鱼香四溢
ปลาน้อยของท่านเทพ
抹茶曲奇 หมั่วฉาฉวี่ฉี เขียน
สี่เมษา แปล
— โปรย —
อาเหลียนเป็นปลาฮวาเหลียนตัวน้อยธรรมดาๆ
ที่มีตบะบำเพ็บเพียงสามร้อยปี นางมีความปรารถนาหนึ่ง
ชีวิตนี้นางปรารถนาที่จะเป็นอาหารจานหลักของหรงหลิน
เทพสงครามผู้สูงส่ง รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ซึ่งครองตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาสามหมื่นปี
อาเหลียนพยายามฝึกเซียนเพื่อให้ได้ใกล้ชิปดเขา
และขุนตนเองให้อวบขาว กระทั่งในที่สุดก็สามารถนำไปปรุงอาหารได้แล้ว
อาเหลียน “ซ่างเสิน ท่านชอบปลาน้ำแดงหรือปลานึ่งเจ้าคะ”
หรงหลิน “…ข้าเป็นมังสวิรัติ”
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
3
ปลาโง่ตัวหนึ่งที่นิสัยเสีย (2)
เมื่อหงเฉียวเซียนจื่อเข้ามาก็เห็นภูตปลาน้อยที่คอเอียงกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดให้ฝูจู๋ขยับคอให้ตรง อาจเป็นเพราะเจ็บมากเกินไป ในดวงตาประกายน้ำสุกใสจึงมีชั้นน้ำเอ่อคลอบางๆ นางงามมากจริงๆ ทั้งยังอ่อนเยาว์กว่าตนมาก ขนาดตนมองอยู่ยังอดรู้สึกสงสารไม่ได้
ด้านฝูจู๋จิตใจว้าวุ่นไม่เป็นสุข เมื่อคิดว่าศิษย์น้องอยู่กับเจ้าหรงหลินนั่นสองต่อสองอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ไหนเลยจะยังมีแก่ใจรักษาพยาบาลเจ้าปลาหัวโตตัวนี้
ยามนี้เห็นศิษย์น้องเข้ามาหาเขา สีหน้าของฝูจู๋ฉายแววยินดีทันใด รีบรวบรวมสมาธิ จับลำคอของภูตปลาน้อย ออกแรงเพียงเบาๆ ก็ได้ยินเสียงกร๊อบดังขึ้น กระดูกที่อยู่ผิดที่ผิดทางก็กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม
ชื่อเสียงหมอเทวดาของฝูจู๋ไม่ใช่ของปลอม อาเหลียนบิดคอตนเองไปมาอย่างมีความสุข เมื่อไม่รู้สึกเจ็บแล้วจริงๆ ก็รีบขอบคุณ “ขอบคุณท่านหมอเทวดามากเจ้าค่ะ”
ฝูจู๋หรือจะมีแก่ใจสนใจนาง แต่เพราะอยากเป็นคนใจดีมากเมตตาต่อหน้าศิษย์น้อง จึงกำชับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขัดกับนิสัยตนเอง ทำให้เห็นภูตปลาน้อยจ้องตนตาใส สีหน้าชื่นชม ตั้งใจฟังมากเป็นพิเศษ
เวลานี้หงเฉียวเซียนจื่อสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยกับฝูจู๋ว่า “ศิษย์พี่ ข้ามีเรื่องจะกล่าวกับภูตปลาน้อยตนนี้สักหน่อย ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
หรงหลินเฝ้ารออยู่ด้านนอกเนิ่นนาน จากเดิมที่นั่งนิ่ง ภายหลังก็เริ่มนั่งไม่ติดจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมา
กระทั่งฝูจู๋ออกมาแล้ว แต่ภูตปลาน้อยตนนั้นก็ยังไม่ออกมา เขาจึงได้แต่อดทนรอต่อไปอีกครู่หนึ่ง
พอนางออกมา หรงหลินก้าวเข้าไปหา “ดีขึ้นหรือยัง ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
อาเหลียนเงยหน้ามองเขา ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ดีขึ้นทันตาเห็นเลยเจ้าค่ะ ท่านหมอเทวดาฝูจู๋เก่งจริงๆ”
“…อ้อ” ได้ยินประโยคหลัง แววยินดีในดวงตาของหรงหลินก็จางลง จากนั้นบอกลาฝูจู๋ เตรียมพาภูตปลาน้อยกลับ
แต่เห็นหงเฉียวเซียนจื่อที่ก่อนหน้านี้ยังพยายามพูดคุยกับเขาอย่างกระตือรือร้น มองเขาทั้งใบหน้าแดงก่ำ ทำท่าจะพูดบางอย่าง แต่ก็คล้ายว่าลำบากใจที่จะพูด
หรงหลินขมวดคิ้ว พาภูตปลาน้อยกลับพร้อมกับความสงสัย
ขึ้นมาเหยียบบนเมฆ ซ่างเสินผู้ผุดผ่องเป็นที่สุดถามภูตปลาน้อยตรงหน้าด้วยความกังขาเต็มทรวงว่า “เมื่อครู่หงเฉียวเซียนจื่อพูดอะไรกับเจ้า”
อาเหลียนตอบตามตรงว่า “ไม่มีอะไรนี่เจ้าคะ เซียนจื่อเพียงถามว่าคอของข้าเคล็ดได้อย่างไรเท่านั้น”
“อ้อ” หรงหลินเอ่ย ไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม
อาเหลียนหันมาสบตาหรงหลิน “ข้าแค่ตอบไปตามตรง…ว่าถูกขาของซ่างเสินหนีบ”
วันถัดมาเป็นวิชาของชงซวีจุนเจ่อ ชงซวีจุนเจ่อที่ขึ้นชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุด เมื่อเห็นอาเหลียนเจ้าปลาหัวโตที่ไม่มีคนหนุนหลัง ไม่เพียงวิชาเวทไม่เก่งกาจยังกล้ามาสาย จึงไล่นางออกไปโดยพลัน ทั้งยังลงโทษให้นางยืนเทินตำราไว้บนหัวอยู่ตรงระเบียงที่มีผู้คนเดินผ่านไปมา
เดิมอาเหลียนว่าง่ายและอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่นางเจอเรื่องแบบนี้ กระทั่งวิชาเรียนของชงซวีจุนเจ่อจบลงแล้ว เถียนหลัวพยุงนางเข้ามา บีบแขนนวขาที่อ่อนล้าให้นาง และถามอย่างเป็นห่วงว่า “เมื่อยหรือไม่”
อาเหลียนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
เถียนหลัวส่งน้ำให้ มองนางดื่มอึกๆ อย่างเร่งร้อน คงจะกระหายน่าดู
ก็ยืนตั้งสองชั่วยามเต็มนี่นะ
เถียนหลัวถามว่า “เมื่อคืนวานเจ้าไปที่ใดมา ไฉนถึงเพิ่งกลับมาเช้าวันนี้”
สองมือของอาเหลียนกุมถ้วยน้ำไว้ เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หลังกลับมาจากตำหนักผูถี ซ่างเสินก็พานางมาส่งที่จิ่วเซียวเก๋อ คราแรกก็ดีๆ อยู่หรอก ทว่าพอนางตอบคำถามของซ่างเสินเรื่องที่นางและหงเฉียวเซียนจื่อคุยกันก่อนหน้านั้น สีหน้าของเขาพลันทะมึน แล้วโยนนางลงมาจากก้อนเมฆโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ ทำให้นางตกลงไปในแม่น้ำบริเวณใกล้เคียง
นางไม่คุ้นชินกับพื้นที่แถบนั้น เดิมก็สับสนมึนงง จึงได้แต่ว่ายตามน้ำไปเรื่อยๆ ว่ายอยู่นานกว่าจะกลับมายังจิ่วเซียวเก๋อ
แน่นอนว่าเมื่อกลับมาถึงก็สายป่านนี้แล้ว
เถียนหลัวตื่นเต้นผิดปกติ ถามซ้ำโดยพยายามบังคับเสียงให้เบาลง “เจ้า…เจ้ากับซ่างเสินนอนค้างอ้างแรมกันแล้วหรือ”
แม้อาเหลียนจะเป็นแค่ปลาตัวหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจอะไรเลย ทันใดนั้นสองแก้มพลันแดงปลั่ง หลุบตาลง ส่ายหน้านิดๆ
เถียนหลัวรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง นึกถึงใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายสูงใหญ่ ช่วงขายาวเต็มไปด้วยพละกำลังของซ่างเสินแล้วจับมือสหายแน่น เอ่ยให้กำลังใจว่า “หอคอยใกล้น้ำย่อมได้ยลแสงจันทราก่อน เจ้าเข้าใกล้ซ่างเสินได้ ต้องรีบคว้าโอกาสไว้ให้ดี พยายามกระโจนใส่เขาให้เร็วที่สุด…” นางขยิบตาเอ่ยย้ำอีกครั้ง “จงเป็นปลาที่ทะเยอทะยาน มุ่งไปข้างหน้า! เผชิญหน้ากับเขา!”
อาเหลียนฟังแล้วหน้าแดงก่ำ รีบเอ่ยว่า “ข้าเพียงอยากเป็นปลาของซ่างเสิน ไหนเลยจะกล้าทำให้ซ่างเสินแปดเปื้อน เถียนหลัว เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล”
เถียนหลัวปากไวไปสักหน่อย รู้สึกว่าสหายของตนหน้าตางดงามอ่อนเยาว์ รูปร่างสะโอดสะอง แต่กลับมีปณิธานแค่นี้ ก็อดเสียดายไม่ได้อยู่บ้าง
แม้กล่าวว่าเมื่อคืนอาเหลียนทำซ่างเสินไม่พอใจ แต่คำที่ได้ตกลงกันไว้ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เขายังจำเรื่องที่รับปากนางก่อนหน้านั้นได้ขึ้นใจ
อาเหลียนปฏิเสธความปรารถนาดีของไป๋สวิน หลังเลิกเรียนแล้วไปหอหมิงเย่ว์
เมิ่งจี๋เซียนเหริน[1] เถ้าแก่ของหอหมิงเย่ว์เป็นคนสัมภาษณ์นางด้วยตนเอง เขามองประเมินนางครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเรียบเรื่อยว่า “หน้างาม รูปร่างไม่เลว มาตรฐานของหอหมิงเย่ว์เราค่อนข้างสูง เกือบห้าปีมานี้ไม่คิดที่จะหาคนเพิ่ม แต่…เจ้าเป็นคนที่ซ่างเสินแนะนำด้วยตนเอง ข้าจะยอมแหกกฎรับเจ้าไว้ก็แล้วกัน”
นี่ก็เป็นข้อดีของการมีผู้หนุนหลัง สร้างสัมพันธ์กับซ่างเสินแล้วก็ต้องคุ้นเคยกับการใช้เส้นสาย
อาเหลียนตื้นตันใจ เอ่ยว่า “ขอบคุณเซียนเหรินมากเจ้าค่ะ อาเหลียนจะขยัน ไม่ทำให้เซียนเหรินผิดหวัง”
หรงหลินที่อยู่ในตำหนักเซียวเหยาไกลออกไปในสวรรค์ชั้นฟ้า ทอดมองภาพมายาที่สะท้อนบนผิวทะเลสาบ เห็นภูตปลาน้อยตนนั้นยืนเทินตำราหนักอึ้งไว้บนหัวที่ระเบียงทางเดิน เหงื่อเม็ดบางไหลริน ใบหน้าแดงก่ำ
ความเกรี้ยวโกรธที่เดิมอัดแน่นเต็มอกพลันเลือนหายจนสิ้น
ทำโทษด้วยการทารุณร่างกายศิษย์…
ดูท่าชงซวีผู้นี้คงไม่อยากได้ของกำนัลตอนสิ้นปีแล้วสินะ
หรงหลินเดินกลับเข้าตำหนัก เลิกชายภูษาขึ้นก่อนทรุดกายนั่งลง มองหงส์แกะสลักราวกับมีชีวิตที่วางอยู่ข้างๆ ดวงหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ปรากฎความกังวลอย่างยากที่จะเห็น เดิมเพราะใจดีมากเมตตา เขาจึงช่วยภูตปลาน้อยตนนี้ไว้หลายครั้งหลายครา แม้กระทั่งลดตัวลงไปชี้แนะนางด้วยตนเอง
ทั้งๆ ที่เขารู้ว่านางคิดไม่ซื่อกับเขา…
นี่ก็คือความน่ารำคาญของการมีเสน่ห์มากเกินไป หลายหมื่นปีมานี้หรงหลินมิกล้าสนิทสนมกับเซียนนางใดมากเกินไปก็เพราะเหตุนี้
เมื่อคืนถึงภูตปลาน้อยนั่นจะตีหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว ทว่าในใจของนางคิดเช่นไร ไหนเลยเขาจะมองไม่ออก
ตบะบำเพ็ญแค่สามร้อยปี อยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ได้มากมายอะไร
นางที่หลงใหลเขาเช่นนี้ย่อมมองหัวใจรักและชื่นชมของหงเฉียวเซียนจื่อที่มีต่อเขาออก เมื่อหงเฉียวเซียนจื่อยืนเคียงคู่กับเขา แน่นอนว่าย่อมเหมาะสมคู่ควรกว่าพวกเขาทั้งสองมากนัก นางคงรู้สึกริษยา ถึงได้กล่าวถ้อยคำคลุมเครือเช่นนั้น เพื่อให้เซียนจื่อแคลงใจในตัวเขา
เขาครองตนผุดผ่องมาดี จะต้องแปดเปื้อนเพราะนางได้อย่างไร
ด้วยอารามโกรธ เขาจึงโยนภูตปลาน้อยลงแม่น้ำใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
ตอนนั้นในใจเขาอับอายจนพานโกรธ จึงไม่อยากเห็นนางอีก แต่พอตรองดูอีกทีว่าภูตปลาน้อยนั่นไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แถบนั้น จึงได้แต่หวนกลับมาอีกครั้ง พอเห็นนางว่ายน้ำกลับจิ่วเซียวเก๋อกับตาตนเอง เขาถึงได้วางใจ
หรงหลินครุ่นคิด ภูตปลาน้อยตนนี้อายุยังน้อย แต่กลับรักเขาลึกซึ้งเสียแล้ว แม้เขาจะทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าเรื่องของความรู้สึกนี้แต่ไหนแต่ไรก็มิอาจบังคับใจกันได้ รอให้การประลองระหว่างศิษย์ใหม่ของจิ่วเซียวเก๋อจบลง ภูตปลาน้อยตนนี้ก็จะไม่มีข้ออ้างมาตามตอแยเขาอีก…ถึงเวลานั้นเขาจะออกไปท่องเที่ยวยังโลกภายนอกสักสองสามร้อยปี ก็คงพอจะทำให้ภูตปลาน้อยตนนี้ตัดใจได้กระมัง
หรงหลินคิดเช่นนี้แล้วก็ถอนหายใจ ในเมื่อเขาตัดสินใจดีแล้ว เช่นนั้นเรื่องที่ภูตปลาน้อยหมิ่นเกียรติและทำให้ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของเขาต้องเสื่อมเสียครานี้ เขาจะเห็นแก่ที่นางอายุยังน้อยให้อภัยนางสักครั้งก็แล้วกัน ถึงอย่างไรเรื่องระหว่างเขากับหงเฉียวเซียนจื่อก็ไม่มีทางเป็นได้ ทำให้เซียนจื่อเข้าใจผิดว่าเขามีอะไรกับภูตปลาน้อย บางทีเซียนจื่ออาจตระหนักรู้ได้เร็วขึ้น แล้วหันไปหาคู่ครองที่เหมาะสมกับนาง
ถือว่าเป็นการสั่งสมบุญ ทำเรื่องดีๆ อีกเรื่องก็แล้วกัน
หรงหลินพลันคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นออก อารมณ์ดีขึ้นมาก
ยามที่เซียวไป๋เข้ามาก็เห็นหรงหลินมีความสุขยิ่งนัก จึงนัดเขาไปกินอาหารร่ำสุราด้วยกัน
คราวก่อนเรื่องที่อาเหลียนเข้าสำนักโยวซือ หรงหลินกับเซียวไป๋แยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์นัก ยามนี้เมื่อเห็นเซียวไป๋แสดงไมตรีก่อนอย่างที่หาได้ยาก หรงหลินจึงไม่วางท่าอีก
เซียวไป๋เอ่ย “เรื่องวันนั้นเป็นข้าที่เพิกเฉยเกินไป ข้าไม่รู้ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับภูตปลาน้อยถึงเพียงนั้น” เขาตวัดตานัยน์ตาหงส์เจือยิ้มมองหรงหลิน
หรงหลินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนพูดราบเรียบว่า “ถึงจะเป็นดอกไม้ใบหญ้าอื่นๆ ข้าก็ปฏิบัติอย่างนี้เช่นกัน”
เซียวไป๋ไม่กล่าวอีก
ซ่างเสินทั้งสองมาเยือนยังหอหมิงเย่ว์ โรงเตี๊ยมที่เดิมงดงามโอ่อ่ายิ่งเจิดจรัส เมิ่งจี๋เซียนเหรินผู้เป็นเถ้าแก่รู้ข่าวก็รีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เมื่อเห็นซ่างเสินทั้งสอง ก็เข้าไปต้อนรับด้วยความสุภาพ
เมิ่งจี๋เซียนเหรินเดินนำทั้งสองท่านอยู่ด้านหน้า
อารมณ์ของหรงหลินไม่เลวนัก จนกระทั่งเห็นภูตปลาน้อยที่สวมชุดเปิดเผยเนื้อหนังยืนอยู่นอกโรงเตี๊ยม เขาพลันชะงักค้าง
ปกติภูตปลาน้อยตนนี้ก็แต่งกายเรียบร้อยน่ามอง ไฉนวันนี้นางถึงสวมชุดกระโปรงอย่างนี้
ชุดกระโปรงตัวนั้นแนบเนื้อมาก แม้กล่าวว่าด้านบนคลุมกายอย่างมิดชิด แต่พอเป็นเช่นนี้กลับยิ่งขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของนางให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น…
ยามนี้นางยืนหันข้าง จากมุมที่เขายืนอยู่จะเห็นชายกระโปรงของนางแหวกสูง เผยให้เห็นต้นขาขาวนวลและน่องเรียวเล็ก
หรงหลินสะดุดเล็กน้อย เขาแค่โยนนางลงแม่น้ำเท่านั้น นางถึงกับปล่อยเนื้อปล่อยตัว มายืนอวดโฉมยั่วยวนอยู่ที่นี่เชียวหรือ
เมิ่งจี๋เซียนเหรินมองตามสายตาของหรงหลิน แล้วหยุดที่ร่างงามที่ยืนรับแขกอยู่ด้านนอก แม้ไม่ได้เพิ่งเห็นเรือนร่างของแม่นางน้อยนางนี้เป็นครั้งแรก ทว่ายามนี้เมื่อมองแล้วก็ยังยากที่จะเลื่อนสายตากลับมาได้เช่นกัน
เมิ่งจี๋เซียนเหรินยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “คุณสมบัติของภูตปลาที่ซ่างเสินแนะนำตนนี้ไม่เลวเลยขอรับ วันนี้หลังจากนางยืนรับแขกด้านนอก ลูกค้าของโรงเตี๊ยมเราก็มากกว่ายามปกติถึงสองเท่า…” พูดไปก็ชูสองนิ้วด้วยความยินดี เมื่อเห็นซ่างเสินไม่กล่าวอะไร เมิ่งจี๋เซียนเหรินก็เอ่ยต่อว่า “…ข้าเตรียมจะจ่ายเงินให้เจ้าปลาหัวโตตนนี้ ปั้นนางให้เป็นนักแสดงหลักของพวกเราขอรับ”
ถึงเมิ่งจี๋เซียนเหรินจะชอบใจ แต่ก็กลัวว่าซ่างเสินจะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า “หอหมิงเย่ว์ของพวกเราเป็นภัตตาคารจริงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่ซ่างเสินทั้งสองท่านก็คงจะรู้ว่าหลายปีมานี้การค้าขายในแดนสวรรค์ไม่ค่อยดีนัก กิจการอาหารและโรงสุรามีการแข่งขันกันอย่างหนัก เซียนผู้น้อยจนปัญญา หอหมิงเย่ว์เป็นร้านเก่าแก่อยู่มานานนับพันปี หากไม่พัฒนาตามยุคสมัย ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องปิดกิจการ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะดึงดูดลูกค้าได้ ร้านอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน อีกอย่าง เซียนผู้น้อยก็แค่ให้เจ้าปลาหัวโตยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ให้นางทำเรื่องอื่นอีก…”
เรื่องอื่นหรือ คิ้วหรงหลินพลันกระตุก เป็นสัญญาณแรกที่บอกถึงความกรุ่นโกรธ
แต่เมิ่งจี๋เซียนเหรินผู้นี้ยังคงจมอยู่ภวังค์ความคิดของตนเอง พูดเองเออเองว่า “แม้เจ้าปลาหัวโตตัวนี้จะขาวงาม อกใหญ่เอวบาง เรียวขาขาวนวลเนียนมาก ทว่ากลับไม่มีฝีมือทางด้านอื่น เป็นได้เพียงแจกันประดับดอกไม้ แจกันนี้ใช้งานแค่ชั่วครู่ชั่วยามยังพอไหว แต่หากนานเข้า ทุกคนคงหมดความสุนทรีย์เป็นแน่ ใช้หน้าตาหาอาหารดำรงชีพอย่างเดียวก็มิอาจมีกินไปชั่วชีวิต เพราะฉะนั้นวันหน้าข้าจะส่งนางไปร้องเล่นร่ายรำกับปี้หยวนเซียนจื่อ จะได้ครบเครื่อง”
หรงหลินหงุดหงิด ก้าวฉับๆ เข้าหอหมิงเย่ว์ เดิมคิดจะตำหนิ แต่พอเห็นท่าทางของภูตปลาน้อยที่ทำเป็นไม่รู้จักเขา เอาแต่ค้อมเอวด้วยความเคารพนบนอบ ทักทายด้วยความสุภาพ
โทสะของเขายิ่งลุกโชน
อาเหลียนไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น นางย่อมรู้สึกยินดีที่ได้พบซ่างเสิน ทว่ายามนี้หอหมิงเย่ว์มีคนมากมายถึงเพียงนี้ นางเป็นเพียงพนักงานต้อนรับ ไหนเลยจะกล้าแสดงตัวว่ารู้จักกับซ่างเสิน ยามที่ซ่างเสินช่วยนางออกมาจากสำนักโยวซือก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขารู้จักกัน ครั้งนี้นางจึงแสร้งไม่รู้จักซ่างเสิน จะได้ไม่สร้างปัญหาให้ซ่างเสิน
เมิ่งจี๋เซียนเหรินรีบเอ่ย “เสี่ยวเหลียน เจ้ายืนนิ่งอยู่ไย รีบพาซ่างเสินทั้งสองขึ้นชั้นบนสิ”
อาเหลียนตอบ “เจ้าค่ะ” ใบหน้าแย้มยิ้มราวบุปผา แล้วเดินนำซ่างเสินทั้งสองขึ้นชั้นบน
หรงหลินเดินตามหลังนาง ระหว่างที่นางเดิน ต้นขาทั้งสองโผล่ออกมาให้เห็นวับๆ แวมๆ ยักย้ายส่ายไปมาตรงหน้าของเขา นี่ทำให้เขารู้สึกฉุนอยู่บ้าง
หรงหลินใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนลังเลเล็กน้อย
หากเขาแสดงออกว่าไม่พอใจ สั่งให้ภูตปลาน้อยไปเปลี่ยนกระโปรงที่น่าอายตัวนี้ออก เช่นนั้นนางจะได้ใจไม่ใช่หรือ ที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อพิสูจน์ว่าเขาสนใจนางบ้างหรือไม่ หากไม่สนใจ จะใส่ใจไปไยว่านางจะสวมชุดอะไร
หากกล่าวด้วยเหตุผลแล้ว เขาควรแสร้งมองไม่เห็น และนางก็คงจะยอมแพ้ไปเอง…
ทว่า…
หรงหลินสูดหายใจเข้าลึก ขบคิดอีกครา หากเขาทำอย่างนี้ แล้วภูตปลาน้อยตนนี้เกิดปล่อยตัวจริงๆ เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรดีเล่า
ขณะครุ่นคิด ภูตปลาน้อยก็นำพวกเขามาถึงห้องรับรอง ก่อนจากไปอย่างรวดเร็วราวกับผีเสื้อโผบิน
หรงหลินทรุดกายลงนั่ง ข้างกายคล้ายยังหลงเหลือกลิ่นหอมกรุ่น กระทั่งลองสูดหายใจดีๆ คิ้วที่ขมวดมุ่นก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเดิม
เครื่องหอมด้อยคุณภาพอะไรกันนี่ กลิ่นคาวปลาจางๆ แต่เดิมยังน่าพิสมัยมากกว่า
สักพักอาหารเลิศรสและสุราชั้นดีก็ขึ้นโต๊ะ หรงหลินไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย ขณะที่เซียวไป๋ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมีท่าทางสำราญอย่างหาได้ยาก เซียวไป๋รินสุราด้วยท่วงท่าสบายๆ เอ่ยกับหรงหลินว่า “สุรานี่ไม่เลวเลย”
เซียวไป๋ไม่มีงานอดิเรกใดเป็นพิเศษ ทว่ากลับชื่นชอบเจ้าสิ่งที่อยู่ในจอกมาก จนใจที่บุคคลบนเกาะเซียนเคยเห็นสภาพเขาที่เมาหัวราน้ำไม่เป็นผู้เป็นคนมาแล้ว จึงไม่ชอบให้เขาดื่มสุรา เขาที่ตามใจนางทุกเรื่อง จึงมิกล้าดื่มต่อหน้านางมากนัก
เซียวไป๋กล่าวเสริมว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงภูตปลาน้อยตนนั้น ก็เรียกนางเข้ามาสิ ไม่เห็นต้องทำหน้าบูดอยู่อย่างนี้”
หรงหลินไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความไม่พอใจให้ผู้อื่นเห็น อีกอย่าง น้อยครั้งนักที่เขาจะหงุดหงิด ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะมีอารมณ์เฉยชา กระทำแต่สิ่งดีๆ มาโดยตลอด ซ่างเสินที่วางตนสูงส่ง จิตใจผ่องใส ไม่หวั่นไหวกับเรื่องใดๆ ในโลกใบนี้จะเคยสัมผัสกับอารมณ์หงุดหงิดกังวลใจของปุถุชนได้อย่างไร
หรงหลินยกจอกสุราขึ้นจิบ “ตัวนางเองไม่รักดี ข้าสนใจนางครั้งเดียว ใช่ว่าจะต้องสนใจตลอดไป”
เซียวไป๋ไม่พูด ยังคงกระตุกมุมปากยิ้มอยู่อย่างนั้น
หรงหลินลิ้มรสสุราดีหวังให้อารมณ์ตนสงบลง จนใจที่ยิ่งดื่มยิ่งหงุดหงิด เขาวางจอกสุราในมือลง ใช้เคล็ดวิชาพันหลี่เพราะอยากเห็นว่าตอนนี้นางทำท่าทางแบบใด
ปรากฏว่าด้านนอกหอหมิงเย่ว์ไร้เงาร่างของนางแล้ว
มองสำรวจเงียบๆ เห็นภูตปลาน้อยตนนั้นอยู่ในห้องรับรองห้องหนึ่ง มือน้อยๆ ของนางถูกบุรุษชุดสีม่วงเกาะกุมอยู่…
หรงหลินลุกพรวดทันใด
ยามที่เมิ่งจี๋เซียนเหรินมาถึงนั้น ภายในห้องรับรองก็เละเทะหมดแล้ว
เขารีบเข้าไปพยุงบุรุษชุดสีม่วงที่ล้มอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมา ก่อนละล่ำละลักขออภัย
สองมือที่ได้รับบาดเจ็บของบุรุษชุดสีม่วงสั่นระริก สายตาเดือดดาลจ้องบุรุษตรงหน้าและภูตปลาน้อยที่อยู่ด้านหลังของเขา เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็น “ได้ยินมานานแล้วว่าหรงหลินซ่างเสินสง่างามไม่มีผู้ใดเทียบเทียม จิตใจโอบอ้อมอารี นึกไม่ถึงว่าจะมีเวลาว่างถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นก็ยังสอดมือมายุ่งได้”
อาเหลียนสับสนมึนงงเล็กน้อย หัวใจเต้นกระหน่ำตึ้กตั้กๆ ไม่หยุด นางยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อของซ่างเสินที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ กระซิบว่า “ซ่างเสิน เมิ่งจี๋เซียนเหรินบอกว่าท่านผู้นี้ก็คือหลงเสียเซียนจวินเจ้าค่ะ…” นางสำทับว่า “หลงเสียเซียนจวินเป็นเซียนผู้ร่ำรวยที่มีชื่อเสียง ก่อนหน้านี้ยังเคยสร้างหอตำราให้จิ่วเซียวเก๋อของพวกเรา ท่านอย่าถือสาหาความกับเขาเลยนะเจ้าคะ”
หรงหลินตวัดตามองนางเล็กน้อย
สายตาของซ่างเสินไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความอ่อนโยน อาเหลียนเห็นแล้วรู้สึกตื่นกลัวอยู่บ้าง รีบเอ่ยกระอึกกระอักว่า “ข้าเกรงว่า…ข้าเกรงว่าซ่างเสินจะเกิดปัญหา”
หรงหลินไม่ได้เหลือบแลหลงเสียเซียนจวิน เขาจ้องเมิ่งจี๋เซียนเหริน เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ทั้งที่เจ้ารู้ว่านางเป็นปลาของข้า แต่ยังกล้าให้นางทำเรื่องเช่นนี้”
เมิ่งจี๋เซียนเหรินสีหน้าแข็งค้าง เหม่อมองภูตปลาน้อยข้างกายซ่างเสิน
อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ที่พบเจอโลกกว้างมาก่อน เพียงไม่นานก็ได้สติกลับคืนมา พลันตื่นตกใจจนเหงื่อชุ่มกาย
หรงหลินเอ่ยกับหลงเสียเซียนจวินว่า “หากครั้งหน้าเจ้ายังกล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าว่ามือคู่นี้ของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้!”
เขาพาภูตปลาน้อยข้างกายออกจากห้องรับรอง ทิ้งให้เมิ่งจี๋เซียนเหรินกับหลงเสียเซียนจวินมองหน้ากันไปมา
ด้านนอกดวงเดือนลอยเด่นกลางนภา เวลาล่วงผ่านไปไม่น้อยแล้ว
หรงหลินบีบมือคนข้างกายด้วยความหงุดหงิด ตลอดทางสีหน้าเขาดำคล้ำ ไม่กล่าวแม้แต่คำเดียว
ส่นอาเหลียนน่ะหรือ นางได้แต่จ้องตาปริบๆ ลอบสังเกตท่าทีของเขาด้วยความระมัดระวัง ต่อให้โง่งมมากเพียงใดก็ยังมองออกว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี นางจึงได้แต่กัดริมฝีปากเป็นพักๆ ด้วยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงได้ยินซ่างเสินเอ่ยว่า “ยังอยากกลับไปหรือ”
หือ
อาเหลียนได้สติกลับมา รีบส่ายหน้าเอ่ยว่าไม่ จากนั้นยังเอ่ยช้าๆ อีกว่า “ความจริง…ความจริงแล้วข้าก็ไม่ชอบทำแบบนั้นเจ้าค่ะ” นางเป็นปลาหัวโบราณตัวหนึ่ง นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางสวมชุดเปิดเปลือยเช่นนี้
หรงหลินก้มหน้ามองนาง “ไม่ชอบก็ยังทำ”
อาเหลียนพองแก้ม “ข้าติดเงินซ่างเสินมากเกินไปแล้ว อยากรีบใช้คืนให้เร็วสักหน่อย…”
หรงหลินครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เงินก้อนนี้ถือเสียว่าข้าลงขันกับเจ้า วันหลังค่อยๆ คืนก็ได้”
อาเหลียนยังลังเลอยู่บ้าง “หาก…หากข้าไม่ผ่านการประลองครั้งนี้จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ถึงเวลานั้นนางก็มิอาจอยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อได้แล้ว
หรงหลินได้ยินพลันชะงักฝีเท้า มองนางเงียบๆ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของนางก็ยกมือขึ้นลูบใบหน้านาง ใช้แขนเสื้อเช็ดเครื่องประทินโฉมบนหน้านางออกเบาๆ
เครื่องประทินโฉมพวกนี้ทาไว้หนาเกินไป ถึงใบหน้าจะน่ามองกว่านี้ แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นหน้าแมวลายอยู่ดี หรงหลินกลับรู้สึกว่าแบบนี้ยังดูสบายตามากกว่า “ดังนั้นหลายวันนี้เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนวิชาเวท อย่าออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอก พอถึงเวลานั้นเจ้าก็สามารถอยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อต่อได้ หากยังต้องการชดใช้เงิน ข้าจะหางานอื่นให้เจ้าทำ”
อาเหลียนพยักหน้าหนักๆ ยินดีปรีดา “คืนนี้ดวงเดือนงามยิ่งนัก พวกเราประลองว่ายน้ำกันอีกครั้งเป็นอย่างไรเจ้าคะ” ไม่เห็นซ่างเสินตอบ นางกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “ครั้งนี้ข้าจะต้องยอมให้ซ่างเสินแน่”
หรงหลินชักมือกลับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใครอยากให้เจ้ายอมให้กัน”
เขาสาวเท้าไปข้างหน้า เสื้อผ้าพลิ้วสะบัด ราวกับว่าอาจหายเข้ากลีบเมฆได้ตลอดเวลา
เงาร่างเล็กบางที่รั้งอยู่ด้านหลัง กระโดดเริงร่าไล่ตามจนทัน ดึงชายแขนเสื้อเขาเอ่ยว่า “ไปนะๆ”
“ไม่ไป”
“ทำไมเล่า”
“ไม่อยากไป”
“ซ่างเสินกลัวว่าจะแพ้ข้าอีกครั้งใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“…หากเจ้าแพ้ ข้าจะจับเจ้ามาทำต้มหัวปลา”
“ดีสิเจ้าคะ ดีสิ”
“…”
ในเมื่อซ่างเสินกล่าวแล้วว่าเงินที่ติดค้างสามารถผัดผ่อนไปก่อนได้ อาเหลียนจึงเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อต้อนรับการประลองระหว่างศิษย์ใหม่ที่กำลังจะมาถึง หนึ่งเดือนมานี้ ซ่างเสินชี้แนะนางค่อนข้างมาก แม้พัฒนาไปได้ไม่น้อยแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรพื้นฐานย่ำแย่ ดังนั้นเมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่นๆ ในจิ่วเซียวเก๋อ ก็ยังถือว่าห่างชั้นมากนัก
ก่อนหน้าวันประลอง หรงหลินไม่ได้ให้นางฝึกฝนซ้ำอีก เพียงว่ายน้ำกับนางผ่อนคลายอารมณ์ ทว่าอาเหลียนที่ปกติแล้วจะเจื้อยแจ้วตลอดเวลา คืนนี้กลับกังวลอยู่ลึกๆ เงียบขรึมพูดน้อยอย่างยากที่จะพบเห็น หรงหลินรู้ว่านางกดดันมาก จึงปลอบว่า “ไม่ต้องกังวลให้มากนัก หากไม่ผ่านจริงๆ ครั้งหน้าค่อยกลับมาอีกก็ยังได้”
อาเหลียนนับนิ้ว ก่อนชูสามนิ้ว กล่าวเสียงเบาว่า “นั่นก็ยังต้องรออีกสามร้อยปีเชียวนะเจ้าคะ”
หรงหลินพูดราบเรียบว่า “ก็แค่สามร้อยปี” สำหรับซ่างเสินที่มีชีวิตอยู่มาแล้วสามหมื่นปี เวลาสามร้อยปีนี้ถือเป็นช่วงเวลาแค่พริบตาเดียวจริงๆ ไม่หนักหนาอะไร
ทว่ากลับเห็นดวงตากลมโตรื้นน้ำของภูตปลาน้อยจ้องเขาเงียบๆ ปากกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ต้องห่างกันสามร้อยปี”
พวกเรา
หรงหลินชะงัก ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรดี เขาใช้คำว่า “พวกเรา” กับนางตั้งแต่เมื่อใด อีกอย่าง เดิมพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วจะใช้คำว่า “ห่างกัน” ได้อย่างไร ทว่าวันนี้หรงหลินห่วงความรู้สึกของนาง จึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมของนาง
อีกอย่าง…
หรงหลินมองหน้าของภูตปลาน้อยเงียบๆ ไม่ง่ายเลยที่ข้างกายเขาจะมีเจ้าตัวน้อยเจื้อยแจ้วโผล่มาสักตน หากจู่ๆ ก็หายไป บางทีเขาอาจไม่คุ้นชินอยู่บ้างจริงๆ
หรงหลินเอ่ย “ไม่ต้องคิดมาก ทำเต็มที่ก็พอแล้ว”
อาเหลียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ เพื่อซ่างเสิน ข้าจะพยายามเจ้าค่ะ!”
“…อือ” หรงหลินยกมุมปาก รู้สึกดีใจอยู่บ้าง แต่กลับไม่รู้ว่าดีใจเพราะเหตุใด
วันต่อมาเป็นวันการประลองของศิษย์ใหม่ เถียนหลัวรีบลากอาเหลียนออกไปตั้งแต่เช้าตรู่
อาเหลียนไม่เข้าใจ ถามว่า “นี่พวกเราจะไปที่ใด”
เถียนหลัวเอ่ย “เจ้ามากับข้าก็พอแล้ว”
อาเหลียนสีหน้างุนงง ตามเถียนหลัวไปยังสนามหญ้าหน้าโรงอาหาร เห็นศิษย์ใหม่รุ่นเดียวกับพวกนางจำนวนไม่น้อยยืนต่อแถวยาวเหยียด อาเหลียนยังไม่ทันเห็นหน้าแถวว่าเป็นอะไรก็ถูกเถียนหลัวลากมาต่อท้ายแถวแล้ว
เถียนหลัวหันมาเอ่ยกับนาง สีหน้าตื่นเต้น “ที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็คือศิษย์พี่หญิงจิ๋นหลี่[2] ศิษย์พี่หญิงจิ๋นหลี่เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลน้ำพวกเรา ทุกรอบการทดสอบมักได้อันดับหนึ่งเสมอ ศิษย์พี่จิ๋นหลี่ได้ครอบครองเกาะเซียนเพียงลำพัง ยากมากที่พวกเราจะมีโอกาสพบนาง อีกทั้งปีหน้านางก็จะข้ามประตูมังกร[3]แล้ว พอถึงตอนนั้นฐานะตำแหน่งก็จะไม่เหมือนเดิม วันนี้พวกเรามากอดนาง ซึมซับกลิ่นอายแห่งความยินดี หวังว่าการประลองวันนี้จะผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น”
อาเหลียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หลังกอดจิ๋นหลี่เพื่อรับไอมงคลแล้ว อาเหลียนและเถียนหลัวก็ไปยังลานประลอง
การประลองของศิษย์ใหม่ทั้งหมดจะแบ่งออกเป็นสองรอบ รอบหนึ่งเป็นการประลองบุ๋น อีกรอบหนึ่งเป็นการประลองบู๊
ผลการประลองจะแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ประกอบด้วย ระดับหนึ่ง ระดับสอง ระดับสาม และระดับสี่
หากชาติกำเนิดเป็นคนของแดนสวรรค์ ขอแค่ได้ระดับสามทั้งสองรอบก็จะเข้าศึกษาได้อย่างราบรื่น เป็นศิษย์ของจิ่วเซียวเก๋ออย่างเป็นทางการ
ทว่าทายาทของแดนสวรรค์ได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุดตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนใหญ่จะโดดเด่นกว่าศิษย์ที่มาจากภายนอกอยู่มาก เพราะฉะนั้นนอกจากพวกคนที่มาเรียนไปวันๆ แล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนไม่เห็นค่าของอภิสิทธิ์นี้
ทว่าสำหรับศิษย์จากภายนอกอย่างอาเหลียนและเถียนหลัว เงื่อนไขในการเข้าเรียนที่จิ่วเซียวเก๋อกลับสูงกว่าเล็กน้อย…การประลองสองรอบจะต้องได้ระดับสองหรือระดับสองขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติอยู่ต่อได้
ตบะบำเพ็ญของอาเหลียนค่อนข้างน้อย ทว่าการประลองบุ๋นนั้นกลับไม่ยากเกินไปสำหรับนาง เมื่อการประลองเสร็จสิ้น ก็ได้รับป้ายสีแดงที่เขียนว่า “ระดับหนึ่ง” จากชงซวีจุนเจ่อ นางกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านผู้สูงศักดิ์”
ชงซวีจุนเจ่อนั้นรู้สึกดูแคลนภูตน้อยอย่างอาเหลียน ทว่าเขาเป็นอาจารย์ ไหนเลยจะไม่คาดหวังให้ศิษย์ทุกคนของตนประสบความสำเร็จ จึงเอ่ยให้กำลังใจอย่างหาได้ยาก “อย่าเพิ่งได้ใจ แม้ผ่านการประลองบุ๋นแล้ว แต่ก็ยังบอกอะไรไม่ได้ การประลองบู๊ช่วงบ่ายถึงจะสำคัญที่สุด”
อาเหลียนพยักหน้ารับอย่างจริงจัง บ่งบอกว่าตนเข้าใจแล้ว
ระดับวิชาบุ๋นของเถียนหลัวไม่สูง ยามประลองบุ๋นนั้นนางกัดแท่งพู่กันแน่น สีหน้าหงุดหงิด กระทั่งส่งกระดาษข้อสอบแล้ว และได้รับป้ายสีเหลืองที่เขียนว่า “ระดับสอง” จากชงซวีจุนเจ่อ ก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาเอ่อขอบตา
ทั้งสองบังเอิญเจอเซียวจ่าวที่ออกมาตั้งนานแล้ว พอสอบถามก็เห็นในมือของเซียวจ่าวถือป้ายสีแดงไว้แผ่นหนึ่งเช่นกัน
ทั้งสองเคยเห็นวิชาเวทของเซียวจ่าวมาก่อน ยามนี้เมื่อเห็นว่านางผ่านการประลองบุ๋นได้อย่างราบรื่น เถียนหลัวก็เอ่ย “หากข้าเป็นเหมือนเจ้าก็ดีน่ะสิ”
เซียวจ่าวหรือจะกล้าบอกพวกนางว่าตนมีชีวิตอยู่มานานกว่าพวกนางหลายพันปี ถึงเวลานั้นพวกนางจะต้องเก่งกาจยิ่งกว่าตนแน่
การประลองบู๊ช่วงบ่ายดำเนินไปอย่างดุเดือด
การประลองบู๊ไม่เหมือนกับการประลองบุ๋น เพราะเป็นการลงสนามประลองอย่างจริงจัง บนที่นั่งมีสายตาของคนนับไม่ถ้วนจ้องมอง
ศิษย์ใหม่ทุกคนแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละสิบสองคน ประลองกันทีละคู่ ช่วงเวลานี้โชคชะตานับว่าสำคัญมาก
อย่างเช่นเถียนหลัว นางจับได้กลุ่มสิบ
ในบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ของกลุ่มสิบนั้นไม่มีผู้ใดโดดเด่นเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่เถียนหลัวรู้จัก อีกทั้งวิชาเวทก็ธรรมดา ถึงอย่างไรเถียนหลัวก็มีตบะบำเพ็ญสี่ร้อยปี โอกาสชนะในกลุ่มสิบก็ยังนับว่าสูงมาก หากพยายามสักหน่อยอาจยังได้อันดับต้นๆ
เถียนหลัวถอนหายใจโล่งอก ก่อนหันมาถามอาเหลียน “เจ้าเล่า เจ้าจับได้กลุ่มใด”
นางแกะมือของอาเหลียนออก เห็นคำว่า “กลุ่มสอง” ที่เขียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนติ้วไม้
ทั้งหมดมีสิบกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง กลุ่มสอง กลุ่มสาม กลุ่มสี่ กลุ่มห้า กลุ่มหก กลุ่มเจ็ด กลุ่มแปด กลุ่มเก้า กลุ่มสิบ ช่วงเวลานี้วิชาเวทของสมาชิกกลุ่มย่อยเป็นอย่างไรคือสิ่งสำคัญที่สุด
เซียวจ่าวจับได้กลุ่มหนึ่ง เมื่อกวาดตามอง คนเก่งกาจมีมากยิ่งนัก แต่วิชาเวทของนางยอดเยี่ยม เดิมก็เป็นบุคคลที่มีฝีมือ ย่อมไม่น่ากังวล
ทว่าอาเหลียนนั้นเป็นผู้ที่มีตบะบำเพ็ญต่ำที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่ หากจับได้กลุ่มเก้า กลุ่มสิบอย่างเถียนหลัว กลุ่มย่อยที่มีศิษย์ตบะแกร่งกล้าไม่มาก เช่นนั้นก็ยังพอจะลองดูได้ ทว่ายามนี้นางกลับจับได้กลุ่มสองที่รวมยอดฝีมือไว้ด้วยกัน จะมีโอกาสชนะได้อย่างไร
เถียนหลัวกังวล “อาเหลียน ทำอย่างไรดีเล่า”
อาเหลียนถือติ้วไม้ไผ่ไว้ในมือ รู้สึกมึนงงชั่วครู่ นางหันมองศิษย์ใหม่กลุ่มสองที่เตรียมตัวอยู่ในลานประลอง พวกเขาคู่ต่อสู้ที่นางจะต้องรับมือต่อจากนี้
…ส่วนใหญ่คือศิษย์ที่โดดเด่นจากแดนสวรรค์ทั้งนั้น ทั้งยังมียอดฝีมือจากตระกูลน้ำเค็มคนสองคน
ผลแพ้ชนะแทบไม่ต้องคาดเดา…ไม่ว่านางจะเจอผู้ใด ล้วนไม่มีโอกาสชนะทั้งสิ้น
เซียวจ่าวกังวล แม้อาเหลียนจะขยัน แต่ศักยภาพที่แท้จริงก็วางให้เห็นอยู่ตรงนั้น ถึงจะขยันกว่านี้สักเพียงใดนางก็มีตบะบำเพ็ญเพียงสามร้อยปี หากตนโชคดีสักหน่อย จับได้กลุ่มเก้า กลุ่มสิบ ก็ยังหาทางเปลี่ยนกลุ่มกับอาเหลียนได้ ทว่ายามนี้ตนจับได้กลุ่มหนึ่ง
ทั้งสามคนล้วนอับจนหนทาง
ไป๋สวินที่อยู่ห่างออกไปเห็นท่าทางมืดแปดด้านของพวกนางแล้วรีบสาวเท้าเข้ามาหาทันควัน ถามอาเหลียนว่า “เจ้าอยู่กลุ่มใด”
หลังพูดคุยกันสองสามครั้ง อาเหลียนจึงไม่กริ่งเกรงไป๋สวินเหมือนในอดีตอีก กลับกันนางยังมองว่าเขาเป็นสหายคนหนึ่ง นางยื่นติ้วไม้ในมือให้เขาดู “กลุ่มสอง”
ไป๋สวินเคยเห็นแล้วว่าตอนที่อยู่ทะเลสาบต้งเจ๋อ เพื่อให้ผ่านการคัดเลือกของจิ่วเซียวเก๋อ นางประลองสุดชีวิต หลายต่อหลายครั้งคิดว่านางคงลุกไม่ขึ้น แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังยืนหยัดได้ เขาเห็นนางขมวดคิ้วน้อยๆ ก็ไม่คิดอะไรมาก คว้าติ้วไม้ในมือของนางมาอย่างไม่ลังเล ก่อนยัดติ้วไม้ของตนใส่มือของนางแทน
“ถือไว้”
ไป๋สวินจับได้กลุ่มห้า เป็นกลุ่มแข็งแกร่งในลำดับกลางๆ แม้โอกาสชนะของอาเหลียนจะไม่มาก แต่ก็ดีกว่ากลุ่มสองมากนัก
ไป๋สวินไม่เอ่ยวจี เมื่อแลกติ้วไม้เสร็จก็สาวเท้ายาวไปที่สนามประลองของกลุ่มสอง
อาเหลียนมองติ้วไม้ในมือ ก่อนมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ห่างออกไป ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรดี
นางครุ่นคิด ก่อนวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามไป
ไป๋สวินเห็นนางตามมา ก็จงใจตีหน้าขรึมเอ่ยว่า “วิชาเวทของข้าเก่งกาจ ชนะกลุ่มห้าก็ถือว่าไม่สมเกียรติเท่าไร เจ้าปลาหัวโต หากเจ้าเห็นข้าเป็นสหาย ก็ไม่ต้องเอ่ยแล้ว”
อาเหลียนย่อมรู้ว่าวิชาเวทของเขาเก่งกาจ ก็เขาเป็นปลาที่โดดเด่นที่สุดในทะเลสาบต้งเจ๋อนี่นา!
อาเหลียนเงยหน้าส่งยิ้มให้ไป๋สวิน กล่าวด้วยความจริงใจว่า “…ขอบคุณนะ”
[1] เซียนเหรินเป็นคำเรียกผู้ที่บรรลุสู่สภาวะเซียน
[2] หรือปลาคาร์ฟ
[3] หมายถึง การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง มาจากตำนานที่ว่า “ปลาหลี่กระโดดข้ามประตูมังกร”