[ทดลองอ่าน] รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่ เล่ม 1 ตอนที่ 4

老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่

 

ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล

 

— โปรย —

กระจกเงาแบบตั้งพื้นสะท้อนภาพหญิงสาวตรงหน้าซึ่งมีใบหน้าขาวซีด
ผมยาวม้วนงอเล็กน้อยในระดับอก ใบหน้านี้เป็นใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเธอเคยชิงชัง

เธอก้มศีรษะลงโค้งคำนับสามครั้ง

“เซิ่งเฉียว ฉันขอโทษนะ”

ขอโทษที่เมื่อก่อนฉันโจมตีเธอตามใจชอบโดยไม่รู้อะไรเลย
ขอโทษที่ฉันรัวแป้นพิมพ์แบบไม่รับผิดชอบ ทำให้เธอต้องเจ็บปวด
ขอโทษที่โลกออนไลน์ทำลายเธออย่างโหดร้ายไปตามกระแสสังคม

ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงหายตัวไป
อาจเป็นเพราะเธอแบกรับความโหดร้ายของโลกใบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
และฉันก็เป็นหนึ่งในผู้ร้ายเสียด้วย

ฉันจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างเอง ฉันจะทำให้ชีวิตที่มืดมนของเธอได้พบกับแสงสว่าง

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

4

 

ท่ามกลางกลิ่นมินต์จางๆภายในรถ ฮั่วซีขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันตัวกลับ เนิ่นนานกว่าเขาจะเอ่ยขึ้นเรียบๆ “อีกสองสามวันจะเอามาให้”

“ฉันขอบัตรทุกรอบเลยนะคะ!”

“…จะลงจากรถผมได้รึยัง”

เซิ่งเฉียวยอมเปิดประตูรถลงไปอย่างว่องไว
รถยนต์ค่อยๆแล่นออกไปจากลานจอดรถ ในขณะที่เธอยังคงยืนโบกมือหย็อยๆราวกับแมวกวักอยู่ที่เดิม จนกระทั่งรถยนต์ของฮั่วซีลับไปจากสายตา จึงหันกลับไปขึ้นลิฟต์ด้วยความพอใจ

เมื่อถึงบ้าน เธอก็ได้เห็นสภาพห้องที่ว่างเปล่าและหนาวเหน็บอีกครั้ง ความดีใจหายวับไปทันที แทนที่ด้วยความไม่คุ้นชินที่ถาโถมเข้ามาหาโดยไม่ทันตั้งตัว

เธอใช้ความคิดอยู่สักพัก แล้วจึงเริ่มควานหาของในตู้ที่เจ้าของร่างเก็บไว้ เช่น สมุดบัญชีธนาคาร เอกสารสัญญา และของอื่นๆ แล้วหยิบมาดูทีละชิ้น ถ้าไม่ตรวจดูก็คงไม่รู้สักที แต่พอได้เห็นเข้าจริงๆ เธอก็ต้องตกใจ

ดาราสาวอย่างเซิ่งเฉียวไม่มีรถ ไม่มีบ้าน ไม่มีการลงทุน แถมบ้านสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นนี้ยังเป็นบ้านเช่าอีกด้วย

เซิ่งเฉียวรีบตรวจสอบยอดเงินคงเหลือในสมุดบัญชีธนาคาร เห็นตัวเลขห้าหมื่นสามพันก็รู้สึกตกตะลึงจนลูกตาแทบถลน ขนาดเธอตอนที่เป็นเฉียวเฉียวยังมีเงินมากกว่านี้ตั้งสิบเท่า! เป็นถึงดาราแต่กลับอยู่ในสภาพนี้เนี่ยนะ

ถ่ายละครกับรับงานรายการวาไรตี้ก็ไม่น่าจนถึงขั้นนี้เลยนี่นา เซิ่งเฉียวก็ดังไม่ใช่น้อย ถึงแม้จะไม่ใช่ดาราแนวหน้า แต่อย่างน้อยก็เป็นดาราสาวระดับรอง ปีๆหนึ่งก็น่าจะมีงานไม่น้อย ทำไมถึงได้น่าอนาถขนาดนี้

เงินของยายนั่นไปอยู่ที่ไหนหมดนะ

เซิ่งเฉียวสงสัยเป็นอย่างมาก เธอพลิกเอกสารที่อยู่ใกล้มือดูทีละฉบับ พบสัญญาฉบับหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจ ในนั้นเขียนไว้ว่า “หนังสือสัญญาข้อตกลงความร่วมมือระหว่างศิลปินกับบริษัทซิงเย่ามีเดีย จำกัด”

เซิ่งเฉียวหยิบสัญญาฉบับนั้นมาอ่าน เธอไล่สายตาไปทีละหน้าทีละเงื่อนไข เมื่ออ่านไปถึงตอนสุดท้าย มือของเธอก็สั่นจนถือเอกสารไม่ได้อีกต่อไป เธอโยนเอกสารแผ่นนั้นทิ้งลงบนพื้นอย่างแรง ก่อนจะสบถคำหยาบออกมา

สัญญาที่เซิ่งเฉียวเคยเซ็นไว้กับบริษัทซิงเย่า ดันตกลงจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบของเงินเดือน

ในสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่า ซิงเย่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้เซิ่งเฉียวเดือนละสองหมื่นหยวน นอกจากนี้เซิ่งเฉียวยังจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆจากทางบริษัททั้งนั้น รายได้จากการทำงานของเธอให้ตกเป็นของซิงเย่าทั้งหมด

พูดง่ายๆก็คือ เซิ่งเฉียวทำงานให้ซิงเย่าแลกกับเงินเดือนเดือนละสองหมื่นหยวน ส่วนเงินที่ได้จากการแสดงละคร ออกรายการวาไรตี้ ถ่ายโฆษณา ล้วนแล้วแต่เป็นของซิงเย่า เธอไม่ได้อะไรเลยสักแดงเดียว หากต้องการยกเลิกสัญญาล่วงหน้าจะต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญา ซึ่งคิดเป็นสามเท่าของรายได้ที่เธอหามาตลอดระยะเวลาหนึ่งปี

เจ้าของร่างนี้โง่อย่างกับหมู[1]! เซ็นสัญญาแบบนี้เข้าไปได้อย่างไร หมูยังฉลาดกว่าแม่นี่เสียอีก!

แถมดันเซ็นล่วงหน้าไปตั้งยี่สิบปีเนี่ยนะ!

ในตอนนี้คงมีเพียงคำเดียวที่สามารถบรรยายความรู้สึกของเซิ่งเฉียวได้

“บัดซบ!”

จังหวะนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายจากเกาเหม่ยหลิง เธอกัดฟันรับสาย ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะร่าอย่างผู้ที่เหนือกว่า

“ใจเย็นลงแล้วรึยัง อยากคุยกันหน่อยไหมล่ะ”

ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เกาเหม่ยหลิงก็มาเคาะประตูบ้านเธอ

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เกาเหม่ยหลิงเป็นคนหาให้ตอนที่เซิ่งเฉียวเพิ่งเซ็นสัญญาใหม่ๆ และจ่ายค่าเช่าไว้ล่วงหน้าแล้ว เซิ่งเฉียวคงซาบซึ้งน่าดูสินะ เกาเหม่ยหลิงในตอนนั้นคงเป็นเหมือนพระมาโปรด แหม น่าจะหล่อรูปหล่อนไว้บูชาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ผู้หญิงคนนี้ควบคุมเซิ่งเฉียวมานานหลายปี คงจะเห็นท่าทีก้มหน้าก้มตารับฟังคำสั่ง ไม่กล้ามีปากมีเสียงของดาราสาวจนชิน ทว่าวันนี้จู่ๆเซิ่งเฉียวเกิดต่อต้านขึ้นมา เธอคงคิดได้เพียงว่าช่วงนี้อาจกดดันเซิ่งเฉียวมากเกินไป ทำให้อีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ออกมาก็เท่านั้น

ฝ่ายนั้นคงอยากรอให้เซิ่งเฉียวสงบลงก่อน และเป็นฝ่ายมาร้องไห้อ้อนวอนเอง ทว่าตอนที่เซิ่งเฉียวเปิดประตูห้องแล้วเห็นผู้จัดการสาวยืนตัวตรง เธอกลับคลี่ยิ้มน้อยๆ จ้องมองอย่างสงบนิ่งไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ

เกาเหม่ยหลิงอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นรอยยิ้มของเซิ่งเฉียว “พี่เกา เข้ามาสิ”

เธอคงไม่ได้คิดสั้นหรอกนะ เกาเหม่ยหลิงรู้สึกหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

“เสี่ยวเฉียว ช่วงนี้น้องมีปัญหาเรื่องเงินรึเปล่า”

เซิ่งเฉียวยิ้มพลางมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ

เกาเหม่ยหลิงหยิบซองเอกสารหนาเตอะออกมาจากกระเป๋า “เงินนี่เธอเอาไปใช้นะ ฉันให้”

เซิ่งเฉียวรับมาเปิดออก แล้วกวาดตาดูสองรอบ “สองหมื่นเหรอคะ” เธอโยนซองเอกสารกลับไปบนโต๊ะวางน้ำชาอีกครั้ง “พี่เกาให้เงินขอทานเหรอคะ”

เกาเหม่ยหลิงขมวดคิ้ว “เสี่ยวเฉียว เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”

เซิ่งเฉียวตบซองสัญญาซึ่งวางอยู่ใกล้มือ “ช่วงนี้จู่ๆฉันก็เกิดได้สติขึ้นมา พี่เกา การทำงานนี้มันไม่คุ้มเลยนะ แต่ละปีฉันทำเงินให้บริษัทเท่าไหร่ ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ฉันกลับได้แค่เงินเดือนเดือนละสองหมื่น จะไม่เอาเปรียบกันเกินไปหน่อยเหรอ”

เกาเหม่ยหลิงจ้องเธออยู่พักหนึ่งก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เสี่ยวเฉียว สัญญาฉบับนี้ฉันก็ไม่ได้จับมือบังคับเธอเซ็นนะ” เกาเหม่ยหลิงนั่งลงและโน้มตัวมาข้างหน้า “เธอเป็นคนขอร้องว่าอยากเซ็นเอง”

หัวใจของเซิ่งเฉียวหล่นวูบ

เกาเหม่ยหลิงมองเธอยิ้มๆ “เพิ่งจะมาพูดว่าเอาเปรียบกันตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ”

เซิ่งเฉียวเตือนตนเองให้ควบคุมสติให้ดี เธอไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเลยสักนิด จึงทำได้แค่ค่อยๆหลอกล่อให้อีกฝ่ายพูด เพื่อหาเหตุผลที่เจ้าของร่างยอมเซ็นสัญญาไม่เป็นธรรมฉบับนี้ จากนั้นถึงจะหาวิธีแก้ไขได้

“ก็ตอนนั้นฉันยังเด็ก ไม่รู้เรื่องรู้ราว โดนพวกพี่หลอกฉันก็ได้แต่ยอมๆไป แต่พี่เกา…ถ้าเกิดว่าฉันแพร่งพรายเรื่องสัญญาฉบับนี้ออกไป พี่คิดว่าคนในโซเชียลจะเข้าข้างใครล่ะ” เมื่อเห็นเกาเหม่ยหลิงหน้าตึง เซิ่งเฉียวก็ยิ้มพราย “แบบนี้ใครจะอยากเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัดซิงเย่าของพี่อีกล่ะ ฉันมันช่างน่าอนาถ อุตส่าห์ลำบากตรากตรำทำงานให้บริษัท แล้ว ยังมาโดนบริษัทบีบอีก ยังจะมีละครเรื่องไหน รายการไหนกล้าจ้างฉันอีกไหมเนี่ย”

“เซิ่งเฉียว!” แต่แล้วเกาเหม่ยหลิงก็ถอนหายใจราวกับคิดอะไรได้ “ทำแบบนั้นก็เท่ากับเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่ายนะ”

เกาเหม่ยหลิงโกรธจนหัวเราะออกมา “เซิ่งเฉียว เธอคิดว่าทำแบบนี้แล้วยังจะอยู่ในวงการต่อไปได้อีกเหรอ”

เซิ่งเฉียวแบมือ “อย่างมากก็แค่ไม่เป็นดารา โลกใบนี้ออกจะกว้างใหญ่ ฉันคงไม่ถึงกับอดตายหรอกมั้ง”

เกาเหม่ยหลิงมองเธอนิ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มของเซิ่งเฉียวบ่งบอกว่าไม่ยี่หระกับสิ่งที่เธอพูด ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนล้อเล่น ทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่พักใหญ่ จู่ๆเกาเหม่ยหลิงก็หัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะนั้นช่างชั่วร้ายเหลือเกิน ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเหมือนร่องรอยที่งูทิ้งไว้เมื่อเลื้อยผ่าน เซิ่งเฉียวขมวดคิ้วเมื่อเห็นเกาเหม่ยหลิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา หล่อนกดหาอะไรสักอย่าง แล้วยื่นหน้าจอมาตรงหน้าเธอพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวเฉียวไม่เป็นดาราแล้ว แต่ยังไงซะเธอก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเนอะ”

เซิ่งเฉียวเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพในมือถือชัดเจน

บนหน้าจอนั้นคือภาพเปลือยของเซิ่งเฉียว

 

[1] เป็นสำนวนจีนที่เปรียบเปรยคนว่าโง่เหมือนหมู

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า