老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่
ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล
— โปรย —
ในหมู่แฟนคลับที่ตามดารานั้น มีอัตราส่วนของเพศหญิงสูงมาก
ซึ่งคงเป็นเพราะผู้หญิงนั้นใช้ความรู้สึกมากกว่า
และใฝ่ฝันถึงความอ่อนโยน ความสวยงาม จากการติดตามดารามากกว่า
ก็แค่การชอบคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะคนที่ชื่นชอบคนนั้น
โดดเด่นเปล่งประกาย เพราะอย่างนั้นความรู้สึกของแฟนคลับ
จึงถูกเยาะเย้ยถากถางและไม่ได้รับการยอมรับอย่างนั้นหรือ
แบบนี้จะไม่ให้น้อยใจได้ยังไงล่ะ
แต่พอเห็นคนที่ติดตามคนนั้นยิ้มให้
ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดก็กลายเป็นความหวานไปเลย
การเป็นแฟนคลับที่ดีก็ควรจะรักอย่างบริสุทธิ์
และรู้จักขอบเขต แต่ว่าแย่แล้ว เธอแย่แล้ว แย่แล้วจริงๆ!
ความรักของเธอไม่บริสุทธิ์แล้ว เธอต้องอยู่ให้ห่างจากเขา!!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
44
ฮั่วซีนำบัตรคอนเสิร์ตรอบที่สามมาให้เธอ
เซิ่งเฉียวดีใจเป็นที่สุดเธอเอ่ยว่า “จะกล้ารับได้ยังไงคะเนี่ย” พร้อมกับรับบัตรไปอย่างรวดเร็วแล้วเหลียวซ้ายแลขวาด้วยดวงตาเป็นประกาย
ปากบอกว่าไม่ ทว่าร่างกายนั้นกลับซื่อสัตย์มาก
ภายในห้องยังมีกลิ่นน้ำหอมผู้ชายหลงเหลืออยู่ ฮั่วซีขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เซิ่งเฉียวเก็บบัตรคอนเสิร์ตเรียบร้อยก็วิ่งออกมา “ฮั่วซี คุณอยากกินอะไร ฉันจะทำให้ค่ะ”
“อะไรก็ได้” เขากล่าว
เธอรวบผมขึ้น เปิดโทรทัศน์แล้วเปลี่ยนเป็นหนังสารคดี จากนั้นชงชาผลไม้ใส่น้ำร้อนให้เขาเสร็จก็เข้าครัวไป เพียงครู่เดียวก็มีเสียงดังก๊อกแก๊กแว่วมา ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีมาก มีการฮัมเพลงเบาๆด้วย ฟังดีๆพบว่าเป็นเพลงของเขานั่นเอง
เสียงโทรทัศน์ เสียงทำกับข้าว เสียงฮัมเพลงเบาๆเหล่านี้ผสมปนเปกันไปทำให้เขาเกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
เขาลุกขึ้นเดินแต่แล้วก็ถูกดึงดูดสายตาด้วยภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนัง นั่นเป็นภาพวาดพู่กันจีน ด้านล่างของภาพประทับชื่อ “เสิ่นชิงอวิ้น” น้อยครั้งมากที่จะเห็นคนหนุ่มสาวแขวนภาพวาดพู่กันจีนไว้บนผนังห้อง
เซิ่งเฉียวที่ออกมาหยิบของในตู้เย็น เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าภาพวาดก็อธิบายว่า “อันนั้นของปลอมค่ะ ของจริงแพงเกินไป ตอนนี้ยังซื้อไม่ไหว”
ฮั่วซีหันหน้ามาถาม “คุณชอบจิตรกรคนนี้เหรอ”
เซิ่งเฉียวเม้มปากเล็กน้อย แล้วส่งยิ้มให้เขา “ใช่ค่ะ ชอบมากเลย”
จิตรกรผู้นั้นคือแม่ของเธอเอง
เพียงครู่เดียวก็ทำอาหารเสร็จแล้ว เธอรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบกินอะไร อาหารจึงล้วนแต่ถูกปากเขาทั้งนั้น เมื่อเห็นเขาชิมไปคำหนึ่งแล้วพยักหน้าบอกว่าอร่อยก็ยิ้มออกมาทันทีแบบดีใจสุดชีวิต
อ๊ากกก ได้กินข้าวกับไอดอลสองต่อสอง จะไปกินลงได้ยังไงล่ะเนี่ย แค่ได้เห็นเขาก็พอแล้ว เพิ่งรู้ว่าที่แท้การกินด้วยอาหารตาก็เป็นไปได้จริงๆ
จู่ๆฮั่วซีก็เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้คุณมีอัดรายการอีกใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
เขามองเธอสองสามหน “ถ้าเกิดเรื่องอะไรอีก ห้ามหุนหันพลันแล่นเหมือนก่อนหน้านี้แล้วนะ”
เซิ่งเฉียวพยักหน้า “ค่ะๆๆ” ที่รักว่าอะไรก็ตามนั้น! เธอเป็นคนว่านอนสอนง่าย!
“ต่อให้มันเกี่ยวข้องกับผมก็ต้องติดต่อผู้จัดการส่วนตัวหรือติดต่อให้ผมไปแก้ปัญหาก่อน ห้ามลงมือเอง”
“ค่ะๆๆ”
“ถ้าทำผิดอีก” เขามองเธอนิ่งๆ “ห้ามเจอผมหนึ่งเดือน คอนเสิร์ตก็ห้ามไป”
เซิ่งเฉียว “???”
อ๊ากกก บทลงโทษนี้โหดร้ายเกินไป เธอต้องตายแน่ๆ!
เซิ่งเฉียวรีบชูสามนิ้วพร้อมสาบานว่า “ฉันขอรับรองว่าจะไม่หุนหันพลันแล่นอีก จะควบคุมตัวเองและปฏิบัติตามธรรมเนียม เคร่งครัดต่อตัวเอง และจดจำค่านิยมหลักของลัทธิสังคมนิยม พยายามเป็นเยาวชนที่ดีครบทั้งสามประการตามระบบสังคมนิยม[1]”
ฮั่วซีเม้มปากเล็กน้อยคล้ายอยากจะขำแต่ก็ฝืนเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ดีมาก กินข้าวเถอะ”
วันรุ่งขึ้นเซิ่งเฉียวนอนตื่นสาย พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ ติงเจี่ยนก็พาโจวข่านมาแต่งหน้าให้เธอ จากนั้นก็พากันไปยังสถานที่อัดรายการสดดาวจรัสแสงรุ่นเยาว์
นับตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไปจะแบ่งผู้เข้าแข่งขันจำนวนยี่สิบห้าคนที่เหลือออกเป็นห้ากลุ่ม โดยแต่ละสัปดาห์จะทำการคัดคนจากทุกกลุ่มออกกลุ่มละหนึ่งคน โค้ชทั้งสามคนมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และได้แนะนำผู้เข้าแข่งขันเรื่องการซักซ้อม ส่วนเซิ่งเฉียวนั้นทำอะไรไม่เป็น ทางรายการจึงไม่ได้ขอให้เธอมาซ้อมด้วย
เมื่อถึงสถานที่ถ่ายทำ ทีมงานทั้งหมดก็มองมาที่เธอ
ถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นในรายการสดเมื่อครั้งก่อนจะผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ทว่าพวกเขายังจำเรื่องที่จู่ๆเซิ่งเฉียวก็อาละวาดได้ขึ้นใจ เมื่อก่อนพวกเขาเข้าใจว่าเธอเป็นพวกไม่สู้คนและไม่กล้าขัดใจคนอื่นถึงไม่ใช้สิทธิ์ในการปฏิเสธใครเลย นึกไม่ถึงว่าเธอจะเป็นภูเขาไฟประเภทที่หลังจากปะทุแล้วก็ยังคร่าชีวิตคนได้
ด้วยกลัวว่าเธอจะก่อเรื่องอีก ครั้งนี้เป้ยหมิงฝานจึงตามมาด้วย พอเข้าไปด้านหลังเวทีก็ได้พบกับเย่ถงที่มองเธอด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองวีรสตรี
เว่ยเฮ่อตงเอ่ยขึ้นว่า “อ้าว เสี่ยวเฉียวมาแล้วเหรอ ช่วงที่ผ่านมาได้พักผ่อนแล้วเป็นยังไงบ้าง อารมณ์ดีขึ้นไหม”
“อารมณ์ค่อนข้างดีเลยค่ะ” เธอยิ้มทักทายทุกคนแบบรายตัว เธอเปลี่ยนกลับไปเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยนและเป็นกันเองคนเดิมอีกครั้ง ทว่าหลายคนนั้นไม่ยอมถูกภาพลักษณ์ภายนอกของเธอหลอกอีกแล้ว
หลีเหยาที่ดูเหมือนจะไม่ชอบเธอมาตลอดพูดขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าเป็นการเยาะเย้ยหรือเสียดสี “ยังคิดว่าเธอชมคนเป็นอย่างเดียวเสียอีก นึกไม่ถึงว่าเธอจะด่าคนเป็นด้วย”
เซิ่งเฉียว “ฉันด่าคนเก่งอยู่นะคะ คุณจะลองฟังดูไหม”
ฟางไป๋ซึ่งอยู่ข้างๆนึกถึงประโยคระคายหูที่ว่า “ไตพร่อง เสื่อมสรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว” ขึ้นมาทันที ด้วยกลัวว่าเซิ่งเฉียวจะพูดออกมาตรงนั้นอีก จึงรีบเอ่ยว่า “เฉียวเฉียว! ผู้หญิงที่ดีห้ามพูดคำหยาบ!”
เซิ่งเฉียวยิ้มให้เขา หลีเหยาก็เลยไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ทั้งหมดคุยกันเรื่องผู้เข้าแข่งขันที่จะถูกคัดออกในวันนี้ การแข่งขันที่กำหนดให้ทั้งห้าคนทำการแสดง แต่มีเพียงสี่คนที่จะได้เลื่อนขั้น โดยมีเพียงคนเดียวที่ถูกคัดออกเช่นนี้ช่างโหดร้ายที่สุด แม้แต่เย่ถงก็ยังกล่าวว่า“เสี่ยวเฉียว วันนี้เธอต้องปลอบใจเด็กที่โดนคัดออกพวกนั้นดีๆนะ อย่าให้เขาสูญเสียความเชื่อมั่นต่ออนาคต”
เป้ยหมิงฝานยังส่งลิงก์มาให้เธออีกด้วย “คลังคำศัพท์ที่ใช้ในการผายลมสายรุ้งมีพอไหม ผมหาแรงบันดาลใจมาให้คุณ ก่อนขึ้นเวทก็ลองอ่านดูหน่อยก็แล้วกัน” เซิ่งเฉียวจึงรู้สึกกดดันมาก
การถ่ายทอดสดเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ชมในสัปดาห์นี้มีมากกว่าสัปดาห์ที่แล้วหลายเท่าซึ่งล้วนแต่เป็นผลพลอยได้จากการอาละวาดคราวก่อนของเซิ่งเฉียว ทุกคนต่างก็คาดหวังว่าผู้เข้าแข่งขันในรอบนี้จะก่อเรื่องอะไรเสียหน่อยต่อหน้าคุณครูเซิ่งเฉียวโดยไม่กลัวตาย ผลปรากฏว่าผู้เข้าแข่งขันครั้งนี้กลับซื่อตรงมากจนแม้แต่เซิ่งเฉียวก็ยังไม่รู้จะชมอะไร
คาดไม่ถึงว่าเธอจะเริ่มคอมเมนต์ผู้เข้าแข่งขันจากมุมมองของมืออาชีพ ถึงจะแค่ไม่กี่ประโยคก็ตาม
“เมื่อกี้ตอนที่คุณเล่นเปียโน มีอยู่สองคอร์ดที่เล่นผิดไปนะคะ แต่คุณฉลาดมากที่จัดการแก้ไขด้วยการลดคีย์ต่ำลง ครั้งหน้าก็พยายามต่อไปนะ
“เพลงนี้คุณดัดแปลงโดยการเพิ่มเสียงเครื่องดนตรีไฟฟ้าเข้าไป แต่เพราะทำนองของต้นฉบับมีสไตล์แบล็กเมทัลมากอยู่แล้ว พอคุณไปเพิ่มความเป็นร็อกมากขึ้นไปอีกเลยหนักเกินไป ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหนวกหูนิดหน่อย”
เกิดอะไรขึ้น เธอมีความรู้เรื่องดนตรีด้วยเหรอ
เซิ่งเฉียวอธิบายด้วยตนเอง “ฉันไม่เคยเรียนดนตรีอย่างจริงจังหรอกค่ะ จึงได้แต่ออกความคิดเห็นในฐานะที่เป็นผู้ฟังที่ธรรมดาที่สุดและจริงใจที่สุดกับพวกคุณ เพราะในอนาคตเวลาพวกคุณขึ้นไปบนเวทีก็ไม่ได้ร้องเพลงให้โค้ชฟัง แต่ร้องให้ผู้ชมที่ธรรมดาที่สุดนี่แหละฟัง”
ทีแรกชาวเน็ตที่ดูการถ่ายทอดสดยังเยาะเย้ยเธอว่าไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้เรื่องแล้วยังแสร้งทำเป็นรู้ดี แต่พอได้ยินเธอพูดประโยคนี้กลับรู้สึกเห็นด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
ใช่แล้ว มีหลายครั้งในหลายรายการที่เห็นๆกันอยู่ว่าผู้ชมรู้สึกว่าไม่เท่าไหร่ แต่โค้ชกลับให้เลื่อนขั้นกันหมด ในขณะที่บางครั้ง ทั้งๆที่ผู้ชมรู้สึกว่าเพราะมาก แต่โค้ชกลับชี้ว่ามีจุดบกพร่องไม่น้อย
พวกเขาไม่ได้มีความรู้เฉพาะทาง เพียงแต่อยากเห็นสิ่งที่แสดงออกมา
พอคิดได้เช่นนี้ทัศนคติที่มีต่อเซิ่งเฉียวจึงเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นไปอีกขั้น
การอัดรายการสัปดาห์ที่สามจบลงอย่างราบรื่น ผู้เข้าแข่งขันซึ่งโดนคัดออกร้องไห้กลางเวที หลังจากที่กลับไปก็เริ่มต้นการเดินทางไล่ตามความฝันครั้งใหม่ วงการบันเทิงก็เป็นเช่นนี้ ต้องวิ่งตามไล่กวดเสมอ ไม่สามารถหยุดได้แม้เสี้ยววินาทีเดียว
เมื่ออัดรายการสดเสร็จก็ค่อนข้างดึกแล้ว หลังจากที่กล่าวลาทุกคน ฟางไป๋กับติงเจี่ยนก็เตรียมตัวส่งเซิ่งเฉียวกลับบ้าน รถยนต์อเนกประสงค์จอดรออยู่ที่ลานจอดรถ ฟางไป๋ไปขับวนรถมารับ ส่วนติงเจี่ยนอยู่รอเป็นเพื่อนเธออยู่ตรงบริเวณทางออก
ขณะที่รถยนต์แล่นมานั้น เซิ่งเฉียวกำลังคุยสัพเพเหระกับติงเจี่ยนอยู่ เธอกวาดสายตาไปเรื่อยเปื่อยขณะที่สายตาไปหยุดที่ล้อรถด้านหน้าไม่รู้ว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขึ้นมาชั่วขณะ
ฟางไป๋จอดรถอยู่ด้านข้างเพื่อรอพวกเธอขึ้นรถ ทว่าเซิ่งเฉียวกลับไม่ขยับ ได้แต่ขมวดคิ้วจ้องล้อรถอยู่อย่างนั้น
“เฉียวเฉียว เป็นอะไรเหรอ” ติงเจี่ยนถาม
เธอยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเสียงชู่ว์ “อย่าเพิ่งพูด เสี่ยวไป๋ ดับเครื่องก่อน”
ฟางไป๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเธอก็รีบทำตาม เมื่อเครื่องยนต์ดับลงแล้ว ลานจอดรถที่กว้างใหญ่ก็กลับมาเงียบสงัดจังหวะนั้นได้ยินเสียงลมรั่วอย่างแผ่วเบา แล้วก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟางไป๋ลงมาจากรถ จ้องไปยังล้อหน้า แล้วใช้หลังมือไปอังดูจนทั่ว ในที่สุดก็พบรูรั่ว
มีคนเจาะยางรถ
ถ้าหากขับรถบนถนนด้วยความเร็วสูง แล้วยางเกิดระเบิดขึ้นมา ไม่กล้าคิดเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ทั้งติงเจี่ยนและฟางไป๋หน้าถอดสี
เซิ่งเฉียวเอ่ยว่า “ถ่ายรูปแล้วทิ้งรถไว้ที่นี่ ให้พี่เป้ยโทรศัพท์เรียกคนมาลากรถ”
ติงเจี่ยนติดต่อเป้ยหมิงฝานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฟางไป๋กำหมัดแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา “นี่มันวางแผนฆ่ากันเลยนะ!” ถ้าไม่ใช่เพราะเซิ่งเฉียวรู้สึกแปลกๆ พวกเขาคงออกรถไปแล้ว คิดขึ้นมาได้ก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นที่สุด
มีเสียงคนพูดดังมาจากฝั่งลานจอดรถ เพียงครู่เดียวก็มีรถยนต์ค่อยๆแล่นเข้ามา พอเห็นพวกเขาหยุดอยู่ตรงนี้ เย่ถงก็โผล่หน้าออกมานอกกระจกรถ “เสี่ยวเฉียว เกิดอะไรขึ้นเหรอ มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้”
ฟางไป๋ซึ่งมีสีหน้าขุ่นเคืองอยากจะพูดอะไรเสียหน่อย ทว่าเซิ่งเฉียวดึงเขาไว้ แล้วยิ้มกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “รถเสียค่ะ หาคนมาลากรถอยู่ค่ะ”
“หา ทำไมซวยขนาดนี้ งั้นเดี๋ยวฉันส่งเธอกลับแล้วกัน ดึกขนาดนี้แล้ว รีบขึ้นมาสิ” เย่ถงกล่าว
“ขอบคุณค่ะพี่เย่ พี่ใจดีจัง”
ฝ่ายติงเจี่ยนเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ เธอสุขุมกว่าฟางไป๋มากจึงรู้ว่าคำบางคำไม่ควรพูด ไม่ต้องให้เซิ่งเฉียวเอ่ยเธอก็ตามขึ้นรถมาทันที
เย่ถงส่งเซิ่งเฉียวกลับบ้านก่อน ฟางไป๋กับติงเจี่ยนก็ลงรถตามมาด้วยแล้วกล่าวขอบคุณ ทั้งสองยืนประกบเซิ่งเฉียวซ้ายขวา แล้วเดินคุ้มกันเซิ่งเฉียวเข้าไปจนถึงด้านใน ราวกับกลัวว่าจะมีรถพุ่งเข้ามาหาแล้วลักพาตัวเธอไป
พอขึ้นลิฟต์ได้ทั้งสองถึงค่อยโล่งใจ
ฟางไป๋เอ่ยอย่างดุดัน “ต้องเป็นลูกผู้กำกับคนนั้นแน่ๆ”
เซิ่งเฉียวใช้ความคิดครู่หนึ่ง “ไม่แน่หรอก”
ไม่ว่าจะเป็นเกาเหม่ยหลิงหรือหัวหน้าคนนั้นก็คาดว่าคงอยากจะเล่นงานเธอให้ถึงตาย ไม่ต้องพูดถึงคนที่มีเจตนาร้ายไม่เคยขาดบนโลกใบนี้เลย บางทีอาจจะไม่ใช่ใครที่ว่ามาทั้งนั้น แต่อาจเป็นแฟนคลับที่เกลียดเธอสุดโต่งก็เป็นได้
“พี่เฉียวเฉียว เราไปแจ้งความกันเถอะ ให้ตำรวจส่งคนมาคุ้มกันพี่” ฟางไป๋กล่าว
สมองของเธอค่อนข้างว้าวุ่น จึงเอ่ยเพียงว่า “รอพรุ่งนี้พี่เป้ยมาแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อส่งเธอกลับบ้านแล้ว ฟางไป๋ยังคงไม่วางใจจึงให้ติงเจี่ยนนอนค้างที่นี่คืนนี้ ก่อนกลับก็ไม่วายตรวจสอบประตูหน้าต่างและกำชับให้เซิ่งเฉียวล็อกประตูให้เรียบร้อย
ติงเจี่ยนนอนที่ห้องรับแขกโดยไม่ปิดประตู เธอเอ่ยกับเซิ่งเฉียวว่า “เรื่องอะไรให้เรียกฉันทันทีเลยนะ”
สีหน้าแบบนั้นราวกับว่าจะมีคนร้ายลงมาจากฟ้าแล้วทะลุหน้าต่างเข้ามาก็ไม่ปาน
ดึกมากแล้ว เซิ่งเฉียวที่นอนอยู่บนเตียงยังคงพลิกตัวไปมาไม่ยอมหลับ ภายในใจของเธอนั้นไม่ได้สงบนิ่งเหมือนภายนอก
มีคนอยากจะฆ่าเธอ จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร แต่ยิ่งกลัวก็ยิ่งต้องนิ่งเข้าไว้ ถึงจะลากคนจิตใจอำมหิตพวกนั้นออกมาจากที่มืดได้
เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำอีกมากมาย
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เซิ่งเฉียวที่เดิมทีประสาทก็ตื่นตัวอยู่แล้วตกใจไปชั่วขณะ พอเห็นชื่อของสายเรียกเข้าปรากฏคำว่า “ที่รักของฉัน” ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวก็จางหายไปอย่างรวดเร็วประดุจเมฆหมอกหลังดวงอาทิตย์ขึ้น คงเหลือไว้เพียงความอบอุ่นและสบายใจ
“ฮั่วซี!”
เขาส่งเสียง “อืม” เรียบๆหนึ่งที “วันนี้ทำได้ไม่เลวนะ”
เธอไม่ได้หุนหันพลันแล่น แถมยังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยศัพท์เฉพาะทางซึ่งทำให้เขาประหลาดใจอีกด้วย
“คุณดูไลฟ์สดด้วยเหรอคะ” จู่ๆเธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา “ฉันพูดไปมั่วๆน่ะค่ะ คุณอย่าดูเลยนะ”
เหมือนว่าเขากำลังขำ ทว่าน้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง “ชมคนเก่งเหมือนกันนี่ ทำไมคุณไม่เห็นเคยชมผมแบบนี้บ้างล่ะ”
“จะให้ชมเหมือนกันได้ยังไงคะ”
“แล้วไม่เหมือนกันตรงไหนล่ะ”
เธอชะงัก แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “คำพูดของคนธรรมดาๆ ไม่สามารถนำมาบรรยายเทพบุตรได้หรอกค่ะ”
[1] การรู้จักควบคุมตัวเองและปฏิบัติตามธรรมเนียมเป็นหนึ่งในคำสอนของลัทธิขงจื่อ ส่วนเยาวชนที่ดีทั้งสามอย่างนั้นจะต้องมีทั้งคุณธรรมดี การศึกษาดี และสุขภาพดี ตามที่รัฐบาลจีนกล่าวไว้