ฮวาปู๋ชี่ นางนี้ที่ฝากรัก
小女花不弃
จวงจวง 桩桩 เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
เมื่อขอทานสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง
จนต้องกลายเป็นขอทานและถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัข
ชีวิตเดิมในภพปัจจุบันว่ายากลำบากแล้ว
ชีวิตใหม่ในภพใหม่กลับขัดสนกว่าเดิม
ทั้งที่เป็นขอทานตัวน้อย กลับมีแต่คนหมายจะสังหารนาง
หรือไม่ก็จะใช้นางเป็นหมาก
แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของนางเป็นอย่างไร
เหตุใดชีวิตถึงพัวพันยุ่งเหยิงอย่างนี้เล่า
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
5
ของพิเศษน่าครอบครอง
“หมิงเซียน ข้ามอบถุงหอมให้เจ้าใบหนึ่งดีหรือไม่”
“หมิงเซียนให้ข้าไปส่งกล่องอาหารแทนเจ้าเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะมอบชาดดอกเหมยนั่นให้เจ้า!”
สาวใช้กลุ่มหนึ่งหน้าห้องครัวห้อมล้อมหมิงเซียนที่หิ้วกล่องอาหาร หมิงเซียนสวมเสื้ออ่าวสีน้ำเงินขลิบแดงปักลายดอกเบญจมาศ นางเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง ใบหน้าขึ้นสีเรื่ออย่างตื่นเต้นราวดอกท้อกลางฤดูวสันต์ ดวงตาแย้มยิ้มราวจันทร์เสี้ยว มือจับกล่องอาหารแน่น ริมฝีปากกระดกสูง กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “พี่สาวสือหลัน วันก่อนท่านไปส่งมาแล้ว พี่สาวจือหลัน เมื่อวานท่านก็ไปส่งแล้ว พี่ซิ่วหลัน ที่เรือนซีย่วนมีสาวใช้แปดคน ท่านไปมาแล้วสองครั้ง หมิงเซียนอายุน้อยที่สุด สมควรถึงตาของข้าแล้วที่จะได้ไป วันนี้ข้าเห็นพ่อครัวหม่านที่มาใหม่ทำอาหารหลากหลาย ไม่รู้ว่าต้องพูดมากเท่าใดถึงทำให้เขายอมมอบอาหารพวกนี้ให้ข้า พี่สาวทุกท่านโปรดเข้าใจด้วย ปล่อยให้หมิงเซียนไปเรือนซีย่วนเถิด!”
“แต่หมิงเซียน…”
“หยุด!” หมิงเซียนตะโกนเสียงดัง สีหน้าขมขื่น “พี่สาวทุกท่าน คราแรกพวกเราตกลงกันว่าจะผลัดกันไป พวกพี่สาวรู้ว่าวันนี้เป็นเวรของหมิงเซียน จึงคิดจะยืมป้ายห้อยเอวของหมิงเซียน คุณชายใหญ่สั่งด้วยตนเองให้หมิงเซียนเอาไปให้คุณชายม่อ หมิงเซียนไม่มีทางเลือก ปล่อยข้าไปเถิด หากยังไม่ไป คุณชายม่อต้องทนหิวคงจะไม่ดี” หมิงเซียนกล่าวจบก็ผลักสาวใช้ที่ยืนล้อมนางออก วิ่งไปที่เรือนซีย่วนพร้อมกับกล่องอาหาร
ได้ยินหมิงเซียนหยิบยกคำกำชับของคุณชายใหญ่ ทุกคนย่อมทราบว่าขวางนางไม่ได้ ซิ่วหลันที่อายุมากที่สุดได้แต่ตะโกนอย่างร้อนใจ “หมิงเซียน จำไว้ว่าต้องดูให้ละเอียด แล้วกลับมาเล่าให้พวกเราฟังด้วย!”
“รู้แล้ว!” หมิงเซียนหันมาทำหน้าทะเล้น ก่อนวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสาวใช้ที่ทั้งทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย และตกตะลึงไว้เบื้องหลัง
หมิงเซียนที่หิ้วกล่องอาหารตรวจป้ายห้อยเอวอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้าเรือนซีย่วน
เรือนซีย่วนตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเรือนชั้นนอก เป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ พวกสาวใช้ของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ มีแค่สาวใช้ในเรือนชั้นในเท่านั้นที่สามารถอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่กับฮูหยินผู้เฒ่าจุดธูปที่วัดเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่ก็ทำได้เพียงเดินเล่นในตำบลเย่าหลิงเท่านั้น ครั้นปรากฏผู้ป่วยมาขอให้รักษาที่เรือนซีย่วน ก็จะมีข่าวกระจายไปทุกสารทิศ ครั้งหนึ่งเคยมีจอมยุทธ์หนุ่มเดินทางมารับการรักษาแล้วถูกใจสาวใช้ที่ทำงานในเรือนซีย่วน จึงขออนุญาตประมุขหมู่ตึกพาสาวใช้นางนั้นจากไป แต่ละครอบครัวของเรือนชั้นในยังมอบเงินจำนวนไม่น้อยให้เป็นสินเดิม ดังนั้นเมื่อมีคุณชายรูปงามอย่างเหลือเชื่อมาพำนักที่เรือนซีย่วน จึงดึงดูดความสนใจของบรรดาสาวใช้อย่างยิ่ง
สาวใช้แทบทุกคนที่ได้เห็นม่อรั่วเฟยล้วนตกตะลึงพรึงเพริด ทุกวันจึงมีสาวใช้เฝ้าหน้าเรือนซีย่วน ด้วยหวังว่าจะได้ยินข่าวคราวของคุณชายม่อจากปากของผู้คุ้มกันเรือนซีย่วน
เพื่อให้ผู้ป่วยพักฟื้นอย่างสงบ นายท่านหลินออกคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าผู้ใดที่ไม่มีป้ายห้อยเอวห้ามเข้าเรือน เดิมนายท่านหลินเป็นกังวลว่านิสัยใจคอของคนในยุทธภพที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดภัยพิบัติ ผลปรากฏกลายเป็นดับความหวังของพวกสาวใช้ที่อยากจะเห็นบุรุษหนุ่มรูปงาม การไปส่งกล่องอาหารจึงเป็นโอกาสเดียว ทำให้เหล่าสาวใช้ในเรือนซีย่วนแก่งแย่งกัน เพื่อจะได้มองคุณชายม่อผู้นั้นอย่างใกล้ชิดสักแวบหนึ่ง
หมิงเซียนเดินมาถึงระเบียงทางเดิน มองไปข้างหน้า พลันตกตะลึง
ใต้ต้นเหมยแดงกลางลานเรือน ม่อรั่วเฟยสวมเสื้อสีม่วงปักอักษรฝู คลุมทับด้วยเสื้อขนสุนัขจิ้งจอก มือไพล่หลัง แหงนหน้าเล็กน้อย มุมปากประดับยิ้ม เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบ
ดอกเหมยแดงกระจายเกลื่อนพื้นหิมะ คุณชายรูปงามแต่งกายหมดจด ท่ามกลางความเงียบสงบของบริเวณโดยรอบ หมิงเซียนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นโครมคราม ลมหายใจสีขาวพวยพุ่งออกจากปาก นางได้แต่มองอย่างเหม่อลอย ลืมสิ้นว่านางมาทำอันใดที่เรือนซีย่วน
ม่อรั่วเฟยสังเกตเห็นสายตาของหมิงเซียน มุ่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย หลายวันนี้บรรดาสาวใช้ของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์มองจนเขารำคาญ ไม่รู้ว่าคนที่มาวันนี้จะพูดมากและรมเครื่องหอมจนทำให้เขาอยากจะจามอีกหรือไม่ เขาเบือนหน้าหนี สั่งเจี้ยนเซิงที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง ก่อนหันหลังกลับเข้าห้อง
ไร้ยางอายนัก! มีสาวใช้ของเรือนใดบ้างแทะโลมคุณชายด้วยสายตาแบบนี้! เจี้ยนเซิงคิดอย่างดูแคลน สีหน้าเคร่งขรึม “รบกวนแม่นางแล้ว!”
เสียงของเขากึกก้องสะเทือนไปถึงหิมะที่เกาะอยู่บนดอกเหมยจนร่วงตกลงมา และยังทำให้หมิงเซียนได้สติ ใบหน้าของนางแดงเรื่อ รีบถือกล่องอาหารตั้งท่าจะเดินเข้าไป ชำเลืองมองเรือน ถามเสียงเบา “พี่เจี้ยนเซิง อาการบาดเจ็บดีขึ้นหรือยัง คุณชายใหญ่ฝากให้หมิงเซียนถามไถ่”
ถามไถ่รึ เจี้ยนเซิงจำได้ว่าหลายวันนี้นายน้อยหลินกับท่านประมุขหลินต่างหาข้ออ้างว่ามีธุระ มิอาจมาพบ ยามนี้เพิ่งถามถึง คงรู้สึกว่าพวกเขาพำนักนานเกินไปกระมัง เจี้ยนเซิงตอบอย่างหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม[1]ว่า “อาการบาดเจ็บของเจี้ยนเซิงดีขึ้นแล้ว หลายวันนี้ต้องรบกวนหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์คอยดูแล ฉะนั้นค่ารักษาจะจ่ายเพิ่มสองส่วน คุณชายเดิมคิดจะขอบคุณต่อหน้าและขอตัวลา แต่บ่าวรับใช้ชายบอกว่านายน้อยหลินกับท่านประมุขหลินยุ่งมาก เกรงว่าไม่มีเวลา คงต้องรบกวนแม่นางหมิงเซียน ฝากบอกนายน้อยหลินกับท่านประมุขหลินว่าวันพรุ่งคุณชายข้าจะไปแล้ว ขออภัยด้วยที่รบกวนแม่นางมาส่งอาหาร ส่งกล่องอาหารให้ข้าเถิด”
วันพรุ่งจะจากไปแล้วหรือ หมิงเซียนรู้สึกผิดหวังทันใด แต่นางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง มิอาจตัดสินใจเองได้ ทว่าพอนึกถึงเงาร่างสง่างามที่ยืนชื่นชมดอกเหมยกลางหิมะ ดวงตาของนางก็ไหววูบ ตัดใจไม่ยอมมอบกล่องอาหารให้เจี้ยนเซิง แต่หิ้วเข้าเรือนเอง ม่อรั่วเฟยอ่านหนังสืออยู่ แสงจากนภาสว่างไสวผ่านหน้าต่างกระดาษสีขาวอาบไล้ใบหน้าของเขา พาให้ผิวหน้ากระจ่างราวหยกสลัก นางได้แต่มองอย่างเคลิบเคลิ้ม
เจี้ยนเซิงเดินตามเข้าเรือนอย่างจนปัญญา ส่งเสียงกระแอมไอสองสามครั้ง “แม่นางหมิงเซียน วางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะก็ใช้ได้แล้ว”
หมิงเซียนใบหน้าแดงเรื่อ พอคิดว่าคุณชายรูปงามดุจหยกผู้นี้จะจากไปในวันพรุ่ง ก็ไม่สนใจสีหน้าดำทะมึนราวถูกเมฆดำปกคลุมของเจี้ยนเซิง รีบจัดวางอาหาร ชำเลืองมองม่อรั่วเฟย กล่าวด้วยเสียงร้อนใจ “อาหารของวันนี้ บ่าวตั้งใจยกมาให้คุณชายเป็นพิเศษ หวังว่าคุณชายจะชอบเจ้าค่ะ”
ม่อรั่วเฟยได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย เริ่มรู้สึกประหลาดใจ เดินไปข้างโต๊ะและมองดู โบกมือไม่ให้เจี้ยนเซิงไล่คน
บนโต๊ะมีอาหารสี่อย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง ไก่เมาสุราฮวาเตียว เห็ดหูหนูผัดหอยกาบ ปลาขาวนึ่ง ผัดผักรวม ไก่ตุ๋นโสมบัวหิมะ พรั่งพร้อมทั้งสีสัน รูป รส ยังมีกลิ่นหอมที่กำจายทั่วโต๊ะ
ม่อรั่วเฟยยิ่งมองอาหารยิ่งแปลกใจ เขานั่งลง หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบลองชิม ก่อนเงยหน้าถามหมิงเซียน ยิ้มเล็กน้อย “รสชาติของอาหารช่างมีเอกลักษณ์ ล้วนแต่เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองวั่งจิง เหตุใดพ่อครัวท้องถิ่นจึงทำอาหารของเมืองวั่งจิงได้ แม่นางหมิงเซียนช่างเอาใจใส่โดยแท้”
“คุณชายชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นพ่อครัวใหญ่ที่เพิ่งเชิญมาจากเมืองวั่งจิง ปกติเขาทำอาหารให้คุณหนูห้าโดยเฉพาะ หมิงเซียนคิดว่าคุณชายเป็นคนเมืองวั่งจิง ย่อมต้องอยากกินอาหารของบ้านเกิด จึงขอร้องพ่อครัวหม่านทำให้เจ้าค่ะ” แววตาและรอยยิ้มของเขาทำให้หมิงเซียนตื่นเต้น หัวใจเริ่มเต้นรัวอีกครั้ง นึกดีใจ ไม่เสียทีที่นางขอร้องพ่อครัวหม่านอยู่นาน ทั้งสัญญาว่าจะทำรองเท้าให้พ่อครัวคู่หนึ่ง
“มิน่ารสชาติถึงได้คุ้นเคยแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพ่อครัวหม่านจากหอตัวเป่าแห่งวั่งจิง ได้ยินว่าท่านประมุขมีบุตรชายสามคนและบุตรีหนึ่งคน ไฉนถึงมีคุณหนูห้าได้เล่า มิหนำซ้ำยังได้รับความโปรดปรานมากเพียงนี้ ถึงกับเชิญพ่อครัวหม่านมาทำอาหารให้นางกินคนเดียวโดยเฉพาะ แม่นางหมิงเซียนรู้สาเหตุหรือไม่”
เสียงของเขาทั้งทุ้มนุ่มและจริงใจ แววตาที่มองหมิงเซียนอ่อนโยนดุจสายน้ำโอบล้อม ดึงนางให้จมดิ่งลงไป สมองของหมิงเซียนกลายแป้งเปียกที่ถูกต้มจนเดือด เกิดฟองฟอดขึ้นทำให้นางมิอาจมองอันใดได้อย่างกระจ่างชัด จากนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็พูดออกมาจนหมด ใช้เวลาเพียงไม่นาน ม่อรั่วเฟยก็รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับฮวาปู๋ชี่นับแต่เป็นขอทานจนเป็นสาวใช้ จากถูกเลี้ยงดูโดยแม่สุนัขกลายเป็นบุตรีบุญธรรมของท่านประมุข
หลังส่งหมิงเซียนเดินออกไปแล้ว ม่อรั่วเฟยก็หยิบภาพวาดออกมาจากอกเสื้อ ในภาพจันทราลอยเด่นเหนือผืนฟ้า ดอกตานกุ้ยส่งกลิ่นหอมกรุ่น โฉมสะคราญแหงนมองดวงจันทร์แย้มยิ้มเล็กน้อย ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามลมราตรี ราวเทพธิดาฉางเอ๋อที่เหาะเหินลงมาจากดวงจันทร์ เหมือนภาพวาดที่ผู้ตรวจการเฉินให้ม้าเร็วส่งมาที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน
พรหมลิขิตช่างเป็นคำที่แสนมหัศจรรย์
ฉับพลันนั้นในสมองของม่อรั่วเฟยปรากฏถ้อยคำประโยคนี้
เขาหวนนึกถึงสีหน้าท่าทาง ถ้อยคำและการกระทำของฮวาปู๋ชี่ที่เจอนางคืนนั้น แล้วอดหัวเราะไม่ได้
เจี้ยนเซิงถามด้วยความสงสัย “เหตุใดคุณชายถึงดูมีความสุขนักเล่าขอรับ”
ม่อรั่วเฟยชี้ไปที่ภาพวาด “ถ้าไม่ใช่เพราะหมิงเซียนเอ่ยขึ้น ข้าคงพลาดโอกาสแล้ว วันนั้นมืดเกินไปจึงไม่ได้มองให้ดี ตอนกลางวันนางยังใช้ผ้าปิดบังใบหน้า มิหนำซ้ำสกปรกมอมแมม ข้าจึงไม่ได้คิดมาก่อน แต่เวลานี้พอนึกดูแล้ว ฮวาปู๋ชี่มีสีหน้าท่าทางบางอย่างละม้ายฮูหยินจริงๆ”
เจี้ยนเซิงกล่าวเสียงดัง “คุณชายจะบอกว่าบุตรีบุญธรรมที่ท่านประมุขหลินเพิ่งรับมาเป็นคุณหนูห้าก็คือคนที่พวกเราตามหาหรือขอรับ”
ม่อรั่วเฟยกล่าวอย่างมั่นใจ “เรื่องที่ท่านอ๋องเจ็ดตามหาคนแพร่สะพัดทั่วซีโจวแล้ว ท่านประมุขหลินยอมรับเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงและทำงานเป็นสาวใช้ทั่วไปในสวนผักถึงเจ็ดปีเป็นบุตรีบุญธรรมกะทันหัน เรื่องนี้ชอบกลนัก เจี้ยนเซิง เจ้าจงไปส่งเทียบเชิญด้วยตนเอง มิเช่นนั้นท่านประมุขหลินคงไม่ยอมพบพวกเรา จำไว้ว่าอย่าเอ่ยถึงเรื่องภาพวาดเด็ดขาด”
“ทราบแล้วขอรับ” เจี้ยนเซิงรับคำก็รีบเดินออกไป
ม่อรั่วเฟยมองภาพวาดยิ้มๆ หวนนึกถึงถ้อยคำของฮวาปู๋ชี่ยามอยู่หน้าประตูหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาฉายแววสนอกสนใจ พึมพำ “ถ้าด่าว่าข้าเป็นเดรัจฉาน อย่างนั้นเจ้าก็ถูกแม่สุนัขเลี้ยงดู! ช่างเป็นสาวใช้ที่เจ้าเล่ห์จริงๆ เข้าใจว่าข้าคุณชายจะยอมให้เจ้าด่าเปล่าๆ อย่างนั้นรึ”
เทียบเชิญยาวสามชุ่นกว้างหนึ่งชุ่น ขอบขาวดุจหิมะ ตกแต่งด้วยเส้นสีเงิน ตรงกลางมีรอยประทับเหรียญเงินของร้านแลกเงินฟางหยวนสีแดงชาด
นายท่านหลินมองเทียบเชิญในมือ ตื่นเต้นจนหนวดกระดิก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ถามอย่างอ่อนโยน “คุณชายบ้านเจ้าคือคุณชายม่อของคฤหาสน์สกุลม่อแห่งเมืองวั่งจิงอย่างนั้นรึ”
ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นไปตามการคาดเดาของเจี้ยนเซิง เขาคลี่ยิ้มตอบว่า “คุณชายบ้านข้าน้อยเป็นนายน้อยของคฤหาสน์สกุลม่อแห่งวั่งจิงขอรับ ต้องขอบคุณหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าน้อย คุณชายคิดจะกล่าวขอบคุณและอำลาท่านประมุขด้วยตนเองขอรับ”
ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในใต้หล้าย่อมเป็นฮ่องเต้ผู้ประทับในวังหลวง ส่วนผู้ร่ำรวยมีเงินทองมากที่สุดคือสี่สกุลใหญ่ ได้แก่ ป้อมเหินเมฆาของสกุลอวิ๋น หมู่ตึกจันทราของสกุลหลิ่ว วาณิชแห่งแดนเจียงหนานสกุลจู และผู้ยืนหยัดในเมืองวั่งจิงอย่างสกุลม่อ
สี่สกุลใหญ่นอกจากค้าขายกับสกุลอื่นแล้วยังทำการค้ากับราชสำนักด้วย กิจการของป้อมเหินเมฆาคือ ศัสตราวุธและอาชา ส่งผ่านทางเส้นสายของกองทัพ หมู่ตึกจันทราของสกุลหลิ่วค้าขายเครื่องกระเบื้องจากเตาหลวง สกุลจูแห่งเจียงหนานค้าขายแพรพรรณกับใบชา ส่วนสกุลม่อแห่งเมืองวั่งจิง เนื่องจากความได้เปรียบด้านชัยภูมิ กิจการร้านค้าในเมืองหลวงแปดในสิบแห่งจะต้องมีเงาของสกุลม่อ ไม่ว่าพระบรมวงศ์หรือขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างมีหุ้นลมในกิจการเหล่านี้ไม่น้อย ดังนั้นแม้สกุลม่อไม่ได้แทรกแซงการค้าของกรมวังโดยตรง แต่กลับมีอำนาจโยกย้ายเงินหลวง ยังมีการจัดเก็บภาษีเงินหลวงของแต่ละท้องที่ การจัดสรรเงินกับเสบียงสำหรับกองทัพก็ต้องผ่านร้านแลกเงินของสกุลม่อเท่านั้น ตราบใดที่เป็นตั๋วแลกเงินซึ่งออกโดยร้านแลกเงินที่มีสัญลักษณ์เหรียญเงินสีแดงชาดของฟางหยวน ก็สามารถแลกเงินได้จากร้านแลกเงินทุกแห่งในแผ่นดิน
ดวงตาของนายท่านหลินเปล่งประกาย ไฉนเขาถึงได้โชคดีแบบนี้ อ๋องเจ็ดต้องการคน ฮวาปู๋ชี่ก็มีหน้าตาคล้ายฮูหยินในภาพวาด เขาอยากผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจเปี่ยมอิทธิพล สวรรค์ก็ส่งนายท่านผู้นี้ที่สนิทสนมกับผู้มีอำนาจและอิทธิพลของเมืองหลวงมาตรงหน้าเขาพอดี
“ได้ยินบุตรชายข้าบอกว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้ว ฝากบอกคุณชายบ้านเจ้าด้วย เย็นนี้ข้าผู้เฒ่าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงให้คุณชาย” นายท่านหลินคิดแล้วยิ้มอ่อน ในเมื่อหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อยากขยายกิจการไปยังเมืองวั่งจิง ย่อมจะขาดความช่วยเหลือจากนายน้อยสกุลม่อไม่ได้เด็ดขาด
นายท่านหลินพยายามคิดหาวิธีประจบเอาใจนายน้อยสกุลม่อแห่งวั่งจิง เขาสอบถามพวกสาวใช้ของเรือนซีย่วนเกี่ยวกับรสชาติอาหารที่ม่อรั่วเฟยชื่นชอบอย่างละเอียด พอได้ยินหมิงเซียนบอกว่าม่อรั่วเฟยค่อนข้างพอใจฝีมือทำอาหารของพ่อครัวหม่าน นายท่านหลินอดดีใจไม่ได้ เดิมเชิญเขามาทำอาหารให้ฮวาปู๋ชี่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกปากของคุณชายม่อด้วย นับว่าคุ้มค่าจริงๆ
บนโต๊ะนอกจากอาหารขึ้นชื่อของวั่งจิงที่ตั้งใจปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวหม่านแล้ว นายท่านหลินยังเพิ่มอาหารจานพิเศษของตำบลเย่าหลิงเข้าไปด้วย
“ชวนซานเจี่ย[2]ต้มพริกไทย น้ำแกงงูตุ๋นใส่เห็ดป่า อุ้งตีนหมีย่าง ล้วนแต่เป็นอาหารจานพิเศษของแถบนี้ คุณชายม่อเป็นแขกจากแดนไกล ลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร” นายท่านหลินแนะนำเสร็จแล้วก็หยิบยาดองที่หมักด้วยตนเองขึ้นมา
ม่อรั่วเฟยใช้ช้อนเงินตักน้ำแกงงูกิน ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจิบยาดองคำหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาพลันแดงเรื่อ เหงื่อชุ่ม เขาหัวเราะเหอะๆ เอ่ยวาจา “กลิ่นของป่าเขาโชยปะทะหน้า นับเป็นของดีจริงๆ เมื่อเทียบกันแล้ว อาหารขึ้นชื่อของวั่งจิงกลับขาดความเป็นธรรมชาติไป ขอบคุณท่านประมุขหลินที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเด็กรับใช้ของข้า หากวันหลังมีโอกาสแวะวั่งจิง ขอให้ข้าเป็นฝ่ายต้อนรับบ้างขอรับ”
ได้ยินดังนี้ นายท่านหลินยิ้มถาม “เคยได้ยินพ่อบ้านหลิวเอ่ยว่าคุณชายม่อมีวิชายุทธ์ล้ำเลิศน่าตื่นตะลึง วิชาตัวเบาถึงขั้นเหยียบหิมะไร้ร่องรอย ชั่วพริบตาก็ทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง แต่เป็นเช่นนั้นถือเป็นโชคดี จึงพาบุตรีของข้าที่ซุกซนหนีออกจากเรือนกลับมาได้ แล้วเหตุใดเด็กรับใช้จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นผู้ใดที่กล้ากระทำการอุกอาจ”
เดิมเขาคิดจะขยับความสัมพันธ์อีกก้าวอยู่แล้ว พอเอ่ยถึงฮวาปู๋ชี่ ดวงตาของม่อรั่วเฟยมียิ้มวาบผ่าน เขาดื่มสุราอึกหนึ่งก่อนตอบ “ไม่ขอปิดบังท่านประมุข ที่ข้ากับเด็กรับใช้มายังซีโจวเพราะมีธุระ ระหว่างทางเจอหมีตัวผู้กับหมีตัวเมียในป่า พวกมันดุร้ายมาก เจี้ยนเซิงไม่ทันระวังจึงถูกหมีตัวผู้ตะปบทีหนึ่ง ข้าให้เขากินดีหมีทั้งสองตัวแล้ว จึงรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ โชคดีที่คุณชายใหญ่เป็นคนรักษา ทำให้เสียเวลาไม่กี่วัน”
นายท่านหลินกระตือรือร้นขึ้นดังคาด ใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ของข้าถือว่ามีหน้ามีตาในซีโจวอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าคุณชายม่อมาซีโจวเพราะเหตุใด หากต้องการให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ โปรดบอกได้เลย”
ม่อรั่วเฟยมองรอบด้าน นายท่านหลินปรายตามอง บ่าวรับใช้และสาวใช้ที่ยืนรอปรนนิบัติถอยออกไปเงียบๆ ม่อรั่วเฟยค่อยลดเสียงลงกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “หรือหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้รับข่าวที่ส่งมาจากวั่งจิง เรื่องที่ท่านอ๋องเจ็ดตามหาเด็กหญิงคนหนึ่ง”
หัวใจของนายท่านหลินกระตุกวูบ สีหน้าเรียบเฉย “ที่ว่าการเขต ที่ว่าการเมือง หรือแม้แต่ที่ว่าการอำเภอในซีโจวและเหล่าสกุลใหญ่ล้วนได้รับภาพวาดหนึ่งภาพ หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับเช่นกัน บอกว่าท่านอ๋องเจ็ดต้องการตามหาเด็กหญิงคนหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์ใดกับท่านอ๋องเจ็ด คุณชายม่อมาที่นี่เพื่อเรื่องนี้เหมือนกันหรือ”
ม่อรั่วเฟยเอ่ยลอยๆ “วันนี้ปีกลายที่หน้าประตู พานพบนงคราญงามดั่งท้อผลิ ครานี้มาเยือนมิรู้นวลนางไปที่ใด มีเพียงดอกท้อแบ่งบานรับวสันต์ นี่เป็นเรื่องราวความรักของท่านอ๋องเจ็ดที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน”
หรือฮวาปู๋ชี่จะเป็นบุตรีของท่านอ๋อง เป็นท่านหญิงที่ตกระกำลำบากท่ามกลางสามัญชนเช่นนั้นรึ นายท่านหลินตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเปล่งประกายวิบวับ
ม่อรั่วเฟยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง บอกเล่าเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
ฤดูวสันต์อ๋องเจ็ดออกล่าสัตว์ที่ชานเมือง ระหว่างเดินทางรู้สึกกระหายน้ำ จึงขอน้ำดื่มที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งบังเอิญพบหญิงสาวที่นั่น อ๋องเจ็ดบังเกิดรักแรกพบ จึงปิดบังฐานะตนเอง ปลอมตัวเป็นคุณชายสกุลผู้ดีเพื่อนัดพบนาง คิดไม่ถึงว่าสามเดือนต่อมานางจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
จวนอ๋องเจ็ดมีชายาเอกคนหนึ่งที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรส ชายารองกับเหล่าฮูหยินเป็นผู้ที่ท่านอ๋องรับเข้ามาเอง แต่ละคนล้วนมีส่วนคล้ายสตรีผู้นั้น ได้ยินว่าชายาอ๋องเจ็ดตรอมใจตายเพราะสาเหตุนี้ หลังรู้ถึงความชื่นชอบของท่านอ๋อง หนึ่งปีก่อนมีคนอยากประจบท่านอ๋องจึงมอบภาพวาดนี้ให้ ฮูหยินในภาพวาดก็คือสตรีนางนั้น
อ๋องเจ็ดเห็นเพียงครั้งเดียว ใจคะนึงหามิรู้วาย หลังสืบข่าว ค่อยทราบว่า พื้นเพสตรีผู้นั้นเป็นคนซีโจว เนื่องจากไม่พอใจกับการหมั้นหมายที่คนในครอบครัวจัดการให้ จึงหนีออกจากเรือนไปยังเมืองวั่งจิง ภายหลังครอบครัวพากลับไปยังเขตปกครองซีโจว นางที่ยังไม่ได้ออกเรือนกลับให้กำเนิดบุตรีคนหนึ่ง คนในครอบครัวนำเด็กไปทิ้ง จากนั้นบังคับให้นางแต่งงาน ไม่ถึงหนึ่งปีนางที่ถูกบังคับให้สมรสก็ตรอมใจตาย
อ๋องเจ็ดคำนวณเวลา เห็นว่าช่วงที่นางตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่เขากับโฉมงามมีใจตรงกัน ครั้นคิดว่ายังมีลูกที่ถือกำเนิดกับคนรักอยู่บนโลกใบนี้โดยที่คาดไม่ถึง ก็สั่งให้คัดลอกภาพวาด เร่งส่งไปยังซีโจวเพื่อตามหาคน
ม่อรั่วเฟยทอดถอนใจพร้อมคร่ำครวญ ทำให้เรื่องดูน่าเศร้าสลดและซาบซึ้งกินใจ เมื่อคิดว่าหากตามหาเด็กกำพร้าให้อ๋องเจ็ดจนเจอ นับแต่นี้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็จะได้พึ่งใบบุญของอ๋องเจ็ดแล้ว นายท่านหลินก็ยิ้มแย้มดีใจเต็มหน้า
เห็นท่าทางของนายท่านหลิน ม่อรั่วเฟยพลันเปลี่ยนเรื่องคุย “ความจริงฮูหยินผู้นั้นกับข้ามีความสัมพันธ์กันบางอย่าง”
นายท่านหลินเริ่มตกใจ “หรือ…”
“ใช่ ชื่อของฮูหยินผู้นั้นมีตัวอักษรเฟย! ข้ามีนามว่ารั่วเฟย ชื่อรองว่าอี้ซาน คำว่ารั่วเฟยนี้ท่านพ่อตั้งให้ เป็นการแสดงถึงความรักลึกซึ้งของท่านพ่อ ยามเยาว์ฮูหยินผู้นั้นรู้จักกับท่านพ่อของข้าตอนอยู่ซีโจว แต่เนื่องจากท่านย่าได้หมั้นหมายให้ท่านพ่อแล้ว ท่านพ่อจึงต้องแต่งงานกับท่านแม่ของข้า แต่ท่านพ่อมิอาจลืมฮูหยินผู้นั้นได้ หลังข้าเกิด จึงตั้งชื่อนี้ให้เพื่อระลึกถึงนาง”
ขณะที่ม่อรั่วเฟยพูดก็หยิบภาพวาดนั้นออกมาจากแขนเสื้อแล้วคลี่ออก ดูต่างจากภาพวาดที่นายท่านหลินได้รับ ภาพวาดในมือของเขามีขนาดเล็กกว่า มิหนำซ้ำเส้นสายพู่กันปาดยังละเอียด งดงามและสมจริง เขาทอดถอนใจ “นี่เป็นภาพที่ท่านพ่อของข้าวาดเอง หลังมีคนเห็นก็ลอกเลียนแบบภาพนี้แล้วเอานำไปประจบท่านอ๋องเจ็ด”
เรื่องราวพลิกผันไปมา พอได้ยิน นายท่านหลินก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง อ๋องเจ็ดสั่งให้ตามหาคนโดยอาศัยภาพวาด ส่วนคนของคฤหาสน์สกุลม่อกลับเคยเห็นฮูหยินผู้นั้นกับตาตนเองมาก่อน หากต้องการแยกแยะจริงเท็จ มองอย่างไรถ้อยคำของสกุลม่อก็ดูมีน้ำหนักมากกว่า
“ไม่บิดปังท่านประมุข ยามที่ฮูหยินผู้นั้นหลบหนีการแต่งงานไปยังวั่งจิง สถานที่ที่นางขอพำนักคือคฤหาสน์สกุลม่อ วันนั้นที่ครอบครัวของฮูหยินผู้นั้นตามมาเจอ ก็เป็นเพราะท่านแม่ของข้าส่งข่าวไปบอกด้วยความโกรธเกรี้ยว ยามนี้ท่านพ่อของข้าเสียชีวิตแล้ว หลังท่านอ๋องเจ็ดทราบเรื่องนี้ก็คิดแค้นสกุลม่อ ที่ข้ามายังซีโจวครั้งนี้ก็เพื่อตามหาลูกของฮูหยินผู้นั้นหวังคลายโทสะของท่านอ๋องเจ็ด ยามที่ข้าอายุห้าขวบเคยพบฮูหยินผู้นั้นที่คฤหาสน์ หากได้เห็นบุตรีของนาง จะต้องจำได้อย่างแน่นอน” ม่อรั่วเฟยพูดจบก็ส่งยิ้มให้นายท่านหลิน
หากพาฮวาปู๋ชี่มาให้ม่อรั่วเฟยดู แล้วเขาบอกว่าเป็นตัวปลอม อย่างนั้นทั้งเงินทั้งแรงกายที่ทุ่มเทไปก็นับว่าถูกโยนทิ้งน้ำอย่างเสียเปล่า แต่หากไม่ให้ม่อรั่วเฟยเจอฮวาปู๋ชี่ วันหน้าเขารู้เรื่องเข้า จะต้องเคืองแค้นหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน ล่วงเกินสกุลม่อ อนาคตจะดีได้อย่างไร สกุลม่อไม่จำเป็นต้องแสดงตัวเป็นศัตรูกับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างโจ่งแจ้ง เพียงยื่นมือแทรกแซงการค้ายาสมุนไพรก็ใช้ได้แล้ว หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์อาศัยแค่ค่ารักษาอย่างเดียวไหนเลยจะสามารถเลี้ยงดูคนหลายร้อยชีวิตได้ นายท่านหลินกระสับกระส่าย ชั่วขณะนั้นไม่ทราบว่าสมควรจะทำอย่างไรดี
ม่อรั่วเฟยถอนหายใจ กล่าวว่า “ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ถ้าตายไปแล้วก็ช่างเถิด แต่หากยังมีชีวิตอยู่ แล้วสกุลม่อของข้ามิอาจส่งคนไปให้ ท่านอ๋องเจ็ดจะต้องระบายความขุ่นเคืองกับสกุลม่อของพวกเราอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม…”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป ใบหน้าเยียบเย็นทันใด “หากมีคนกล้าชิงตัดหน้าสกุลม่อของข้า คิดย้อมแมวขาย สกุลม่อของข้าไม่มีทางยอมอยู่เฉยๆ แน่!”
นายท่านหลินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกว่ายาดองในถ้วยขมฝาดอย่างยิ่ง
“เฮ้อ ดื่มสุรามากแล้ว ท่านประมุขอย่าได้ตำหนิ ได้ยินว่าที่ซีโจวมีคนหาเด็กคนนั้นเจอแล้ว วันรุ่งขึ้นข้าจะเดินทางไปยังที่ว่าการ จริงหรือเท็จ เพียงไปดูก็รู้ ดึกแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
ม่อรั่วเฟยลุกขึ้นอย่างสง่างาม ย่างเท้าเดินออกไป ทิ้งให้นายท่านหลินตกตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่ในห้องโถงตามลำพัง
นั่งเป็นนาน เขาถึงผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าเรือนชั้นในทันที
หิมะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง เหมยแดงในลานคลี่กลีบบานสะพรั่งดุจเปลวไฟ สีแดงตัดกับสีขาวอย่างน่าชม
เจี้ยนเซิงเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “คุณชาย เหตุใดไม่บอกตามตรงขอรับ หากคุณหนูห้าคล้ายคลึ่งจริงๆ พวกเราพานางไปย่อมส่งผลดีต่อหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ หากพวกเขาส่งคุณหนูห้าไปยังเมืองวั่งจิงเอง ผู้อื่นย่อมต้องส่งเด็กสาวที่คล้ายคลึงไปเช่นเดียวกัน ให้สกุลม่อของพวกเราส่งไปจะไม่ดูน่าเชื่อถือกว่าหรือขอรับ”
ม่อรั่วเฟยชมดอกเหมยแดงอย่างสบายอกสบายใจ ยิ้มบางก่อนอธิบาย “เจี้ยนเซิง พ่อค้าแสวงหาผลกำไร จะต้องได้รับผลประโยชน์ที่มากที่สุด เทียบกับการที่พวกเราขอร้องหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์แล้ว ให้เขาส่งมอบคนอย่างว่าง่ายไม่ดีกว่าหรือ เรื่องนั้นมีทั้งจริงและเท็จปนกัน ท่านประมุขหลินเป็นจิ้งจอกเฒ่าคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่หากเขาต้องการกอดไม้ใหญ่อย่างสกุลม่อแห่งวั่งจิง ย่อมจะต้องมอบฮวาปู๋ชี่อย่างเชื่อฟัง! และตั้งใจสังเกตสีหน้าท่าทางของพวกเราระหว่างแยกแยะจริงเท็จ”
สิ้นเสียง ก็ได้ยินความเคลื่อนไหวดังมาจากลานเรือน
ม่อรั่วเฟยหันมองแวบหนึ่ง นายท่านหลินพาคุณชายใหญ่อวี้เฉวียนกับคนที่แต่งกายเหมือนคุณหนูคนหนึ่งเดินมาตามระเบียงทางเดิน สายตาของเขาดีมาก เมื่อมองดูอย่างละเอียด หัวใจพลันสั่นสะท้าน
นี่คือฮวาปู๋ชี่อย่างนั้นหรือ
นางสวมเสื้ออ่าวชายสั้นสีขาวขลิบขนสุนัขจิ้งจอกสีเงิน กระโปรงสีเขียว ยังมีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ขนเงินลู่ตามลมเคฃ้าเคลียใบหน้าที่ไม่นับว่างดงามของนาง ผิวของนางคล้ำเล็กน้อยเพราะทำงานที่สวนผักหลายปี แต่ก็ดูมีสุขภาพดี ที่ไม่เข้ากับใบหน้าที่สุดเป็นดวงตาคู่นั้น ราวกับเพชรวาววับล้ำค่าสองเม็ดถูกฝังอยู่กลางดินโคลน เห็นอยู่ว่ารูปโฉมไม่จัดว่างดงาม แต่กลับมีประกายที่ทำให้คนยากจะลืมลง
ฮวาปู๋ชี่มองม่อรั่วเฟยเช่นกัน หัวใจเต้นแรง ปีศาจผู้นี้นี่! หน้าตางดงามก็แล้วไปเถิด ไฉนถึงได้เอาแต่แต่งกายหรูหราแบบนี้ สาบเสื้อ ชายแขนเสื้อ และชายเสื้อปักลายบุปผาด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาวดูธรรมดา แต่พอเขาสวมกลับดูดีมาก! มิน่าบรรดาสาวใช้ในหมู่ตึกถึงเอาแต่พูดถึงเขาตลอดทั้งวัน! ฮวาปู๋ชี่เบะปากเหยียดหยัน จากนั้นก็ทำท่าทางสง่างามแย้มยิ้มเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว
นางไม่รู้ว่าขณะทำท่าทางเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ แววตาของนางไม่ได้สงบราบเรียบอีกต่อไป ทั่วทั้งร่างนางเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาในสายตาของม่อรั่วเฟยทันที
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ นายท่านหลินหัวเราะแหะๆ “คืนนั้นหิมะตกหนัก หากไม่ใช่เพราะคุณชายม่อหาบุตรีของข้าที่อยู่ในภูเขาเจอ เกรงกว่าคงหนาวตายแล้ว ดังนั้นจึงพาบุตรีมาขอบคุณคุณชายม่อที่ช่วยชีวิตนางไว้”
ฮวาปู๋ชี่ยิ้มเขินอาย ยอบกายคารวะพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยเสียงแผ่วเบา ทุกอากัปกิริยาล้วนงามสง่าและสุภาพเรียบร้อย
ม่อรั่วเฟยชมการแสดงอย่างติดอกติดใจ
ยามที่เห็นฮวาปู๋ชี่คราแรก นางยังแต่งกายเป็นสาวใช้ เอาผ้าปิดบังใบหน้า ดูสกปรกมอมแมมและตื่นตระหนก เวลานี้นางเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงก็กลายเป็นคุณหนูที่รู้มารยาทแล้ว สายตาที่จับจ้องเขายามอยู่ในภูเขาหิมะ ราวกับสุนัขป่าในความมืด เวลานี้กลับเป็นกวางน้อยที่ถูกฝึกจนเชื่อง ยามที่แบกนางลงจากเขา นางอ้าปากกว้างหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะฉีกไปถึงใบหูอยู่แล้ว ยามนี้ริมฝีปากบางกลับยิ้มบางราวหัวไชเทาหั่นฝอย
ทุกคนล้วนเล่นละคร เขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลังคารวะตอบ ม่อรั่วเฟยก็จ้องฮวาปู๋ชี่ตามอำเภอใจ คล้ายค้นพบอันใดบางอย่าง ต่อมาก็ขมวดคิ้วและส่ายหน้า
นายท่านหลินที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตกใจทันควัน
ม่อรั่วเฟยพึมพำเสียงเบา “ดูคุ้นอยู่บ้าง แต่ช่างน่าเสียดาย”
เมื่อถ้อยคำนี้หลุดออกมา นายท่านหลินประหนึ่งถูกแช่ในหิมะ ความหมายของม่อรั่วเฟยคือฮวาปู๋ชี่ไม่เหมือนอย่างนั้นหรือ เขาถึงกับโพล่งว่า “เสียดายอันใดหรือ”
“โอ้ ลักษณะท่าทางของคุณหนูห้าคล้ายฮูหยินผู้นั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้สืบทอดความงามของฮูหยินเลย หน้าตาไม่คล้ายสักนิด ช่างน่าเสียดาย” ม่อรั่วเฟยอธิบาย ยิ้มน้อยๆ
ไม่ใช่นางอย่างนั้นหรือ แล้วต่อจากนี้นางจะทำอย่างไรดี คงได้แต่หนีไปพร้อมกับชามขอทาน! ฮวาปู๋ชี่ตัดสินใจได้ทันควัน
นายท่านหลินหัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อน พ่อมีธุระจะคุยกับคุณชายม่อ”
คุณชายใหญ่หลินประสานมือคารวะ กล่าวอำลาม่อรั่วเฟย พาฮวาปู๋ชี่ออกจากเรือนซีย่วน สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ม่อรั่วเฟยมองแผ่นหลังของฮวาปู๋ชี่พลางระงับความยินดีในใจ นางเป็นเด็กหญิงที่เหมือนฮูหยินผู้นั้นที่สุดตั้งแต่เขาเคยเห็นมา หน้าตาเขางดงาม ปกติไม่ทราบว่ามีสตรีสะคราญโฉมมากน้อยเพียงใดที่หลงใหลเขา แต่เมื่อครู่สายตาของฮวาปู๋ชี่ทำเขาใจลอย และยังทำให้จดจำได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าสตรีหน้าตางดงามที่เขาเคยเห็นด้วย ไฉนเขาถึงได้ใจลอยกับสตรีเช่นนี้ได้เล่า ม่อรั่วเฟยนึกสงสัยและอดแตกตื่นไม่ได้
“มีอันใดรึ คุณชายม่อ” ดวงตาของนายท่านหลินแฝงแววสงสัย ม่อรั่วเฟยมองแผ่นหลังของฮวาปู๋ชี่ แล้วมีสีหน้าตื่นตะลึง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ดูชอบกล หรือฮวาปู๋ชี่จะเหมือนจริง แต่ม่อรั่วเฟยจงใจบอกว่านางไม่เหมือนเช่นนั้นหรือ เขายิ้มพลางส่งเสียงเรียกม่อรั่วเฟย
พอหันหน้าไปเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของนายท่านหลิน ม่อรั่วเฟยก็รู้ว่าตนเองลืมตัวจนเสียกิริยา เขาหัวเราะฮ่าๆ “หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงเลื่องลือในซีโจว ทิวทัศน์ของหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์งดงามยิ่ง ต้องใช้ความเพียรพยายามหลายรุ่นจึงมีหน้ามีตาเช่นนี้! หากต้องการเป็นสกุลใหญ่เช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย!”
ประโยคแฝงความทอดถอนใจนี้ทิ่มแทงความเจ็บปวดในใจของนายท่านหลิน หากอาศัยแค่ค่ารักษาเพียงอย่างเดียวย่อมยากที่จะรักษาหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้ ตำบลเย่าหลิงอยู่ติดภูเขา ที่ดินส่วนใหญ่เพาะปลูกพืชสมุนไพร กล่าวได้ว่าเป็นครอบครัวสกุลใหญ่แห่งซีโจวที่ปลูกสมุนไพร อาศัยการค้าสมุนไพร และปรุงยาลูกกลอนขาย หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์จึงค่อยๆ เจริญเช่นวันนี้
นอกจากรายได้ต่อปีที่ต้องใช้จ่ายในหมู่ตึกแล้ว ยังต้องรับมือกับการขูดรีดของข้าหลวงหวง ถึงดูเป็นครอบครัวใหญ่ มีทรัพย์สมบัติมากมาก แต่ก็เสี่ยงที่อาจทำให้ทั้งหมู่ตึกล่มสลายจนคนมิอาจมีชีวิตอยู่ได้ในชั่วพริบตา ดังนั้นนายท่านหลินจึงคิดจะพึ่งพิงอ๋องเจ็ด ขณะเดียวกันก็วางแผนให้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ย้ายออกจากซีโจว เพื่อไปเปิดร้านขายยาที่เมืองวั่งจิง
จากถ้อยคำของม่อรั่วเฟยทำให้เขายกเลิกแผนการที่จะส่งฮวาปู๋ชี่ไปที่จวนของอ๋องเจ็ด หากผูกสัมพันธ์กับสกุลม่อได้ แล้วให้อ๋องเจ็ดรู้ว่าเขารับฮวาปู๋ชี่เป็นบุตรีบุญธรรม สำหรับหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์แล้ว นับว่าเกิดประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย นี่เป็นการตัดสินใจของฮูหยินผู้เฒ่าหลังทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อคืน
นายท่านหลินคิดมาถึงตรงนี้ พลันหัวเราะบ้าง “ขอไม่ปิดบังคุณชายม่อ หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์คิดจะเปิดร้านขายยาในเมืองวั่งจิง ข้าผู้เฒ่าอยากขอความช่วยเหลือจากคุณชาย”
ความรู้สึกที่ได้เป็นคนควบคุมหมากอีกครั้งช่างดีจริงๆ ม่อรั่วเฟยบอกปัดพร้อมยิ้มบางเบา “เมืองวั่งจิงมีร้านขายยาใหญ่อย่างร้านขายยาจี่ ร้านขายยาหุยชุนถัง ล้วนได้รับความช่วยเหลือจากอดีตหมอหลวง และยังมีความสัมพันธ์กับสำนักหมอหลวงในวังหลวง แม้หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์พอจะมีชื่อเสียงในซีโจวอยู่บ้าง แต่หากคิดจะมีที่ยืนในเมืองวั่งจิงเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย สกุลม่อมีกิจการร้านแลกเงิน ไม่เชี่ยวชาญเรื่องยารักษาโรค”
นายท่านหลินโมโหจนเกือบจะไม่สนใจคำกำชับของฮูหยินผู้เฒ่า นายน้อยสกุลม่อที่มองแล้วคล้ายเทพกระต่าย ไฉนจึงเจ้าเล่ห์ เหี้ยมโหดแบบนี้ เห็นอยู่ว่าตนยอมถอยให้ก้าวใหญ่ อีกฝ่ายกลับตามบีบบังคับไม่ลดละ เขาพยายามควบคุมโทสะในใจ จ้องม่อรั่วเฟยที่เปิดไพ่ตายด้วยท่าทางสบายๆ “ในเมื่อสกุลม่อมิอาจช่วยเหลือ ข้าผู้เฒ่าก็ได้แต่หาหนทางอื่น คุณชายม่อบอกว่าปู๋ชี่ไม่เหมือนฮูหยินผู้นั้น เกรงว่าคงมีเพียงท่านอ๋องเจ็ดเท่านั้นที่เห็นอย่างชัดเจนที่สุด ข้าผู้เฒ่าเขียนจดหมายแจ้งผู้ตรวจการเฉินแล้ว ผ่านเทศกาลโคมไฟแล้วจะส่งปู๋ชี่ไปเมืองวั่งจิง”
เขากำลังเดิมพัน เดิมพันเพราะเมื่อครู่เห็นม่อรั่วเฟยลืมตัวจนเสียกิริยา และเดิมพันว่าพวกสกุลม่อตามหาลูกของฮูหยินผู้นั้นอย่างเร่งรีบ
ม่อรั่วเฟยชมดอกเหมยราวกับไม่ร้อนใจ ส่วนนายท่านหลินมองหิมะอย่างสบายอกสบายใจ คนทั้งสองต่างรอให้อีกฝ่ายยอมแพ้
สายลมพัดผ่านลานเรือนอย่างเงียบงัน เหมยแดงหลายดอกหลุดร่วงจากกิ่ง ม่อรั่วเฟยหันกลับไป คว้าดอกเหมยที่ร่วงหล่นมาไว้ในมือได้ในชั่วพริบตา สีแดงที่สวยสดงดงามพลันเหี่ยวเฉา ประหนึ่งหญิงงามอ่อนเพลียแล้วผล็อยหลับไปเงียบๆ
“นายท่านหลิน ท่านดูดอกเหมยนี่สิ มองไกลๆ ราวกับเป็นทั้งเปลวไฟและเมฆแดง ดูมีชีวิตชีวา สง่าผ่าเผย แต่ความจริงโรยราหลายครา หากผ่านลมหนาวและฝนตกหนักอีกสักหน ก็คงจะร่วงโรยแล้วตกลงไปในโคลนตม สวนบุปผายามถูกหิมะขาวปกคลุมสะอาดตา แต่ยามอากาศอุ่นขึ้นก็จะสกปรก บุปผาบานยังมีวันโรยรา รอจนกระทั่งเหี่ยวเฉาค่อยนึกเสียใจ ยามเยาว์ ครั้งแรกที่เจอฮูหยินผู้นั้นที่คฤหาสน์ รั่วเฟยตกตะลึงอย่างยิ่ง ฮูหยินเองก็ชอบรั่วเฟยมาก จึงเข้ากันได้ดี รั่วเฟยจำฮูหยินผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ จนถึงวันนี้ยังจำได้ว่านางชอบแต่งตัว ทุกครั้งที่ท่านอ๋องไปเยือนคฤหาสน์ ฮูหยินมักแต่งกายงดงามเป็นพิเศษ”
ขณะที่ม่อรั่วเฟยทอดถอนใจกับสายลมบุปผาหิมะจันทรา นายท่านหลินกลับรู้สึกว่าหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างไปจากดอกเหมยแดงที่ถูกบีบอยู่ในมือของม่อรั่วเฟย พาให้อกสั่นขวัญหาย พลันได้ยินม่อรั่วเฟยทอดถอนใจถึงฮูหยินผู้นั้นอีกครั้ง แต่ในน้ำเสียงเจือแววถอยก้าวหนึ่ง นายท่านหลินลอบปาดเหงื่อ กล่าวคล้อยตามม่อรั่วเฟย “หากสกุลม่อตามหาเด็กคนนั้นเจอ และนางได้รับการอบรมสั่งสอนดีๆ สักสองปี ท่านอ๋องจะต้องชอบนางมากขึ้นแน่”
คนทั้งสองหันหน้ามาแลกเปลี่ยนสายตา บรรลุข้อตกลงร่วมกัน
มีแต่จะต้องมอบฮวาปู๋ชี่ให้ม่อรั่วเฟยอบรมสั่งสอน ถึงจะทำให้คล้ายฮูหยินผู้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์จะเปิดร้านขายยาที่เมืองหลวงจึงจะได้รับการสนับสนุนจากสกุลม่อ
ดีต่อเจ้า ดีต่อข้า และดีต่อทุกคน การทำการค้าจึงนับว่าสำเร็จ
…
ฮวาปู๋ชี่คิดจะหลบหนี พอได้ยินข่าวนี้ก็นิ่งเงียบไป หลังบอกกับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะไม่ลืมบุญคุณของสกุลหลิน นางก็นั่งในห้องมองชามขอทานอย่างเหม่อลอย
สองสกุลวางแผนอนาคตอันงดงามให้นาง นางมิอาจคัดค้าน
“ถึงอย่างไรข้าก็คิดจะไปดูวังที่เมืองวั่งจิงอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าที่นั่นจะเหมือนพระราชวังต้องห้ามของปักกิ่งหรือไม่” รอยยิ้มเริ่มผุดพรายบนใบหน้าฮวาปู๋ชี่
ชีวิตสิบสามปีที่ยากลำบากยังผ่านมาแล้ว มีอันใดให้กลัวอีก
ขณะลูบคลำชามขอทาน นางก็นึกถึงม่อรั่วเฟย บุรุษรูปงามที่ทำให้นางน้ำลายไหลและหัวใจเต้น จู่ๆ ก็หมดเสน่ห์ดึงดูด ฮวาปู๋ชี่คิดอย่างเหยียดหยันว่า เขาก็แค่พ่อค้าที่หน้าตาดีหน่อยเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮวาปู๋ชี่พกชามขอทานที่ฮวาจิ่วทิ้งไว้ให้นางกับข้าวของไม่มากนักขึ้นรถม้าของม่อรั่วเฟย เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เอาไปด้วย เพราะม่อรั่วเฟยต้องการตัดเย็บให้นางใหม่ ของในหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไม่ได้อยู่ในสายตา หงเอ๋อร์กับลวี่เอ๋อร์ได้ตามนางไปด้วย สกุลม่อไม่ขาดแคลนสาวใช้ ทว่านายท่านหลินต้องการให้มีหูมีตาของตนเองอยู่ข้างกายฮวาปู๋ชี่ ม่อรั่วเฟยไม่ได้ปฏิเสธ
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกจากหมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ ฮวาปู๋ชี่เลิกผ้าม่านขึ้นมองวิวทิวทัศน์ที่คุ้นเคยของตำบลเย่าหลิง และมองสุสานรกร้างแห่งนั้นที่อยู่ไกลออกไปอย่างเงียบเชียบ
นัยน์ตานางเต็มไปด้วยความโศกศัลย์ ท่านอาเก้า ครั้งนี้ข้าต้องไปเมืองวั่งจิงจริงๆ แล้ว ท่านคงจะดีใจใช่หรือไม่
รถม้าทั้งกว้างขวางและหรูหรา ข้างในปูขนสัตว์อ่อนนุ่ม ม่อรั่วเฟยเอนตัวลงบนหมอนปักดิ้นทองลายดอกโบตั๋นมองฮวาปู๋ชี่แล้วยิ้มน้อยๆ ครั้นเห็นความรู้สึกในแววตาของนาง เขาพลันอดสงสารไม่ได้ แต่คิดอีกที เป็นท่านหญิงย่อมดีกว่าให้นางอยู่ที่หมู่ตึกโอสถศักดิ์สิทธิ์ ถึงเขาจะมีเป้าหมาย แต่นับเป็นผลดีต่อตัวนาง รอจนรถม้าเคลื่อนไปบนทางหลวง และตำบลเย่าหลิงถูกซ่อนไว้หลังทิวเขาแล้ว เขาถามเสียงเอื่อยเฉื่อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงต้องไปวั่งจิง”
“นายท่านบอกว่าลักษณะท่าทางข้าเหมือนฮูหยินผู้หนึ่ง ความจริงข้าหน้าตาไม่เหมือนนาง แทบไม่ต่างอันใดกับใช้ตะกร้าหวายตักน้ำ[3] ” ฮวาปู๋ชี่ปล่อยม่านลง หยิบขนมรังผึ้งบนโต๊ะไม้หนานมู่ขึ้นมากินพลางตอบคำถาม หลังอยู่ร่วมกับม่อรั่วเฟยในภูเขาหิมะหนึ่งคืน นางรู้สึกว่าการเสแสร้งเป็นกุลสตรีต่อหน้าเขาเป็นเรื่องน่าเบื่อ
ม่อรั่วเฟยรู้สึกว่าน่าสนใจ สาวใช้นางนี้มักแสดงด้านที่แตกต่างจากสาวใช้ทั่วไป เขาถามต่อ “เจ้าเป็นเด็กอายุสิบสามจริงๆ หรือ”
หัวใจของฮวาปู๋ชี่กระตุกวูบ ตอบกลับโดยไม่กะพริบตา “ข้ากับท่านอาเก้าขอทานห้าหกปี รู้ว่าคนแบบใดที่จะบริจาคเงิน และรู้ว่าคนแบบใดยอมโยนหมั่นโถวทิ้ง แต่ไม่ยอมให้พวกเรากิน”
ความหมายของนางชัดเจนมาก นางมีชีวิตอย่างยากลำบากโดยการสังเกตสีหน้าผู้คนตั้งแต่เล็ก สิ่งที่นางรู้จึงมีมากกว่าเด็กอายุสิบสามทั่วไป
ม่อรั่วเฟยตะลึงงัน ในสมองปรากฏร่างคนผู้หนึ่ง เขาส่ายหัวสลัดเงาร่างนั้นออกไป กล่าวเนิบช้า “ของพิเศษจึงน่าครอบครอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร สกุลม่อของข้าขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องเจ็ด เจ้าเป็นของกำนัลที่ข้าจะมอบให้เขา ข้ามีวิธีที่ทำให้เจ้ากลายเป็นหงส์ที่โผบินสู่ยอด ย่อมสามารถถอนขนปีกของเจ้าได้เช่นกัน เก็บความเฉลียวฉลาดเพียงเล็กน้อยของเจ้าไว้ นับแต่นี้ชีวิตของเจ้าเป็นของข้าแล้ว”
เงียบไปครู่หนึ่ง ฮวาปู๋ชี่ค่อยถาม “หมายความว่าหากเชื่อฟังก็จะมีข้าวกินใช่หรือไม่”
ม่อรั่วเฟยหัวเราะ “เจ้าเป็นเด็กฉลาด เป็นท่านหญิงย่อมส่งผลดีต่อตัวเจ้า ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ไยต้องหาเรื่องกลุ้มใจ”
ฮวาปู๋ชี่กะพริบตา พลอยหัวเราะไปด้วย “จริงสิ เป็นท่านหญิงย่อมมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ ได้กินดีอยู่ดีสวมแพรพรณใส่ผ้าไหม ไม่มีอันใดจะดีไปกว่านี้แล้ว ขอบคุณความเมตตาของคุณชายม่อ คิดไม่ถึงว่าคุณชายจะมอบชามข้าวทองคำแก่ปู๋ชี่จริงๆ!”
นางก้มลงเช็ดเศษขนมที่ติดมุมปาก เหลือบมองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง ชามขอทานในกล่องแพรเป็นของชิ้นเดียวที่นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
[1] หมายถึง เสแสร้งแกล้งทำ
[2] ตัวนิ่ม หรือตัวลิ่ม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยหมุนเวียนเลือด ห้ามเลือด ขับประจำเดือน ขับลมตามไขข้อแก้ปวดเมื่อย ขับน้ำนม เป็นต้น
[3] หมายถึง เสียแรงเปล่า การกระทำที่เหนื่อยเปล่า ไร้ประโยชน์