ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃
จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก
แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
44
พบกันที่ทะเลทรายเกอปี้โดยบังเอิญ
สองวันต่อมา ฮวาปู๋ชี่เห็นแม่น้ำสายเล็กๆ ริมถนน อดดีใจไม่ได้ นางจำได้ว่าถนนหลวงไปซีฉู่โจวอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำ จึงรีบควบม้าห้อตะบึงไปตามแม่น้ำทันทีโดยไม่สนใจขาอ่อนสองข้างที่ถูกเสียดสีจนถลอกและความเจ็บปวดที่บั้นท้าย ไปได้ไม่ไกลนักก็ปรากฏเงาใหญ่ของภูเขาทอดยาวบนพื้นดิน
นางวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงพบว่าที่นี่เป็นป่าหินธรรมชาติ ชั้นผิวด้านบนร่วนซุยถูกพายุทรายกัดเซาะและพัดพา เหลือเพียงหินแข็งปานกระบี่แหลมคมที่แทงทะลุฟ้า
แม่น้ำไหลออกจากป่าหิน ฮวาปู๋ชี่ลังเลอยู่นานถึงกล้าเข้าไป แผนที่ซีฉู่โจวในความทรงจำของนางไม่มีป่าหินแห่งนี้ ทะเลทรายเกอปี้กว้างใหญ่เกินไป นางรู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันตก แต่ยามนี้นางไม่แน่ใจว่าว่าอยู่ที่ใดแล้ว
นางเดินรอบๆ ป่าหินอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เงยหน้าก็ให้ตกตะลึง
ศพสองศพห้อยอยู่บนโขดหิน พร้อมตัวหนังสือที่เขียนด้วยเลือดแฝงกลิ่นอายสังหารว่า “โจรทะเลทรายเกอปี้ออกจากป่าหินแม้แต่ก้าวเดียวฆ่าทิ้งทันที เหลียนอีเค่อ”
กลีบดอกบัวที่วาดด้วยเลือดให้ความรู้สึกใกล้ชิดนี้ ทำฮวาปู๋ชี่น้ำตาคลอเบ้า หันมองรอบๆ ปากสั่น ตะโกนเสียงดังว่า “เหลียนอีเค่อ ท่านอยู่ที่ใด! เหลียนอีเค่อ…”
นางขี่ม้าอ้อมป่าหิน หวังว่าเขาที่เฝ้านอกป่าหินจะได้ยินเสียงของนาง
ฮวาปู๋ชี่เห็นศพของโจรทั้งสองก็เข้าใจวิธีการของเฉินอวี้
เฉินอวี้ต้องการการกำจัดโจรชั่ว เขาไม่อนุญาตให้พวกโจรก้าวออกจากป่าหินแล้วปล้นชิงในทะเลทรายเกอปี้ เขาไม่โง่ที่จะเข้ารังโจรในทะเลทรายเพียงลำพัง ใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของป่าหินลอบสังหารโจรทีละคนด้วยวิธีการของตนเอง ทำให้พวกโจรชั่วที่ขี้ขลาดตาขาวไม่กล้าเคลื่อนไหว
นางเดาถูกครึ่งหนึ่ง เฉินอวี้ตามพวกโจรทะเลทรายผ่านป่าหินก็พบว่าตรงหน้าเป็นทะเลทราย ไม่ค่อยฉลาดนักหากจะเข้าทะเลทรายตามลำพัง เขาสังหารสองคน แล้วปล่อยคนอื่นไป เพื่อให้พวกเขานำคำเตือนของเขาไปบอกเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม ความตั้งใจดั้งเดิมของเขาคือให้เหลียนอีเค่อปรากฏตัวที่ซีฉู่โจว เพื่อล่อตงฟางสือให้ออกห่างจากฮวาปู๋ชี่ เขารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยที่จะต่อสู้กับโจรทะเลทรายหลายร้อยคนในรังของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มด้วยตัวคนเดียว
เฉินอวี้กลับคาดไม่ถึงว่าฮวาปู๋ชี่จะมาที่ซีฉู่โจว
อาชาวิ่งไปมารอบๆ ป่าหิน ฮวาปู๋ชี่ตะโกนจนเสียงแหบแล้ว ป่าหินใหญ่เกินไป นางไม่รู้ว่าเฉินอวี้อยู่ที่ใด
นภาเริ่มมืด นางขี่ม้าเข้าป่าหิน ไม่กล้าจุดไฟ เนื่องจากมีโจรทะเลทรายปรากฏตัว นางไม่กล้ารับรองว่าจะเจอกะทันหันหรือไม่ จึงผูกม้าไว้กับหินผา กอดพรมและถือถุงหนังแพะ จากนั้นก็พบว่ามีรอยแยกของหินอยู่ไม่ไกลจึงซุกตัวเข้าไป
แสงจันทร์คืนนี้งดงามยิ่ง สายลมพัดเข้าป่าหินหอบใหญ่ ขณะที่ฮวาปู๋ชี่สะลึมสะลือ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันข้างนอก
ไม่ใช่เฉินอวี้ นางตกใจหดตัวกลับเข้ารอยแยกของหินอีกครั้ง พร้อมกับลูบหน้าไม้ที่แขนขวาอย่างเคร่งเครียด
“เหลียนอีเค่อผู้นั้นคงไม่เฝ้าทุกทางออกของป่าหินกระมัง พวกเราพี่น้องมีกันเยอะถึงเพียงนี้ หากพบเขาก็ส่งสัญญาณให้กัน”
“ข้าคิดว่าเขาแค่ขู่ขวัญพวกเราเท่านั้น หนึ่งปีสี่ฤดู เขาจะมารออยู่ที่ป่าหินตลอดไปได้อย่างไร”
หลังพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ก็มีโจรทะเลทรายถือดาบหลายคนปรากฏตัวในป่าหิน
หัวใจของฮวาปู๋ชี่เต้นเร็วขึ้น ฝีเท้าของโจรทะเลทรายดังก้องข้างหูของนาง นางหันมองข้างหลังอย่างสิ้นหวัง ช่องว่างระหว่างหินทั้งสองถูกปิดอย่างแน่นหนา นางรู้ว่าพวกเขาจะต้องพบม้าเป็นแน่ จากนั้นก็จะค้นหานางไปทั่ว
เจ็ดคน ฮวาปู๋ชี่นับเงียบๆ รู้สึกทดท้อใจ เว้นแต่จะมีคนยิงธนูใส่นาง มิเช่นนั้นแล้วจุดจบของนางต้องอนาถมากแน่
“หรือจะเป็นม้าของเหลียนอีเค่อ!” เสียงของโจรทะเลทรายสั่นเครือ เห็นได้ชัดว่ากลัวมาก
ฮวาปู๋ชี่ภาวนาว่าขอให้พวกเขาตกใจหนีไปเงียบๆ
ทว่าสวรรค์ไม่ประทานให้สมปรารถนา โจรทะเลทรายเหล่านี้ทั้งกลัวและแค้นเหลียนอีเค่อ ส่งสัญญาณเป็นแสงสว่างจ้าระเบิดกลางเวหา ส่องรอยแยกของหินสว่างไสว
ไม่นานจากนั้นเสียงกีบเท้าม้าและเสียงฝีเท้าก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่
“หัวหน้า พบม้าตัวหนึ่งขอรับ”
หรือจะเป็นเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม ฮวาปู๋ชี่เอาตัวแนบกับรอยแตกพลางครุ่นคิด
เสียงเปี่ยมพลังดังขึ้น “เอ๊ะ เป็นม้าของนายท่านสามของค่ายหลงหู่ ไม่ใช่เหลียนอีเค่อ ตามหาเร็ว คนจะต้องอยู่ใกล้ๆ นี้แน่”
ฮวาปู๋ชี่ได้ยินถ้อยคำประโยคนี้ แข้งขาก็อ่อนยวบ นายท่านสามของค่ายหลงหู่รึ โจรบนเขาหลงเหมินรึ ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่าตอนที่ตงฟางสือขี่ตัวนี้ เขาบอกนางว่าจูโซ่วไม่ได้อยู่ค่ายหลงหู่แล้ว หรือตงฟางสือกับค่ายหลงหู่มีความสัมพันธ์กันไม่เลว คนเขาถึงส่งม้ามาให้ตงฟางสือขี่
เห็นได้ชัดว่าพวกโจรทะเลทรายที่อยู่ข้างนอกเตรียมตัวไว้แล้ว อาศัยคนมากจุดคบพลิง กวาดแสงไฟผ่านรอยแยกของหิน ทันใดนั้นมีคนผู้หนึ่งยื่นหน้าเข้ามาแล้วสบตากับฮวาปู๋ชี่ “หัวหน้า หาเจอแล้วขอรับ! ออกมาประเดี๋ยวนี้!”
ฮวาปู๋ชี่ตะโกนเสียงดังว่า “อย่าฆ่าข้า ข้าเป็นคนของนายท่านสาม!” นางค่อยๆ เดินออกมา ตกใจจนแข้งขาอ่อน
สถานที่ตรงหน้าไม่ใหญ่นัก เต็มไปด้วยแสงจากคบเพลิง มียี่สิบคนยืนอยู่บนพื้นที่เปิดโล่ง สวมเสื้อหนังแพะสกปรกมอมแมม และสวมหมวกหนัง แสงไฟส่องใบหน้าโหดเหี้ยมอำมหิตของแต่ละคน
ผู้ที่อยู่ตรงกลางเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราโค้งยาว แต่งกายเหมือนหยางจื่อหรง[1] จมูกโด่งดวงตาล้ำลึกเหมือนคนต่างชาติอย่างยิ่ง
เขาพินิจฮวาปู๋ชี่อย่างละเอียด รูปร่างเตี้ย สวมเสื้อหนาวสีเขียวบุฝ้าย สวมหมวกหนัง ใบหน้าสกปรกมอมแมม ดวงตาของเขาจ้องฮวาปู๋ชี่ มีกลิ่นอายฆ่าฟันและแรงกดดันที่มองไม่เห็นกดทับนางอยู่
แข้งขาของฮวาปู๋ชี่สั่น ล้วงถุงเงินออกจากอกเสื้อทันใด “นายท่านสามให้ข้ามาส่งเงินให้หัวหน้า ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมมือกัน”
นางดีใจนักที่พบว่าไม่มีความกลัวเจืออยู่ในน้ำเสียง
เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มมองนาง เหตุใดดวงตาของเจ้านี่ถึงได้สว่างเช่นนี้ ประหนึ่งดวงดาวส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ไม่เหมาะกับหน้าสกปรกมอมแมม เมื่อคิดอย่างนั้นเขาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ฮวาปู๋ชี่ขาอ่อนยวบ ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ประจบว่า “หัวหน้า ท่านอย่าขู่ขวัญทำให้ผู้น้อยตกใจเลย ท่านแค่ก้าวเท้าก้าวเดียว ผู้น้อยก็ตกใจจนขาอ่อนแล้ว”
ความเงียบพลันโรยตัวทั่วบริเวณ ฮวาปู๋ชี่ตื่นเต้น หรือนางจะประจบสอพลอมากเกินไป
เสียงหัวเราะระเบิดออกมาทันที ดังก้องในป่าหินเป็นนาน เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มเดินมาข้างกายนาง หิ้วตัวนางขึ้นคล้ายหิ้วลูกไก่ แล้วหัวเราะเสียงดัง “ไฉนหลงซานถึงให้เจ้าคนขี้ขลาดมาติดต่อ!”
ฮวาปู๋ชี่กล่าวว่า “ข้าน้อยไม่รู้วิชายุทธ์ แต่เล่นพนันเป็น นายท่านสามบอกว่าเงินสองพันตำลึงไม่นับเป็นอันใด ที่ให้ข้าน้อยมาก็เพื่อให้หัวหน้าชนะได้เงินยี่สิบหมื่นตำลึงเพื่อแสดงความจริงใจขอรับ”
เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มรู้สึกสนใจ “เจ้าเล่นพนันเก่งอย่างนั้นรึ”
“เก่งพอตัวขอรับ! ข้าน้อยไม่เคยแพ้มาก่อน” ฮวาปู๋ชี่รู้สึกว่าแผ่นหลังเปียกชุ่มแล้ว พยายามเค้นรอยยิ้มประจบสอพลอ วันใดเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มพานางไปเล่นพนันที่บ่อนเซียวจินของเมืองสือเฉิง นางถึงจะมีโอกาสหลบหนี
ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเข้าป่าหินคนหนึ่ง หมวกหนังแพะเอียงกะเท่เร่ ทำให้ฮวาปู๋ชี่รู้สึกผิดหวัง เพราะจำได้ว่าเขาคือซาสู่
ชั่วขณะที่ทั้งสองคนสบตากัน จู่ๆ ฮวาปู๋ชี่ก็มองโขดหินข้างหน้า ตะโกนว่า “เหลียนอีเค่อ!”
“เหลียนอีเค่อมาแล้ว!” ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนแผดเสียง
เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มที่ยืนอยู่หน้าฮวาปู๋ชี่อดหันมองไม่ได้
ฮวาปู๋ชี่ไม่สนใจสิ่งใดอีก กดกลไกที่แขนทันที หน้าไม้สั้นที่แขนถูกยิงออกมาดังฟิ้วๆ นางได้ยินเสียงร้องของคนที่ถูกยิง ก็หันหลังวิ่งทันใด
“เหลียนอีเค่อมาแล้ว! เหลียนอีเค่อมาแล้ว!” นางร้องเสียงดังแล้วก้มหน้าวิ่งเข้าป่าหิน
“จับนางไว้! ย่ามันเถิด ข้าพลาดท่าหลงกลยายเด็กนั่นเข้าแล้ว! ยายเด็กนั่นเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง! พี่น้องอย่าได้ลนลาน!” ซาสู่ถึงค่อยตะโกนเสียงดัง
ฮวาปู๋ชี่รีบวิ่งไปข้างหน้า คิดว่าตายแน่แล้ว ตายแน่แล้ว วันนี้ตายแน่แล้ว!
นางอดหันมองไม่ได้ ก็ได้ยินเสียงร้องอีกครั้ง โจรทะเลทรายคนหนึ่งอยู่ห่างจากนางไม่ถึงหนึ่งจั้ง ในมือถือดาบยาวจะฟันนาง
ยามนั้นเองมีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งผ่านนางไป แล้วปักที่ลำคอของเจ้าโจรทะเลทรายผู้นั้นอย่างเหี้ยมโหด
“เหลียนอีเค่ออยู่ที่นี่!” ได้ยินเสียงตะโกนของโจรทะเลทรายผู้หนึ่งดังมาจากข้างหลัง
ยามนี้ฮวาปู๋ชี่ยังไม่ทันหันหน้า รู้สึกประหลาดใจที่เห็นลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่ลำคอของโจรทะเลทรายผู้นั้น
เขามาแล้วหรือ เขาอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ สัญญาณของพวกโจรทะเลทรายดึงดูดเขาให้มาที่นี่อย่างนั้นรึ
ฮวาปู๋ชี่ตื่นเต้น ได้ยินเสียงแหวกอากาศดังอย่างต่อเนื่อง นางอดเงยหน้ามองไม่ได้ บนยอดหินตรงหน้ามีคนสวมเสื้อคลุมยืนอยู่ท่ามกลางสายลม หันหลังให้แสงจันทร์ ง้างคันธนู เตรียมจะยิงด้วยท่วงท่าสง่างาม หล่อเหลาดุจเทพเซียน ฮวาปู๋ชี่แหงนหน้ามองเขา น้ำตานองหน้าทันใด “เฉินอวี้”
ลูกธนูแต่ละดอกของเหลียนอีเค่อล้วนยิงถูกโจรทะเลทราย ทักษะการยิงธนูอันน่าทึ่งของเขาทำให้พวกโจรทะเลทรายตะลึงงัน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มกล่าวด้วยเสียงเปี่ยมพลังว่า “พี่น้องทั้งหลาย สังหารเหลียนอีเค่อซะ! แล้วจับตัวยายเด็กนั่น!”
โจรทะเลทรายได้สติ รีบรับคำ แกว่งคบเพลิงและดาบยาวพุ่งไปข้างหน้าไม่คิดชีวิต อาวุธลับมีดบินและลูกธนูในมือถูกยิงออกมาพร้อมกัน
ฮวาปู๋ชี่ได้ยินเสียงแหวกอากาศนับไม่ถ้วน เอามือกุมหัวแล้วกลิ้งตัวบนพื้น ซ่อนหลังก้อนหิน ได้ยินเสียงอาวุธลับและลูกธนูยิงใส่ก้อนหินดังฉึกๆ ฮวาปู๋ชี่อดเงยหน้า ตะโกนเสียงดังไม่ได้ว่า “ท่านอย่ามานะ!”
ยามนั้นเองมีโจรทะเลทรายกลุ่มหนึ่งขี่ม้าพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง พวกเขาโบกคบเพลิง ดาบยาว และหอกเหล็กในมือ ตะโกนอย่างตื่นเต้นแล้วพุ่งเข้าหาฮวาปู๋ชี่
ลูกธนูในกระบอกถูกใช้หมดแล้ว เมื่อเห็นโจรทะเลรายกลุ่มนั้นใกล้นางขึ้นเรื่อยๆ เฉินอวี้ขมวดคิ้วแน่น โยนคันธนูกับกระบอกธนูใส่หัวของโจรทะเลทรายแทนอาวุธลับ ท่ามกลางเสียงร้องน่าเวทนาของโจรทะเลทราย เขากระโดดลงจากยอดหิน กระบี่ในมือเปล่งประกาย ปัดป้องลูกธนูให้ฮวาปู๋ชี่ จากนั้นคว้าเอวของนางพร้อมรับมือโจรทะเลทรายที่บุกเข้ามา
ฮวาปู๋ชี่มองไม่ชัดว่าเกิดอันใดขึ้น ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงร้องของม้า คนก็ทะยานร่างขึ้นกลางเวหา เฉินอวี้กอดนางแนบอก
เขากอดนางแล้วพลิกมือจ้วงกระบี่แทงใส่สะโพกม้า ม้ายกกีบเท้าก่อนห้อตะบึงเข้าป่าหินด้วยความตกใจ
“เขาไม่มีธนูแล้ว! ตามไป!” เสียงร้องของโจรทะเลทรายดังมาจากข้างหลัง
หลังอ้อมผ่านหลายยอดหิน เฉินอวี้อุ้มฮวาปู๋ชี่ลงจากม้า รีบทิ้งม้า แล้วหันหลังซ่อนตัวอยู่หลังยอดหินยอดหนึ่ง
มือข้างหนึ่งจับหินที่ยื่นออกมาจากยอดหิน มืออีกข้างโอบฮวาปู๋ชี่ไว้
ใบหน้าของนางแนบหน้าอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจของเฉินอวี้เต้นแรง พวกเขาสองคนซ่อนอยู่ในเงามืดของดวงเดือน เห็นแสงไฟกับเงาร่างของพวกโจรทะเลทรายเดินผ่านข้างกาย แล้วเสียงกีบเท้าม้ากับเสียงตะโกนอย่างฮึกเหิมของโจรทะเลทรายเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยห่างไปไกล
“พยายามอย่าส่งเสียง” เฉินอวี้กระซิบข้างหูนาง กัดฟันอุ้มนางไปอีกด้านของป่าหิน เสียงของโจรทะเลทรายค่อยๆ จางหาย
เฉินอวี้หยุดกะทันหัน หันมองรอบๆ ก่อนวางฮวาปู๋ชี่ลง
เขาดึงผ้าปิดหน้าลง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า สายตาลุ่มลึกทำนางพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งประโยค เขาเอื้อมมือลูบหน้าของนาง ขยับริมฝีปาก แต่ไม่พูดคำใด แล้วประคองใบหน้าของนางก่อนจูบริมฝีปากนางอย่างหนักหน่วง
ฮวาปู๋ชี่กล่าวเสียงแผ่วว่า “สลัดพวกเขาหลุดแล้วหรือ”
เฉินอวี้ส่ายหน้า กวาดตามองรอบๆ ก่อนชี้ไปที่รอยแยกของหินที่อยู่ไกลๆ กล่าวเสียงร้อนใจว่า “เห็นรอยแยกของหินตรงนั้นหรือไม่ เข้าไปซ่อนข้างใน! วันพรุ่งตอนเย็นออกมาแล้วตรงไปทางตะวันออก เมื่อออกจากป่าหินแล้วไปทางใต้ จะมีคนรออยู่ข้างนอก”
เขาเอาป้ายหนึ่งยัดใส่มือของนาง “จำไว้ วันพรุ่งตอนเย็นจันทร์ลอยกลางฟ้าแล้วค่อยออกมา” เขากล่าวจบก็หันหลังจะเดินจากไป
ฮวาปู๋ชี่ตัวสั่นเทา คว้าสาบเสื้อของเขาไว้แน่น มองเขาอย่างเศร้าสร้อย “อย่าทิ้งข้า ข้ากลัว”
เฉินอวี้สูดหายใจเข้าลึก นี่เป็นครั้งที่สามที่นางจับมุมเสื้อของเขา เขากล่าวกับนางด้วยเสียงอ่อนว่า “พวกเขาจะเฝ้าอยู่นอกป่าหิน ข้าต้องล่อพวกเขาออกไป ปู๋ชี่ เจ้าอยู่กับข้า พวกเราออกไปไม่ได้ เจ้าไม่เชื่อข้าแล้วหรือ ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าเชื่อท่าน ข้าไม่กลัว!” ฮวาปู๋ชี่พยักหน้าสุดแรง กำแผ่นป้ายไว้แน่น แล้วหันหลังเข้าไปซ่อนตัวในรอยแยกของหินที่เฉินอวี้ชี้
เฉินอวี้ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของเขาปานดอกถานฮวา[2]ที่แบ่งบานใต้แสงเดือน งดงามจนนางอดร้องไห้ไม่ได้ เขาดึงผ้าปิดหน้าขึ้น แล้วทะยานร่างจากไปอย่างงดงามดุจเหยี่ยวที่โบยบินเหนือทะเลทรายเกอปี้
ฮวาปู๋ชี่ฟุบอยู่ในรอยแยกของหินแล้วมองเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม เหตุใดนางถึงไม่เป็นวิชายุทธ์นะ เหตุใดนางถึงสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เขาไม่ได้ นางกัดริมฝีปากและพึมพำชื่อเฉินอวี้เงียบๆ ขณะซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกของหิน
เวลาผ่านไปหนึ่งจิบถ้วยชา เสียงของโจรทะเลทรายก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่นานจากนั้นคบเพลิงก็สว่างไสว
ฮวาปู๋ชี่ขดตัวอยู่ในรอยแตกของหินทันควัน ยินเสียงคนโห่ร้องว่า “ตรงนี้มีรอยโลหิต ไปทางนั้น! คิดว่าคงยังไปไม่ไกล”
เลือดรึ ของผู้ใดกัน ฮวาปู๋ชี่รีบเอามือปิดปาก แล้วกัดปากแรงๆ จนตัวสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด เขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาถึงได้ทิ้งนางไว้
“จับเป็นแล้วถลกหนังเขาไปป้อนให้เหยี่ยวกิน!” กลุ่มโจรไล่ตามไปอย่างตื่นเต้น เสียงค่อยๆ เบาลง และค่อยๆ จางหายไป ป่าหินกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
“ท่านโกหกข้า ท่านโกหกข้า…” ฮวาปู๋ชี่ก้มหน้ากัดแขนร้องไห้เงียบๆ นางคลานออกจากรอยแยกของหิน และไล่ตามทิศทางที่เฉินอวี้และโจรทะเลทรายไป
รอยเลือดบนโขดหินเห็นได้ชัด ใบหน้าของฮวาปู๋ชี่นองไปด้วยน้ำตา อ้าปากแล้ววิ่งไปข้างหน้า นางไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น นางเพียงอยากจะเห็นเฉินอวี้
ไม่รู้ว่าวิ่งนานเท่าใดแล้ว ในที่สุดนางก็วิ่งออกจากป่าหิน เบื้องหน้าไม่มีอะไรเลย แสงจันทราอาบไล้ทะเลทรายเกอปี้ บนพื้นไม่มีรอยโลหิต ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ฮวาปู๋ชี่ลนลาน ส่งเสียงร้องเรียก “เฉินอวี้…”
ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ยังคงเงียบสงัด บนพื้นกว้างโล่งและเงียบเหงา ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบทรุดลงนั่งกับพื้น แล้วส่งเสียงร่ำไห้ “เฉินอวี้ ท่านอยู่ที่ใด!”
นางร้องไห้ ก้มหน้าพลางคลานกับพื้นเพื่อค้นหารอยเลือดบนหิน นางจำไม่ได้ว่าหาอยู่นานเท่าใด ในที่สุดก็เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะเคลื่อนไหว
ฮวาปู๋ชี่นอนหงายบนพื้น ยอดหินรอบๆ คล้ายมองนางอย่างเย็นชา ในสมองของนางมีเสียงดังวิ้งๆ ดูเหมือนโลกจะทิ้งนางไว้ลำพัง ฮวาปู๋ชี่พึมพำเสียงแหบว่า “หากท่านตาย ข้าจะไม่ยกโทษให้ท่าน จะไม่ยกโทษให้ท่านเด็ดขาด!”
เฉินอวี้พยายามวิ่งไปข้างหน้า ในที่สุดก็มาถึงจุดที่ซ่อนม้า เขาถอดเสื้อคลุมแล้วมัดกับอานม้า จากนั้นเอากระบี่ในมือแทงม้า ม้าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ยกกีบเท้าขึ้น ก่อนวิ่งไปในทะเลทราย
ร่องรอยของกีบเท้าม้าปรากฏบนทรายอย่างชัดเจน เขาทะยานร่างขึ้นบนกลางเวหา พยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดที่แผ่นหลัง พออยู่ห่างจากจุดซ่อนม้าสามจั้ง ก็นอนราบกับพื้นและคลานไปข้างหน้า เมื่อพวกโจรทะเลทรายไล่ตามมาถึง เขาก็ปีนขึ้นไปถึงบนยอดหินที่สูงสิบกว่าจั้งแล้ว
ตอนมาถึงจุดซ่อนม้าก่อนหน้านี้ เขาพบโพรงที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้นี้ เขาพลิกตัวกลิ้งเข้าโพรง ในสมองส่งเสียงวิ้งๆ บาดแผลที่หลังเหมือนถูกไฟร้อนลวก เขาลูบถุงน้ำที่ซ่อนอยู่ในโพรง ดื่มน้ำสะอาดดื่มหลายอึก ความแห้งผากเนื่องจากสูญเสียเลือดมากเกินไปค่อยๆ ทุเลาลง เขาคลำหาห่อผ้า หยิบโสมภูเขาใส่ปาก รสหวานเต็มโพรงปาก เขาหลับตาลงและโคจรลมปราณเงียบๆ
เสียงฝีเท้าและกีบเท้าม้าอยู่ไม่ไกลนัก เขาฟังเงียบๆ พลางยิ้มขื่นโดยไม่รู้ตัว ครั้งนี้โจรทะเลทรายเกือบครึ่งหนึ่งออกมาจัดการเขา หากไม่ใช่เพราะเห็นฮวาปู๋ชี่โดยไม่คาดคิด เขาคงใช้กำลังลากโจรทะเลทรายกลุ่มนี้ออกจากป่าหินแล้วค่อยๆ กำจัด ทำให้เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มหวาดกลัว ไม่กล้าออกมาปล้นชั่วคราว แต่เขาจะไม่สนใจนางได้อย่างไร เฉินอวี้ขยับริมฝีปากเล็กน้อย นึกถึงใบหน้าของฮวาปู๋ชี่ที่สกปรกมอมแมมเพราะพายุทรายแล้ว ก็รู้สึกอบอุ่นใจ ทุกครั้งนางจะจับมุมเสื้อของเขา ทำท่าทางน่าสงสาร เหมือนกระตุกเส้นด้านในใจของเขา ทำเขาปวดใจอย่างน่าประหลาด เมื่อไรเขากับนางถึงจะได้อยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายนะ
“หัวหน้า เห็นรอยโลหิตกับกีบเท้าม้า พวกเขาคงหนีเข้าทะเลทรายแล้วขอรับ!”
ได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างนอก เฉินอวี้แนบตัวติดผนังเขา
“ยายเด็กนั่นยิงใส่ข้าหนึ่งดอก ข้าต้องตัดมือคู่นั้นของนาง!” เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มพันผ้าไว้ที่แขน ตอนที่ฮวาปู๋ชี่ยิงหน้าไม้ เขาหลบตามสัญญาตญาณ ทว่าก็ยังยิงถูกแขนอยู่ดี เขาหันมองรอบๆ กล่าวว่า “ลั่วถัว ฮุยหู พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ รักษาการณ์ในป่าหินเงียบๆ หากพวกเขาอ้อมกลับมา ก็รีบส่งสัญญาณทันที เข้าทะเลทรายแล้วก็คือดินแดนของข้า! ไล่ตามไป! ห่างออกไปสิบหลี่มีเพียงในป้อมเท่านั้นที่มีอาหาร ทางที่ดีพวกเขาควรหนีเข้ารังของพวกเรา!”
พวกโจรทะเลทรายระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ส่งเสียงแปลกๆ ก่อนไล่ตามเข้าทะเลทรายพร้อมกับเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม
ป่าหินค่อยๆ เงียบสงบ โจรทะเลทรายที่เหลือกันสองคนมองเหล่าพี่น้องที่จากไปไกลด้วยความอิจฉา ลั่วถัวพึมพำอย่างไม่พอใจว่า “คนก็ไปแล้ว ยังจะให้พวกเราสองคนเฝ้ายามอยู่ที่นี่อีก น่าเบื่อจริง!”
ฮุยหูถอนหายใจกล่าวว่า “ไปกันเถิด ไปหลบที่กำบังตรงนั้นจนถึงรุ่งเช้า แล้วพวกเราค่อยกลับไป!”
คนทั้งสองพูดพลางจูงม้าไปยังสถานที่ที่เฉินอวี้ซ่อนตัวอยู่
บาดแผลที่แผ่นหลังของเฉินอวี้แสบร้อน ลำคอแห้งผาก เขารู้ว่าเป็นอาการของการเสียเลือดมากเกินไป หากยังไม่พันแผล แม้มีโสมภูเขาที่ช่วยให้สดชื่น เขาก็คงทนไม่ไหวอีกต่อไป ได้ยินเสียงของฮวาปู๋ชี่พูดอย่างเศร้าสร้อยว่ากลัวดังข้างหู เฉินอวี้กำกระบี่ในมือแน่น
โจรทะเลทรายสองคนเริ่มหยิบพุ่มไม้รอบๆ มาก่อไฟ เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ ดูเหมือนว่าจะมองพุ่มไม้เขียวชอุ่มเหนือโพรง
แสงเดือนสะท้อนเงาร่างของโจรทะเลทรายผู้นั้นเหนือศีรษะของเฉินอวี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อเห็นชัดแล้ว ก็เอากระบี่แทงใส่หน้าอกของโจรทะเลทรายผู้นั้นและเกระโดดออกจากโพรง วัดเหรียญทองแดงในมือทันควัน โจรอีกคนถูกตีจนสลบ ไม่ทันส่งเสียง
เฉินอวี้หายใจหอบหลายที แล้วเงื้อกระบี่แทงโจรทะเลทรายที่สลบจนตาย เขาพบน้ำเต้าที่ใส่สุราแรงจากข้างอานม้าของพวกโจร ถอดเสื้อหลับตาลง จากนั้นเทรดแผ่นหลังจนหมด ทันใดนั้นก็รู้สึกแสบร้อน เหมือนย้อนกลับไปคืนนั้นที่หยวนฉงช่วยเขารักษาอาการบาดเจ็บที่ถูกลูกธนูยิงใส่ ความเจ็บปวดแบบเดียวกัน แต่ครั้งนี้เขากลับมิอาจปล่อยให้ตนเองหมดสติได้
ฮวาปู๋ชี่มาถึงซีฉู่โจวแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องแต่งกายเป็นเหลียนอีเค่ออีก เฉินอวี้หยิบห่อผ้าออกจากโพรง ใส่ยาสมานแผล แล้วพันแผลอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปลี่ยนไปสวมเสื้อคลุมยาวตามปกติ เขาเอาเสื้อเปื้อนเลือดโยนใส่กองไฟ เขาจากฮวาปู๋ชี่มาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว เริ่มรู้สึกร้อนใจ จึงรีบควบม้ากลับไปหานางยังทิศทางที่จากมา
เงียบผิดปกติ แม้แต่ลมที่พัดโชยก็เงียบสงัด ตัวอักษรจวนอ๋องบนป้ายทองในมือภายใต้แสงศศิอ่อนจางแยงตาของฮวาปู๋ชี่จนแสบร้อน
“ไปทางตะวันออกตามแสงจันทร์ พอออกจากป่าหินแล้วไปทางใต้ จะมีคนรออยู่ด้านนอก” นางพึมพำถ้อยคำประโยคนี้ แล้วค่อยๆ ยัดกายลุกขึ้น ใจที่เด็ดเดี่ยวประคับประคองให้นางเดินซวนเซออกจากป่าหิน
มีเพียงคนของเฉินอวี้ที่สามารถหาเขาเจอ ดวงตาของฮวาปู๋ชี่แห้งเหือดไร้น้ำตา ฝ่ามือเป็นแผลถลอก นางออกแรงกำหมัด เล็บมือแตะโดนบาดแผล ทำให้นางได้สติขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจากไปของเฉินอวี้ผุดขึ้นมาในสมองอีกครา นางรู้สึกประหวั่นจริงๆ
เขายิ้มเช่นนี้ให้นางได้อย่างไร ทั้งที่รู้ว่าอาจจะหนีไม่พ้น ไฉนเขาถึงยังยิ้มงดงามให้นาง ฮวาปู๋ชี่ลูบริมฝีปากแห้งแตก พยายามนึกถึงอุณหภูมิของริมฝีปากของเฉินอวี้ แต่ก็นึกไม่ออก
เพราะนางทำให้เขาพลอยเดือดร้อนไปด้วย หากนางไม่มา เขาก็คงไม่ปรากฏตัวต่อหน้าโจรทะเลทรายเหล่านี้ ฮวาปู๋ชี่ตำหนิตนเอง เขาช่วยนางกี่ครั้ง ฮวาปู๋ชี่ก็จำไม่ได้แล้ว ในสมองของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบานของเฉินอวี้ใต้แสงจันทร์
นางนึกถึงเฉินอวี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเดินออกจากป่าหิน ก็เดินไปทางใต้ต่อ จู่ๆ ก็มีอาชาจำนวนนับไม่ถ้วนห้อตะบึงมาจากเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น ใช่คนของเขาหรือไม่ นางยกป้ายทองในมืออย่างอ่อนแรงโดยไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น
[1] เกิด พ.ศ. 2560-2490 เป็นวีรบุรุษปราบปรามโจรของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน สวมเสื้อคลุมหนังแพะ สวมหมวกหนัง
[2] ดอกใหญ่สีขาวจะแบ่งบานและส่งกลิ่นหอมเฉพาะตอนกลางคืน โดยช่วงระยะเวลาบานจะสั้นมาก