鱼香四溢
ปลาน้อยของท่านเทพ
抹茶曲奇 หมั่วฉาฉวี่ฉี เขียน
สี่เมษา แปล
— โปรย —
อาเหลียนเป็นปลาฮวาเหลียนตัวน้อยธรรมดาๆ
ที่มีตบะบำเพ็บเพียงสามร้อยปี นางมีความปรารถนาหนึ่ง
ชีวิตนี้นางปรารถนาที่จะเป็นอาหารจานหลักของหรงหลิน
เทพสงครามผู้สูงส่ง รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ซึ่งครองตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาสามหมื่นปี
อาเหลียนพยายามฝึกเซียนเพื่อให้ได้ใกล้ชิปดเขา
และขุนตนเองให้อวบขาว กระทั่งในที่สุดก็สามารถนำไปปรุงอาหารได้แล้ว
อาเหลียน “ซ่างเสิน ท่านชอบปลาน้ำแดงหรือปลานึ่งเจ้าคะ”
หรงหลิน “…ข้าเป็นมังสวิรัติ”
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
2
ปลาโง่ตัวหนึ่งที่ชอบก่อเรื่อง (2)
ได้ของติดมือกลับมา งานเลี้ยงอภิเษกสมรสครั้งนี้ถือว่าไปไม่เสียเที่ยว ค่ำคืนวันที่สาม หรงหลินนำกระโปรงและรองเท้าไปที่สระคลื่นมรกต คิดว่าไม่เจอกันสองวัน ภูตปลาน้อยตนนั้นเมื่อเห็นเขาแล้วต้องตื่นเต้นดีใจจนกระโจนเข้าใส่เป็นแน่
หรงหลินเงยหน้ามองจันทรา คิดในใจ เขาคิดถึงขนมถั่วเขียวที่นางทำเช่นกัน
แสงจันทร์สาดส่อง เงาร่างสูงใหญ่ของหรงหลินทอดยาวที่ริมฝั่งสระคลื่นมรกต เขาเกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายสูงศักดิ์หยิ่งทระนง ค่ำคืนเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว อยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้ ต่อให้สูงศักดิ์เพียงใด ยามนี้มองแล้วก็ยังดูโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่บ้างเช่นกัน
หรงหลินรอครู่หนึ่ง เห็นภูตปลาน้อยไม่มาสักที สีหน้านิ่งขรึมอย่างอดไม่อยู่
สามวันไม่โดนตี ต่อไปคงรื้อกระเบื้องมุงหลังคา[1] ก็คือเหตุผลนี้นี่เอง
เขาควรจะวางตัวเป็นซ่างเสินที่สูงส่งเย็นชาต่อไป
หรงหลินยืนเอามือไพล่หลังตัวตั้งตรง แต่แล้วก็อดหันหน้ากลับมามองซ้ำๆ ไม่ได้ เรียวคิ้วขมวดมุ่น เริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์บ้างแล้ว
มีคนกำลังพยายามรุกล้ำเขตแดนของเขา
หรงหลินขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นวาดกลางอากาศก็เห็นนอกเขตแดนที่เขาปูเอาไว้ มีแม่นางน้อยนางหนึ่งพยายามรุกล้ำเข้ามาในแขตแดนของเขาหลายครั้ง แต่ก็ถูกเขตแดนของเขาดีดออกไปทุกครั้ง
เป็นภูตหอยโข่งตัวหนึ่ง ผิวพรรณ…ดำคล้ำกว่าภูตปลาน้อยนั่นอยู่บ้าง รูปร่างอวบอ้วนกว่าภูตปลาน้อยเล็กน้อย
หรงหลินใคร่ครวญครู่หนึ่ง เมื่อคิดออกก็วาดมือปล่อยให้ภูตหอยโข่งตัวนั้นเข้ามา
ภูตหอยโข่งตัวนั้นเข้ามาในเขตแดนแล้ว เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ริมสระ มีรัศมีของซ่างเสินแผ่ออกมารางๆ รัศมีที่ติดกายซ่างเสินมาแต่กำเนิดไม่มีทางที่ใครจะจำผิด จึงรีบคุกเข่าลงดัง “ตุ้บ” รีบเอ่ยว่า “ซ่างเสิน ซ่างเสินช่วยชีวิตด้วย!”
อุ้งเท้าของภูตหอยโข่งกำลังจะสัมผัสชายกางเกงเขา หรงหลินจึงขยับถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง “มีเรื่องใดก็บอกกล่าวกันดีๆ ไม่ใช่ว่ายังไม่ทันเอ่ยก็คุกเข่าแล้ว”
เถียนหลัวร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร เช็ดน้ำตาป้อยๆ “อาเหลียนเจ้าค่ะ เกิดเรื่องกับอาเหลียนแล้วเจ้าค่ะ”
หรงหลินสีหน้าขึงขัง พลันเอ่ย “เจ้ากล่าวให้ชัดเจน”
เถียนหลัวใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตา รีบเอ่ยว่า “ซ่างเสิน อาเหลียนถูกขังอยู่ในสำนักโยวซือเจ้าค่ะ ซ่างเสินรีบคิดหาวิธีช่วยนางเถิดเจ้าค่ะ”
หรงหลินแปลกใจเล็กน้อย
ช่างเป็นปีศาจจอมก่อเรื่องจริงๆ
แต่สองวันนี้ นางไปก่อเรื่องอะไรถึงถูกจับไปอยู่ในสำนักโยวซือ
สำนักโยวซือของจิ่วเซียวเก๋อมีไว้สำหรับกักขังศิษย์ที่กระทำความผิด และต้องเป็นความผิดร้ายแรงในระดับหนึ่งถึงจะถูกจับขังในนั้น ส่วนความผิดอื่นๆ ก็แค่ให้อาจารย์สั่งสอนตักเตือน อย่างมากที่สุดก็คือกักบริเวณ ลงโทษปรับเงินก็จบเรื่อง
อาเหลียนเป็นเด็กสาวนางหนึ่ง ไม่ว่าจะกระทำความผิดใดจนถูกขังในสำนักโยวซือ อย่างไรเสียก็ไม่ส่งผลดีต่อชื่อเสียงของนาง
โชคดีที่สำนักโยวซือแยกขังชายหญิง อาเหลียนจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกบุรุษรังแก
ทว่าข้างในนี้ ผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษ สตรีมีน้อย แม้มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอะไร ครอบครัวออกเงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถระงับเรื่องไว้ได้แล้วปล่อยผ่านไป แต่คนที่ไม่มีพื้นเพทางครอบครัวอย่างอาเหลียน ทั้งยังเป็นปลาต่างถิ่นย่อมไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
นางมีหน้าตางดงามอ่อนเยาว์ ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องขังบุรุษ เมื่อเห็นรูปโฉมงดงามของนางแล้ว จึงมีคนจำนวนไม่น้อยเกาะราวลูกกรงผิวปากใส่นาง
ถึงอาเหลียนจะเป็นคนอารมณ์ดีมากเพียงใด เวลานี้ก็ยิ้มไม่ออกแล้ว นางจึงหามุมสะอาดๆ มุมหนึ่งแล้วนั่งลง
นั่งอยู่อย่างนั้นสองวัน ถึงได้ยินเสียงเรียกนางจากด้านนอก “เจ้าน่ะ…เจ้าปลาหัวโตที่เข้ามาใหม่ ญาติผู้พี่ของเจ้ามาหาแล้ว”
อาเหลียนชะงักเล็กน้อย ค่อยๆ เงยหน้าช้าๆ
ญาติผู้พี่…
ปลาต่างถิ่นเช่นนาง รู้จักคนที่นี่เพียงไม่กี่คน แล้วจะมีญาติผู้พี่ที่ใดกัน แต่อาเหลียนมีไหวพริบอยู่บ้าง คิดว่าคงจะเป็นเถียนหลัวที่คิดหาวิธีช่วยนาง จึงลุกขึ้นยืน ปัดเศษฟางบนกาย เตรียมตัวไปพบ “ญาติผู้พี่” ของนางที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดคนนั้น
รอจนกระทั่งอาเหลียนพบชายหนุ่มที่เดินเข้ามา พลันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด “ซ่าง…”
“ข้าอยากพูดคุยกับญาติผู้น้องของข้าตามลำพังสักหน่อย” ญาติผู้พี่ท่านนั้นพูดราบเรียบ ก่อนยัดตั๋วเงินให้พี่ชายน้อยที่เฝ้ายามผู้นั้น
คนใจป้ำไม่ว่าอยู่ที่ใดก็มีคนต้อนรับ พี่ชายน้อยพยักหน้ารับ ท่าทีนอบน้อมหลายส่วน “เช่นนั้นก็ได้” ก่อนมองอาเหลียนอีกครา “แต่ความผิดที่เจ้าปลาหัวโตตัวนี้กระทำไม่ธรรมดา อย่ามัวแต่โอ้เอ้ร่ำไร หากถูกจับได้ เบื้องบนคงไม่ปล่อยไว้แน่”
ญาติผู้พี่พยักหน้า บอกว่าตนเองเข้าใจแล้ว
รอกระทั่งพี่ชายน้อยจากไป อาเหลียนถึงได้เดินขึ้นหน้า
แม้หรงหลินจะมาที่จิ่วเซียวเก๋อไม่บ่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพล หากเขาออกโรงเอง แม้มีคนที่ไม่รู้จักเขา แต่เมื่อเห็นรัศมีที่แผ่รอบตัวเขาแล้วก็ย่อมมองออกว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ทว่าหรงหลินกระทำการใดมักยุติธรรมเสมอมา ไม่มีเอนเอียงแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากเขาใช้ฐานะของซ่างเสินมาพบนางแล้วเรื่องแพร่ออกไป ล้วนไม่ดีต่อทั้งชื่อเสียงของเขาและภูตปลาน้อยตนนี้
ยามนี้นางอยู่ในสำนักโยวซือก็มีเพียงญาติเท่านั้นถึงจะมารับนางไปจากที่นี่ได้
เช่นนั้นเขาก็ได้แต่ใช้ฐานะของ “ญาติผู้พี่” มาหานางที่นี่
วิชาเวทของซ่างเสินไร้ขีดจำกัด แค่ร่ายวิชาจำแลงภาพลวงตาเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ทุกคนเห็นเขาในรูปลักษณ์ของบุรุษหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง มีเพียงภูตปลาน้อยตรงหน้านี้เท่านั้นถึงจะมองรูปร่างที่แท้จริงของเขาออก
อาเหลียนเห็นท่าทางของพี่ชายน้อยและปฏิกิริยาของเหล่าบุรุษที่ถูกขังอยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามยามที่เห็นซ่างเสิน ก็เข้าใจว่าซ่างเสินคงใช้วิชาเวทบางอย่าง อีกทั้งการเข้ามาในสำนักโยวซือแห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก หากซ่างเสินใช้ฐานะที่แท้จริงมาที่นี่เพื่อช่วยนาง เกรงว่าคงส่งผลต่อชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่เขาสั่งสมมานับหมื่นปีเป็นแน่
อาเหลียนครุ่นคิดแล้วร้องเรียกว่า “ญาติผู้พี่”
ช่างเข้าถึงบทบาทเร็วเสียจริง หรงหลินคิด
เห็นท่าทางน่าสงสารของนางยามนี้อีกครั้ง ก็รู้ว่านางอยู่ที่นี่คงได้รับความอยุติธรรมไม่น้อยแน่ๆ เขาเอ่ย “ระหว่างทางภูตหอยโข่งตนนั้นเล่าเรื่องให้ข้าฟังหมดแล้ว เจ้ามีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่”
อาเหลียนเงยหน้ากล่าว “ไม่ใช่ข้า…”
หรงหลินหน้าเรียบเฉย ไม่พูดจา
เรื่องมีอยู่ว่าคืนนั้นอาเหลียนไปฝึกซ้อมวิชาเวทที่ริมสระคลื่นมรกตด้วยความเคยชิน ระหว่างทางเห็นพุ่มไม้แห่งหนึ่งสั่นไหว ยังมีเสียงร้องโหยหวนของชายหนุ่มดังแว่วมา เมื่อนางเข้าไปแหวกพุ่มไม้ออกดู ก็มีแสงสีแดงสายหนึ่งวาบผ่านหน้าไป และในพุ่มไม้นั้นก็มีเพียงโครงร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั่วทั้งร่างกลายเป็นสีดำ ถูกดูดพลังจิงหยวน[2]ไปจนหมดสิ้น
เหตุการณ์นี้ถูกศิษย์ที่ผ่านทางพบเข้า เพียงไม่นานก็มีคนมากมายมุงดู
เรื่องราวจากนั้นก็กล่าวได้ไม่ชัดเจนแล้ว
เดิมการบำเพ็ญคู่ระหว่างชายหญิงสองคนในจิ่วเซียวเก๋อก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่เลือกเดินทางสายมาร ตนเองไม่ตั้งใจบำเพ็ญเพียร อยากได้ผลแต่ไม่ลงแรง เมื่อเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จะต้องประลองแล้ว ถึงเวลานั้นศิษย์ใหม่ที่ขาดคุณสมบัติก็มิอาจอยู่ในจิ่วเซียวเก๋อต่อไปได้ ช่วงเวลานี้ทุกคนจึงคิดหาวิธีเพิ่มตบะบำเพ็ญของตนเอง
ส่วนอาเหลียนน่ะหรือ นางอยู่ระดับล่างสุดในบรรดาศิษย์ใหม่ เมื่อมองตามนี้ หากนางไม่ทำอะไรบ้าง คิดจะอยู่ในจิ่วเซียวเก๋อต่อไปก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
ต้องครุ่นคิดทำทุกวิถีทางจนหัวสมองแทบแตก ไม่ง่ายเลยกว่าจะจากสถานที่เล็กๆ มายังจิ่วเซียวเก๋อแห่งนี้ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากกลับไปพร้อมกับความผิดหวังเช่นนั้น
เพราะอย่างนี้การที่ภูตปลาน้อยที่มีวิชาเวทต่ำต้อยตนหนึ่งอยากรั้งอยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อต่อ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ต้องเพิ่มระดับวิชาเวทด้วยความรวดเร็ว จึงเลือกที่จะเดินทางลัด นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
อาเหลียนเล่าเรื่องคืนนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อเล่าจบก็เอ่ยว่า “ทั้งใจข้ามีเพียงซ่างเสิน แล้วข้าจะกระทำเรื่องเช่นนั้นกับชายอื่นได้อย่างเจ้าคะ”
หรงหลินสีหน้าไม่ค่อยน่ามองนัก กระทั่งได้ฟังถ้อยคำนี้ของนาง น้ำเสียงถึงอ่อนโยนลง เขามองนางคราหนึ่ง “คาดว่าเจ้าคงไม่มีความกล้าเช่นนั้น”
อาเหลียนพยักหน้า สายตาเต็มตื้น “พบซ่างเสินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย ข้าก็พอใจมากแล้วเจ้าค่ะ”
หรงหลินขมวดคิ้วน้อยๆ ทอดถอนในใจ
เรื่องนี้จัดการค่อนข้างยากจริงๆ ศิษย์ที่เกิดเรื่องผู้นั้นนามว่าฉวีจู๋ เป็นศิษย์พี่ที่โตกว่าอาเหลียนหนึ่งรุ่น ฉวีจู๋ผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ท่านปู่ของเขาเป็นเทพหนานโต้ว[3] มารดาเป็นหรงซวีหยวนจวิน[4] เขาเป็นทายาทของชนชั้นสูงในแดนสวรรค์ตามมาตรฐาน หากไม่มีตน ด้วยฐานะของปลาโง่ตัวนี้ก็คงได้แต่พลีชีพเสียเปล่าแล้ว
หรงหลินเอ่ย “ช่างเถิด ข้าจะลองคิดหาวิธีดู”
อาเหลียนรู้ดีว่าเรื่องนี้คงต้องรบกวนซ่างเสินแล้ว ยามนี้จึงทำได้เพียงเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “รบกวนซ่าง…พี่ชายแล้วเจ้าค่ะ”
อาเหลียนรู้ภูมิหลังของฉวีจู๋ผู้นั้นเช่นกัน คิดว่าด้วยฐานะของซ่างเสินก็ยังยากมากที่จะพานางออกไปจากที่แห่งนี้ ยามนั้นจึงไม่ได้หวังอะไรมากมายนัก
ไหนเลยจะรู้ว่าหลังนางมองส่งซ่างเสินจากไป ผ่านไปชั่วครู่ก็เห็นพี่ชายน้อยที่เฝ้าห้องขังผู้นั้นเดินเข้ามา ปลดเขตคุมขังให้นาง กล่าวกับนางว่า “เจ้าปลาหัวโต รีบตามข้าออกมา”
อาเหลียนเดินขึ้นหน้าโดยที่ไม่เข้าใจเรื่องราว
พี่ชายน้อยยิ้มบาง “นับว่าเจ้าโชคดีนัก จัดการตามระเบียบเสร็จก็ออกไปได้แล้ว”
อาเหลียนยังงุนงงไม่หาย เมื่อได้สติกลับมาก็รีบตามพี่ชายน้อยออกไป
อาเหลียนหน้าตางดงามอ่อนเยาว์ มีลักษณะของเด็กสาวอ่อนหวานนุ่มนวลดั่งบุปผาขาวตามแบบฉบับ ไม่ว่าบุรุษคนใดย่อมรู้สึกสงสารเมตตา พี่ชายน้อยผู้นี้รู้จักคนนับไม่ถ้วน จึงรู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ต้องถูกใส่ร้ายอย่างแน่นอน สองวันมานี้จึงดูแลนางเป็นพิเศษ ตอนนี้ยังเดินออกมาส่งนางด้วยตนเอง เขาเอ่ยว่า “ข้ามาจากถิ่นทุรกันดารเช่นกัน จิ่วเซียวเก๋อแห่งนี้อยู่ไม่ง่ายนัก เจ้าเป็นแม่นางน้อยตัวคนเดียว อายุยังน้อย ไม่มีคนคอยหนุนหลัง ง่ายที่จะถูกคนรังแก…”
สุดท้ายเหลือบมองญาติผู้พี่ด้านหลังนางผาดหนึ่ง ใบหน้าปลื้มอกปลื้มใจ เอ่ยต่อว่า “โชคดีที่ญาติผู้พี่ของเจ้ามีความสามารถ ไม่ว่าครั้งนี้เจ้าจะกระทำความผิดอะไรมา พอออกไปแล้วก็อย่าได้กลับเข้ามาอีก เปลี่ยนแปลงตนเองเสียใหม่ เป็นปลาที่ดีกว่าเดิม อยู่กับญาติผู้พี่ของเจ้าดีๆ เล่า”
อาเหลียนพยักหน้าติดๆ กันด้วยความตื้นตัน “ข้าจะทำตามที่ท่านบอก ขอบคุณศิษย์พี่มาก”
บนเกาะเซียน เรื่องของอาเหลียนทำเซียวจ่าวกังวลไม่หาย
นางนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่ริมแม่น้ำเพียงลำพัง รองเท้าที่สวมอยู่ร่วงหล่นแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
เซียวไป๋ยืนอยู่ด้านหลังของนาง มองนางจากที่ไกลๆ เนิ่นนาน ตอนนี้ถึงได้เดินเข้าไปหาช้าๆ ยามนี้เขาไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าฝูงชน จึงสวมเสื้อผ้าสบายๆ ชุดคลุมตัวยาวสีขาวนวลราวดวงเดือน ปิ่นปักหยกขาว มองแล้วอบอุ่นสุภาพ สง่างาม
เขาอยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานาน ทั่วร่างจึงมีกลิ่นอายสูงศักดิ์อย่างยากที่จะเลี่ยง เขาเห็นว่าทั้งๆ ที่นางเห็นเขาแล้ว แต่กลับไม่สนใจ ริมฝีปากเขาหยักโค้งขึ้น
พลันยกชายชุดคลุมตัวยาว แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น มือเรียวยาวของเซียวไป๋ยื่นออกไปจับข้อเท้าของนางใต้ชายกระโปรงเบาๆ “ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ”
สุดท้ายเซียวจ่าวก็ทำเมินเฉยต่อไปไม่ได้ นางชักเท้ากลับ แต่กลับถูกเขาจับไว้แน่น ทำให้มิอาจชักข้อเท้ากลับมาได้ หน้าพลันแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว
นางไม่พูด เขาก็ไม่เร่งเร้า เพียงกุมข้อเท้าขาวดุจหยกของนางไว้ เก็บรองเท้าที่หล่นขึ้นมาสวมให้นาง เสร็จแล้วถึงได้นั่งลงข้างกายนาง “ไม่ง่ายเลยกว่าที่เจ้าจะมีสหายสักคน ข้ากังวลยิ่งกว่าเจ้า ในเมื่อสหายของเจ้ากำลังลำบาก แล้วไยข้าถึงจะไม่ช่วย เพียงแต่ข้ามีฐานะเป็นผู้ดูแลจิ่วเซียวเก๋อ มิอาจลำเอียงเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่งได้ หากเรื่องนี้นางถูกใส่ร้าย ข้าย่อมคืนความยุติธรรมให้นางแน่นอน”
เซียวจ่าวจะไม่เข้าใจความลำบากใจของเขาได้อย่างไร เพียงแต่…
นางหลุบตาลง “เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้าไปสืบหาความจริง”
น้อยครั้งนักที่นางจะขอร้องเขา ทว่าเรื่องของอาเหลียนครั้งนี้ นางขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้เลย ได้แต่ขอร้องเขาเท่านั้น ทว่าเขาหรือ มิเพียงแต่ไม่ยอมช่วยเหลือ ยังห้ามนางออกไป แล้วจะไม่ให้นางโกรธเขาได้อย่างไร นางกล่าวเสริมว่า “อาเหลียนเป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่ง นางจะต้องหวาดกลัวสถานที่อย่างสำนักโยวซือแน่ หากถูกรังแกแล้ว…”
“ไม่มีทาง” เซียวไป๋มองนาง “แม้ข้ามิอาจปล่อยนางออกมาได้ แต่ข้ารับประกันว่านางจะต้องอยู่ข้างในอย่างปลอดภัย เรื่องนี้ยังพอทำได้”
เซียวจ่าวเอ่ย “ฉวีจู๋นั่นเป็นบุตรของหรงซวีหยวนจวิน ต่อให้อาเหลียนบริสุทธิ์ แต่บางทีนางอาจถูกพานโกรธ”
เซียวไป๋พลันมองนางด้วยแววตาแฝงยิ้ม
เซียวจ่าวมองตอบเขาอย่างไม่เข้าใจ กลับได้ยินเขาเอ่ยว่า “ครั้งนี้เจ้าฉลาดนัก เมื่อใดเจ้าถึงจะใส่ใจเรื่องของข้าเช่นนี้บ้าง”
เซียวจ่าวนึกเคืองอยู่บ้าง แม้อารมณ์ดีเพียงใด แต่เมื่อเกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้กับสหาย ก็ไม่มีเวลาที่จะพูดคุยสนุกสนาน ทว่าอย่างไรเสียนางกับเขาก็เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ จึงพอเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อย ยามนี้ที่นางยังยอมรั้งรออยู่ที่เกาะเซียน เพราะจิตใต้สำนึกลึกๆ นั้นเชื่อว่าเขาสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ไม่มีทางปล่อยให้สหายของนางถูกใส่ร้ายทั้งๆ ที่ไร้ความผิดเช่นนี้ นางจึงถามว่า “เจ้ามีวิธีการใดหรือ”
เซียวไป๋ไม่อยากให้นางหงุดหงิดเพราะเรื่องนี้อีก จึงกล่าวว่า “จะมีคนไปช่วยนาง คนคนนั้นต้องช่วยนางออกมาได้อย่างแน่นอน”
กล่าวจบ เซียวจ่าวไม่ซักต่อ เซียวไป๋หันหน้ามาเห็นนางนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่เงียบๆ ความกังวลตรงหว่างคิ้วก็คลายลงแล้วบางส่วน เขาพลันแปลกใจ ถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่ถามว่าเป็นผู้ใดที่ไปช่วยนาง”
หืม
เซียวจ่าวได้ยินเสียงก็หันหน้าไป สบตาเขา ยิ้มเอ่ย “…ข้าเชื่อใจเจ้า เสี่ยวไป๋”
ในเมื่อเขาบอกแล้วว่ามีคนจะไปช่วยอาเหลียน เช่นนั้นก็ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นกับอาเหลียนแน่ แล้วนางจะต้องถามมากความไปไย
ออกจากสำนักโยวซือแล้ว เถียนหลัวที่นั่งรออยู่ด้านนอกก็กระโจนเข้ามาหาพร้อมกับร่ำไห้ “อาเหลียน ในที่สุดเจ้าก็ออกมา ข้ากังวลแทบแย่แล้ว…”
เถียนหลัวขี้ขลาด เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ร้อนรนนานแล้ว เดิมยังมีเซียวจ่าวอีกคน ทว่าภายหลังเซียวจ่าวก็หายไป มีเพียงนางที่คิดหาวิธียัดเงินจนได้เข้าไปคุยกับอาเหลียนสองสามคำ พอรู้ว่าอาเหลียนไปมาหาสู่กับหรงหลินซ่างเสิน นางจึงวิ่งไปที่สระคลื่นมรกตเพื่อเฝ้ารอโอกาส
อาเหลียนปลอบโยน “เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าสบายดีไม่ใช่หรือ อย่าร้องเลย…” นางกล่าวแล้วมองซ่างเสินอีกครั้ง ยิ้มน้อยๆ “ซ่างเสินเก่งมาก”
เถียนหลัวขยับออกจากอ้อมอกของอาเหลียน เหลือบมองซ่างเสิน เมื่อเห็นรัศมีที่ปกคลุมกายเขา หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสง่างาม ก็ยิ่งทำให้นางต่ำต้อย
เถียนหลัวเอ่ยด้วยความตื้นตันว่า “ซ่างเสินใจดีมากเมตตาอย่างที่อาเหลียนกล่าวไว้จริงๆ”
ซ่างเสินที่มีอายุสามหมื่นปีเริ่มอ่อนไหวกับอายุขัยที่เพิ่มขึ้นบ้างแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่จัดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดห้าร้อยปีครั้ง และแน่นอนว่าหรงหลินย่อมไม่หลงไปกับคำเยินยอของเถียนหลัว เขาเพียงเม้มริมฝีปาก ยืนตัวตรงมือไพล่หลัง ใบหน้างามทระนงตน คงความสูงส่งเย็นชา
เถียนหลัวส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้อาเหลียนอย่างตื่นตระหนก
ไม่ต้องรอให้อาเหลียนกล่าว หรงหลินก็กล่าวด้วยโทนเสียงเย็นชาว่า “เวลาล่วงเลยมากแล้ว เรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด ตอนนี้ได้ออกจากสำนักโยวซือก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าวันพรุ่งจะไม่ถูกจับเข้าไปอีก ข้าค่อนข้างยุ่ง ไม่มีเวลาว่างมาจับปลาเล่นทุกวัน”
ท่าทางเถียนหลัวราวกับจะร้องไห้ “เช่นนั้นควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
อาเหลียนมองหรงหลิน
จากนั้นก็เป็นหรงหลินที่พาอาเหลียนไปสืบหาความจริงเรื่องนี้ให้กระจ่าง ส่วนเถียนหลัวนั้น นางกังวลตลอดสองวัน อีกทั้งตบะบำเพ็ญของนางยังต่ำต้อยช่วยเหลืออะไรไม่ได้ จึงได้แต่ให้นางกลับไปพักผ่อน
เมื่อก้าวเข้าไปบนกลุ่มเมฆ อาเหลียนต้องทอดถอนใจให้กับพลังเวทที่ไร้ขอบเขตของซ่างเสินอีกครั้ง หันหน้ากลับไปมองซ่างเสินทางด้านหลังคราหนึ่ง “หากข้าสามารถใช้วิชาเวทได้ตามใจนึกอย่างซ่างเสินก็คงดี”
หรงหลินเห็นสีหน้านับถือชื่นชมของนางแล้ว ในใจรู้สึกยินดี มีอารมณ์คุยเล่นกับนางอย่างหาได้ยาก “อย่างนั้นเจ้าเดินทางจากทะเลสาบต้งเจ๋อมายังจิ่วเซียวเก๋อได้อย่างไร”
อาเหลียนตอบอย่างจริงจังว่า “วิชาเวทของข้าไม่โดดเด่น ข้าจึงออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งเดือน เดินทางมาพร้อมกับพี่ไป๋สวินเจ้าค่ะ”
หรงหลินมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ไม่ว่ารูปโฉมหรือพื้นฐานครอบครัวล้วนโดดเด่น ในวัยเยาว์ก็ทิ้งห่างคนรุ่นเดียวกันเป็นโยชน์ แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเข้าใจพฤติกรรมการใช้ชีวิตของศิษย์ปลายแถวอย่างอาเหลียน
เสื้อผ้าของเขาสะบัดพลิ้ว รูปร่างงดงามเป็นหนึ่ง เมื่อได้ยินวาจาของนางแล้วก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ทว่าเมื่อนึกถึงท่าทางโง่งมของภูตปลาน้อยตนนี้ยามเดินทางจากทะเลสาบต้งเจ๋อมายังจิ่วเซียวเก๋อแล้ว มุมปากก็ยกขึ้นอย่างอดไม่ได้
อาเหลียนถามอีกว่า “ซ่างเสินพาข้าออกมาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”
ก่อนหน้านี้เถียนหลัวจะพูดคุยกับนางยังยากยิ่ง เรื่องที่นางก่อร้ายแรงถึงเพียงนั้น หากไม่ใช่เพราะพี่ชายน้อยเห็นนางน่าสงสาร เขาคงไม่ปล่อยให้เถียนหลัวเข้าไปแน่ แต่ซ่างเสินเล่า แค่เวลาเพียงชั่วครู่ก็สามารถพานางออกมาได้แล้ว
หรงหลินเอ่ย “เรื่องนี้แปลกชอบกล แม้กล่าวว่ายามเกิดเรื่องเจ้าอยู่ข้างกายฉวีจู๋พอดี ทว่าไม่มีผู้ใดเห็นกับตาว่าเป็นเจ้าที่ลงมือ จิ่วเซียวเก๋อไม่ใช่สถานที่ที่ไม่มีขื่อไม่มีแป พวกเขาจับเจ้าขังไว้ ต้องการเอาผิดเจ้าก็ต้องมีหลักฐานแน่นหนา ยามนี้ไร้หลักฐาน การกักขังเจ้าสองวันนี้ก็ถือว่าเกินพอแล้ว หากยังกักตัวไว้ไม่ยอมปล่อย ย่อมไม่สมเหตุสมผล ข้ารับประกันแทนเจ้า ทั้งยังจ่ายเงินเบิกตัว ครั้งนี้ถึงพาเจ้าออกมาได้”
อาเหลียนซาบซึ้ง “ทำให้ซ่างเสินต้องสิ้นเปลืองแล้ว…” นางครุ่นคิด ก่อนเอ่ยอีกครั้งว่า “ซ่างเสินจ่ายไปทั้งหมดเท่าไร วันหน้าข้าจะรวบรวมเงินมาคืนท่านให้ครบเจ้าค่ะ”
หรงหลินก็ไม่เกรงใจ บอกจำนวนเงิน
อาเหลียนฟังแล้ว เนิ่นนานถึงพูดว่า “ข้า…” นางอยากอวดเก่งแต่ก็จนปัญญา ไหล่ลู่คอตก “ซ่างเสินยังขาดสาวใช้หรือไม่เจ้าคะ อย่างเช่นคนที่สามารถว่ายน้ำได้”
หรงหลินหรือจะรู้ไม่ทันลูกไม้ของภูตปลาน้อยตนนี้ วีรบุรุษช่วยสาวงาม มอบชีวิตและหัวใจของตนตอบแทน งิ้วฉากนี้เล่นวนซ้ำซาก หนำซ้ำยังคิดจะเป็นหอคอยใกล้น้ำที่ได้แสงจันทราก่อน[5] ช่างเจ้าแผนการเสียจริง
หรงหลินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “ทยอยคืน สุดท้ายแล้วก็คงหมดเอง”
อาเหลียนพยักหน้า
หลายปีมานี้ตลาดขายเนื้อปลาซบเซา ปลาฮวาเหลียนไม่ใช่สินค้าล้ำค่านัก แม้นางจะขายตนเองเพื่อชำระหนี้ให้ซ่างเสิน ค่าตัวก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น หากทำอย่างนั้นจริง ซ่างเสินย่อมต้องขาดทุน ซ่างเสินที่ฉลาดเฉลียวจะยอมถูกเอาเปรียบได้อย่างไร
หรงหลินพาอาเหลียนไปหาเซียวไป๋
เซียวไป๋ทำท่าเหมือนคอยอยู่นานแล้ว และอาเหลียนยังเป็นสหายของเซียวจ่าว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางไม่ช่วยเหลือ
อาเหลียนยืนอยู่ข้างกายของหรงหลิน เมื่อคิดว่าเพราะเรื่องของตนเองจึงทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ก็ให้รู้สึกละอาย ตั้งแต่เดินเข้ามา นางจึงเปลี่ยนท่าทีจากที่พูดมากตลอดทางเป็นสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ที่หรงหลินมาหาเซียวไป๋ก็เพราะเซียวไป๋นั้นมีคันฉ่องหลิวกวง สามารถย้อนเวลากลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้
อาเหลียนยืนอยู่ข้างกายหรงหลินท่าทางเรียบร้อยเชื่อฟัง มองภาพเหตุการณ์ในคันฉ่องพร้อมกับซ่างเสินทั้งสอง
เซียวไป๋ถาม “เจ้าเคยมีความสัมพันธ์กับฉวีจู๋มาก่อนหรือไม่”
อาเหลียนครุ่นคิด ก่อนเอ่ยตามตรง “ศิษย์พี่ฉวีจู๋ใจดีมาก ตอนที่ข้ามาเพิ่งมาถึงจิ่วเซียวเก๋อใหม่ๆ เขาช่วยข้าไว้ค่อนข้างเยอะเจ้าค่ะ”
เซียวไป๋พูดราบเรียบ “เขามักใจดีกับเด็กสาวหน้าตาดีอยู่เสมอ”
อาเหลียนชะงัก ไม่รู้ว่าเพราะไฉนถึงหันมองหรงหลินอย่างไม่รู้ตัว
เซียวไป๋วาดมือเพียงครั้ง ในคันฉ่องบานนั้นก็ปรากฏภาพของอาเหลียนที่กำลังพูดคุยกับฉวีจู๋
ฉวีจู๋ได้รับการประคบประหงมตั้งแต่เยาว์วัย ถูกเอาใจจนเคยชิน เป็นคุณชายเสเพลขึ้นชื่อของแดนสวรรค์ ยามปกติก็ประพฤติตัวเป็นที่โจษจัน ไม่รู้ว่าตามเกี้ยวพาสตรีมากี่มากน้อยแล้ว ยามนี้ในคันฉ่องหลิวกวงก็ปรากฏภาพที่ฉวีจู๋ซึ่งแต่งกายดีเกี้ยวพาอาเหลียนที่พบเจอโดยบังเอิญหลายต่อหลายครั้ง
เซียวไป๋มองภาพเหตุการณ์ในคันฉ่อง ฉวีจู๋เขยิบเข้าใกล้หูของอาเหลียนราวกับว่ากำลังพูดบางอย่าง จึงถามนางถึงเรื่องราววันนั้น “ตอนนั้นเขาพูดอะไรกับเจ้า”
อาเหลียนหวนคิดอย่างละเอียดชั่วขณะ ถึงได้ร้อง “อ้อ” ออกมาเบาๆ “วันนั้นศิษย์พี่ฉวีจู๋บอกว่าหากข้ากับเขาอยู่ด้วยกัน เขาจะสร้างบ่อปลาให้ข้า”
หรงหลินพลันเอ่ย “กากเดนผู้ดีเช่นนี้ อยู่ไปก็เปลืองข้าวของจิ่วเซียวเก๋อ ตายไปจึงจะไม่รกโลก”
รักปลาตัวหนึ่งจึงคิดสร้างบ่อปลาเพื่อนาง คาดว่านี่คงเป็นคำหวานที่ภูตปลาสาวน้อยไม่ว่าตนใดก็มิอาจปฏิเสธได้
ฉวีจู๋เป็นบุรุษเสเพลในสนามรัก ในเรื่องของชายหญิง แน่นอนว่าย่อมต้องมีฝีมืออยู่บ้าง กอปรกับฐานะของเขาและหน้าตาที่ถือว่าหล่อเหลา ต่อให้ชื่อเสียงย่ำแย่เพียงใด ก็ยังมีศิษย์หญิงที่อกใหญ่แต่ไร้สมองอีกกองพะเนินกระโจนเข้าใส่เขาอยู่ดี หรงหลินดำรงตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาหลายหมื่นปี ไม่ว่าบุรุษอย่างฉวีจู๋นี้จะเกกมะเหรกเกเรเพียงใด เขาก็ไม่เคยมีความเห็นใด เพราะถึงอย่างไรความรู้สึกชอบพอระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวก็เป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ ไม่ว่าอย่างไรคงไม่เกิดปัญหา ทว่าถ้อยคำที่หลุดจากปากยามนี้กลับไม่เข้ากับสถาานะสูงส่งของเขาสักเท่าไร
อาเหลียนมองเขาเล็กน้อย แต่ไม่กล่าวอะไร
เซียวไป๋จึงถามต่อ “แล้วเจ้าตอบรับเขาหรือไม่”
อาเหลียนส่ายหน้า
ทว่า…
คิดไม่ถึงว่าการปฏิเสธของนางครั้งนี้กลับดึงดูดความสนใจของฉวีจู๋เสียได้
ภายหลังการเรียนของอาเหลียนค่อนข้างยุ่ง แต่ละวันไปมาระหว่างสองที่ ฉวีจู๋ไม่มีเวลาเทียวไล้เทียวขื่อนาง ฉวีจู๋เป็นหนุ่มเสเพลที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์คนหนึ่ง เข้าใจทักษะในการหว่านแหดี ในเมื่อปลาตัวนี้ยังไม่ตกบ่วง แน่นอนว่าอีกด้านต้องไปเกี้ยวพาศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงคนอื่น เดิมอาเหลียนไม่ได้สนใจอะไรมาก ย่อมไม่รู้ตัวเป็นธรรมดา โดยไม่ทันรู้ตัวฉวีจู๋ก็เข้ามาพัวพันกับนางน้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเจอหน้าเขาแทบจะนับครั้งได้
ใครจะรู้ว่าเมื่อพบกันอีกครั้งจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น
เซียวไป๋ไม่ถามอีก มองคันฉ่องก็เห็นอาเหลียนกับฉวีจู๋ไปมาหาสู่กันน้อยลงเรื่อยๆ จริงๆ ถึงขั้นที่ว่าครึ่งเดือนก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องกับฉวีจู๋ เขาก็ไม่เคยเจออาเหลียนอีกเลย
เซียวไป๋มองอาเหลียนอีกครั้ง “ความจริงหากจะให้พิสูจน์ว่าการตายของฉวีจู๋ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไร”
ดวงตาคู่นั้นของอาเหลียนเป็นประกาย พลันเกิดความหวัง ถามว่า “ไม่ทราบว่าเซียวไป๋ซ่างเสินคิดเห็นเช่นใดหรือเจ้าคะ”
เซียวไป๋เอ่ย “ร่างกายของเจ้ายังคงบริสุทธิ์อยู่หรือไม่” หากใช่ก็หมายความว่าระหว่างอาเหลียนกับฉวีจู๋ไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้นต่อกัน
อาเหลียนอ้าปากค้างเล็กน้อย เมื่อได้สติกลับมา ใบหน้างามพลันแดงซ่าน พยักหน้าหงึกๆ
แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องส่วนตัว ทว่าสำหรับคนที่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนแล้ว ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่ชวนลำบากใจเกินกว่าที่จะกล่าว ท่าทีของเซียวไป๋นิ่งเฉย ราวกับกำลังถามประโยคง่ายๆ อย่างเช่น “วันนี้กินอาหารแล้วหรือยัง” เท่านั้น
หรงหลินเอ่ยว่า “เจ้าออกไปรอข้าข้างนอก”
“หา” อาเหลียนสงสัย
หรงหลินกล่าวอีกว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเซียวไป๋ซ่างเสิน”
“เจ้าค่ะ!” อาเหลียนรีบตอบรับ ก่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว
หรงหลินถึงได้ตีหน้าขรึมเอ่ยว่า “เซียวไป๋ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หรงหลินเป็นคนอารมณ์ดีมาโดยตลอด แม้เซียวไป๋จะเป็นสหายสนิทของเขา ก็ยังยากที่จะเห็นเขากรุ่นโกรธ เซียวไป๋ยิ้มน้อยๆ แต่กลับไม่มองเขา เพียงเก็บคันฉ่องหลิวกวงกลับมาด้วยท่าทางสบายๆ ทุกท่วงท่าล้วนสง่างามสูงศักดิ์ เดิมเซียวไป๋ซ่างเสินผู้แลจิ่วเซียวเก๋อก็เคยเป็นหนุ่มน้อยผู้เพียบพร้อมที่รักถนอมบุปผามาก่อน แต่เพราะถูกมารดาลวงหลอก ทอดทิ้ง นิสัยถึงได้บิดเบือนเล็กน้อย อย่าได้มองว่าภายนอกเขาอ่อนโยนไร้พิษภัย แท้จริงแล้วในใจกลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใคร
หรงหลินเอ่ย “หากเรื่องในวันนี้เกิดขึ้นกับเซียวจ่าว เจ้ายังจะมีท่าทางเช่นนี้หรือไม่”
เซียวไป๋ตอบตามตรงว่า “นี่ไม่เหมือนกัน”
อะไรที่ไม่เหมือนกัน คิดถึงยามนั้น คนรักสันโดษและไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดอย่างเขากลับไม่ลังเลที่จะขอร้องตน เพียงเพราะต้องการเลือดหนึ่งหยดที่กลั่นออกมาจากหัวใจของตนไปช่วยชีวิตเซียวจ่าว ยามนี้ภูตปลาน้อยตนนั้นก็ตกอยู่ในสภาวะลำบากเช่นกัน ต่างก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องถึงชีวิต แต่เขากลับกล่าวคำพูดเย็นชาไร้หัวใจเช่นนี้
เซียวไป๋กล่าวเสริมว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าวิธีการนี้ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายที่สุด หากเจ้าไม่เห็นด้วย วันพรุ่งข้าจะเรียกทุกคนในจิ่วเซียวเก๋อให้มารวมตัวกันเพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคันฉ่องหลิวกวง…” อย่างไรเสียคันฉ่องหลิวกวงก็เป็นถึงสมบัติล้ำค่าของจิ่วเซียวเก๋อ การระดมฝูงชนเพียงเพื่อปลาฮวาเหลียนตัวเล็กๆ เพียงตัวเดียวคงเลี่ยงไม่ได้ที่ศิษย์ของจิ่วเซียวเก๋อจะคาดเดาถึงสถานะของอาเหลียนมากมาย
“ไม่จำเป็น!” หรงหลินกล่าวอย่างรวดเร็ว
เขากล่าว “ข้าจะคิดหาวิธีช่วยเจ้าปลาหัวโตนั่นเอง!” เอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ไม่เหมือนขามาที่พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างขากลับนี้ อาเหลียนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าซ่างเสินอารมณ์ไม่ดี นางคิดจะกล่าวหลายครั้ง แต่ทุกครั้งกลับต้องกลืนคำพูดลงไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงที่หมายแล้ว อาเหลียนถึงเอ่ยว่า “ซ่างเสินทำเพื่อข้ามากพอแล้ว หากเพราะเรื่องของข้าทำซ่างเสินกับเซียวไป๋ซ่างเสินต้องผิดใจกัน อย่างนั้นข้าก็ยินยอมรับความผิดนั้นเจ้าค่ะ”
หรงหลินไม่ใช่คนประเภทที่จะพานโกรธใครตามอำเภอใจ ต่อให้โกรธเพียงใดก็ไม่มีทางตีหน้ายักษ์หน้ามารใส่อาเหลียน เขาหรือจะมองไม่เห็นว่าระหว่างทางภูตปลาน้อยตนนี้ทำท่าจะพูดตั้งหลายครั้ง
เขาหลับตาลง นึกถึงเมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าเซียวไป๋ ตนเสียกิริยาไปจริงๆ เขารู้นิสัยของอีกฝ่ายดียิ่งกว่าใคร นอกจากเซียวจ่าวแล้ว เซียวไป๋หรือจะสนใจว่าคนอื่นจะเป็นหรือตาย
เขาก้มหน้ามองแม่นางน้อยตรงหน้า
เซียวจ่าวไร้พ่อขาดแม่ มีชีวิตอยู่ได้โดยการพึ่งพิงเซียวไป๋ตั้งแต่ยังเล็ก ภูตปลาน้อยตนนี้ก็ไร้ญาติขาดมิตรเช่นเดียวกัน ไม่มีเหตุผลเลยหากชีวิตของนางจะเทียบกับเซียวจ่าวไม่ได้
หรงหลินเอ่ย “ในเมื่อข้าข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็จะต้องข้องเกี่ยวจนถึงที่สุด เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะคืนความเป็นธรรมให้เจ้าเอง”
อาเหลียนเอ่ย “ข้าทำซ่างเสินต้องลำบากแล้ว”
เป็นปลาจู่ๆ กลับต้องเจอเรื่องแบบนี้ ชั่วขณะหนึ่งหรงหลินพลันรู้สึกเกลียดเจ้าฉวีจู๋นั่นอย่างที่สุด…ยามมีชีวิตอยู่ทำตัวเกกมะเหรกเดเรไปทั่วก็แล้วไปเถิด ยามนี้ตายแล้วยังสร้างเรื่องลำบากให้คนอื่นอีก
เมื่อคิดได้ หรงหลินก็เอ่ยเสริมว่า “เจ้าอายุยังน้อย บนโลกนี้มีเรื่องยั่วเย้าอยู่มาก บางครั้งก็ยากที่จะควบคุมตนเอง วันหน้าวันหลังหากพบเจอบุรุษจำพวกฉวีจู๋นี้อีกหลบให้ไกลได้เท่าไรยิ่งดี อย่าได้หลงคารมเพียงเพราะเขาจะสร้างบ่อปลาให้เจ้า”
ปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าวันหน้านางจะปฏิเสธเป็นครั้งที่สองหรือไม่ นางหน้าตางดงาม วันหลังคงมีคนเกี้ยวพาไม่น้อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นปลาที่มาจากสถานที่รกร้างห่างไกล ไม่เคยพบเจอโลก หากไม่ทันระวังก็อาจติดนิสัยไม่ดี ยึดติดกับชื่อเสียงจอมปลอม
หรงหลินไม่วางใจจึงสำทับ สีหน้าจริงจัง “หากจะเอาอย่างก็เอาแต่สิ่งดีๆ ของผู้อื่น อายุยังน้อย อย่าเอาอย่างคนที่หลงใหลวัตถุ”
[1] มักใช้กับเด็ก หมายถึง หากเด็กไม่ถูกทำโทษบ้าง ต่อไปคงซนจนจัดการไม่ได้
[2] พลังในการสืบพันธุ์ของเพศชาย หรือพลังที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
[3] หรือเทพประจำดาวฝ่ายใต้ เป็นเทพผู้ดูแลการเกิดและการมีชีวิต
[4] หยวนจวินเป็นคำเรียกสตรีที่กลายเป็นเซียนในเชิงยกย่อง
[5] หมายถึง อาศัยความใกล้ชิด เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ก่อน