[ทดลองอ่าน] ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก เล่ม 3 ตอนที่ 45 จับมือร่วมมือกัน

ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃

จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก

แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

45

จับมือร่วมมือกัน

เสียงกีบเท้าม้าที่ย่ำเข้าป่าหินสะท้อนความกว้างโล่ง เฉินอวี้จ้องรอยแยกของหินนั่นแล้วลูกตาดำหดลงราวกับรูเข็ม นางไม่มีทางวิ่งไปซ่อนที่อื่นโดยไร้เหตุผล นางอยู่ที่ใด หรือโจรทะเลทรายเจอตัวนางแล้ว การคาดเดาต่างๆ ทำใจเขาสับสนว้าวุ่น เส้นโลหิตที่หน้าผากเขาจู่ๆ ก็กระตุก นางทำร้ายหม่าต้าเคราครึ้มจนบาดเจ็บ หากถูกโจรทะเลทรายเจอตัว นางจะต้องตายอย่างแน่นอน เฉินอวี้หันหัวม้าตรงเข้าทะเลทรายโดยไม่ลังเล

บาดแผลที่แผ่นหลังประหนึ่งดาบแหลมคมที่แทงเข้าร่างกาย ทุกครั้งที่ม้าสั่นสะเทือนจะนำพาความเจ็บปวดทิ่มแทงหัวใจมาด้วย สติสัมปชัญญะบอกเขาว่าสมควรไปหาองครักษ์ที่รออยู่นอกป่าหิน แต่ความรู้สึกกลับไม่ให้เขาทอดทิ้งนาง

หลังออกจากป่าหินแล้ว ทะเลทรายสีเหลืองเบื้องหน้าทอดยาวติดต่อกัน เขายืนอยู่ข้างป่าหิน จ้องใจกลางทะเลทรายพลางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนแทะโสมภูเขาเหมือนกับหัวผักกาด สายตาแค้นเคืองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแววกระหายเลือด เขาคลายบังเหียน ตบแผงคอม้า กล่าวเสียงเรียบว่า “ต่างพูดกันว่าม้าแก่รู้ทาง เจ้าพาข้าไปบ้านของเจ้าเถิด”

ม้าของโจรทะเลทรายตัวนี้คล้ายเข้าใจถ้อยคำของเขา ค่อยๆ เหยาะย่างเข้าทะเลทราย

 

ดวงตะวันขึ้นทางตะวันออก สาดส่องทะเลทรายที่ทอดยาวดั่งน้ำสีทองที่รี่ไหลไม่ขาดสาย บางครั้งหญ้าที่เติบโตในทะเลทรายยังส่ายไหวโอนเอนตามสายลม

อาชาตัวหนึ่งห้อตะบึงมาจากที่ไกลๆ รวดเร็วยิ่ง ชั่วพริบตาก็อยู่บนเนินทรายแล้ว

ตงฟางสือสวมเสื้อคลุมยาวที่ถูกตัดออกครึ่งหนึ่ง มองไกลๆ ทั้งสีหน้าบึ้งตึง เขาโชคดีบังเอิญเจอเฮยเฟิ่งที่กลับมาจากหมู่ตึกจันทรา เขาสั่งเฮยเฟิ่งให้รีบกลับไปเลือกคนที่หมู่ตึกจันทรา แล้วขี่ม้าของเฮยเฟิ่งเข้าทะเลทรายตามลำพัง

“กล้าวางยานอนหลับข้า กล้าลักพาตัวคนของข้า เจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม ข้าจะถอนหนวดของเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่เส้นเดียว” ตงฟางสือพึมพำ พลิกมือตวัดแส้ฟาดม้า แล้ววิ่งลงเนินทราย

พลันนั้นหางตาเหลือบเห็นจุดดำไกลๆ เขาเลิกคิ้วดุจใบหลิวด้วยความแปลกใจ สถานที่เปลี่ยวร้างไร้เงาผู้คนนี้ หรือจะมีโจรทะเลทรายอยู่ตามลำพัง อย่างนั้นดีเลยจะได้จับตัวมาเป็นผู้นำทาง มุมปากของเขายกยิ้มชั่วร้าย แล้วหันหัวม้าตรงเข้าไปหา

เฉินอวี้นอนบนพื้นและลืมตาขึ้น ปลายเท้าแตะกระบี่ยาวเงียบๆ ผู้มาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาหรี่ตาเล็กน้อย จำได้ว่าเป็นตงฟางสือ ไฉนตงฟางสือถึงมาที่ทะเลทรายได้ ซ้ำยังมาคนเดียวด้วย

คนผู้นี้มีนิสัยกำเริบเสิบสาน ไม่มีคุณธรรมน้ำมิตร มีความคิดละเอียดรอบคอบ ลงมือเหี้ยมโหด ตอนที่พูดจาตีสนิทหยวนฉงยังเรียกขานเป็นพี่เป็นน้อง แต่พออวิ๋นหลางลงมือเท่านั้นก็ทิ้งหยวนฉงโดยไม่สนใจไยดี ซ้ำยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

เฉินอวี้นึกถึงยามที่เจอตงฟางสือที่จุ้ยอี้ไถเป็นครั้งแรก ในใจเตรียมป้องกันเงียบๆ เขาดีใจที่เผาชุดดำของเหลียนอีเค่อแล้ว ก่อนเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวธรรมดาแทน ครั้นนึกถึงความเป็นอริที่ตงฟางสือมีต่อเหลียนอีเค่อ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงฮวาปู๋ชี่ นางเข้าไปในป่าหินอย่างคาดไม่ถึง ตงฟางสือก็รีบไล่ตามมา หรือที่ตงฟางสือมาที่ทะเลทรายก็เพื่อฮวาปู๋ชี่

หลิ่วชิงอู๋บอกว่าหมิงเย่ว์ฮูหยินเรียกตงฟางสือว่าคุณชาย บอกว่าตนกล้าแย่งชิงภรรยาของคุณชาย คนผู้นี้หมั้นหมายกับฮวาปู๋ชี่ตั้งแต่เมื่อไร เฉินอวี้ยิ่งคิดไปไกลเรื่อยๆ แล้วนึกถึงบ้านสามีผู้ลึกลับของเซว์เฟย หากตงฟางสือเป็นคนตระกูลนั้น เหตุใดถึงอยากแต่งให้เซว์เฟยกับฮวาปู๋ชี่นัก

เขาเสียใจที่จากมาทันทีโดยไม่ได้ถามฮวาปู๋ชี่ถึงสถานการณ์ของสกุลจูอย่างละเอียด สกุลจูบอกคนภายนอกว่าฮวาปู๋ชี่เป็นบุตรีของจูจิ่วหัว เขาเคยสงสัยว่าฮวาปู๋ชี่เป็นลูกของจูจิ่วหัวกับเซว์เฟย สกุลจู เซว์เฟย ชาติกำเนิดของฮวาปู๋ชี่ ตงฟางสือ บ้านสามีผู้ลึกลับ หมู่ตึกจันทรา ปี้หลัวเทียน ดูเหมือนว่ามีเส้นด้ายตรงกลางที่เขามองไม่เห็น แต่พวกมันทั้งหมดเชื่อมต่อกันโดยไม่มีรูปร่าง

ระหว่างครุ่นคิด ตงฟางสือก็เข้ามาใกล้แล้ว เขาผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าซีดกำลังหลับอยู่ตรงหน้า เห็นกระบี่วางอยู่ข้างเท้าเฉินอวี้ ในตาของตงฟางสือเจือยิ้ม ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าขณะเดินเข้าไปใกล้ แล้วเอื้อมมือหยิบกระบี่ยาวเล่มนั้น

เฉินอวี้กระดกปลายเท้า กระบี่ก็มาอยู่ในมือ เขาลืมตาเล็กน้อย กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “สหายท่านนี้แต่งกายหรูหรา หน้าตาหล่อเหลา ไฉนทำตัวเป็นขโมย”

ตงฟางสือหัวเราะเสียงดัง แค่ลองหยั่งเชิง กลับเจอยอดฝีมือผู้หนึ่ง เขากล่าวว่า “พี่ชายท่านนี้มีนามว่าอันใด”

เฉินอวี้กล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าเป็นใคร”

ตงฟางสือกระโดดลงจากหลังม้า เข้าไปใกล้เฉินอวี้โดยไม่ถือสา เขายิ้มกริ่ม “ผู้น้อยตงฟางสือ ฟังจากน้ำเสียงของพี่ชาย เป็นคนจงโจวอย่างนั้นรึ”

เฉินอวี้ตอบเสียงเรียบว่า “ฉางชิงเมืองวั่งจิงแห่งจงโจว คุณชายตงฟางมาจากจิงโจวแห่งเจียงเป่ยรึ”

ตงฟางสือตกใจ ก่อนหัวเราะเหอะๆ “พี่ฉางเดาแม่นอย่างยิ่ง”

เฉินอวี้พักพอแล้ว เขาถือกระบี่พลิกกายขึ้นหลังม้าต้องการจะจากไป

ตงฟางสือรีบตามไป ขยับเข้าไปถาม สีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ฉาง เจ้าจะไปหาเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มใช่หรือไม่ พี่ฉางหารังของพวกโจรทะเลทรายได้อย่างนั้นรึ”

เฉินอวี้มองตงฟางสืออย่างละเอียด จงใจทำหน้ากังขา “ไฉนเจ้าถึงรู้ว่าข้าจะไปหาโจรทะเลทราย พวกเราพบกันโดยบังเอิญ คุณชายตงฟางไม่กลัวว่าข้าจะเป็นพรรคพวกของโจรทะเลทรายหรือ”

“เหอะๆ สีผิวของพี่ฉางไม่มีทางใช่คนที่พำนักในทะเลทรายเกอปี้เป็นเวลานาน เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมดูหรูหรา พี่ฉางจะต้องเป็นคุณชายตระกูลผู้ดีเป็นแน่ ปรากฏตัวอยู่ในทะเลทรายตามลำพัง ย่อมจะต้องตามหาเจ้าโจรทะเลทราย พี่ฉางไม่ได้เรียกเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มว่าโจรทะเลทรายหรอกหรือ ฉะนั้นจะเป็นพวกเดียวกับพวกมันได้อย่างไร” ตงฟางสือหัวเราะ เลื่อนสายตามองม้าที่เฉินอวี้ขี่ก็เข้าใจทันที “ที่แท้พี่ฉางขโมยม้าของโจรทะเลทราย ม้าแก่รู้ทางอย่างดี”

เฉินอวี้ลอบชื่นชมตงฟางสือว่ามีสายตาเฉียบแหลมและความคิดละเอียดรอบคอบ! เขาอ้าปากเล็กน้อย สายตาเปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นเลื่อมใส ถามเสียงแผ่วว่า “คุณชายตงฟางตามหาเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มเพื่อล้างแค้นรึ”

ตงฟางสือกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าจะไปตัวหัวของเขา!”

เฉินอวี้ส่งเสียงอืม กล่าวเหมือนเยาะหยันว่า “คุณชายตงฟางรู้ถึงความเหี้ยมโหดของโจรทะเลทรายหรือไม่ เจ้ามือเปล่าปราศจากอาวุธ อย่าได้รนหาที่ตายเลย”

ตงฟางสือกล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “จงชี่[1]ของพี่ฉางไม่พอ ถือกระบี่จะดีกว่าหมอนปักลายดอก[2]ได้หรือ”

สีหน้าเฉินอวี้บึ้งตึง “ในเมื่อคุณชายตงฟางกลัวว่าจะเป็นภาระข้า อย่างนั้นก็ทางใครทางมันเถิด!”

ตงฟางสือจ้องเฉินอวี้ แล้วลงมือทันที

เขางอนิ้วงอเล็กน้อยเหมือนเหยี่ยวจิกเหยื่อ โดยเล็งไปที่นัยน์ตาของเฉินอวี้

เฉินอวี้ยกมือขึ้น กระบี่ยาวอยู่ระหว่างนิ้วสองนิ้วของตงฟางสือ มีพลังขุมหนึ่งส่งมาที่นิ้วมือ นิ้วมือของตงฟางสือชาเล็กน้อย หน้าของเฉินอวี้ซีดเซียวลง

ตงฟางสือเก็บมือกล่าวว่า “พี่ฉางมีวิชายุทธ์ยอดเยี่ยม”

“นับถือ นับถือ” เฉินอวี้ยอมแพ้ แล้วแสร้งยิ้ม

คนทั้งสองสบตากัน กล่าวพร้อมกันว่า “ร่วมมือกันเป็นอย่างไร”

ตงฟางสือหัวเราะ “ไม่รู้ว่าม้าแก่ของโจรทะเลทรายตัวนี้จะพาพวกเราไปหารังของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มได้หรือไม่ ทิศทางไม่น่าจะผิด”

เฉินอวี้กล่าวต่อว่า “คงอยู่ห่างออกไปสิบหลี่ ติดกับเขตแดนของชนเผ่าซยงหนูตะวันตก ได้ยินว่าเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มปล้นกลุ่มพ่อค้าของชนเผ่าซยงหนูตะวันตกด้วย รังของเขาคงจะอยู่แถวชายแดนที่ไม่เอื้อต่อการล้อมปราบของทั้งสองแคว้น”

เฉินอวี้ก้มหน้าลง ใช้กระบี่แทนพู่กันวาดแผนที่บนทรายอย่างง่ายๆ นี่คือข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับรังของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มที่เขาเก็บรวบรวมได้ “มีภูเขาหินธรรมชาติตามแนวชายแดนระหว่างแคว้นต้าเว่ยกับชนเผ่าซยงหนูตะวันตกทอดยาวเป็นร้อยหลี่ หินเป็นสีแดงเข้ม เมื่อมองไกลๆ จึงเหมือนเมือง ดังนั้นจึงเรียกภูเขาหินบริเวณนั้นว่าเมืองหงเฉิง คาดว่ารังของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มคงอยู่ในเมืองหงเฉิง”

ตงฟางสือกล่าวเสริมว่า “ภูเขาหินเป็นกำแพงตามธรรมชาติ เมื่อมองจากที่สูง จะเห็นได้กว้างไกลและเห็นคนไปเยือนได้ไกลหลายหลี่ นอกจากนี้คนเผ่าซยงหนูตะวันตกเชี่ยวชาญการเลี้ยงเหยี่ยว ได้ยินว่าเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มมีสายเลือดชาวหู ดังนั้นตอนกลางวันยังต้องคอยระวังเหยี่ยวด้วย”

“ภายในป้อมปราการของเขามีโจรชั่วเกือบสามร้อยคน และมีชาวบ้านหนึ่งร้อยกว่าครัวเรือน” เฉินอวี้หัวเราะ “ชาวบ้านบางคนถูกชิงตัว บางคนถูกซื้อไป บางคนเต็มใจที่จะจากไป และบางคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับโจรชั่ว รวมแล้วเกือบห้าร้อยคน”

คนทั้งสองสบตากันแล้วเบือนออกอย่างเป็นธรรมชาติ เฉินอวี้มายังเขตปกครองซีฉู่โจวเพราะตั้งใจมาสืบข่าว เมื่อเห็นตงฟางสือที่เพิ่งมาถึงดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม ทำให้เขาอดนับถือไม่ได้

ตงฟางสือแปลกใจ ไฉนตนถึงไม่เคยรู้ว่าในยุทธภพมียอดฝีมือที่ชื่อฉางชิง หากรับมาใช้งานได้ นับเป็นความคิดที่ไม่เลว เขาหัวเราะเหอะๆ “พี่ฉางเข้าใจเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มแจ่มแจ้งเช่นนี้ คิดว่ามีความคิดอยากกำจัดเขานานแล้ว”

เฉินอวี้หัวเราะ “ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณชายตงฟางถึงอยากทำลายโจรทะเลทราย”

“โจรทะเลทรายลักพาตัวคู่หมั้นของข้าไป” ตงฟางสืออดกัดฟันพูดอย่างแค้นเคืองไม่ได้ ตั้งแต่เขาโตจนป่านนี้ยังไม่เคยพลาดท่าเสียทีเช่นนี้มาก่อน ได้แต่โทษว่าเป็นความประมาทของตนเอง เพิ่งมาถึงซีฉู่โจวก็ดูถูกกองกำลังในทะเลทรายเกอปี้มากเกินไป

เฉินอวี้หลุบตาลง ตงฟางสือมาเพราะฮวาปู๋ชี่จริงๆ คนผู้นี้มีวิชายุทธ์สูงส่ง ความคิดละเอียดรอบคอบ ความเป็นมาลึกลับ สามารถค้นหาฐานที่มั่นดั้งเดิมของตนที่ประตูหน้าและหลังของคฤหาสน์สกุลจูที่ซูโจวได้อย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังฝึกฝนลูกน้องที่มีความสามารถไม่ธรรมดาอีกหนึ่งกลุ่ม ความคิดที่ดูเหมือนว่าต้องได้ฮวาปู๋ชี่มาครอง เกรงว่าจะต้องเป็นศัตรูที่แข่งแกร่งที่สุดของตนในอนาคต ไม่รู้ว่าจะตามหาปี้หลัวเทียนผ่านตงฟางสือได้หรือไม่ เฉินอวี้ครุ่นคิด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงพักหนึ่ง

เฉินอวี้กระแอมเบาๆ จึงกระเทือนแผลที่แผ่นหลังจนหน้าซีดขาวอีกครั้ง เขาเงยหน้า จ้องตงฟางสือ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าก็เหมือนคุณชายตงฟางสือ จะไปช่วยคู่หมั้นของข้า”

“เหอะๆ ช่างบังเอิญจริงๆ!” ตงฟางสือยิ้มด้วยความประหลาดใจ

เฉินอวี้ถอนหายใจ กล่าวแฝงนัยว่า “ใช่ ช่างบังเอิญจริงๆ!”

ใบหน้าซีดเซียวของชายหนุ่มตรงหน้านี้ดูเด็ดเดี่ยว ในตามีบางอย่างที่เขามองไม่ออก รู้สึกว่าผิดปกติ เห็นอยู่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักฉางชิง ไฉนถึงรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้ พอนึกถึงฮวาปู๋ชี่ ตงฟางสือก็ทิ้งความรู้สึกนี้ไว้ด้านข้าง ถึงอย่างไรวิชายุทธ์ของฉางชิงก็ไม่เลว เฮยเฟิ่งยังมาไม่ถึง คงต้องร่วมมือกันชั่วคราว เขากัดฟันกล่าวว่า “เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มจะต้องเสียใจที่ลักพาตัวนางไป”

เฉินอวี้ไม่เอ่ยวจี มองทะเลทรายเงียบๆ ไม่กล้าคิดต่อ ไม่กล้าคิดว่าฮวาปู๋ชี่จะได้รับบาดเจ็บ เขากล่าวเสียงเรียบว่า “ด้วยฝีเท้าของพวกเรา คงไปถึงที่นั่นเย็นนี้”

เขาพลิกกายขึ้นหลังม้า กระทุ้งม้าให้ห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ ไม่สนใจตงฟางสืออีก

“ไม่พูดก็ไม่รู้ว่าเจ้ากังวลจนทนไม่ไหวแล้ว หากจะให้เจ้าทำงานให้ ดูท่าแม่นางผู้นั้นจะเป็นช่องทางเข้าหาเจ้า” ตงฟางสือมองแผ่นหลังของเฉินอวี้พลางพึมพำ ก่อนรีบไล่ตามไป

 

หลังตะวันตกดิน คนทั้งสองก็เห็นทิวทัศน์แปลกประหลาด

กำแพงหินสีแดงโลหิตที่เห็นอยู่ไกลๆ บดบังสายตาเอาไว้ หินทุกก้อนดั่งถูกเผาเป็นถ่านสีแดง ภูเขาหินทั้งลูกเป็นเพลิงนรกที่ลุกโชติช่วง สมชื่อเมืองหงเฉิง

ทะเลทรายเกอปี้หน้าเมืองหงเฉิงถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์สุดท้าย นภาด้านหลังเมืองหงเฉิงมืดมิดปานเสื้อคลุมปีศาจ และปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์ยืนแกร่วในทะเลทรายเกอปี้เปล่าเปลี่ยวเวิ้งว้าง

“ได้แต่รอให้ฟ้ามืดเท่านั้น สามารถหาป้อมปราการที่เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มพำนักผ่านแสงไฟ” เฉินอวี้ลงจากหลังอาชามานั่งขัดสมาธิ จากนั้นล้วงโสมภูเขาออกจากห่อผ้าแล้วโยนให้ตงฟางสือ

เมื่อเทียบกับนิ้วมือแล้ว โสมภูเขายังใหญ่กว่า หนวดโสมยาวเท่ากัน หากไม่ใช่โสมอายุหลายร้อยปีก็หลายสิบปี เขาเอามากินเป็นอาหารแห้งอย่างนั้นรึ ตงฟางสือรู้สึกว่าตนเจอคนที่น่าสนใจมากคนหนึ่งแล้ว

ตงฟางสือแกะห่อผ้า เอามือกอบผลซาจี๋กองหนึ่งอย่างทะนุถนอมส่งให้เฉินอวี้ “น้องหญิงของข้าเด็ดเองกับมือ จะว่าไปแล้วก็ไม่มีอันใดกิน คงต้องพึงสิ่งนี้แล้ว”

เฉินอวี้ขมวดคิ้วมุ่นและคลายออกไม่เหลือร่องรอย รสเปรี้ยวหวานของผลซาจี๋คล้ายความรู้สึกของเขาเมื่อครู่ พอได้ยินว่าฮวาปู๋ชี่เป็นคนเด็ด เขาก็คิดได้ว่าตลอดทางมานางคงหิวมาก ก็ให้รู้สึกปวดใจ ได้ยินตงฟางสือเรียกนางว่าน้องหญิง เฉินอวี้รู้สึกขุ่นเคือง ค่อยๆ เคี้ยวผลซาจี๋ แล้วกล่าวเนิบช้าว่า “ภรรยาของข้าอดทนมาก ยามที่หิวจัดนางถึงกับกล้ากินหนูในเรือน นางบอกข้าว่า ใช้ดินห่อไว้ แล้วโยนเข้ากองไฟ พอแกะดินออก ขนทั้งหมดก็ติดอยู่กับดิน ด้านในเป็นเนื้อนุ่มที่มีกลิ่นหอมฉุย”

ตงฟางสือตกใจจนหน้าถอดสี “เป็นไปไม่ได้กระมัง ภรรยาเจ้าเก่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าเห็นน้องหญิงของข้าเด็ดผลไม้ป่านี้ก็นับถือมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเก่งกว่านาง”

เฉินอวี้เหลือบมองเมืองหงเฉิงแล้วหัวเราะเบาๆ “ตอนที่ได้ยิน ข้าก็ตกใจเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่วิ่งเข้าครัวของคนอื่นและขโมยน่องไก่สองน่องมาให้นาง”

ตงฟางสือถอนหายใจ พึมพำว่า “ข้ากินสิ่งนี้มาหนึ่งวันเต็มแล้ว ข้าตัดสินใจว่าจากนี้จะให้นางกินดีอยู่ดี หากนางอยากกินอาหารในวังหลวง ก็จะจับพ่อครัวในวังมาทำอาหารให้นางกิน”

เฉินอวี้ผินหน้าไปกล่าวว่า “คุณชายตงฟางใจกล้าอย่างยิ่ง จับพ่อครัวในวังของฮ่องเต้มัด ไม่กลัวจะถูดตัดหัวหรือ”

ตงฟางสือหัวเราะ “ผู้ที่ปรุงอาหารที่อร่อยที่สุดในหล้าอาจจะไม่ใช่พ่อครัวในวัง อาหารในวังอาจจะไม่อร่อยเท่าของที่พ่อครัวบ้านข้าทำ ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้จะได้ของดีๆ ในหล้ามาครองเสมอไป!”

“ถ้อยคำนี้ของคุณชายตงฟางดูไม่ค่อยเคารพฮ่องเต้เท่าไร ไม่กลัวว่าข้าจะร้องเรียนเจ้า ทำให้เจ้ามีจุดจบที่น่าอนาถหรอกหรือ”

“เจ้าทำได้รึ”

ตงฟางสือเหลือบมองเฉินอวี้ เฉินอวี้มองตอบเงียบๆ ก่อนคลี่ยิ้ม “เจ้าพูดไม่ผิด ทิวทัศน์งดงามในใต้หล้ามีมากมาย ใช่ว่าจะเป็นอุทยานหลวงของฮ่องเต้”

ตงฟางสือหลุดหัวเราะ ชี้ไปที่เฉินอวี้ “ฉางชิง เจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะมีบางด้านที่คล้ายกัน”

เฉินอวี้ยิ้มกล่าว “บางด้านเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างเช่นภรรยาของข้าไม่มีทางเป็นน้องหญิงของเจ้า”

“ฮ่าๆ!” ถ้อยคำของเฉินอวี้ทำให้ตงฟางสือหัวเราะขำ “พี่ฉางพูดมีเหตุผล!”

เฉินอวี้คิดในใจ หากเจ้ารู้ว่าคนที่ข้าพูดถึงเป็นผู้ใด เจ้าคงใช้กระบี่มาถกเหตุผลกับข้า รอยยิ้มประดับมุมปากฉายชัดขึ้น

 

เมื่อราตรีคลี่คลุม คนทั้งสองที่มีสายตาดีเยี่ยมก็เห็นแสงไฟสลัวราง เมืองหงเฉิงเหมือนงูเหลือมยักษ์ที่นอนขดในความมืด

“น่าจะเป็นยามรักษาการณ์” ตงฟางสือกล่าว

พวกเขาลุกขึ้น เอาผ้าห่อกีบเท้าม้าไว้ จากนั้นมุ่งไปข้างแสงไฟเงียบๆ

ตงฟางสือเงยหน้ามองป้อมรักษาการณ์เรียบง่ายที่อยู่มุมหนึ่งบนภูเขาหิน ถามเสียงแผ่วว่า “วิชาตัวเบาของพี่ฉางดีหรือไม่”

“พอใช้ได้”

“แบ่งเป็นสองทาง เจ้ารับผิดชอบบริเวณรอบๆ ข้าจะรับผิดชอบจับคน” ตงฟางสือกล่าวจบก็ไปยังจุดซ่อนตัวเวลาเดียวกันกับเฉินอวี้

ในใจต่างคิดจะสำแดงวิชาตัวเบาไม่มากก็น้อย ตงฟางสือไปถึงป้อมรักษาการณ์อย่างง่ายดาย และบีบคอของโจรทะเลทรายคนหนึ่ง เมื่อเบือนหน้าไป เฉินอวี้ยืนห่างออกไปสองจั้ง มีหยดเลือดหยดหนึ่งตกลงมาจากคมกระบี่

“วิชาตัวเบาของพี่ฉางช่างยอดเยี่ยม”

“คุณชายตงฟางก็มีฝีมือยอดเยี่ยม”

ตงฟางหัวเราะ ตบโจรทะเลทรายที่ตกใจจนโง่งม “รหัสผ่านเข้าป้อมคืออันใด มีคนที่เฝ้าเวรตอนกลางคืนกี่คน”

โจรทะเลทรายตัวสั่นเทิ้ม ตกใจจนตาเหลือกหมดสติไปแล้ว ตงฟางสือสบถ ออกแรงบีบลำคอของเขาจนหัก

เฉินอวี้กล่าวเสียงเรียบว่า “รหัสผ่านจะต้องเป็นสังหารเหลียนอีเค่อ เมื่อเข้าป้อมปราการ ประตูหน้าจะมีจุดตรวจสองจุด ประตูใหญ่สองบาน หากกลับมาจากภูเขาหินอ้อมไปทางด้านหลังจะไม่มีจุดตรวจ เพราะด้านหลังเป็นหน้าผาสูง”

เมื่อได้ยินรหัสผ่านนี้ และได้ยินเฉินอวี้ถามไถ่ถึงสถานการณ์อย่างละเอียด ตงฟางสืออดตกตะลึงไม่ได้ มองเฉินอวี้อย่างเลื่อมใส “พี่ฉางมีฝีมือเป็นเลิศ”

เฉินอวี้ถ่อมตัว “ข้าแค่ดวงดีเท่านั้น เจ้าโจรทะเลทรายนั่นไม่ได้สลบจริงๆ คุณชายตงฟางคิดว่าพวกเราสมควรเดินเข้าประตูหน้าหรืออ้อมไปทางด้านหลังดี”

ตงฟางสือกล่าวว่า “แยกกันลงมือดีกว่า เจ้าไปด้านหน้า ข้าไปด้านหลัง หรือเจ้าจะไปด้านหน้า ส่วนข้าไปด้านหลังดี”

เฉินอวี้คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอก “อย่างนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว ข้าไปด้านหน้า ส่วนเจ้าไปด้านหลัง ข้าจะใช้ประโยชน์จากเหลียนอีเค่อ”

คนทั้งสองประสานมือคำนับ ตงฟางสือทะยานเข้าสู่ความมืด

เฉินอวี้พึมพำว่า “เจ้ามิอาจใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบนี้ชั่วชีวิต” จากนั้นถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วฉีกเป็นริ้วๆ ล้วงยาสมานแผลออกจากอกเสื้อแล้วโรยลงไป ก่อนพันแผลอีกครั้ง

เขาถอดเสื้อหนังแพะและหมวกหนังแพะออกจากตัวของโจรทะเลทรายมาใส่ ล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบหน้ากากหนังมนุษย์ที่ตงฟางสือไม่เคยเห็นมาก่อนออกมาปกปิดใบหน้า ตามด้วยโยนศพของโจรทะเลทรายผู้นั้นทิ้งลงภูเขาหิน แล้วค่อยนั่งในป้อมรักษาการณ์ กระดกน้ำเต้าใส่สุราดื่มอย่างสบายใจ

เขาไม่คิดจะเข้าไป คนที่ถูกเขาฆ่าสาบานว่าวันนี้ไม่มีผู้ใดถูกจับมาที่ป้อมแม้แต่คนเดียว การปล้นกลุ่มพ่อค้าและแย่งชิงสตรีกลับมาเพิ่มเริ่มทำเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มได้รับบาดเจ็บที่แขน และยังจับเหลียนอีเค่อไม่ได้ จึงโยนไหสุราในป้อมทิ้งอย่างเดือดดาล

เมื่อได้ยินว่าฮวาปู๋ชี่ไม่ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มก็ถอนหายใจโล่งอก รู้สึกโมโหฮวาปู๋ชี่ที่ไม่เชื่อฟัง วิ่งหายไปไหนไม่รู้ แม้จะวางใจ แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่านางอาจจะเจอเรื่องคาดไม่ถึงอย่างอื่น ผ่านไปครู่ใหญ่หัวใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ก็สงบลง

เฉินอวี้ตัดสินใจรอให้ทหารกองหนุนของเมืองสือเฉิงมาถึงก่อน ระหว่างนั้นก็เอาเศษไม้ของป้อมรักษาการณ์ทั้งหมดมาเผาไฟเพิ่มความอบอุ่น ก่อนหยิบกระบี่ รี่ไปซ่อนตัวที่ป้อมรักษาการณ์ที่สองที่อยู่ใกล้ๆ

หากเขาคาดการณ์ไม่ผิด ทหารกองหนุนของเมืองสือเฉิงสมควรมาถึงหลังรุ่งสาง เขามองป้อมปราการของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม และหวังว่าตงฟางสือจะซ่อนตัวอย่างระวัง ไม่ถูกพบตัวจนกว่าทหารกองหนุนจะมาถึง เพราะเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มเคืองแค้นสุดขีด อีกทั้งพวกโจรทะเลทรายอีกหลายร้อยคนที่หลับแล้วก็ไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ

 

ผ่านไปสองชั่วยาม ในป้อมปราการดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวแล้ว ต่อมามีประกายไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ความเคลื่อนไหววุ่นวาย เฉินอวี้ขมวดคิ้วมุ่น ตงฟางสือผู้นี้หรือคิดจะสู้หนึ่งต่อหลายร้อย

เขาปีนไปบนภูเขาหิน เข้าไปใกล้ป้อมรักษาการณ์ที่สองเงียบๆ เห็นคนสามคนในนั้นหันหลังให้ขณะชี้ไปทางป้อมปราการ เฉินอวี้ก็ตบไหล่หนึ่งในนั้น พอเขาหันหน้ามาก็เอากระบี่ตัดหลอดลมของเขาอย่างแม่นยำ โจรทะเลทรายอีกสองคนยังไม่ทันหันหน้ามา ก็รู้สึกเย็นวาบที่คอเล็กน้อย แล้วไอร้อนก็พุ่งขึ้นมาจากลำคอ ก่อนล้มลงกับพื้นทันที

เฉินอวี้ทุบไหสุรา และจุดไฟอีกครั้ง ครั้นดึงกลอนประตูออกแล้ว ก็ผลักเปิดประตู

เห็นม้าถูกผูกไว้ข้างประตู ก็จุดไฟที่หางของม้า ม้าจึงวิ่งเข้าป้อมด้วยความตกใจ

“แย่แล้ว เหลียนอีเค่อมาแล้ว!” เฉินอวี้ตะโกนเสียงดัง พลิกร่างซ่อนตัวอยู่ใต้ท้องม้า ปล่อยให้ม้าวิ่งไปที่ประตูบานสุดท้าย

ที่นี่มีโจรเฝ้าประตูมากที่สุด พอได้ยินเสียงม้าร้องหน้าประตูรอง ตามด้วยเสียงกีบเท้าควบตะบึงดังกึกก้อง เมื่อหันหน้าไปภายในป้อมก็มีไฟลุกโชน พากันตะโกนอย่างลนลานว่า “เหลียนอีเค่อมาแล้ว! เหลียนอีเค่อมาแล้ว!”

ภายในป้อมยิ่งวุ่นวาย คบเพลิงนับไม่ถ้วนถูกจุด เห็นไฟไหม้ทั่วป้อม แต่กลับไม่เห็นคนจุดไฟเผา

เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มสวมเสื้อคลุมยืนอยู่หน้าประตูเรือนจวี้อี้ ยกดาบพลางตวาดว่า “ค้นให้ละเอียด! จะลนลานไปไย! ดับไฟก่อน!”

ทันใดนั้นมีม้าหลายตัววิ่งไปที่ประตูใหญ่ พอวิ่งชนประตู ด้วยความตกใจจึงยกกีบเท้าหน้ายันประตู ทำให้ซุ้มประตูสั่นสะเทือน ฝุ่นร่วงกราวนับไม่ถ้วน

โจรทะเลทรายบนป้อมรักษาการณ์นั้นจึงยิงธนูใส่ม้าที่อยู่ด้านล่าง

เฉินอวี้ลอดออกจากท้องม้านานแล้วและได้อ้อมไปอยู่บนป้อมรักษาการณ์ เขายื่นมือไปชิงคันธนูจากมือของโจรคนหนึ่ง แล้วปาดคอของเขา กล่าวว่า “ชอบใช้ธนูก็มาเรียนรู้จากข้าให้มากๆ”

หลังสังหารโจรทะเลทรายห้าคนอย่างง่ายดาย เฉินอวี้ก็ง้างคันธนูเล็งไปที่โคมไฟที่แขวนบนเสาธงของป้อมปราการแล้วยิงออกไปอย่างแม่นยำ ภายในป้อมปราการมืดลงครึ่งหนึ่ง โจรทะเลทรายที่ถือคบเพลิงอยู่กลายเป็นเป้าหมายต่อไปของเขา หนึ่งดอกต่อหนึ่งคน อาศัยว่าอยู่สูงกว่า จึงใช้เวลาไม่นานก็สังหารไปได้สิบคน

ก่อนที่พวกโจรจะได้สติ เฉินอวี้โยนคันธนูทิ้ง ลอบเข้าป้อมปราการ แล้วค่อยปะปนเข้ากับฝูงชน เห็นโจรกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงไปยังป้อมรักษาการณ์ของประตูใหญ่

เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มยืนอยู่บนบันไดตะโกนอย่างไม่รีบเร่งว่า “อย่าตื่นตระหนก! รีบจุดโคมไฟกับคบเพลิง! ย่ามันเถิด พวกเรามีกันหลายร้อยคน อย่าให้มันหนีรอดไปได้! เจ้าเหลียนอีเค่อรนหาที่เอง ตรงใจพอดี!”

เสียงเขาเปี่ยมด้วยพลังเหมือนฟ้าร้องครืนครัน ทำให้ทุกคนสงบลงทันใด!

แม้โจรกลุ่มนี้จะเป็นหัวมังกุท้ายมังกร แต่ยามนี้เห็นชัดว่าเข้าใจซึ่งกันและกันดี ที่ดับไฟก็ดับไฟ อีกกลุ่มหนึ่งไปค้นหาตามเรือนทีละหลัง ถึงจะค้นหาอย่างอึกทึกครึกโครมไก่บินหมากระโดด[3] แต่ก็ค้นอย่างละเอียด

เฉินอวี้เดินตามหลังคนเหล่านั้น ในใจคิดว่าตงฟางสือ เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ใด

ผ่านไปสองชั่วยาม นภาค่อยๆ กลายเป็นสีขาว ยังคงหาตงฟางสือไม่พบ

เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มทุบไหสุราสองไหด้วยความโมโห จู่ๆ เขานึกขึ้นมาได้ เบือนหน้า ชี้ไปที่เรือนชั้นในที่เขาพำนัก และตวาดว่า “จะต้องอยู่ในนั้นแน่!”

โจรทะเลทรายกลุ่มหนึ่งแกว่งดาบบุกเข้าไป

เฉินอวี้ถอนหายใจ เขาก็คิดได้ แม้ตงฟางสือต้องการแย่งฮวาปู๋ชี่กับเขา แต่การหาที่อยู่ของปี้หลัวเทียนยังต้องอาศัยตงฟางสือ เขาจึงจำต้องช่วยตงฟางสือ เฉินอวี้ถอยหลังเงียบๆ ค้นหาคอกม้า ก่อนบิดคอของโจรคนหนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นจุดไฟเผาหญ้าแห้งในคอกม้า และตัดเชือกที่มัดม้าไว้ทั้งหมด

เมื่อเพลิงลุกไหม้อีกครั้ง เขาตะโกนเสียงแหบแห้งว่า “คอกม้าไฟไหม้แล้ว! เหลียนอีเค่อจุดไฟเผาคอกม้าแล้ว!”

อาชาเป็นแข้งขาของพวกโจรชั่ว เขาดึงดูดโจรครึ่งหนึ่งให้มาที่นี่ได้สำเร็จ แล้วอาศัยการแต่งตัวเหมือนโจรชั่วและหน้ากากหนังมนุษย์ เข้าร่วมกลุ่มดับไฟและจับม้าอีกครั้ง

เฉินอวี้กระโดดขึ้นหลังม้าตัวหนึ่ง ดูเหมือนม้าจะได้รับความตื่นตกใจ คิดจะสะบัดเขาทิ้ง เขารีบไล่ตามฝูงม้าและค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ ฝูงม้ากระแทกประตูใหญ่ ประตูใหญ่สั่นอย่างหนัก ทำโจรทะเลทรายบนป้อมรักษาการณ์ของซุ้มประตูตัวส่ายโงนเงน ไม่นานจากนั้นก็เกิดเสียงดังโครม ฝูงม้าพังประตูใหญ่สำเร็จแล้ว

“ม้าหนีไปแล้ว ม้าหนีไปแล้ว!” เฉินอวี้ตะโกนเสียงดัง พยายามจะหันหัวม้าไปทางเรือนจวี้อี้

ยามนั้นเองตงฟางสือวิ่งออกจากเรือน ใช้กระบี่อ่อนสังหารโจรฝ่าออกมา โจรมีจำนวนมาก เขาก็สังหารไปมากมาย ทว่าเหมือนจะสังหารเท่าไรก็ไม่หมด

เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มยกดาบขึ้นส่งเสียงคำรามบอกให้สังหารมันซะ

ตงฟางสือที่ถูกโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังตะโกนว่า “ฉางชิง เจ้าอยู่ที่ใด!”

เฉินอวี้กระชากหน้ากากหนังมนุษย์ออก ขี่ม้าตรงไปที่บันไดเรือนจวี้อี้ เอากระบี่แทงเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม มือของเขาสั่นเล็กน้อย

เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มหันมาต้านกระบี่ของเขา นึกไม่ถึงว่าพละกำลังไม่น้อยเลย

เฉินอวี้บีบบังคับให้เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มล่าถอย แล้วตะโกนว่า “ขึ้นม้า!”

ตงฟางสือดีใจ พลิกกายกระโดดขึ้นหลังม้า คนทั้งสองขี่ม้าตัวเดียวกัน ก่อนหันหัวม้าควบออกไปจากป้อมปราการ

“ขวางพวกเขาไว้!” เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มคำรามด้วยความขึ้งเคียด ยกดาบไล่ตามไป ตลอดทางเห็นเพียงคนที่คิดจะขัดขวางพวกเขาถูกตัดแขนราวกับหั่นผักหั่นแตงพร้อมส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา

เฉินอวี้กับตงฟางสือพุ่งออกจากป้อมปราการแล้ว

“ไล่ตามไป!” พวกโจรทะเลทรายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก การเข่นฆ่าของเฉินอวี้กระตุ้นความเลือดร้อนและความเคียดแค้นของพวกเขา จึงรีบหาม้าแล้วไล่ตามไป

ฟ้าดินกว้างใหญ่ เห็นแสงอาทิตย์ทางตะวันออกรำไร ต้นฤดูเหมันต์ยามฟ้าสางจะหนาวมาก สายลมพัดโชยปะทะใบหน้ากรีดเฉือนประหนึ่งมีด

เมื่อเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มออกจากรัง พวกโจรทะเลทรายส่งเสียงกู่ร้องแล้วไล่ตามคนทั้งสองไป

คนทั้งสองคนนั่งบนอาชาตัวเดียวกัน ไม่มีทางที่จะเร่งความเร็วได้

ตงฟางสือหัวเราะเหอะๆ แล้วชกไหล่ของเฉินอวี้ทีหนึ่ง “ข้าเข้าใจว่าเจ้ายังไม่ได้เข้าป้อมเสียอีก! ดูแคลนเจ้าโจรชั่วกลุ่มนี้ไม่ได้จริงๆ”

เฉินอวี้ตัวกระตุกเกร็งด้วยความเจ็บปวด บาดแผลที่แผ่นหลังปริออกนานแล้ว เพียงโลหิตไม่ได้ไหลซึมออกจากเสื้อหนังแพะหนาเท่านั้น เขามองไปข้างหน้า ถามว่า “คุณชายตงฟาง เจ้าพบคนที่เจ้าต้องการตามหาหรือไม่”

ตงฟางสือถอนหายใจกล่าวว่า “นางไม่ได้อยู่ในป้อม ข้าค้นหาแม้แต่ห้องของภรรยากับอนุของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มจนทั่วแล้ว ก็บอกว่าไม่ได้จับหญิงสาวกลับมา”

ดวงตาของเขาฉายแววกังวลลึกล้ำ เขาเจอซาสู่ เจ้าโจรขี้ขลาดราวกับหนูผู้นั้นล้มลงกับพื้น บอกเขาทั้งน้ำตานองหน้าว่าหลังฮวาปู๋ชี่วางยาสลบเขาแล้วก็หนีไป ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางคือตอนอยู่ในป่าหิน และเหลียนอีเค่อช่วยชีวิตนางไว้

ในใจตงฟางสืออยากจะสับเหลียนอีเค่อเป็นพันเป็นหมื่นท่อน เมื่อมองเฉินอวี้ตรงหน้าก็รู้สึกแปลกใจและสงสัย หากเขาเป็นเหลียนอีเค่อ เหตุใดฮวาปู๋ชี่ถึงไม่อยู่กับเขาเล่า หากเขาไม่ใช่ แล้วเหตุใดถึงปรากฏตัวในทะเลทรายในเวลาเดียวกันได้

อย่างไรก็ตามยามนี้เสียงกีบเท้าม้าข้างหลังกระชั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ปล่อยให้เขาขบคิดอีกต่อไป ตงฟางสือหันมองคนมืดฟ้ามัวดิน แล้วอดยิ้มขื่นไม่ได้ “หากผลัดกันสู้ พวกเราอาจตายได้ หากยืนเป็นเป้านิ่ง พวกเราก็ตายเช่นกัน พี่ฉาง มีวิธีขับไล่ศัตรูให้ล่าถอยไปหรือไม่”

เฉินอวี้กล่าวว่า “แล้วแต่ฟ้าลิขิต สังหารได้เท่าใดก็เท่านั้น” เขามองตรงไปข้างหน้า ภาวนาขอให้ทหารของเมืองสือเฉิงปรากฏตัวเสียที

 

ผ่านไปสักพักก็ถูกโจรไล่ตามทัน พวกเขาตายเพราะกระบี่อ่อนของตงฟางสือ

เจ้าหม่าต้าเคราครึ้มตวาดว่า “ใช้ธนู ยิงพวกมันให้ตาย!”

หัวใจคนทั้งสองกระตุกวูบ เมื่อได้ยินเสียงธนูแหวกอากาศก็หลบอยู่ใต้ท้องม้าพร้อมกัน ม้าที่น่าสงสารตัวนั้นถูกยิงจนกลายเป็นเม่นและล้มลงกับพื้นชั่วพริบตา

ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างลำพองของพวกโจรดังมาจากข้างหลัง พวกเขาเรียนรู้แล้ว จึงไม่เข้ามาใกล้ทันที แต่ผลัดกันยิงธนู

เฉินอวี้กับตงฟางสือที่ซ่อนตัวอยู่หลังม้าผลัดกันใช้กระบี่ปัดป้องลูกธนูจนปวดไหล่

จู่ๆ พวกโจรทะเลทรายก็หยุดยิงธนู เฉินอวี้วางฝ่ามือบนพื้นดิน ถอนหายใจโล่งอก “ทหารมาแล้ว”

มีจุดดำนับไม่ถ้วนปรากฏบนเส้นขอบฟ้า และวิ่งใกล้เข้ามาชั่วพริบตา เป็นทหารม้าของเมืองสือเฉิงอย่างที่คาดไว้จริงๆ

“ข้าจะจัดการเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มเอง” ตงฟางสือพูดประโยคนี้ด้วยเสียงลอดไรฟัน แล้วกระโดดข้ามศพม้า ตะโกนว่า “เจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม ข้าจะเอาชีวิตของเจ้า!”

โจรทะเลทรายหันหัวม้าวิ่งหนี คาดไม่ถึงว่าจะมีกองทหารม้าปรากฏตัวเบื้องหน้าพวกเขา

เรี่ยวแรงของเฉินอวี้ถูกใช้จนหมดแล้ว เขาทรุดนั่งกับพื้น โยนหมวกหนังทิ้ง แล้วถอดเสื้อหนังแพะออกอย่างเปลืองแรง เผยให้เห็นเสื้อปักลายมังกรห้าเล็บที่สวมอยู่ด้านใน

ทหารม้าจ้องจวิ้นอ๋องหนุ่มผู้นี้อย่างนอบน้อม ก่อนวิ่งผ่านเขาไป คนที่เหมือนนายกองผู้หนึ่งรีบลงจากหลังม้า เข้าไปประคองเฉินอวี้อย่างระมัดระวัง กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “จวิ้นอ๋อง ข้าน้อยมาช้าแล้ว”

เฉินอวี้ยิ้มน้อยๆ “ไม่ช้า ไปบอกแม่ทัพของพวกเจ้าว่าข้าเป็นท่านอ๋องว่างงาน ไม่สะดวกที่จะก้าวก่ายกิจการทหาร ตอนรายงานอย่าลืมปกปิดที่ข้าก่อเรื่องวันนี้ด้วย ข้าจะซาบซึ้งใจยิ่ง”

เจ้าโจรทะเลทรายเบื้องหน้านี้เป็นเนื้อร้ายที่ทำให้แม่ทัพกับข้าหลวงปวดหัวมานานหลายปีแล้ว ตงผิงจวิ้นอ๋องวางแผนล่อพวกโจรทะเลทรายออกมาเพื่อกวาดล้างให้สิ้นซาก ซ้ำยังมอบความดีความชอบให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ นายกองยิ่งกระตือรือร้น เคารพนอบน้อมเขามากขึ้น

สำหรับทหารของเมืองสือเฉิงแล้ว การล้อมปราบโจรหลายร้อยคนบนที่ราบนั้นเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ การต่อสู้สิ้นสุดลงในพริบตา ทหารอีกกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปสังหารโจรในป้อม ก่อนจุดไฟเผารังของเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มจนวายวอด

องครักษ์ของจวนจวิ้นอ๋องที่ติดตามมาพร้อมกับทหารม้า พอเห็นเฉินอวี้ก็ดีใจยิ่ง ค่อยๆ ทยอยคุกเข่าขอโทษ

“ลุกขึ้นเถิด ไม่โทษพวกเจ้า” เฉินอวี้เอื้อมมือไปหาหานเย่ แล้วเอนพิงร่างเขา

มือของหานเย่ที่เต็มไปด้วยเลือดสั่นสะท้าน “นายน้อยได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือขอรับ”

“ไม่เป็นไร ยังทนได้” เฉินอวี้อมยิ้ม หันมองข้างหลัง

ตงฟางสือที่อยู่ไกลออกไปเงื้อกระบี่ตัดหัวเจ้าหม่าต้าเคราครึ้ม ก่อนยกเท้าเตะอย่างลำพอง เขาขี่ม้าตรงมาหาพร้อมยิ้มปรีดา พลิกร่างกระโดดมาข้างกายเฉินอวี้ สายตาของเขาหยุดที่เสื้อปักลายมังกรห้าเล็บที่เฉินอวี้สวม รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย “เจ้าคือตงผิงจวิ้นอ๋องรึ”

เฉินอวี้กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “เฉินอวี้ ชื่อรองจ่างชิง เนื่องจากเป็นการกำจัดโจร ขห้คุณชายตงฟางโปรดเข้าใจที่ข้าปิดบังด้วย”

ตงฟางสือชี้ไปที่เฉินอวี้ สีหน้าเปลี่ยนไปมา นึกไม่ถึงว่าเขาคือตงผิงจวิ้นอ๋อง! ในใจตะลึงลาน ทันใดนั้นก็เข้าใจสาเหตุที่เฉินอวี้ปรากฏตัวในทะเลทราย จึงไม่สงสัยว่าเฉินอวี้ว่าเป็นเหลียนอีเค่ออีกต่อไป

เขาโล่งใจ หัวเราะฮ่าๆ “ได้ยินนานแล้วว่าบุตรชายของซิ่นชินอ๋องเก่งทั้งบุ๊นและบู๊ วันนี้ได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับจ่างชิง นับเป็นเกียรติของข้า! และหวังว่าจวิ้นอ๋องจะยกโทษให้ผู้น้อยที่เสียมารยาท!”

เฉินอวี้กล่าวว่า “ข้าได้เจอคุณชายตงฟางครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตาแล้ว หากคุณชายตงฟางไม่รังเกียจว่าเขตตงผิงห่างไกลความเจริญ ยินดีไปดื่มสุราที่จวนจวิ้นอ๋องสักจอกหรือไม่”

ตงฟางสือไม่ปฏิเสธ ค่อยนึกขึ้นได้ว่าหมู่ตึกจันทราก็อยู่ในเขตหนานซ่างติดกับเขตตงผิง ขณะในใจครุ่นคิดหลายตลบ ก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “จ่างชิง เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ”

เขายื่นมือไปจับชีพจรที่ข้อมือของเฉินอวี้ หานเย่จะขวางไว้ แต่เฉินอวี้ยื่นข้อมือออกไป ยิ้มกล่าว “ตอนแยกกับพวกองครักษ์ที่ป่าหิน เจอโจรทะเลทรายแล้วถูกดาบฟันทีหนึ่ง”

ตงฟางสือจับชีพจรของเขา กล่าวว่า “เสียเลือดมากเกินไป ไม่เป็นอะไรมาก ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้จวิ้นอ๋องสองสามเทียบเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ”

“ดี ไปกันเถิด!”

หานเย่ล้วงป้ายทองออกจากอกเสื้อ กำลังจะพูด ดวงตาของเฉินอวี้ทอประกาย ระงับความตื่นเต้นในใจ กล่าวตัดบทว่า “หานเย่ เจ้าไปพบแม่ทัพกวนที่เมืองสือเฉิงก่อน ขอให้เขาช่วยปกปิดให้ข้า จะได้ไม่มีใครได้ยินข่าว แล้วมารบกวนความสงบของข้า!”

หานเย่เข้าใจทันที ถือป้ายทองแล้วควบม้าห้อตะบึงกลับไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้องไล่ตามเฉินอวี้ให้ทัน เขาจึงให้ฮวาปู๋ชี่อยู่ที่เมืองสือเฉิง ไม่ได้ส่งนางกลับเขตตงผิง เห็นได้ชัดเจนมากว่าจวิ้นอ๋องไม่อยากให้ตงฟางสือรู้ข่าวของแม่นางน้อยผู้นั้นที่เป็นลมที่ทะเลทรายเกอปี้

เฉินอวี้มองตงฟางสือ กล่าวอย่างจนปัญญาอยู่บ้างว่า “ตามกฎของราชวงศ์นี้ บรรดาอ๋องทั้งหลายที่ได้รับที่ดินศักดินา จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นและกิจการทหารไม่ได้ พวกเราไปจากที่นี่กันเถิด”

ตงฟางสือหัวเราะเหอะๆ ก่อนรับคำ

หลังกำจัดพวกโจรแล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็ขึ้นม้าแล้วทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง รีบไปจากที่นี่ นายกองของเมืองสือเฉิงไม่ได้ขัดขวาง เพียงมองแผ่นหลังของเฉินอวี้ที่มีโลหิตซึมออกมานอกเสื้อด้วยสายตาเลื่อมใส

ตงฟางสือถือดีว่าใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดทัดเทียมเขาได้ เขาตั้งใจตามหาเหลียนอีเค่อ เพราะในใจย่อมไม่ยินดีที่จะให้ฮวาปู๋ชี่เทิดทูนเหลียนอีเค่อ หลังเขากับเฉินอวี้ประมือกัน เดิมยังเข้าใจว่าเฉินอวี้กับเขามีสติปัญญาพอๆ กัน เพียงกำลังภายในของเฉินอวี้ด้อยกว่าเขาเล็กน้อย ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าเฉินอวี้จะได้รับบาดเจ็บ และยังอดทนจนถึงยามนี้ได้

เมื่อมองรอยเลือดที่ซึมออกจากแผ่นหลังของเฉินอวี้ ในใจตงฟางสือเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ซัดโถมไม่หยุดยั้ง

เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก อดคิดไม่ได้ว่าหากเฉินอวี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาจะเอาชนะเฉินอวี้ได้หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าในบรรดาลูกหลานของราชวงศ์จะมีจวิ้นอ๋องหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้ ทันใดนั้นเขาก็จำถ้อยคำของเฉินอวี้ที่บอกเขาอย่างจนปัญญาว่าเป็นจวิ้นอ๋องว่างงานได้ รอยยิ้มผุดที่มุมปากเงียบๆ นึกดูแคลนฮ่องเต้ที่นั่งบัลลังก์มังกรอย่างยิ่ง

เขารู้ว่าการที่หลิ่วหมิงเย่ว์เข้าหาตงผิงจวิ้นอ๋องก็เพื่อจัดการกับหมู่ตึกจันทรา ฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรกดขี่อ๋องทั้งหลายและเกรงกลัวอำนาจในยุทธภพ จ่างชิงที่เรียกตนเองว่าเป็นจวิ้นอ๋องผู้ว่างงานน่าจะถูกฮ่องเต้ส่งมาที่เขตตงผิง และจะเลี้ยงดูเขาจนแก่เฒ่าอย่างนั้นหรือ

หากเฉินอวี้อยากเป็นอ๋องว่างงานจริงๆ เขายังจะเข้าร่วมแผนกำจัดโจรทะเลทรายอย่างนั้นหรือ

ความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเฉินอวี้ของตงฟางสือทวีขึ้นเรื่อยๆ เขาตบสะโพกม้าเพื่อไล่ตามเฉินอวี้ให้ทัน แล้วหัวเราะร่า “จ่างชิง แท้จริงเจ้าไม่ได้ตามหาคู่หมั้นของเจ้าใช่หรือไม่ พอได้ยินที่ข้าพูด ตั้งใจจะหัวเราะเยาะข้ากระมัง นี่จะมากเกินไปแล้ว”

เฉินอวี้รู้ที่อยู่ของฮวาปู๋ชี่ก็เหมือนได้กินยาสงบใจ เขากะพริบตาปริบๆ กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ข้าเห็นวิชายุทธ์คุณชายตงฟางดี มีคนไปหาเจ้าหม่าต้าเคราครึ้มด้วยก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้น ถ้าจะพยายามตีสนิทก็ต้องเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ไม่ใช่หรือ”

ตงฟางสือรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ชี้เฉินอวี้อยู่นาน ถามอย่างชั่วร้ายว่า “จ่างชิง เจ้ายังทนได้หรือไม่ ขี่ม้าจะไม่สะเทือนแผลหรอกหรือ”

เฉินอวี้กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ที่นี่ไม่มีเกี้ยว หรือจะให้คนแบกข้ากลับไป ไม่เป็นไร ขี่ช้าๆ ก็ได้แล้ว”

ตงฟางสือหัวเราะแหะๆ “ความจริงข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง!”

พอไม่ตั้งใจอดทนอดกลั้นกับบาดแผลที่ถูกดาบแทงข้างหลัง จึงเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ แม้พันแผลใหม่แล้ว แต่ก็ยังปวดเกร็งอยู่ เฉินอวี้มองตงฟางสือ จู่ๆ ก็กล่าวว่า “วิธีของเจ้าไม่ดี ข้าไม่อยากถูกเจ้าฟาดจนสลบ”

ตงฟางสืออึ้งงัน แล้วหัวเราะฮ่าๆ “ผู้ที่รู้ใจข้าคือจ่างชิงจริงๆ!”

เฉินอวี้กระตุกมุมปากยิ้ม มองซ้ายแลขวา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ถูกเจ้าฟาดจนสลบต่อหน้าผู้ใต้บัญชาจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด เจ้าลงมือให้เร็วหน่อย ให้พวกเขาเห็นว่าข้าไม่สะดวกที่จะอธิบาย ไม่แน่ว่าอาจทำให้เจ้าเสียเปรียบเล็กน้อย อีกอย่าง ลงมือเบาหน่อย ข้าเจ็บจนอยากกระโดดขึ้นมาคำรามแล้ว!”

ตงฟางสือไม่คิดว่าเฉินอวี้จะพูดเช่นนี้ ลอบด่าเฉินอวี้ว่าเจ้าเล่ห์ เขาหันมองรอบๆ นิ้วมือจี้จุดชีพจรลำคอของเฉินอวี้ ทำให้เขาหมดสติกะทันหัน คงฟางสือประคองเฉินอวี้แล้วตะโกนเสียงดังว่า “แย่แล้ว จวิ้นอ๋องเป็นลมแล้ว!”

เหล่าองครักษ์ตกใจเข้าไปรุมล้อมทันใด

“ข้าคิดว่าสลบไปก็ดี แรงสั่นสะเทือนของม้าจะทำให้เขาเจ็บแผลจนทนไม่ได้”

องครักษ์นายหนึ่งรับเฉินอวี้ไปแล้วปกป้องไว้ในอ้อมแขน กล่าวว่า “พวกเรารีบกลับเมืองสือเฉิง!”

 

[1] คือ พลังส่วนกลาง หรือพลังของม้ามและกระเพาะอาหาร

[2] หมายถึง คนที่ภายนอกดูดีแต่ที่แท้ไร้ประโยชน์

[3] หมายถึง สถานการณ์สับสนวุ่นวาย ตื่นตระหนกกันไปหมด

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า