอามือเท้าศีรษะจ้องนาง ในดวงตาทอประกายอยากรู้อยากเห็น ราวกับเจอของเล่นที่น่าสนุก นางน่ารักและพิเศษมาก ได้อยู่กับนางเหมือนเสพติดก็มิปาน นางมักมีอันใดใหม่ๆ เสมอ

ตงฟางสือนึกในใจด้วยความอ่อนโยนไร้ที่สิ้นสุดว่า เจ้าเสแสร้ง พยายามเสแสร้งไปเถิด คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ

 

สายลมในทะเลทรายเกอปี้พัดกระหน่ำ ม้วนฝุ่นหินกรวดทรายบนพื้นขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นโหมซัดลงมาอย่างรุนแรงอีกครา พายุทรายอย่างนี้สร้างความลำบากมากที่สุด

อาชาเดินทางช้าลง คนลืมตาไม่ขึ้น หายใจก็สูดเอาดินทรายเข้าไปเต็มปอด ทอดตามองไกลออกไป ฟ้าดินขมุกขมัวมืดครึ้ม

ฮวาปู๋ชี่ใช้ผ้าพันคอปิดบังใบหน้า คิดในใจว่าถ้ามีแว่นกันแดดคงดีไม่น้อย นางก้มต่ำ ผ่อนคลายตนเองขณะหมอบฟุบบนหลังม้า มือกุมเชือกบังเหียนแน่น ควบม้ามุ่งตรงไปข้างหน้า

ตงฟางสือก็เหมือนนาง ใช้ผ้าพันคอปิดบังใบหน้า แต่บนศีรษะไม่มีหมวกหนังเหมือนฮวาปู๋ชี่ พอโดนละอองทรายก็รู้สึกว่าหนังศีรษะคันเป็นระยะๆ เขากัดฟันแน่น สบถว่า “สถานที่เฮงซวย!”

ฮวาปู๋ชี่เหลียวหลังกลับมา กล่าวว่า “พวกเราหาที่หลบพายุกันเถิด”

ตงฟางสือเองก็ไม่อยากเดินทางท่ามกลางพายุ มองซ้ายแลขวาพบว่าไม่ไกลนักมีต้นหูหยาง[2]สูงใหญ่หลายต้น พุ่มไม้หนามใต้ต้นคล้ายมีกำแพงเป็นวงเตี้ยๆ อยู่ เขาชี้ให้ฮวาปู๋ชี่ดู “ไปพักตรงนั้น”

ทั้งสองคนเร่งฝีเท้าม้า สถานที่ดูเหมือนใกล้ แต่กลับใช้เวลาพักใหญ่

ที่นี่มีก้อนหินหลายกอง บางทีหลายหมื่นปีก่อนอาจเป็นภูเขาลูกหนึ่งแล้วค่อยๆ กลายเป็นทราย ถูกสายลมพัดกัดกร่อนจนแคบลง ดุจรั้วที่ตั้งตระหง่านกลางทะเลทรายเกอปี้ ห่างจากก้อนหินไม่ไกลมีต้นหูหยางสูงใหญ่สามต้น ใบไม้ร่วงโรยหมดนานแล้ว เผยกิ่งก้านที่ทรงพลัง พุ่มไม้หนามเติบโตรอบต้น เต็มไปด้วยผลไม้สีเหลืองราวไข่มุกก็มิปาน

ตงฟางสือผูกม้าไว้กับต้นไม้ หาจุดที่ลมพัดไม่ถึง ปัดผมตนเอง ฝุ่นละอองทรายเกือบเข้าตา

ฮวาปู๋ชี่ตาลุกวาว จ้องผลซาจี๋[3]จนน้ำลายไหลย้อย

ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าหลังเข้าสู่เหมันตฤดูคนทั่วไปไม่ยินดีเดินทางข้ามทะเลทรายเกอปี้ ในฤดูนี้มีทั้งลมที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งและหิมะตก พืชพรรณมีน้อย ตาน้ำแห้งขอด เมื่อหลงทางในทะเลทรายเกอปี้ ไปไม่ถึงจุดพักแรมไม่มีน้ำและอาหารเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง

โชคดีที่เพิ่งย่างเข้าเดือนสิบสอง ยังไม่ถึงคืนที่หายใจออกมากลายเป็นน้ำแข็ง

ชาติก่อนฮวาปู๋ชี่ติดตามพี่ซานออกต้มตุ๋นลักขโมยเหนือจรดใต้ เคยไปแถบชิงไห่กับซินเจียง นางคาดการณ์ว่าที่นี่มีภูมิอากาศและภูมิประเทศคล้ายชิงไห่ เรื่องราวเกิดขึ้นนานโข ความทรงจำบางอย่างเลือนหาย แต่วิธีการเอาตัวรอด หาของกินในที่ว่างเปล่ากลับกลายเป็นความทรงจำอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันลืมเลือน

นางพักเหนื่อยครู่หนึ่ง ดื่มน้ำเคี้ยวหมั่นโถวเสร็จ หิ้วถุงน้ำขึ้น ในถุงหนังแพะมีน้ำเพียงครึ่งเดียว

ตงฟางสือหลับตาพักผ่อน

ฮวาปู๋ชี่ม้วนขากางเกงขึ้นดึงกริชที่ติดกับขาออกมา

“ของเล่นติดตัวไม่น้อย ไฉนถึงเปลี่ยนมาใช้นี่เล่า ใช้หน้าไม้ยิงข้าไม่ดีกว่าหรือ” ตงฟางสือคว้าแขนของนาง ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

ฮวาปู๋ชี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ปล่อยนะ ผู้ใดอยากจะฆ่าเจ้า ก็รู้กันอยู่ว่าเจ้าคิดเจ้าแค้น บอกแต่แรกแล้วว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ใจแคบจริง ข้าไม่เป็นวิชายุทธ์ จะโง่เอากริชแทงเจ้าได้อย่างไร”

ตงฟางสือตะลึงงัน ปล่อยมือนาง ยิ้มกล่าว “มีคนถือกริชเข้าใกล้ข้า ข้าแค่คว้ามือของเจ้าโดยไม่รู้ตัวก็เท่านั้น”

ฮวาปู๋ชี่แค่นเสียงหัวเราะ “ไร้ยางอาย วาจาเสแสร้งแบบนี้ยังกล้าพูด”

เมื่อรู้ว่านางไม่ต้องการฆ่าตน ตงฟางสือพลันอารมณ์ดี กะพริบตากล่าวว่า “ที่นี่ทิวทัศน์ไม่งดงาม อากาศไม่ดี หยอกล้อเจ้าค่อยมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง ข้าพูดเช่นนี้เพราะต้องการยั่วโมโหเจ้า พอเจ้าโมโหก็บ่นไม่หยุด ข้าถือว่ากำลังฟังลำนำผิงถานก็แล้วกัน”

ฮวาปู๋ชี่กลอกตากล่าวว่า “ข้าเห็นต้นไม้เตี้ยๆ มีผลไม้ นั่นเรียกว่าผลซาจี๋ รสชาติไม่เลว ไม่รู้ว่าก่อนที่น้ำสะอาดและอาหารแห้งของพวกเราหมดจะได้เจอผู้คนหรือไม่”

“อย่างนั้นนเจ้าไปเก็บก็แล้วกัน”

ฮวาปู๋ชี่คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าอยากตัดชายเสื้อของเจ้าเอามาใส่ผลไม้”

ตงฟางสือถามอย่างแปลกใจ “เจ้าไม่มีห่อสัมภาระหรือ”

ฮวาปู๋ชี่คิดในใจ ถ้าไม่ใช่เจ้าไล่ตามมาติดๆ สัมภาระของข้ากับจูโซ่วคงไม่ลืมทิ้งไว้ในโรงเตี๊ยม ยามนั้นรีบซ่อนตั๋วเงิน ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทาง ไม่ได้พกเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนสักชุด นางหัวเราะร่า “มีเงินซื้อใต้หล้า ข้ากับพ่อบ้านโซ่วพกแต่เงินเท่านั้น”

ขณะที่ตงฟางสืออยู่บนเขาหลงเหมินคืนนั้น ม้าที่นายท่านสามเตรียมให้มีเพียงพรม น้ำสะอาดในถุงหนังแพะหนึ่งถุงและขนมเปี๊ยะสิบชิ้น เขาถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นเสื้อเข้ารูปภายในซึ่งทอจากผ้าแพรงดงาม

“ไม่ต้อง แค่ชายเสื้อคลุมก็พอแล้ว ใส่เสื้อเถิด กลางคืนหนาวมาก” ฮวาปู๋ชี่ตัดชายเสื้อออกแล้วคืนเสื้อคลุมให้เขา

“ไม่เลว ในที่สุดเจ้าก็เรียนรู้ที่จะห่วงใยข้าแล้ว”

ฮวาปู๋ชี่ตัวสั่น รู้สึกคันคอเหมือนมีทรายติดอยู่ในลำคอ นางถอนใจกล่าวว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะหนาวจนเป็นไข้ ข้าตัวคนเดียวไม่รู้วิชายุทธ์ ซ้ำยังต้องดูแลเจ้าด้วย เจ้าไม่อายหรอกหรือ”

นางหยิบผ้าชิ้นนั้นไปเก็บผลซาจี๋ ผลไม้เหล่านี้สุกนานแล้ว ไม่เก็บก็เน่าเสียร่วงหล่น ฮวาปู๋ชี่เด็ดผลหนึ่งเข้าปาก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน แย้มยิ้มพลางขบคิดในใจ วิตามินซีธรรมชาติเลยนะ

ตงฟางสือพิงกำแพงหินมองเงาหลังของนาง ฮวาปู๋ชี่สวมเสื้อหนาวสีเขียวบุฝ้ายเหมือนเด็กผู้ชาย แต่ไม่รู้ เพราะเหตุใดเขากลับจ้องอย่างหลงใหล เขาตัวสั่นเทาหยิบเสื้อคลุมที่ถูกตัดมาใส่ ยามนี้ใส่เสื้อขาดวิ่นก็ไม่รู้สึกว่าน่าอายตรงไหน

ฮวาปู๋ชี่ใช้เวลาเก็บหนึ่งชั่วยามเต็ม ตงฟางสือก็จ้องนางหนึ่งชั่วยามเช่นกัน นางเก็บอย่างขะมักเขม้น กินอย่างมีความสุข เขาจ้องจนเคลิบเคลิ้มใจลอย เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

“ลองชิมดู” ฮวาปู๋ชี่ชูผลไม้ที่เก็บกลับมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าถูกลมและทรายย้อมเป็นสีเทา ดวงตายังคงใสบริสุทธิ์ดุจลำธารภูเขา

ตงฟางสือหยิบผลไม้สีเหลืองที่มีขนาดเท่าไข่มุกเข้าปาก รสเปรี้ยวอมหวานกระจายเต็มช่องปาก เขาอุตส่าห์ให้เกียรติกินคำโต

ฮวาปู๋ชี่มัดผลไม้เสร็จเรียบร้อย นั่งพิงกำแพงหินกล่าวว่า “ลมแบบนี้พัดหลายวัน ถ้าพวกเรายังไม่ไปอีกก็จะติดอยู่ที่นี่”

“นอนต่ออีกหน่อยดีหรือไม่ พอลมหยุดตอนกลางคืนพวกเราจะออกเดินทางทันที” ตงฟางสือแนะนำเงียบๆ

“ได้”

ตงฟางสือหยิบพรมบนหลังม้า ทดสอบทิศทางลม ขยับตัวถอดเสื้อคลุมพาดก้อนหิน หาโขดหินป้องกันพายุทรายให้ฮวาปู๋ชี่

“ขอบคุณ” ฮวาปู๋ชี่ไม่เกรงใจ ขดตัวงีบหลับ เมื่อนอนลงนางก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่าง การขี่ม้าไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ควรทำเลย

นภายิ่งมืดมิด ตงฟางสือได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของฮวาปู๋ชี่ก็อดยิ้มไม่ได้ เขายันกายลุกยืนอย่างแผ่วเบา บิดขี้เกียจพลางเหลียวซ้ายแลขวา เดินตรงไปปลดทุกข์เบาที่กองหินอีกกองซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก

สายลมพัดผ่าน เขาด่าทอสภาพอากาศที่ย่ำแย่พร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่เห็นดาวสักดวง

เขาเดินกลับไปที่กำแพงหิน เอื้อมมือยกผ้ามุมหนึ่งขึ้นเห็นฮวาปู๋ชี่หลับสนิท หมวกหนังเบี้ยวไปอีกข้าง ช่างน่ารักเหลือเกิน เขาปล่อยมุมผ้าลง หยิบถุงน้ำขึ้นดื่มหลายอึก เอนกายพิงกำแพงหินค่อยๆ ผล็อยหลับไป

 

อากาศในทะเลทรายเกอปี้เปลี่ยนแปลงคาดเดาไม่ได้ วันก่อนยังเต็มไปด้วยพายุทราย วันรุ่งขึ้นกลับมีแดดเจิดจ้า นภาสีครามปุยเมฆสีขาว อาทิตย์สดใสสาดส่องจนตงฟางสือต้องลืมตาตื่น แม้อุณหภูมิจะไม่สูง แต่เมื่อเทียบก่อนและหลังลืมตากลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เขาเวียนหัวเล็กน้อย ขยับคอไปมาก่อนร้องเรียกด้วยความตกใจว่า “ยายเด็กน้อย ม้าของพวกเราหายไปแล้ว” ข้างกายเงียบกริบ เขาหันมอง โทสะพลันผุดขึ้นในแววตา ข้างกายไม่มีใครสักคน

เขาถูกปล้นจนเกลี้ยง นอกจากเสื้อขาดๆ ผลซาจี๋ที่ถูกเด็ดโยนเกลื่อนพื้น ถุงน้ำหนังแพะแล้ว แม้แต่พรมบนตัวยังเอาไปด้วย ถุงเงินใบเล็กๆ ในอกเสื้อก็หายไป

ตงฟางสือหยิบถุงน้ำขึ้นเทน้ำออกเล็กน้อย คิ้วดุจใบหลิวขมวดแน่น “ยานอนหลับ”

รู้จักใช้ยาชนิดนี้ ซ่อนตัวอยู่รอบๆ โดยอาศัยพายุทรายไม่ให้เขาจับได้มีเพียงโจรทะเลทรายเท่านั้น ฉวยโอกาสตอนเขาปลดทุกข์เบาแอบวางยาในถุงน้ำ ลักพาตัวฮวาปู๋ชี่เพราะเห็นว่านางเป็นสตรี โชคดีที่ไม่ฆ่าเขาทิ้ง บางทีโจรทะเลทรายเหล่านี้อาจคิดว่าเขาเป็นบัณฑิต ขี้เกียจเสียเวลาลงดาบก็เท่านั้น

เขาเก็บผลซาจี๋ที่กระจัดกระจายบนพื้นอย่างทะนุถนอม “ยายเด็กน้อย ยามนี้ข้าต้องพึ่งผลไม้พวกนี้ประทังชีวิตแล้ว เจ้ารอข้าหน่อยนะ”

เขาใช้เสื้อคลุมขาดๆ ห่อผลซาจี๋ผูกไว้ด้านหลัง มือคลำสายคาดเอว หัวเราะก่อนสบถ “โจรโง่ กระบี่เล่มนี้ยังอยู่”

ผู้ที่ลักพาตัวฮวาปู๋ชี่ไปมีเพียงหนึ่งเดียว เป็นคนที่เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มส่งมาติดตามกองคาราวานที่เดินทางออกจากทะเลทรายเกอปี้

ขณะที่ฮวาปู๋ชี่กับตงฟางสือมาหลบพายุ เขาก็หลบอยู่หลังกำแพงหินแล้ว

เขาใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายเกอปี้หลายปี ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ลมไม่ไกลจากต้นหูหยาง คนคนนี้มีฉายาว่าซาสู่[4] เชี่ยวชาญการติดตาม วิชาตัวเบายอดเยี่ยม เสื้อกันหนาวหนังแพะถูกพายุทะเลทรายย้อมเป็นสีเหลืองทั้งตัวก็พลิกอีกด้านสวมใส่แล้วหมอบกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อนทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา ต่อให้วิชายุทธ์สูงส่งกว่านี้ หากไม่ทันระวังตัวย่อมไม่มีทางจับเขาได้

การสนทนาระหว่างตงฟางสือกับฮวาปู๋ชี่ลอยเข้าหูเขาตามสายลมเป็นระยะๆ ได้ยินเสียงเงินพลันบังเกิดแผนชั่วในใจ วิเคราะห์ได้ว่าบุรุษเป็นวิชายุทธ์ ส่วนสตรีไม่เป็น นึกถึงดวงตาสดใสของฮวาปู๋ชี่ขณะเก็บผลไม้ ซาสู่กลืนน้ำลายลงคอ หากพาแม่นางน้อยงดงามคนนี้กลับไป หัวหน้าต้องชื่นชอบแน่ๆ

เขาฉวยโอกาสขณะที่ตงฟางสือปลดทุกข์เบา รีบวิ่งอย่างว่องไวปานหนู วางยานอนหลับในน้ำ จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่อีกด้านอย่างรวดเร็ว

ซาสู่ขโมยเงิน ตีฮวาปู๋ชี่จนสลบและลักพาตัวไป ไม่ได้ฆ่าตงฟางสือ เขาเป็นคนขี้ขลาด ปกติมีหน้าที่ติดตามและคอยหาข่าวเท่านั้น ไม่ค่อยได้ออกปล้น ในทะเลทรายเกอปี้ปล้นได้ม้าถึงสองตัว สตรีหนึ่งคน ตั๋วเงินสองพันตำลึง เศษเงินอีกหลายสิบเหรียญทองแดงและหลบหนีอย่างเงียบเชียบ ซาสู่ลิงโลดสุดขีด เตะตงฟางสือสองทีก่อนหนีไปอย่างอิ่มเอมใจ

เวลานี้เขาไม่รู้เลยว่าการที่เขายั้งมือครั้งเดียว ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออันใด

 

ฮวาปู๋ชี่ฟื้นขึ้นมาก็ถูกฝ่ามือตบก้นหนึ่งฉาด น้ำเสียงลามกดังเหนือศีรษะ “แม่นางน้อย ตามข้าไปเสพสุขเถิด”

นางเงยหน้าช้าๆ พบว่าถูกผูกไว้กับม้าตัวหนึ่ง ข้างกายเป็นม้าอีกตัวที่มีชายสวมหมวกหนังแพะ ใส่เสื้อหนังกลับด้าน ดวงตาเจ้าเล่ห์เพ่งพินิจใบหน้าของนางอย่างเสียมารยาท

หน้าไม้ที่ผูกกับแขนหายไป นางขยับขา กริชหายไปแล้ว ฮวาปู๋ชี่เลียริมฝีปากกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร”

“ข้าคือซาสู่ แม่นางน้อย ดวงตาของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก เข้าป้อมเลี้ยงไว้สองสามปีจะมีชีวิตชีวายิ่งกว่านี้! หัวหน้าชมชอบแม่นางน้อยที่มีดวงตาเปล่งประกายที่สุด”

ฮวาปู๋ชี่ลองถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าเป็นคนของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มหรือ”

ซาสู่หัวเราะลั่นอย่างภาคภูมิใจ “ที่แท้แม่นางน้อยก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหัวหน้าเรา”

ฮวาปู๋ชี่หันมอง “คนที่มาพร้อมกับข้าเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือไม่”

“ไม่ แค่ปล้นของมีค่าเท่านั้น คร้านจะลงมือฆ่า”

ฮวาปู๋ชี่ถอนหายใจ ท่าทางผิดหวัง

ซาสู่ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หรือเจ้าอยากให้ข้าฆ่าเขา”

ฮวาปู๋ชี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสุดแสนเสียดายว่า “ใช่แล้ว น่าเสียดายที่เจ้าไม่ฆ่าเขา เขาชั่วช้านัก ลักพาตัวข้ามาจากเจียงหนาน บอกว่าจะพาข้ากลับเมืองสือเฉิงเสพสุข พอเข้าทะเลทรายเกอปี้เขาก็หลงทาง ข้าว่านะ เขาเป็นพวกค้ามนุษย์เป็นแน่ พี่ซา ข้าเห็นท่าทางท่านเป็นคนดี ตามท่านดีกว่าตามเขา เขามีวิชายุทธ์ พวกเรารีบเดินทางเร็วขึ้นอีกสักหน่อย อย่าให้เขาไล่ตามทัน”

ซาสู่ตะลึงงัน เขาวางแผนลักพาตัวนาง ผลลัพธ์ที่ได้คือนางแนะนำเขาให้เร่งเดินทางเร็วขึ้น

ฮวาปู๋ชี่ทำตัวดีเชื่อฟังคำสั่ง บางทีอาจเป็นเพราะนางอายุยังน้อย ไม่เป็นวิชายุทธ์ไร้อาวุธ หรืออาจเป็นเพราะมั่นใจตนเองเกินไป ต้องการเดินทางเร็วขึ้นอีกสักหน่อย กลางวันซาสู่จึงไม่มัดนาง

หลายวันมานี้อากาศไม่เลว แสงอาทิตย์ไม่ถึงกับอบอุ่น ลมโชยผ่านใบหน้ายังคงเย็นเยียบ รุ่งเช้าน้ำค้างแข็งซ้อนทับเป็นชั้นๆ บนพุ่มไม้เตี้ยเหล่านั้น มองแล้วเหมือนชั้นน้ำค้างขาว ขาวโพลนไปทั่วทุกที่

ซาสู่พานางตรงดิ่งเข้าสู่ใจกลางทะเลทรายเกอปี้โดยไม่ใช้เส้นทางหลัก ฮวาปู๋ชี่ขบคิดด้วยความเสียดาย เว้นแต่ตงฟางสือมีจมูกสุนัข มิเช่นนั้นคงไล่ตามมาไม่ทันเป็นแน่

นางปกปิดความเสียดายนี้อย่างระมัดระวัง ถึงอย่างไรนางก็ต้องแสดงท่าทีเกลียดชังตงฟางสือต่อหน้าซาสู่ อยู่ร่วมกันหลายวัน ฮวาปู๋ชี่คิดว่าเขาเหมาะกับฉายาซาสู่ ด้วยหน้าตาเหมือนหนู ท่าทางตอนล่าไก่ฟ้าในพุ่มไม้ก็เหมือนหนูขโมยอาหารและมีนิสัยขี้ขลาดเหมือนหนู

ฮวาปู๋ชี่พยายามพูดคุยกับซาสู่ เขาชอบคุยเรื่องใด นางก็คุยเป็นเพื่อนเขา ซาสู่ก็เหมือนโจรธรรมดาทั่วไปที่ชื่นชอบเงินกับผู้หญิงเป็นที่สุด

นางพยายามเลี่ยงหัวข้อสนทนาอย่างหลัง อาศัยร่างกายผอมบาง บอกว่าตนอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองเท่านั้น ฮวาปู๋ชี่กังวลนัก ร่างกายนี้ใกล้จะสิบห้าแล้ว รอบเดือนยังไม่มา นางอยากอายุมากกว่านี้อีกสักนิด แม้อายุทางความคิดจะไม่ใช่เด็กหญิงอายุสิบสี่ แต่นางคิดว่าการออกเรือนตอนอายุสิบสามของคนสมัยโบราณนั้นไม่เหมาะสม

ฮวาปู๋ชี่ได้ยินซาสู่พูดถึงเงิน ดวงตาพลันทอประกายเฉกเดียวกับเขา นางกล่าวกับซาสู่อย่างใจกว้างว่า “ถ้าเจ้าเต็มใจ คืนนี้หาที่ดีๆ สักแห่ง หาเนื้อสักชาม ข้าจะคุยเรื่องวิธีชนะพนันให้เจ้าฟัง ข้า…เป็นคนของสกุลซือหม่าแห่งเจียงหนาน”

พอซาสู่ได้ยินคำว่าสกุลซือหม่าแห่งเจียงหนาน แววตาที่มองฮวาปู๋ชี่ก็เต็มไปด้วยความชื่นชมทันที

คืนนี้พวกเขาหยุดพักที่ริมทะเลสาบงดงาม

ทะเลสาบไม่ใหญ่มาก พืชน้ำลอยรอบทะเลสาบยกเว้นตรงกลาง พืชน้ำกับพุ่มไม้โดยรอบเหล่านี้ไม่เหี่ยวเฉาทั้งหมด หญ้าสีเหลืองยังมีสีเขียวประปราย ดวงตะวันตกดิน นกกระเรียนขาวฝูงหนึ่งโบยบินริมทะเลสาบ ยืดคอยาวสง่าผ่าเผย กระพือปีกอ่อนช้อยงดงาม

ฮวาปู๋ชี่พึมพำ “ในที่สุดก็ไม่ต้องกินเนื้อหนูแล้ว” หลายวันมานี้ซาสู่ลงมือจับหนูทุกชนิดในทะเลทรายเกอปี้ เนื้อหอมมาก แต่ทำให้ฮวาปู๋ชี่นึกถึงหนูในห้องเก็บฟืนของคฤหาสน์หงซู่ที่วั่งจิง พอนึกถึงพวกมัน นางก็จะนึกถึงเฉินอวี้ รู้สึกพะอืดพะอมแน่นหน้าอก

นางจ้องฝูงนกกระเรียน มือนวดเอวถูขาที่ปวดร้าว กล่าวว่า “เจ้าจัดการพวกมัน ข้าจะไปดูว่ามีไข่หรือไม่”

ซาสู่ผ่อนคลายความระวัง แม่นางน้อยที่ไม่เป็นวิชายุทธ์ ไม่รู้จักเส้นทางจะหลบหนีไปที่ใดได้ เขาตอบรับอย่างไม่ลังเล กำชับฮวาปู๋ชี่ว่าอย่าเข้าใกล้ทะเลสาบเกินไป ระวังจะตกน้ำ

ฮวาปู๋ชี่ตื้นตันน้ำตาคลอ “พี่ซา ท่านเป็นโจรที่จิตใจประเสริฐจริงๆ”

นกกระเรียนขาวเหนือผิวน้ำ หากซาสู่บุ่มบ่ามเข้าใกล้ มันต้องตกใจบินหนีแน่นอน แต่ฮวาปู๋ชี่รู้ว่าเขามีวิชาตัวเบายอดเยี่ยม จึงหันหลังกลับค้นหาไข่นกกระเรียนในพงหญ้าริมทะเลสาบต่อไป

นางโน้มตัวลงพลางคิดในใจว่านางโชคดียิ่ง ถูกลักพาตัวแต่ไม่นึกว่าคนที่จับนางจะเป็นโจรซื่อค่อนไปทางโง่

หลังพบไข่สองฟองในพงหญ้า ฮวาปู๋ชี่ใส่ไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เก็บพุ่มไม้แห้งหอบกลับไปด้วย

ไม่ไกลนักซาสู่งอตัวเตรียมซุ่มโจมตี เขาหันมองฮวาปู๋ชี่แวบหนึ่ง เห็นนางยิ้มแย้มชูไข่ ข้างเท้ายังมีไม้แห้งกองเล็กหนึ่งกอง

“หินเหล็กไฟอยู่ที่ใด” ฮวาปู๋ชี่ขยับริมฝีปากถามช้าๆ

ซาสู่ล้วงหินเหล็กไฟออกมาโยนให้นาง แล้วหันกลับไปรวบรวมสมาธิเตรียมจับนกกระเรียนอีกครั้ง

ฮวาปู๋ชี่จุดไฟ หันหลังกลับไปควานหาไม้แห้ง หางตาเหลือบเห็นซาสู่ย่องเข้าใกล้ฝูงนกกระเรียนขาวช้าๆ นางเบ้ปาก ลงมือดุจสายลมค้นหาสิ่งของที่ต้องการในถุงหนังที่ซาสู่มัดไว้ข้างอานม้า นางตบมือแสดงท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างที่พวกนักมายากลชอบทำ ก่อนสะบัดมือทั้งสองข้างหอบไม้แห้งขึ้นพลางครวญเพลงเดินกลับอย่างสบายใจ

“พรึ่บ…” ฝูงนกกระเรียนขาวตกใจที่เห็นเงาสีเทาโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ รีบกระพือปีกบินหนีจากพื้นที่อันตราย

ซาสู่จับคอนกกระเรียนได้ตัวหนึ่ง หันกลับเห็นฮวาปู๋ชี่ก่อไฟลุกโชน เขาวิ่งกลับมาด้วยความดีใจ ดึงกริชออกจากรองเท้าเพื่อชำแหละทำความสะอาด

ครึ่งชั่วยามต่อมา กองไฟก็ส่งกลิ่นเนื้อหอมตลบอบอวล

ซาสู่ยังคงตรวจสอบถุงหนังของตนเองอย่างระมัดระวัง หยิบถุงหนังแพะออกมาเติมน้ำสะอาด

ฮวาปู๋ชี่ลุกยืนกล่าวว่า “ข้าเติมให้”

นางกระตือรือร้นเติมน้ำใส่ถุงน้ำจนเกือบเต็ม ถือกลับมายื่นให้ซาสู่

“เจ้าดื่มก่อนเถิด!”

ฮวาปู๋ชี่ดื่มหลายอึกอย่างไม่ลังเล เช็ดน้ำที่เปื้อนมุมปาก “น้ำที่นี่หวานมาก”

ซาสู่ยอมเอื้อมมือไปรับถุงน้ำแต่โดยดี

กินไข่ปิ้งเนื้อกระเรียนย่าง ฮวาปู๋ชี่เล่าเรื่องราวของตนเองกับจูโซ่วในบ่อนพนันให้ซาสู่ฟัง ทำเอาซาสู่ตื่นเต้น คันไม้คันมืออย่างยิ่ง

“ที่จริงคุณชายท่านนั้นลักพาตัวข้าไปเมืองสือเฉิง เดิมคิดจะใช้ข้าหาเงินชนะพนันที่บ่อนเซียวจินแทนเขา” ฮวาปู๋ชี่ชะงักครู่หนึ่ง ทำท่าทางเศร้าใจอย่างยิ่ง

สีหน้าซาสู่มีเพียงความลังเล จู่ๆ พลันหัวเราะ “แม่นางน้อย พอเจ้าไปถึงป้อมก็หาเงินชนะพนันแทนข้าได้ แม้ไม่ใหญ่โตเท่าเมืองสือเฉิง แต่เหล่าพี่น้องล้วนชื่นชอบการพนันเป็นที่สุด”

ฮวาปู๋ชี่ทอดถอนใจกล่าวว่า “ด้วยทักษะการพนันของข้า อยากไปเมืองสือเฉิงทดสอบฝีมือสักครั้ง”

“ไม่เป็นไร หากหัวหน้าให้ความสำคัญกับทักษะการพนันของเจ้า เขาต้องพาเจ้าไปบ่อนพนันเซียวจินแน่นอน”ซาสู่ปลอบใจนาง ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“หัวหน้าดีเหมือนพี่ซาหรือ”

ซาสู่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนยืดอกกล่าวอย่างหาญกล้าว่า “ขอเพียงเจ้าไม่ทรยศป้อม เชื่อฟังคำสั่งหัวหน้า ข้าซาสู่รับรองว่าจะปกป้องเจ้า”

ฮวาปู๋ชี่เผยสีหน้าตื้นตันใจ ยื่นขานกกระเรียนชิ้นสุดท้ายให้ซาสู่ทันที

หลังกินอิ่มแล้ว ซาสู่ใจกว้างยกพรมผืนใหญ่ให้ฮวาปู๋ชี่ เขารู้สึกเสียใจขณะเอ่ย “แม่นางน้อย แม้เจ้าจะเชื่อฟังอย่างดี แต่ข้าจำเป็นต้องมัดเจ้า”

ฮวาปู๋ชี่ปล่อยให้เขามัด จากนั้นเอนกายลงนอนบนพรมพร้อมกล่าวราตรีสวัสดิ์

แสงจันทร์สาดส่องเงียบสงัด ฮวาปู๋ชี่ลองพลิกตัว ออกแรงดึงเชือกเส้นใหญ่ที่มัดขาติดกับซาสู่ เขาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ

นางกลอกตาเปล่งเสียงเรียกดังลั่น “พี่ซา”

ยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ

ฮวาปู๋ชี่ดึงใบมีดออกจากแขนเสื้อ ตัดเชือกจนขาดอย่างคล่องแคล่ว สี่วันแล้ว ในที่สุดนางก็ได้ยานอนหลับจากซาสู่

“ใส่ในน้ำข้ากลัวว่าเจ้าจะได้กลิ่นก็เลยโรยบนเนื้อนกกระเรียนแทน คิดว่าน่าจะออกฤทธิ์ได้ดีพอสมควร มิเช่นนั้นตงฟางสือคงไม่สลบไสล” ฮวาปู๋ชี่พูดไปพลางมัดซาสู่แน่นหนาไปพลาง

นางเดินไปเบื้องหน้าม้าทั้งสองตัว เลือกใช้ม้าที่นายท่านสามมอบให้ม่อรั่วเฟย กริชในมือแทงคอของม้าอีกตัวอย่างไม่ลังเล

ฮวาปู๋ชี่เก็บสิ่งของทั้งหมด มองซาสู่ก่อนกล่าวว่า “หากเจ้าปลดเชือกได้ถือว่าเจ้าโชคดี ปลดไม่ได้ตายอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ความผิดข้า เห็นแก่ที่หลายวันมานี้เจ้าดีกับข้า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”

นางแหงนหน้ามองฟ้า ขบคิดถึงเส้นทางที่ผ่านมาในหลายวันนี้ ก่อนพลิกตัวขึ้นหลังม้าควบตรงไปทางทิศตะวันตก

 

[1] หรือหุน เป็นหน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 เฟิน ประมาณ 1/8 นิ้ว

[2] ลำต้นสูง ผลัดใบเป็นสีเหลืองทองทุกฤดูสารท ทนแล้ง ทนความเป็นกรดด่างของดิน เติบโตได้ดีในทะเลทราย

[3] หรือซีบัคธอร์น มีลักษณะเป็นพวง ผลเล็กสีเหลือง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน วิตามินซีสูง

[4] แปลว่า หนูทะเลทราย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า