鱼香四溢
ปลาน้อยของท่านเทพ
抹茶曲奇 หมั่วฉาฉวี่ฉี เขียน
สี่เมษา แปล
— โปรย —
อาเหลียนเป็นปลาฮวาเหลียนตัวน้อยธรรมดาๆ
ที่มีตบะบำเพ็บเพียงสามร้อยปี นางมีความปรารถนาหนึ่ง
ชีวิตนี้นางปรารถนาที่จะเป็นอาหารจานหลักของหรงหลิน
เทพสงครามผู้สูงส่ง รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ซึ่งครองตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาสามหมื่นปี
อาเหลียนพยายามฝึกเซียนเพื่อให้ได้ใกล้ชิปดเขา
และขุนตนเองให้อวบขาว กระทั่งในที่สุดก็สามารถนำไปปรุงอาหารได้แล้ว
อาเหลียน “ซ่างเสิน ท่านชอบปลาน้ำแดงหรือปลานึ่งเจ้าคะ”
หรงหลิน “…ข้าเป็นมังสวิรัติ”
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
1
ปลาโง่ตัวหนึ่งที่อยากตอบแทนบุญคุณ
อาเหลียนยืนนิ่งอึ้งอยู่นอกจิ่วเซียวเก๋อที่สว่างเรืองรองท่ามกลางเมฆหมอก แม้ก่อนหน้านี้นางจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังอดตะลึงกับความโอ่อ่างดงามของสถานที่ตรงหน้าไม่ได้
สมแล้วที่เป็นจิ่วเซียวเก๋อ!
จิ่วเซียวเก๋อเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกเซียนที่ดีที่สุดในสามแดน[1] เดิมสถานที่แห่งนี้จะรับเฉพาะศิษย์จากแดนสวรรค์เท่านั้น ยามนี้ทั้งสามแดนล้วนอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง จึงค่อยๆ เปิดออกสู่ภายนอก ยอมรับแม้กระทั่งศิษย์จากแดนปีศาจ แม้เป็นเช่นนี้ เงื่อนไขข้อนี้ก็ยังค่อนข้างเข้มงวด ต้องรู้ว่าหากปีศาจตนใดเข้าจิ่วเซียวเก๋อได้ เช่นนั้นจะถือได้ว่าเข้าใกล้ความเป็นเซียนแล้วก้าวใหญ่
อาเหลียนเป็นปลาฮวาเหลียน[2]ในทะเลสาบต้งเจ๋อ แต่ละครั้งจิ่วเซียวเก๋อจะรับศิษย์จากภายนอกจำนวนไม่มาก สำหรับสถานที่เล็กๆ ทุรกันดารอย่างทะเลสาบต้งเจ๋อนี้รับเพียงสองตนเท่านั้น
อาเหลียนมีตบะบำเพ็ญเพียงสามร้อยปี ปลาตัวน้อยๆ ที่มีความสามารถน้อยนิดเช่นนางในทะเลสาบต้งเจ๋อหากไม่มีสักพันตัว อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีสักห้าร้อยตัว ตอนที่อาผังสหายสนิทของนางรู้ว่านางจะไปสมัครเข้าร่วมการประลองนั้น ย่อมจะต้องเอ่ยห้ามนางเป็นธรรมดา อาผังบอกว่านางที่เกิดเป็นปลาตัวอวบๆ ขาวๆ มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ไฉนจะต้องดิ้นรนอยากเข้าจิ่วเซียวเก๋อด้วย แต่อาผังก็รู้ดีว่ายามปกติแล้วเจ้าปลาโง่ตนนี้ดื้อดึงเพียงใด เรื่องที่นางอยากทำไม่ว่าใครก็มิอาจขัดขวาง
อาผังเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของอาเหลียน เป็นปูน้ำจืดตัวเดียวที่มีตบะบำเพ็ญห้าร้อยปี รูปลักษณ์งดงาม แต่ความงามของนางมักนำภัยมาสู่ตนเอง ทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในทะเลสาบต้งเจ๋อไม่ดีนัก ส่วนอาเหลียนน่ะหรือ นางมีนิสัยขี้ขลาด ไม่ค่อยออกมาข้างนอก ทำให้ข้างกายนางไม่มีสหายสักตน
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จริงๆ ก่อนหน้านี้นางก็พอจะมีสหายอยู่บ้าง แต่พวกเขาต่างถูกชาวประมงจับไปเป็นอาหารทีละตัวๆ นานวันเข้าก็เหลือเพียงอาเหลียน จากนั้นก็เริ่มกล่าวกันว่านางเป็นตัวกาลกิณี ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดในทะเลสาบคบค้าสมาคมกับนางจะต้องถูกจับทั้งหมด เหลือแต่นางที่มีชีวิตรอดปลอดภัย
คราแรกอาเหลียนเสียใจ เมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่พอขบคิดดีๆ แล้ว กลับรู้สึกว่าวาจานั้นก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ภายหลังนางจึงยอมไม่คบค้ากับผู้ใด เพื่อจะได้ไม่นำภัยไปสู่ปลาตัวอื่นๆ
การพบอาผังนั้นนับเป็นวาสนา วันนั้นขณะที่อาผังติดอยู่ในซอกหินใหญ่ท่าทางหวาดกลัว นางลังเลชั่วขณะก่อนตัดสินใจช่วยอาผังออกมา นับแต่นั้นทั้งสองจึงรู้จักกัน ภายหลังก็ยิ่งสนิทสนมกันราวกับพี่น้อง
อาผังปรามอาเหลียนเรื่องจิ่วเซียวเก๋อหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นนางไม่ฟังและคงจะดึงดันจนถึงที่สุด เช่นนั้นก็ได้แต่ปล่อยนางไป แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าเจ้าปลาน้อยนี้จะอาศัยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพลผ่านเข้ารอบมาได้อย่างฉิวเฉียด
แม้เข้าจิ่วเซียวเก๋อได้ ทว่าก็นับว่าอาเหลียนผ่านการประลองมาได้อย่างยากลำบาก จากปลาขาวอวบอ้วนกลายเป็นปลาที่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน ทั่วร่างไม่มีจุดใดสมบูรณ์ อาผังเห็นแล้วปวดใจจนด่าทออย่างรุนแรงหนึ่งคำรบ หลังบำเพ็ญเพียรหนึ่งเดือนเต็มถึงได้ฟื้นคืนพลังปราณ ระหว่างพักฟื้น อาเหลียนเกือบถูกชาวประมงจับไป โชคดีที่นางดวงแข็ง กระเสือกกระสนดิ้นรนจนแหของชาวประมงขาด ถึงหนีรอดมาได้อย่างปลอดภัย
อาผังทอดถอนใจหลายครั้ง ช่างเป็นปลาโง่ที่โชคช่วยไว้จริงๆ
เมื่ออาเหลียนคืนสติกลับมา นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ด้านหลังแบกถุงตำรา เดินเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมสีหน้ามาดมั่น
นางเพิ่งเดินเข้าไปก็มีศิษย์พี่ชายหญิงเดินออกมาต้อนรับ วันนี้ผู้ที่มาจากทะเลสาบต้งเจ๋อพร้อมกับนางก็คือไป๋สวิน ปลาสวิน[3]สีขาวตัวผู้ เขามีนิสัยดุร้าย เดิมเป็นหัวโจกแห่งทะเลสาบต้งเจ๋อ แน่นอนว่าอาเหลียนไม่มีทางไปมีเรื่องกับปลาดุร้ายจำพวกนี้ ตลอดทางนางจึงพยายามรักษาระยะห่างจากเขาให้มากที่สุด ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ช่างพูดช่างคุย แต่ก็ถือว่ามีท่าทางเป็นมิตร
ศิษย์พี่ชายพาไป๋สวินเดินไปแล้ว ส่วนนางก็มีศิษย์พี่หญิงที่สวมชุดกระโปรงรัดอกสีเขียวอ่อน มวยผมทรงก้นหอย รูปร่างสูงโปร่งดูอ่อนหวานพานางไปยังจุดรายงานตัวของศิษย์หญิง
องคาพยพทั้งห้าของศิษย์พี่หญิงผู้นี้รับกันอย่างพอเหมาะ รูปโฉมค่อนข้างงดงาม อาเหลียนยังจดจำวาจาของอาผังได้ดีว่า เมื่อออกข้างนอกวาจาต้องรื่นหู จึงคลี่ยิ้ม นัยน์ตาพลันกระจ่างราวกับแสงจันทร์ก่อนพูดว่า “ศิษย์พี่หญิงช่างงามยิ่งนัก ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”
ศิษย์พี่หญิงที่มารับอาเหลียนนั้น แม้หน้าตาหมดจดงดงาม แต่ใบหน้ากลับไร้อารมณ์ นางไม่แม้แต่จะสนใจวาจาของอาเหลียนด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้วจะโทษศิษย์พี่หญิงท่านนี้ก็ไม่ได้ การรับศิษย์ใหม่ครั้งนี้ คนอื่นๆ ได้รับรองศิษย์ที่เป็นบุตรหลานของเซียนแดนสวรรค์ หรือไม่ก็เป็นศิษย์ที่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต่อให้แย่เพียงใดก็ยังเป็นผู้ที่โดดเด่นของแต่ละดินแดนหรือเป็นคนที่มีอนาคตยาวไกลเหลือคณา แต่นางกลับต้องมารับภูตปลาน้อยจากถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ พอได้ฟังวาจาของอาเหลียนแล้วศิษย์พี่หญิงท่านนี้ไม่ดีใจ ไม่มีผู้ใดที่ไม่ชอบฟังคำสรรเสริญเยินยอ แต่ถ้าเป็นคำพูดประจบเอาใจอย่างโจ่งแจ้งนั่นก็ยิ่งเป็นการถากถางอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
อาเหลียนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง นางเข้าใจดีว่าหากศิษย์ของจิ่วเซียวเก๋อไม่ใช่ผู้สืบทอดของแดนสวรรค์แล้ว ก็ต้องเป็นผู้ที่โดดเด่นของแต่ละเผ่าพันธุ์ สายตาของแต่ละตนล้วนสูงส่งทั้งนั้น การเมินเฉยนางก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้
ตลอดทางไร้ซึ่งถ้อยคำ ผ่านไปเนิ่นนานอาเหลียนถึงค่อยๆ เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่หญิง ข้าได้ยินว่าหรงหลินซ่างเสิน[4]จะมาสอน…”
ศิษย์พี่หญิงเดิมไม่สนใจอาเหลียนได้ยินนางถามเช่นนี้ก็ชะงักฝีเท้า ค่อยๆ หันหน้ากลับมามองสบตากลมโตสุกใส นางเลิกคิ้วแล้วพูดราบเรียบ ว่า “เจ้าอยากพบหรงหลินซ่างเสินรึ”
หรงหลินเป็นเทพสงครามของแดนสวรรค์ รูปงามหาใดเปรียบ
เดิมศิษย์พี่หญิงไม่ได้รู้สึกดีต่ออาเหลียน ครั้นได้ยินนางถามถึงหรงหลินซ่างเสิน สายตาที่มองนางจึงเพิ่มความดูแคลนอีกหลายส่วน หรงหลินซ่างเสินไม่ชอบปรากฏกายสู่ภายนอก ไม่ชอบรับแขก โอกาสเดียวที่จะพบเขาคือการมาที่จิ่วเซียวเก๋อเท่านั้น คนตรงหน้านี้ไม่ใช่ศิษย์หญิงคนแรกที่นางมารับและไม่ใช่ศิษย์หญิงคนแรกที่ถามถึงหรงหลินซ่างเสิน หากจะกล่าวว่าศิษย์หญิงเกินกว่าครึ่งต่างเข้าจิ่วเซียวเก๋อนี้ก็เพราะหรงหลินซ่างเสิน คำกล่าวนี้ก็ไม่นับว่าเกินไปนัก
ส่วนปีศาจตรงหน้านี่…
ศิษย์พี่หญิงมองประเมินคราหนึ่งก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเจ้าปลาหัวโตตรงหน้านี่งามจริงๆ แต่อาจารย์ที่สง่างามสูงส่งไม่มีผู้ใดเปรียบระดับหรงหลินซ่างเสินนั้น จะปล่อยให้เจ้าภูตน้อยคะนึงหา หรือถึงขั้นแอบคิดสกปรกกับเขาได้อย่างไร นางขมวดคิ้วพูดว่า “แต่ไรมาหรงหลินซ่างเสินไม่เคยสอนศิษย์ใหม่ แม้กระทั่งพวกข้ามีโอกาสน้อยครั้งนักที่จะได้พบเขา…ข้าขอเตือนเจ้าว่ารีบเลิกคิดจะดีกว่า อย่าได้สิ้นเปลืองความคิดอย่างเปล่าประโยชน์อีกเลย”
แม้น้ำเสียงไม่น่าฟังนัก แต่ก็นับได้ว่าเป็นการตอบคำถามของอาเหลียนแล้ว เพียงได้ฟังถ้อยคำนี้ของศิษย์พี่หญิง ดวงตาของอาเหลียนก็ค่อยๆ หม่นแสง ในใจรู้สึกผิดหวังอยู่หลายส่วน
ที่นางมาจิ่วเซียวเก๋อก็เป็นเพราะหรงหลินซ่างเสินจริงๆ ยามนี้เมื่อได้ยินว่าเขาไม่สอนศิษย์ใหม่ก็อดผิดหวังไม่ได้ ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่นางอยู่ทะเลสาบต้งเจ๋อ นางก็ต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ถึงเพียงนั้น ยามนี้ได้เข้าใกล้ซ่างเสินขึ้นอีกหน่อยแล้ว กลับรู้สึกไม่พอใจเสียได้ นี่ไม่ใช่วิสัยของนางเลย
อาเหลียนกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ขอบคุณศิษย์พี่หญิงมากเจ้าค่ะ”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของอาเหลียน ศิษย์พี่หญิงก็รู้ว่านางฟังเข้าหูแล้ว เมื่อครู่นางไม่ได้โป้ปด…แต่ไหนแต่ไรหรงหลินซ่างเสินก็ไม่เคยสอนศิษย์ใหม่จริงๆ ทว่าศิษย์ที่เข้าเรียนมาหลายปีเช่นพวกนางก็ได้แต่เฝ้ามองความสง่างามของซ่างเสินอยู่ไกลๆ เช่นกัน ส่วนการได้นั่งเรียนใกล้ๆ น่ะหรือ นั่นก็เป็นแค่ความฝันที่มิอาจเอื้อมเท่านั้น
อาเหลียนยังคงสงสัยอยู่เต็มอก ทว่าเห็นนางทึ่มๆ เช่นนี้ก็ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจอะไรเลย เมื่อเห็นศิษย์พี่หญิงผู้นี้ไม่ใคร่จะชอบนาง ทั้งไม่พอใจที่นางถามถึงหรงหลินซ่างเสิน นางจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
อย่างไรเสียนางก็ได้เข้าจิ่วเซียวเก๋อแล้ว หลังจากนี้ก็คงมีโอกาสพบซ่างเสินบ้าง
ศิษย์พี่หญิงเดินนำอาเหลียนไปยังที่พักที่จัดเตรียมไว้ให้
จิ่วเซียวเก๋อปฏิบัติต่อศิษย์ที่เพิ่งเข้าเรียนด้วยความเท่าเทียม ศิษย์ใหม่ไม่ว่าจะมีสถานะพื้นเพเช่นไรต่างก็ไม่มีสิทธิ์พักคนเดียว ส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยห้องละสี่คน แต่หลังจากนี้เมื่อกลายเป็นศิษย์พี่ชายหญิงแล้ว หากแสดงความโดดเด่นให้เป็นที่ประจักษ์ในจิ่วเซียวเก๋อ การพักอาศัยบนเกาะเซียนคนเดียวก็เคยมีให้เห็น
ทะเลสาบต้งเจ๋ออยู่ห่างไกลจากจิ่วเซียวเก๋อมาก อาเหลียนนั้นถือว่ามาถึงที่นี่ค่อนข้างล่าช้าแล้ว ยามที่นางมาถึงสหายร่วมห้องพักที่เหลืออีกสามคนก็เข้าพักในจิ่วเซียวเก๋อหลายวันแล้ว
ศิษย์พี่หญิงเดินนำอาเหลียนเข้ามา แม่นางสามคนในห้องรีบทักทายอย่างมีมารยาท ท่าทางน่าจะสานสัมพันธ์ด้วยไม่ยากนัก
ทว่าหลังศิษย์พี่หญิงจากไป สามคนในห้อง นอกจากแม่นางคนหนึ่งที่มีผิวพรรณออกจะดำคล้ำและท่าทางขลาดกลัวแล้ว อีกสองคนที่สูงเพรียวและสง่างามต่างพากันหุบยิ้ม
แม่นางผู้หนึ่งที่สวมชุดเขียวเข้มปรายตามองอาเหลียนเรียบๆ “มาช้าจนต้องให้ผู้อื่นคอยเช่นนี้ เดิมก็นึกว่าเป็นเทพเซียนมาจากที่ใด ที่แท้ก็แค่ปลาหัวโตตัวหนึ่งนี่เอง”
ปลาฮวาเหลียนตระกูลนี้ไม่ชอบที่สุดก็คือการถูกเรียกขานด้วยฉายา “ปลาหัวโต” แต่อาเหลียนเป็นปลาที่ไม่โมโหร้าย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือระหว่างที่นางเป็นสหายกับอาผังนั้น ยามที่อาผังตื่นเต้นดีใจก็มักจะเรียกสหายว่าปลาหัวโตบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้อาเหลียนจึงไม่ได้ใส่ใจ
อาจเป็นเพราะท่าทางอาเหลียนเหมือนคนที่ถูกรังแกได้โดยง่าย คนแกล้งจึงไม่สนุกสักเท่าไร สองคนนั้นจึงเพียงมองนางเล็กน้อยแล้วจากไป อาเหลียนหันหน้าช้าๆ มองเงาร่างของทั้งสอง ท่วงท่าอ่อนหวานสง่างาม รูปร่างอรชรหาใดเปรียบ ไม่เหมือนปลาฮวาเหลียนจากทะเลสาบเล็กๆ อย่างนางเลยสักนิด
สองคนนั้นดูคบหายาก ทว่าภายในห้องยังมีอีกคนหนึ่ง แม่นางผู้นั้นตัวเล็กเตี้ยกว่าอาเหลียนเล็กน้อย ใบหน้ากลมป้อม ยามที่ทักทายนางท่าทางระมัดระวังเป็นพิเศษ
แม่นางผู้นี้ชื่อว่าเถียนหลัว เป็นภูตหอยโข่งที่มีตบะบำเพ็ญสี่ร้อยปี เถียนหลัวเติบโตในหนองน้ำแห่งหนึ่ง ส่วนสองแม่นางท่าทางสูงศักดิ์ที่เพิ่งออกไปนั้นมาจากทะเลตงไห่ นับได้ว่าเป็นสัตว์น้ำสูงศักดิ์ที่สุดประเภทหนึ่ง แม้เป็นสัตว์น้ำเช่นเดียวกัน แต่สภาพแวดล้อมที่เติบโตมาก็สามารถตัดสินความสูงต่ำของสถานะได้ จึงไม่แปลกที่สองนางนั้นไม่สนใจอาเหลียน
เมื่อทราบว่าอาเหลียนมาจากทะเลสาบต้งเจ๋อ ทั้งยังดูคบค้าสมาคมด้วยง่าย ดวงตากลมโตของเถียนหลัวก็ทอประกายแวววาว พึมพำกับอาเหลียนอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “ทั้งๆ ที่พวกเราต่างก็เป็นสัตว์น้ำเหมือนกันแท้ๆ แต่พวกนางเติบโตมาในทะเล แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เห็นหัวพวกเราที่มาจากบ่อจากบึง…”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเถียนหลัว คิดว่าหลายวันมานี้นางคงไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสองแม่นางตระกูลน้ำเค็มเป็นแน่
แม้อาเหลียนทึ่มทื่ออยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจอะไรเลย พวกนางเป็นสัตว์น้ำเหมือนกันก็จริง แต่สัตว์น้ำจากบ่อจากบึงไหนเลยจะเทียบได้กับสัตว์น้ำที่มาจากมหาสมุทรกว้างใหญ่ลึกลับ อีกทั้งสถานที่อย่างทะเลตงไห่ยังขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนล้ำค่าในสี่มหาสมุทร สัตว์น้ำบางตัวจากทะเลสาบต้งเจ๋อของพวกนางที่พอจะมีอนาคตอยู่บ้างต่างก็ทำทุกวิถีทางเพื่อจะไปที่ทะเลตงไห่ให้ได้ทั้งนั้น…
เถียนหลัวได้ฟังแล้วแปลกใจ เบิกตากลมโตจนเหมือนระฆังใบน้อย เอียงคอถามอย่างใคร่รู้ว่า “พวกเขาไม่กลัวว่าจะปรับตัวไม่ได้บ้างหรือ ปลาน้ำจืดจะไปใช้ชีวิตอยู่ในทะเลได้อย่างไร”
อาเหลียนกินของพื้นเมืองที่เถียนหลัวนำมาด้วยจนแก้มขาวนวลป่อง ตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “เพราะอย่างนั้นที่บ้านเกิดของพวกเราถึงมีปลาจำนวนไม่น้อยที่พยายามเลี้ยงบุตรหลานให้กินเกลือตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้คุ้นชินกับรสชาติเค็ม เพื่อที่วันหน้าจะได้อยู่ในทะเลและปรับตัวได้เร็วขึ้น”
เถียนหลัวได้ฟังแล้ว ถึงเริ่มเข้าใจบ้าง
เดิมเถียนหลัวก็ตื่นเต้นดีใจที่ได้มาจิ่วเซียวเก๋อ แต่หลายวันมานี้แม่นางทั้งสองจากตระกูลน้ำเค็มตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับนางมากเกินไป นางหัวเดียวกระเทียมลีบจำต้องผ่านคืนวันด้วยความยากลำบาก วันนี้เมื่อพบอาเหลียนที่พอจะเป็นเพื่อนคุยด้วยได้ ทั้งยังจริงใจกับนาง จึงอดตัวติดกับอาเหลียนตลอดเวลาไม่ได้
ยิ่งเถียนหลัวรู้ว่าอาเหลียนผ่านเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตนเอง ก็ยิ่งนับถือนาง
แต่อาเหลียนกลับคิดว่าการที่เถียนหลัวเข้าจิ่วเซียวเก๋อได้นั้น แน่นอนว่านางต้องมีความสามารถเช่นกัน อีกทั้งตบะบำเพ็ญของเถียนหลัวยังมากกว่าตนตั้งร้อยปี แต่กลับได้ยินเถียนหลัวที่หน้าแดงก่ำพูดอึกอักอย่างเขินอายว่า “…หากใช้ความสามารถของข้า ไหนเลยจะเข้าจิ่วเซียวเก๋อได้ นะ…นี่ก็เป็นเพราะท่านพ่อของข้าจ่ายอัฐต่างหาก”
เมื่อมีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้[5] ในสายตาของอาเหลียน จิ่วเซียวเก๋อเป็นสถานที่ที่สูงส่งมากโข พอยามนี้ได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ จึงทำลายภาพลักษณ์อันสูงส่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางหยุดเคี้ยวอาหารที่มีอยู่เต็มปาก
อาเหลียนไม่พูด เถียนหลัวก็กังวลใจ ถามเสียงเบา “อาเหลียน เจ้า…เจ้าจะดูแคลนข้าหรือไม่”
แม้ภายในใจยากจะยอมรับ แต่อาเหลียนกลับไม่ได้นึกดูแคลนเถียนหลัวเลยสักนิด นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่อาศัยบารมีบิดาก็เท่านั้น นางไม่มีบิดามารดา นอกจากพึ่งพาตนเองแล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก ทว่าเถียนหลัวไม่เหมือนกัน แม้นางมาจากสถานที่เล็กๆ แต่นางมีบิดาเป็นเศรษฐีใหม่ ได้รับการเลี้ยงดูราวกับองค์หญิงตั้งแต่ยังเด็ก แน่นอนว่าพวกเขาคงทนเห็นนางลำบากแม้เพียงนิดไม่ได้ ถึงต้องปูทางให้นางเช่นนี้
หลังได้ยินอาเหลียนกล่าวว่าไม่มีทาง เถียนหลัวก็ถอนหายใจ “ข้าเริ่มคิดถึงญาติผู้พี่ของข้าบ้างแล้ว…ก่อนจากมา เขาก็กลัวว่าพอข้ามาจิ่วเซียวเก๋อและได้เห็นโลกกว้างแล้ว ข้าจะดูแคลนเขา”
เถียนหลัวเป็นคนช่างพูด อาเหลียนก็ได้ยินนางพูดถึงญาติผู้พี่คนนี้หลายครั้ง ทั้งสองเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่[6] รอกระทั่งเถียนหลัวฝึกเซียนกลับไปแล้วก็จะแต่งงานมีบุตรด้วยกัน
เถียนหลัวบ่นถึงญาติผู้พี่ ก่อนหันมาถามอาเหลียนด้วยความใคร่รู้ กดเสียงต่ำว่า “เจ้าเล่า เจ้ามีคนในใจหรือไม่”
นางน่ะหรือ อาเหลียนนึกแล้วพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้มีท่าทางขวยเขินเช่นเถียนหลัว เพียงแต่ยิ้มเอ่ย “มีสิ…” เดิมนางก็มีร่างขาวนวลเนียน ยามยิ้มจึงงดงามขึ้นหลายส่วน เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ที่ข้ามาจิ่วเซียวเก๋อก็เพราะเขา”
แม้เถียนหลัวจะพบเจออะไรมาไม่มาก แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเทพสงครามหรงหลินมาก่อน ในแดนสวรรค์นี้ ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าซ่างเสินมีเพียงสองคน ผู้หนึ่งคือเซียวไป๋ซ่างเสินทายาทของเผ่าเทพที่ถือกำเนิดจากกระดูกวิญญาณสวรรค์ ส่วนอีกคนก็คือหรงหลินท่านนี้
นางอยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อหลายวันแล้ว ย่อมต้องรู้ว่าสองท่านนี้ได้รับความชื่นชอบจากศิษย์หญิงมากมายเพียงใด
ทั้งสามแดนเปลี่ยนไปไม่เหมือนในอดีตนานแล้ว แรกเริ่มแดนสวรรค์มีกฎระเบียบที่เข้มงวดชัดเจน ไม่อนุญาตให้รักข้ามเผ่าพันธุ์ และยิ่งห้ามไม่ให้มีความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างศิษย์อาจารย์ แต่ตอนนี้กฎเกณฑ์เหล่านี้ถูกยกเลิกแล้ว การที่ศิษย์หญิงจะชื่นชอบซ่างเสินสองท่านนี้จึงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แต่เดิมความคิดโบราณคร่ำครึก็หยั่งรากลึกแล้ว แม้ไม่ห้ามปราม แต่ผู้เป็นอาจารย์ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่คิดจะชอบพอศิษย์หญิง หรือหากจะมีบ้างก็เป็นเพียงความชอบพอชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น
เถียนหลัวมองอาเหลียน จำต้องกล่าวว่าแม้แม่นางทั้งสองจากตระกูลน้ำเค็มจะอวดตนว่าเป็นผู้ดีตระกูลสูงศักดิ์ มองไม่เห็นหัวผู้ใด ทว่าอาเหลียนตรงหน้านี้กลับมีน้ำมีนวล งามสง่ากว่า ยากจะจินตนาการได้ว่าตระกูลปลาฮวาเหลียนจะมีผู้ที่มีหน้าตาโดดเด่นงามพิลาสอย่างอาเหลียนด้วย หากดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว ก็ใช่ว่าอาเหลียนจะไม่มีโอกาส
อาเหลียนผุดผ่องงดงาม มีทรวดทรงองค์เอว เถียนหลัวพลันกล่าวด้วยความอิจฉาว่า “หากข้าขาวอย่างเจ้าก็คงดี” หนึ่งขาวปกปิดสามอัปลักษณ์[7] ในหมู่สตรีไม่มีผู้ใดรังเกียจที่ตนเองขาวเกินไป เถียนหลัวเกิดในบ่อในบึง ถูกสภาพแวดล้อมและเผ่าพันธุ์กำหนดให้เป็นเช่นนี้ เมื่อกลายร่างเป็นคนจึงค่อนข้างดำคล้ำกว่าสตรีทั่วไป
อาเหลียนกลับรู้สึกว่าการเป็นเช่นเถียนหลัวนี้ดีมาก
อาเหลียนอยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อมาหลายวันก็ยังไม่มีโอกาสพบหรงหลินซ่างเสินสักที แม้กระทั่งชายเสื้อก็ยังไม่เคยเห็น เถียนหลัวเห็นท่าทางห่อเหี่ยวของอาเหลียนก็ปลอบว่า “ส่วนใหญ่แล้วเซียวไป๋ซ่างเสินจะดูแลจิ่วเซียวเก๋อ หรงหลินซ่างเสินไม่ค่อยมาหรอก แต่ข้ารู้มาว่าพวกเขาสองคนเป็นสหายสนิทกัน ปกติก็มักจะไปมาหาสู่กันบ้าง เจ้ายังคงมีโอกาสพบเขานะ”
อาเหลียนรดน้ำดอกไม้ในกระถางท่าทางซึมกะทือ ในกระถางใบนี้ปลูกเมล็ดพันธุ์ชนิดหนึ่งเอาไว้ เมล็ดพันธุ์นี้ศิษย์ใหม่ทุกคนต่างได้รับเหมือนกันหมด ว่ากันว่าสามารถปลูกออกมาเป็นสัตว์ปราณ ซึ่งระดับของสัตว์ปราณนั้นมีความสัมพันธ์กับเจ้าของ คนที่มีตบะบำเพ็ญต่ำต้อยอย่างอาเหลียนนี้ สัตว์ปราณที่ปลูกออกมาได้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทที่พบเห็นได้ทั่วไป
คำปลอบใจของเถียนหลัว ทำอาเหลียนรู้สึกดีขึ้นมาก
รดน้ำเสร็จแล้ว อาเหลียนกับเถียนหลัวก็ตัดสินใจจะไปว่ายน้ำเล่นที่สระคลื่นมรกตในภูเขาด้านหลัง
พอดีกับที่สองแม่นางจากตระกูลน้ำเค็มเข้ามา อี๋จางที่สวมเสื้อผ้าสีเขียวเข้มบ่นว่าจิ่วเซียวเก๋อไม่ยุติธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ “…พี่อี๋กุย ท่านว่าภูตพุทราน้อยตนนั้นเป็นใครมาจากที่ใด ไยนางถึงอาศัยอยู่ที่เกาะเซียนเพียงตนเดียว ทั้งๆ ที่พวกเราเป็นสตรีตระกูลสูงศักดิ์จากมหาสมุทรใหญ่ กลับต้องพำนักรวมกับพวกบ้านนอกทั้งสองนี่”
สองแม่นางตระกูลน้ำเค็มนี้ อี๋จางอารมณ์ร้าย ไม่ฟังเหตุผล ขณะที่อี๋กุยกลับมีท่าทางเย็นชาสูงศักดิ์ ภูมิหลังและหน้าตาของทั้งสองล้วนโดดเด่นไม่ต่างกัน อยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อเพียงไม่กี่วัน ภาพบุรุษที่ยอมสยบแทบเท้าพวกนางทั้งสองก็มีให้เห็นแล้ว
อาเหลียนและเถียนหลัวต่างมองหน้าและสบตากัน ด้วยรู้ว่า “พวกบ้านนอก” ที่ออกจากปากของอี๋จางนั้นหมายถึงพวกนาง
อี๋กุยสวมพัสตราภรณ์ขาวพลิ้วไหวประหนึ่งเซียน แต่กระนั้นก็ยังยากที่จะปกปิดกลิ่นคาวเค็มที่ติดกายมาแต่กำเนิด นางเติบโตมากับญาติผู้น้องตนนี้ รู้ดีว่าแต่ไรมาอี๋จางทำสิ่งใดมักไม่ใช้สมองใคร่ครวญ ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งชอบอยู่กับอี๋จาง เพราะนี่จะยิ่งขับข้อดีของนางให้เด่นขึ้น ตอนนี้ได้ยินอี๋จางพร่ำบ่นอย่างไม่พอใจ ในใจของอี๋กุยก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย
ตอนที่นางอยู่ทะเลตงไห่มักมีคนห้อมล้อมพะเน้าพะนอ แต่ที่จิ่วเซียวเก๋อนี้ไม่เหมือนทะเลตงไห่ เมื่อเบื้องบนมีคำสั่งอย่างไร พวกนางก็ทำได้เพียงเชื่อฟังและปฏิบัติตาม นางกับอี๋จางต้องพำนักรวมกับสองแม่นางจากบ่อจากบึง แม้สถานะต่ำศักดิ์ แต่ต่อให้ศิษย์ใหม่ที่เข้าจิ่วเซียวเก๋อเป็นทายาทจากแดนสวรรค์ก็ต้องทำตามกฎระเบียบเช่นกัน
ยามนี้ดีนัก แม่ภูตพุทราน้อยที่ไม่รู้ว่าใหญ่โตมาจากที่ใดกลับได้รับการยกเว้นให้อาศัยที่เกาะเซียนเพียงลำพัง นี่ถือว่าเป็นการปฏิบัติต่อศิษย์อย่างดีที่สุดของจิ่วเซียวเก๋อแล้ว คำกล่าวที่ว่าไม่กังวลว่าจะแบ่งให้น้อยหรือแบ่งให้มาก แต่กังวลว่าจะแบ่งให้เท่าเทียมกันหรือไม่นี้ตรงตัวที่สุดแล้ว
อาเหลียนและเถียนหลัวพอจะรู้ถึงนิสัยของสองแม่นางจากตระกูลน้ำเค็มว่าเป็นพวกปากไวชอบพูดโอ้อวด แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเกินเลย เวลาเช่นนี้พวกนางจึงไม่คิดจะถือสา
เพียงแต่ระหว่างทางไปภูเขาด้านหลัง เถียนหลัวเอ่ยว่า “แม่ภูตพุทราน้อยนั่น ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันข้าเคยพบนางครั้งหนึ่ง…” นางกวาดตามองไปรอบๆ สักพัก จากนั้นค่อยๆ ขยับมากระซิบข้างหูของอาเหลียนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเห็นนางกับเซียวไป๋ซ่างเสินอยู่ด้วยกัน”
อาเหลียนเบิกตาโต
รูปโฉมของอาเหลียนงดงาม แม้สถานะต่ำต้อย ทว่าในจิ่วเซียวเก๋อก็ยังมีศิษย์พี่ชายจำนวนมากคอยดูแลนาง แต่นางกลับมีท่าทางตอบสนองเฉื่อยชา จำชื่อเสียงเรียงนามของศิษย์พี่ชายเหล่านั้นไม่ได้สักคน ในใจน่ะหรือ จดจำได้เพียงหรงหลินซ่างเสินที่ยังไม่เคยปรากฎตัว แต่ก็ใช่ว่านอกจากหรงหลินซ่างเสินแล้วนางจะไม่สนใจสิ่งใดเลย อย่างน้อยนางก็ยังพอรู้จักเซียวไป๋ซ่างเสินผู้นี้อยู่บ้าง
เซียวไป๋ซ่างเสินเป็นผู้ดูแลจิ่วเซียวเก๋อ หากการที่ภูตพุทราน้อยที่มาใหม่พำนักที่เกาะเซียนนั้นเป็นการจัดการของเขา นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว
อาเหลียนเคยเห็นเซียวไป๋ซ่างเสินไกลๆ เพียงครั้งเดียวตอนพิธีเปิดการศึกษา ท่าทางของเขาสุขุมเยือกเย็น หน้าตาหล่อเหลาโดดเด่น ที่สำคัญคือไม่ถือตัวอย่างที่ซ่างเสินพึงมี ดูแล้วนุ่มนวลเป็นสุภาพบุรุษน่าเข้าใกล้
แต่เซียวไป๋ซ่างเสินผู้นี้เป็นสหายสนิทที่สุดของหรงหลินซ่างเสิน เขาขึ้นชื่อเรื่องแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวเรื่องส่วนรวมออกจากกันอย่างชัดเจน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรับสินบน ยามนี้จะยอมแหกกฎเพราะภูตพุทราน้อยได้อย่างไร
เถียนหลัวพูดเสริม “ข้าว่าแม่ภูตพุทราน้อยนั่นรูปร่างห่างชั้น เทียบเจ้าไม่ได้เลยสักนิด อาเหลียน หากเจ้าตามเกี้ยวหรงหลินซ่างเสินให้สนใจเจ้าได้ ต่อไปก็ไม่ต้องอยู่ร่วมห้องกับสองแม่นางจากตระกูลน้ำเค็มนั่นแล้ว พอถึงตอนนั้นข้าก็จะพลอยโชคดีไปด้วย”
อาเหลียนพองแก้มน้อยๆ ท่าทางขึงขัง “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไรว่าจะตามเกี้ยวหรงหลินซ่างเสิน”
เถียนหลัวกล่าว “เจ้าชอบเขาไม่ใช่หรือ”
อาเหลียนพยักหน้า “ชอบก็ชอบอยู่หรอก”
ด้วยสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาเถียนหลัวมีบิดามารดาคอยประคบประหงมเอาใจตั้งแต่เยาว์ นางไม่ชอบอ่านตำรา บิดามารดาก็ไม่บังคับนาง เวลาล่วงผ่านจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะด้อยความรู้ ปกติเวลากล่าวคำจึงแยกไม่ออกว่าเป็นความหมายเชิงบวกหรือความหมายเชิงลบ
ทั้งสองคนไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก เพียงแต่คิดว่าภูตพุทราน้อยนั่นคงไม่ใช่ปีศาจธรรมดาทั่วไปแน่ บางทีนางอาจมีผู้หนุนหลังที่ไม่ธรรมดาก็เป็นได้
มาถึงสระคลื่นมรกตที่ภูเขาด้านหลัง อาเหลียนและเถียนหลัวต่างถอดเสื้อผ้าของตน ก่อนกระโดดลงสระน้ำดัง “ตู้ม”
ผิวน้ำกระทบเป็นระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า ก่อนค่อยๆ สงบนิ่งอีกครั้ง
ครู่ต่อมา
เสียง “ซ่า” ดังขึ้น
เด็กสาวผมสยายดำขลับโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ใบหน้าขาวใสพราวไปด้วยหยาดน้ำ หยาดน้ำค่อยๆ ไหลลงมาที่ข้างแก้ม ไล่ตามปลายคางก่อนหยดต้องลำคอระหงและบ่ากลมกลึงที่ขาวราวกับกองหิมะ งดงามจนใจของผู้คนสั่นไหว
แม้นอาเหลียนจะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ แต่ชาติพันธุ์ของนางก็เป็นเช่นนี้ มีเพียงยามอยู่ในน้ำเท่านั้น นางถึงจะรู้สึกสบายและเป็นอิสระที่สุด
อาเหลียนยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม พุ่งศีรษะลงไปในน้ำ หางสีเงินเป็นประกายสะบัดเหนือน้ำ ทำเอาหยาดน้ำกระเซ็นทันใด
นางดำผุดดำว่ายลงไปที่ก้นสระ มองหอยโข่งตัวเขื่องที่เกาะก้อนหิน ก่อนสะบัดหางไปมา “ข้าจะว่ายเล่นสักพัก ประเดี๋ยวจะกลับมาหาเจ้า เจ้าระวังหน่อยเล่า อย่าให้ใครจับไปได้”
บุ๋งๆ เถียนหลัวพ่นฟองอากาศออกมาอย่างสบายอารมณ์
หลายวันแล้วที่ไม่ได้ลงน้ำ อาเหลียนจึงว่ายน้ำอย่างสบายใจ สุดท้ายก็เปลี่ยนร่างเป็นร่างเดิม
ปลาฮวาเหลียนตัวขาวอวบอ้วนจึงแหวกว่ายไปมาในสระคลื่นมรกตอย่างสำเริงใจเช่นนี้
จากนั้นไม่รู้ว่าว่ายไปจนถึงที่ใด อาเหลียนว่ายผ่านพืชน้ำหลายชั้น พลันเห็นใต้น้ำไม่ไกลออกไปมีแท่งเสาที่ทั้งสูงและตั้งตรงสองแท่ง ปกติแล้วสายตาของอาเหลียนมักจะพร่าเลือนอยู่บ้าง โดยเฉพาะยามอยู่ในน้ำมักจะมองอะไรไม่ชัด ทุกอย่างดูเลือนราง จึงบอกได้เพียงว่านั่นคือแท่งเสาเท่านั้น
อย่างไรเสียในทะเลก็มีเสาค้ำมหาสมุทร[8] หากในสระน้ำของจิ่วเซียวเก๋อจะมีแท่งเสาบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
หลายวันมานี้ได้เห็นความงามโอ่อ่าของจิ่วเซียวเก๋อ อาเหลียนจึงรู้สึกว่าต่อให้ในสระแห่งนี้จะปูด้วยอิฐทอง ก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าตื่นตาแต่อย่างใด
นางออกแรงขยับหาง ว่ายตรงไปยังช่องว่างระหว่างแท่งเสาทั้งสองนั้น ยามที่แหวกว่ายเข้าไป ก็สะบัดหางไปโดนเสาต้นนั้นเบาๆ
รู้สึกสนุกดีแฮะ นางว่ายกลับมา แล้วว่ายลอดผ่านช่องตรงกลางนั้นอีกครั้ง
ว่ายวนไปมาเช่นนี้หลายรอบ อาเหลียนถึงสะบัดหางว่ายเลียบขึ้นไปตามเสาแท่งนั้น เห็นตรงกลางระหว่างเสาทั้งสองต้นราวกับมีวัตถุอ่อนนุ่มขนาดใหญ่อยู่กองหนึ่ง บริเวณโดยรอบมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด รูปร่างราวกับวิหคที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่อง สรุปแล้วค่อนข้างแปลกตาเป็นพิเศษ
อาเหลียนพลันนึกถึงคำว่า “พวกบ้านนอก” ที่อี๋จางพูดถึง เมื่อมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว อาเหลียนกลับรู้สึกว่านางเป็นพวกบ้านนอกจริงๆ ไยถึงมีรูปร่างประหลาดเช่นนี้ นางไม่เข้าใจการออกแบบของช่างฝีมือของจิ่วเซียวเก๋อเอาเสียเลย
อาเหลียนหยุดชื่นชมชั่วครู่ อยากตอดชิมตามความเคยชิน
เวลานั้นเองใต้น้ำพลันเกิดการสั่นไหวระลอกใหญ่
อาเหลียนจมดิ่งอยู่ท่ามกลางน้ำวน ตัวพลิกกลับไปมาจนวิงเวียน ต่อมาก็ราวกับมีพละกำลังมหาศาลขุมหนึ่งตบตัวของนาง ตามมาด้วยเสียง “เผียะ” แล้วนางก็ถูกดึงขึ้นจากใต้น้ำมาเกยที่ชายฝั่ง
ปลาฮวาเหลียนตัวอวบงามบนชายฝั่งดิ้นรนเล็กน้อย ชั่วครู่ถึงกลายร่างเป็นเด็กสาวที่เปียกปอนไปทั้งร่าง เส้นผมดำขลับที่ยาวถึงสะโพกเปียกน้ำแผ่กระจายอยู่ตรงบริเวณหน้าอก ใบหน้าเล็กขาวซีดเนื่องจากวิงเวียนอย่างยิ่ง นางค่อยๆ ช้อนตามอง เห็นรองเท้าหุ้มแข้งสีหมึกลายเมฆาอยู่ใกล้ในระยะประชิดพลันนึกอะไรได้ จึงเงยหน้าด้วยความดีใจ ก่อนยื่นมือไปคว้าชายกางเกงของเขาไว้แน่น
“หรงหลินซ่างเสิน!”
บุรุษตรงหน้ารูปร่างหล่อเหลาสง่างาม ผิวขาวราวแท่งหยก เพียงเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ความสง่าผ่าเผยเป็นเลิศนี้ก็ชวนให้คนลุ่มหลงมัวเมาอย่างที่สุดแล้ว
อาเหลียนเงยหน้าด้วยความรู้สึกเช่นนี้ มองสำรวจทั่วร่างเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม มุมปากยกยิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ พูดอย่างอดไม่ได้ว่า “หรงหลินซ่างเสินรูปงามกว่าเมื่อสองร้อยปีก่อน!”
ไม่มีผู้ใดไม่ชอบฟังคำสรรเสริญเยินยอ คราแรกเขาอาจไม่ชอบใจกับการ “ก้าวล่วง” ของนาง ทว่ายามนี้กลับมิได้ตำหนิ ในแดนสวรรค์หลักการที่ว่าอย่าตีคนที่ยิ้มให้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันทั่วไป นางหมอบคลานอยู่แทบเท้าเขา เนื้อตัวเปล่าเปลือยอยู่ตรงหน้าเขา สะบัดหางสีเงินระยิบระยับไปมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ มองแล้วท่าทางอารมณ์ดีมาก
ปลาฮวาเหลียนที่บำเพ็ญเพียรมาสามร้อยปีนับว่าเป็นดรุณีน้อยที่เริ่มแตกเนื้อสาวแล้ว เห็นได้ชัดว่านางเติบโตได้ดีกว่าปลาฮวาเหลียนตัวอื่นอยู่บ้าง
หรงหลินขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนเบนสายตามองอื่นอย่างเฉยชา
อาเหลียนจมจ่อมอยู่ในห้วงความลิงโลด พอได้สติก็รู้สึกว่าตนกำชายกางเกงของซ่างเสินไว้ นับว่าล่วงเกินเขาจริงๆ จึงรีบชักมือกลับ คิดจะลุกขึ้นยืนพูดคุยกับเขาให้ดี
นางลุกพรวดขึ้นยืนทั้งอย่างนั้น
หรงหลินอึ้งตะลึงงันด้วยตกใจกับการกระทำของนาง
“หรงหลินซ่างเสิน…” เดิมอาเหลียนอยากกล่าวกับเขามากมาย คาดไม่ถึงว่าเพิ่งลุกขึ้นก็มีเสื้อผ้าขาวราวหิมะหล่นลงมาจากฟ้า ห่มคลุมร่างนาง ห่อหุ้มตัวนางไว้พอดี อาเหลียนนิ่งอึ้ง ก้มลงมอง ก่อนยื่นสองมือออกไปจับชุดผ้าแพรต่วนบนร่าง แล้วช้อนตากล่าวว่า “นี่คือเสื้อผ้าของซ่างเสิน!”
สมแล้วที่เป็นซ่างเสินที่นางเคารพนับถือ เขาโอบอ้อมอารีคิดถึงจิตใจของผู้อื่นถึงเพียงนี้
ก็แค่เสื้อผ้าตัวเดียว หรงหลินไม่เห็นว่าจะน่าซาบซึ้งอะไร
เมื่อนางสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ต้องหลบเลี่ยงอีก จึงหันมาจ้องนางนิ่ง เห็นดวงตากลมโตสุกใสของนางจ้องเขาด้วยความยินดีปรีดา สายตาหลงใหลชื่นชม ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเห็นสายตาเช่นนี้มาก่อน เซียนหญิงมากมายในแดนสวรรค์ก็เคยมองเขาด้วยความเขินอายเช่นนี้ แต่คนที่ไม่ปกปิดความรู้สึกแม้แต่น้อยอย่างนี้เพิ่งมีนางเป็นคนแรก
หรงหลินครุ่นคิดแล้วตัดสินใจใช้กลอุบายที่มักใช้ยามปกติ นั่นก็คือมองเมินอย่างเย็นชา หันหลังจากไปอย่างไม่ไว้ไมตรี ให้นางเห็นเพียงแผ่นหลังที่เย็นชาสูงส่ง
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพิ่งหันหลังกลับ ก็สัมผัสได้ว่าแขนข้างขวาถูกรัดแน่น
หรงหลินเบือนหน้ากลับมาอย่างอึ้งงัน เผชิญหน้ากับเด็กสาวข้างกายที่แย้มยิ้มราวบุปผา ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี ปกติแล้วเหล่าสตรีใฝ่ฝันหาเขามาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ใดก็มักจะถูกเหล่าเซียนหญิงห้อมล้อมไว้ เขาเป็นคนใจเย็น แม้ไม่พอใจ แต่ก็ยังไว้หน้าเซียนหญิงเหล่านั้น จึงปฏิบัติต่อพวกนางด้วยท่าทางสุภาพนุ่มนวล ยามพูดก็อ้อมค้อมละมุนละม่อม ไหนเลยจะรู้ว่าท่าทางเช่นนี้มิอาจใช้ปฏิเสธคนอื่น กลับกันยังทำให้สาวงามรุมล้อมเขามากกว่าเดิม จากนั้นเขาจึงคิดท่าทางเย็นชาถือตัวนี้ขึ้นมาได้ แม้การไม่ไว้ไมตรีเช่นนี้จะไม่ใช่นิสัยของเขา แต่ผลลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นที่ประจักษ์แล้ว
เขาเคยมองผ่านคันฉ่อง ท่าทางเย็นชามึนตึงเช่นนี้ข่มขวัญผู้คนได้บ้างจริงๆ
เขาสะบัดหน้าเดินหนีแล้ว แต่ภูตปลาน้อยตนนี้กลับไม่ยอมล่าถอยอย่างที่เขาคิดไว้ นางเริ่มพันแข้งพันขาเขา!
อาเหลียนคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบหรงหลินซ่างเสินที่นี่โดยบังเอิญ นางดึงแขนของเขาอย่างไม่สำรวมสักนิด พึมพำว่า “หากรู้แต่แรกว่าซ่างเสินอยู่ที่นี่ คราแรกที่มาถึงจิ่วเซียวเก๋อ ข้าควรมาว่ายน้ำเล่นที่นี่ถึงจะถูก!” เช่นนั้นนางก็จะได้พบซ่างเสินเร็วกว่านี้
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หรงหลินจึงทำได้เพียงรับคำ “เจ้ามาพบข้าด้วยเหตุใด”
อาเหลียนชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มจางลง พูดเบาๆ ว่า “ซ่างเสินจำข้าไม่ได้หรือ”
หรงหลินไม่กล่าวคำ เขาจำนางไม่ได้จริงๆ
แม้ในใจของอาเหลียนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจดีว่าบุรุษผู้สูงส่งอย่างซ่างเสินย่อมมีกิจธุระมากมาย ไหนเลยจะจำปลาฮวาเหลียนตัวน้อยเช่นนางได้ นางจึงเล่าว่า “สองร้อยปีก่อน ข้างทะเลสาบต้งเจ๋อ หากไม่ได้ซ่างเสินช่วยข้าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาวประมง ข้าก็คงไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้แล้ว…ท่านยังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นท่านโอบอุ้มข้าไว้ด้วยสองมือ ทั้งยังลูบหัวของข้า ก่อนปล่อยข้าลงน้ำท่านกล่าวว่า ‘หลังจากนี้อย่าซนอีก จงใช้ชีวิตอยู่ใต้น้ำให้ดี อย่าถูกใครจับไปอีก’ ข้าจดจำถ้อยคำของซ่างเสินได้ จากนั้นเป็นต้นมาก็อาศัยอยู่ที่ก้นทะเลสาบ มิกล้าออกมาตามอำเภอใจอีก”
ซ่างเสินผู้สูงศักดิ์มีกิจธุระมากมายจำเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ จิตใจเขาดีงามเป็นนิจ กระทั่งดอกไม้ใบหญ้าก็มิกล้าทำลาย เรื่องเล็กๆ อย่างการไถ่ชีวิตปลาตัวหนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ หากพูดตามจริงแล้ว เวลาสามหมื่นปีที่ผ่านมานี้ เรื่องดีๆ ที่เขาได้กระทำ คนที่เขาเคยช่วยเหลือ ไม่ว่าปีศาจ เทพ หรือเซียนล้วนมีมากมายเหลือคณา แล้วเขาจะจดจำหมดได้อย่างไร
อาเหลียนพยายามบรรยายเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น อยากให้เขาจำได้ แม้เป็นแค่ความทรงจำเลือนรางก็ยังดี ครั้นเห็นท่าทางของเขาที่ไม่เหลือความทรงจำอะไรเลย นางก็ขมวดคิ้ว รู้สึกเสียใจ “ทะ…ท่านจำไม่ได้จริงๆ หรือ”
ใบหน้านางเล็กขาวดุจหิมะ ด้วยอารมณ์หวั่นไหว ผิวแก้มจึงขึ้นสีแดงก่ำ หลุบตาลงต่ำ แพขนตากระพือเบาๆ พิศแล้วก็น่าสงสารอยู่หลายส่วน
อาจเพราะรู้สึกเห็นใจ เขาจึงกล่าวว่า “เหมือนจะจำได้บ้าง”
ได้ฟังวาจาของเขาแล้ว นางก็เงยหน้าอีกครั้ง นัยน์ตาทอประกายวับวาว ตื่นเต้นดีใจ “จริงหรือเจ้าคะ”
“อืม”
มีอะไรให้ “อืม” กัน หรงหลินคิดในใจพลางมองภูตปลาน้อยที่ยิ้มเบิกบานตรงหน้า
เถียนหลัวตามหาอาเหลียนอยู่นาน กระทั่งฟ้ามืดแล้วถึงเห็นอาเหลียนกลับมา นัยน์ตานางแดงก่ำ “เจ้าหายไปที่ใดกันแน่! ข้านึกว่าเจ้าถูกใครจับไปแล้ว” ก่อนหน้านี้อาเหลียนยังเตือนนางว่าอย่าถูกจับไป
อาเหลียนรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ยามนี้นางยังคงตกอยู่ในห้วงแห่งความยินดีที่พบซ่างเสินโดยบังเอิญ นางเล่าเรื่องนี้ให้เถียนหลัวฟัง เถียนหลัวสูดจมูก เบิกตากว้างตกตะลึง “เจ้าบอกว่า…เจ้าพบหรงหลินซ่างเสินแล้ว!”
อาเหลียนพยักหน้า “ใช่…ซ่างเสินยังอ่อนโยนเป็นกันเองเหมือนกาลก่อน”
เถียนหลัวรู้ว่าอาเหลียนเคารพรักซ่างเสินมาโดยตลอด และนางก็เคยได้ยินคุณงามความดีของหรงหลินซ่างเสินมาก่อน จิตใจเขาดีงามจนขนลุกชัน เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของบุรุษทั้งสามแดน เมื่อรู้ว่าสาเหตุที่อาเหลียนเถลไถลไม่ยอมกลับเป็นเพราะอยู่กับซ่างเสิน แน่นอนว่าเถียนหลัวย่อมไม่กังวลอีก
นางใคร่รู้ “หรงหลินซ่างเสินรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร น่ามองกว่าเซียวไป๋ซ่างเสินหรือไม่”
เถียนหลัวไม่เคยออกมาเผชิญโลกภายนอกมาก่อน เดิมคิดว่าเหล่าศิษย์พี่ชายของจิ่วเซียวเก๋อแห่งนี้หน้าตาหล่อเหลามากแล้ว กระทั่งได้เห็นเซียวไป๋ซ่างเสินผู้สูงส่งในพิธีเปิดการศึกษาวันนั้นถึงได้หลงใหล แต่อาเหลียนเห็นเซียวไป๋ซ่างเสินแล้ว นางหน้าไม่แดงใจไม่เต้นเหมือนศิษย์หญิงที่มาใหม่คนอื่นๆ…หากไม่เป็นเพราะนางเคยพบบุรุษรูปงามกว่านี้มาก่อน ก็คงมีท่าทางเช่นนั้นเหมือนกัน
อาเหลียนย่อมรู้สึกว่าหรงหลินซ่างเสินโฉมงามไร้ผู้ใดเทียม แต่เซียวไป๋ซ่างเสินเป็นสหายสนิทของหรงหลินซ่างเสิน ซ่างเสินใจดีมากเมตตา เกรงว่าคงไม่อยากเห็นคนอื่นชื่นชมตนเองและกดสหายของตนจนต่ำ อาเหลียนครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ซ่างเสินทั้งสองรูปโฉมโดดเด่น มีเอกลักษณ์ของตนเอง เทียบกันไม่ได้หรอก”
ต่างโดดเด่นมีเอกลักษณ์ เช่นนั้นก็คงไม่ต่างกันมากสินะ เถียนหลัวยากจะจินตนาการได้ว่าโลกใบนี้ยังมีเทพที่รูปโฉมงดงามไม่ต่างจากเซียวไป๋ซ่างเสินอีกหรือ
เถียนหลัวคล้องแขนนาง “เจ้าเล่าให้ข้าฟังอีกสิ”
อาเหลียนเผยสีหน้ายินดี ท่าทางมีความสุข “ดวงตาของซ่างเสินดุจดวงดาว คิ้วดั่งดวงเดือน รูปร่างสูงเพรียว ถัดจากช่วงลำคอลงมาทั้งหมดก็เป็นขาเลย…”
เถียนหลัวเอ่ย “เช่นนั้นก็คงรูปงามมากจริงๆ สินะ!”
ก็ใช่น่ะสิ อาเหลียนบิดชุดของซ่างเสินที่สวมอยู่ เห็นด้วยกับสหาย “สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือจิตใจดีงามของซ่างเสิน วันนี้ข้ารบกวนเวลาพักผ่อนของเขา เขาไม่เพียงไม่ตำหนิข้า แต่ยังใส่ใจข้ามาก บอกว่าขากลับให้ข้าระวังสักหน่อย”
เถียนหลัวยิ่งตื่นเต้น! ร้องโอ้ๆ ไม่หยุด ซ่างเสินช่างยอดเยี่ยมปานนี้ ไม่แปลกใจเลยที่อาเหลียนเฝ้าคะนึงหามาตั้งสองร้อยปี
[1] ได้แก่ แดนสวรรค์ แดนเซียน และแดนปีศาจหรือภูต
[2] เป็นปลาน้ำจืดสกุลปลาหัวโต ส่วนหัวใหญ่ถึงหนึ่งในสามของขนาดลำตัว ปากและข้างแก้มกว้าง ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบแม่น้ำหวงเหอ
[3] หรือปลาฉลามปากเป็ดจีน เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้นๆ บริเวณหลัง หัว และเส้นข้างลำตัวเพื่อป้องกันตัว
[4] เทพชั้นสูง ทั้งชายและหญิง
[5] หมายถึง ใช้เงินทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ไม่ว่าผู้รับจ้างจะเต็มใจหรือรู้สึกผิดหรือไม่ก็ตาม
[6] หมายถึง คู่หญิงชายที่เป็นเพื่อนเล่นสนิทสนมตั้งแต่เด็ก มีความผูกพันกันจนกลายเป็นคู่รัก
[7] หมายถึง เพียงมีผิวขาวก็สามารถบดบังจุดด้อยบนใบหน้าได้มากมาย คำว่าสามในสำนวนนี้ไม่ได้หมายถึงเลขสามที่แท้จริง แต่ใช้เปรยถึงจำนวนที่มากมายเหลือคณา
[8] ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง “ไซอิ๋ว” เดิมเป็นของล้ำค่าที่ใช้ค้ำยันทะเลตงไห่ มีคุณสมบัติยืดได้จนสูงเสียดฟ้า หดได้สั้นกว่าไม้จิ้มฟัน ภายหลังซุนอู้คง (ซุนหงอคง) ชิงมาเป็นอาวุธประจำกาย หรือที่รู้จักกันว่า “กระบองกายสิทธิ์”