[ทดลองอ่าน] รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่ เล่ม 3 ตอนที่ 83

老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่

 

ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล

 

— โปรย —

 

“…ชีวิตนี้นอกจากคุณแล้ว จะไม่ชอบใคร ไม่นอกใจ ไม่จิ้น ตั้งใจรักแค่คุณคนเดียว”
แม้ว่าจะคิดแบบนี้และพูดแบบนี้ แต่เธอก็สงสัยว่าไอดอลของเธอจะมี “ผู้หญิงที่เขารัก” หรือไม่
แล้วผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครกันนะ…

จะต้องเป็นนางฟ้าบนโลกมนุษย์แน่ๆเลย
ต้องเป็นผู้หญิงที่จิตใจอ่อนโยนและใจดี คอยอยู่เคียงข้างเขาด้วยความรักเต็มเปี่ยม
ในหัวใจและในสายตามีเพียงแค่เขา…

เมื่อถึงตอนนั้น ขอเพียงชายหนุ่มที่เธอรักมีความสุขและปลอดภัย เธอจะเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

83

 

หลังจากเครื่องบินลงจอดแล้ว ทางกองละครก็ส่งรถมารับพร้อมกับจัดให้เซิ่งเฉียวเดินออกทางวีไอพีซึ่งตรงไปยังโรงแรมที่จองไว้ สถานที่ถ่ายทำตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองหางโจวซึ่งห่างจากตัวเมืองพอประมาณ

ทางกองถ่ายละครจัดให้นักแสดงนำพักที่โรงแรมระดับติดดาว ส่วนผู้ช่วยพักที่โรงแรมธุรกิจซึ่งอยู่ใกล้กัน เช่นเดียวกับที่พักของทีมงานกองละครส่วนใหญ่

ติงเจี่ยนกับฟางไป๋ไปส่งเซิ่งเฉียวถึงห้องพัก พอเธอเก็บของเสร็จแล้วถึงจะหยิบคีย์การ์ดเข้าห้องของตนลงไปยังโรงแรมธุรกิจที่อยู่ใกล้กันนั้น

อากาศที่เมืองหางโจวอบอุ่นกว่าที่ปักกิ่งมาก เซิ่งเฉียวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สำรวจสิ่งต่างๆภายในห้องรอบหนึ่ง ก่อนจะส่งข้อความไปหาฮั่วซี เพื่อถามว่าเขาถึงหรือยัง

เขาตอบกลับมาว่า : [มีงานที่ยังทำไม่เสร็จ คงไปสายหน่อย]

ฟางไป๋กับติงเจี่ยนที่ไปเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยไม่ได้รีบกลับมาหาเซิ่งเฉียว พวกเขาออกไปทักทายทีมงานในกองละครก่อน พอเห็นหน้าค่าตากันแล้วก็ค่อยไปทำความคุ้นเคยกับบริเวณโดยรอบของสถานที่ถ่ายทำ เมื่อก่อนติงเจี่ยนติดตามมากองละครอยู่บ่อยครั้งจึงพาฟางไป๋มาสอนงาน เนื่องจากเขาเป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของเซิ่งเฉียว

ทั้งสองคนสำรวจสิ่งต่างๆเสร็จรอบหนึ่งจึงกลับไปหาเซิ่งเฉียว พอเดินมาถึงหน้าประตูโรงแรมก็เห็นว่ากลุ่มของหลินอิ่นถงมาถึงแล้ว ผู้ช่วยสี่คนลงมาจากรถ หลินอิ่นถงเดินอยู่ท้ายสุด เธอสวมแว่นกันแดด บนหน้าแทบจะสลักตัวอักษรไว้ว่า “ฉันคือดาราดัง”

ฟางไป๋เห็นเธอก็โมโหจนกัดฟันกรอด แล้วกระซิบเล่าเรื่องที่เมื่อก่อนหลินอิ่นถงเคยใช้มะเขือม่วงกลั่นแกล้งเซิ่งเฉียวในกองละครอยู่ข้างหูติงเจี่ยน

ติงเจี่ยนพูดว่า “ระวังเรื่องการควบคุมสีหน้าของนายหน่อย อย่าหาเรื่องให้เซิ่งเฉียว ขอแค่เธอไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน พวกเราก็อย่าไปก่อเรื่อง อย่าลดสถานะตัวเอง จำไว้ว่าละครเรื่องนี้เธอมาเล่นเป็นตัวประกอบให้เฉียวเฉียวของพวกเรา”

สมกับเป็นผู้ช่วยอาวุโส พูดจาได้ใจเสียจริงๆ

ฟางไป๋พูดว่า “เฮ้อ เมื่อกี้ตอนที่พวกเราไปทักทายผู้จัดการกองถ่าย พวกเขาคุยเรื่องที่มีคนลงทุนแล้วได้เข้ามาเล่นในกองอยู่ไม่ใช่เหรอ คงไม่ได้หมายถึงหล่อนหรอกนะ”

ติงเจี่ยน “อีกหน่อยนายไม่ต้องเป็นผู้ช่วยแล้วละ ไปเป็นปาปารัซซี่ดีกว่า ดูท่าจะมีพรสวรรค์มากเลย”

 

นักแสดงนำต่างทยอยกันมาถึง เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องทำพิธีเปิดกล้อง ตอนเย็นทุกคนในกองละครจะต้องรับประทานอาหารร่วมกัน นับเป็นการเริ่มต้นการทำงาน แล้วนี่ก็ถือเป็นการพบกันครั้งแรก คนที่ทำงานเบื้องหลังและเบื้องหน้าจึงต้องทำความรู้จักกันไว้

เซิ่งเฉียวโทรศัพท์หาฟู่จื่อชิง พอรู้ว่าเขามาถึงโรงแรมแล้วก็เลยถามเบอร์ห้อง จากนั้นก็รีบไปหาเขา

ห้องของฟู่จื่อชิงอยู่ชั้นบนห่างจากห้องของเธอหลายชั้น เธอกดลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็เห็นหลินอิ่นถงกำลังยืนอาละวาดใส่ผู้ช่วยอยู่ภายในลิฟต์ “เรื่องแค่นี้ก็ทำได้ไม่ดี เธอยังจะอยู่ที่นี่ทำไมอีก รีบไสหัวกลับบ้านไปซะ!”

เมื่อหลินอิ่นถงเห็นเซิ่งเฉียว ใบหน้าที่บูดบึ้งจากความโมโหก็ยิ่งบูดบึ้งมากขึ้นไปอีก ทว่าพริบตาเดียวก็สะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้ แล้วเปลี่ยนเป็นแสร้งยิ้มแทน “ว้าว เสี่ยวเฉียว บังเอิญจริงนะ”

เซิ่งเฉียวเดินไปในลิฟต์ เมื่อเห็นว่าชั้นที่ตนจะไปนั้นถูกกดไว้แล้ว ก็คลี่ยิ้มให้หลินอิ่นถง “สวัสดีค่ะ รุ่นพี่”

หลินอิ่นถงเสแสร้งฉีกยิ้ม แต่ก็ไม่อาจปิดบังความอิจฉาและไม่ยอมรับในแววตาได้ ก่อนหน้านี้ถึงจะเกลียดชังเธอแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นอิจฉา เพราะเธอไม่มีอะไรให้ตนรู้สึกอิจฉาได้เลย ยกเว้นเพียงเรื่องหน้าตาก็เท่านั้น ทว่านับตั้งแต่ยกเลิกสัญญากับซิงเย่ากลับเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีทรัพยากรที่ดีเข้ามาติดๆกัน ชื่อเสียงก็พุ่งอย่างรวดเร็วราวกับติดจรวด แค่อ่านข่าวเพลินๆก็พบว่ามีแต่ข่าวที่เกี่ยวกับเธอทั้งนั้น

อย่างละครฟอร์มยักษ์กระแสแรงที่มีดาราดังร่วมแสดงด้วยเรื่องนี้ที่ตนเปลืองแรงไปไม่รู้เท่าไหร่ อุตส่าห์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานเจี่ยงไปตั้งหลายครั้งกว่าจะได้บทนางรองมา คาดไม่ถึงว่าจะต้องมาเป็นตัวประกอบให้เธอ! ทว่าระยะนี้มีแต่ข่าวลือที่ว่าเธอมีเสี่ยเลี้ยงเต็มไปหมด คาดว่าเบื้องหลังคงจะมีเศรษฐีอุปถัมภ์อยู่ไม่น้อย ต่อหน้าก็ทำตัวน่ารักใสสื่อ ลับหลังไม่รู้ว่าทำเรื่องสกปรกไปเท่าไหร่แล้ว ช่างน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ

ลิฟต์ส่งเสียงดังติ๊ง ประตูเปิดออก เซิ่งเฉียวพูดโดยไม่หันกลับไปมอง “แล้วพบกันค่ะ รุ่นพี่”

หลินอิ่นถงกัดฟันสะกดความโมโหในใจแล้วเดินออกมาจากลิฟต์

พอเดินไปถึงหน้าห้องพักของตนแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซิ่งเฉียว เซิ่งเฉียวเคาะประตูห้องข้างๆ เมื่อประตูเปิดออกเซิ่งเฉียวก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “ฟู่ฟู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คิดถึงฉันไหม”

ดูสิ สภาพแบบนั้นใช้ได้ที่ไหนกัน

หลินอิ่นถงหัวเราะเย้ยหยันหนึ่งตลบ แล้วเปิดประตูเข้าไปด้านใน

 

เซิ่งเฉียวกับฟู่จื่อชิงไม่ได้พบกันมานานมาก เนื่องด้วยหน้าที่การงานของทั้งสองคนกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น จึงยุ่งด้วยกันทั้งคู่ ฟู่จื่อชิงต้องวิ่งรอกจากกองละครนี้ไปกองละครนู้น พอผ่านช่วงตัดต่อไปจนกระทั่งละครเริ่มออกอากาศ คาดว่าคงจะอยู่ห่างจากคำว่าดังระเบิดไม่ไกลแล้ว

ในละครเรื่องปราศจากความกลัวนี้ ฟู่จื่อชิงรับบทเป็นเพื่อนร่วมงานของนางเอกเนี่ยชิง เป็นตำรวจกองคดีอาญาผู้รักความยุติธรรม น่าเกรงขาม เข้มแข็ง และซื่อตรงนามเหลียงซู่ เมื่อก่อนเหลียงซู่เคยเป็นหัวหน้ากองคดีอาญาอีกที่หนึ่ง แต่เพราะทำเรื่องผิดพลาดจึงถูกส่งตัวมาเป็นตำรวจกองคดีอาญาที่เนี่ยชิงประจำอยู่ หลังจากย้ายมาที่นี่ก็ถูกดึงดูดโดยเนี่ยชิงผู้เย็นชาจนได้พัฒนาเป็นเรื่องราวที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้

ได้รับบทพระรองผู้ระทมทุกข์อีกแล้ว

ทั้งสองคุยกันอยู่สักพัก ฟู่จื่อชิงก็ถามเธอว่า “ได้ถ่ายละครกับฮั่วซี ดีใจไหม”

เซิ่งเฉียว “…ก็ไม่ได้ดีใจอะไรเป็นพิเศษนี่”

ฟู่จื่อชิง “ผมอ่านบทแล้ว มีฉากจูบด้วย”

เซิ่งเฉียว “ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ!”

ฟู่จื่อชิง “นี่เป็นละครเรื่องแรกหลังจากเซ็นสัญญา เล่นให้ดีนะ อย่าลนลานจนสะดุดขาตัวเองละ”

เซิ่งเฉียว “…”

แม้แต่นายก็ยังดูออกเหรอว่าฉันลนลาน

ฟู่จื่อชิงมองเธอด้วยสายตาซับซ้อนอยู่สองสามครั้ง “มีตรงไหนที่ทำไม่ได้ก็มาหาผมนะ”

เซิ่งเฉียวพยักหน้าด้วยความหดหู่

ไม่นานนัก ผู้ช่วยของแต่ละคนก็มารับพวกเขาไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงอาหาร ทีมงานอยู่ในห้องโถง ส่วนนักแสดงนำ ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และผู้อำนวยการผลิตนั้นอยู่อีกห้องโถงหนึ่ง ตอนที่เซิ่งเฉียวกับฟู่จื่อชิงเข้าไปพบว่าหลินอิ่นถงนั่งอยู่ระหว่างผู้กำกับหวังกับผู้อำนวยการผลิต กำลังคุยกันอย่างออกรส

คนทั้งห้องต่างก็ทักทายทำความรู้จักกันแล้ว มีเพียงฮั่วซีที่ยังมาไม่ถึง

หลินอิ่นถงถามว่า “พระเอกของพวกเราล่ะ”

ผู้จัดการกองถ่าย “เขาคงมาถึงช้าหน่อย พวกเรากินกันก่อน…กินก่อนก็แล้วกัน”

หลินอิ่นถงยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ดาราใหญ่ก็งานเยอะอย่างนี้ เข้าใจค่ะ ผู้กำกับหวัง พี่เซียว รีบกินเถอะค่ะ อย่าทนหิวเพื่อรอเขาเลย”

เซิ่งเฉียวอยากจะใช้ตะเกียบจิ้มเธอให้ตายนัก

บริกรเริ่มยกอาหารมาเสิร์ฟ

พอวางอาหารและเหล้าลงบนโต๊ะแล้ว บรรยากาศก็เริ่มคึกคักมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ เซิ่งเฉียวเงยหน้าขึ้นมอง  เฮอะ มะเขือม่วงอีกแล้ว

เซิ่งเฉียวไม่แตะตะเกียบ เธอยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม

หลินอิ่นถงยิ้มพลางเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉียว ทำไมไม่กินล่ะ อาหารไม่ถูกปากเธอเหรอ”

เดิมทีเซิ่งเฉียวไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับหลินอิ่นถง เพราะว่าตรงนั้นมีทั้งผู้กำกับและผู้อำนวยการผลิต แต่พอเห็นท่าทางอยากมีเรื่องของหลินอิ่นถง เซิ่งเฉียวก็โกรธจนชักจะขำ “ลูกไม้เดิมๆก็ยังเล่นอยู่ได้ตั้งหลายครั้ง รุ่นพี่คิดลูกไม้ใหม่ไม่ออกแล้วเหรอคะ”

หลินอิ่นถงเองไม่คาดคิดว่าเซิ่งเฉียวจะสวนกลับโดยไม่แยแสสถานการณ์เช่นนี้ ริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มจึงชะงักค้าง แล้วแสร้งพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเฉียว เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน ฉันไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจเหรอ”

คนทั้งโต๊ะต่างก็หันมามอง

เซิ่งเฉียวหมุนถ้วยน้ำชา แล้วยกริมฝีปากระบายยิ้ม “เปล่าค่ะ เป็นฉันเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทำให้รุ่นพี่ไม่พอใจเข้า เอาเป็นว่าหลังจากนี้ไปเรื่องอาหารภายในกองถ่ายของรุ่นพี่ ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเอง ถือเสียว่าเป็นการไถ่โทษ”

ปกติเธอไม่ดื่มเหล้า ทว่าพอกล่าวจบก็หยิบเหล้าที่อยู่ด้านข้างโต๊ะอาหารมารินครึ่งแก้ว ยกแก้วแล้วเอ่ยว่า “พบกันครั้งแรก ถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่องไป หวังว่าคุณครูทุกท่านจะอภัยให้ด้วยนะคะ ฉันขอดื่มให้ทุกคนค่ะ”

ทุกคนต่างก็ยิ้มเอ่ยว่าเสี่ยวเฉียวเป็นคนเด็ดขาดมาก ฟู่จื่อชิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เซิ่งเฉียวก็ดื่มเหล้าจนหมด จังหวะนั้นฮั่วซีก็ผลักประตูแล้วเดินเข้ามา

“ขอโทษทีครับ พอดีมีธุระเลยมาช้า”

เขายิ้มทักทายทุกคน แต่เมื่อมองไปเห็นแก้วเหล้าในมือของเซิ่งเฉียวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยชนิดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น  ก่อนเดินไปนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆเธอ

หลินอิ่นถงถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง เธอยิ้มพลางกล่าวว่า “ในที่สุดพระเอกของพวกเราก็มาแล้ว”

ฮั่วซีคลี่ยิ้มบางๆพลางพยักหน้าให้เธอ ท่าทีของพวกผู้อำนวยการผลิตและผู้เขียนบทดูเป็นมิตรกับเขามากอย่างชัดเจน

งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้ว ฮั่วซีกินอาหารไปได้สองสามคำก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ยุ่งมาทั้งวัน ยังไม่ได้กินข้าวเลย ผมขอสั่งอาหารเพิ่มหน่อยนะครับ”

เขาลุกขึ้นไปเรียกบริกรมาเติมอาหาร เพียงครู่เดียวก็มีอาหารที่ไม่มีมะเขือม่วงมาเสิร์ฟ

ผู้กำกับหวังสูบบุหรี่แล้วถามว่า “เสี่ยวซี บทหนังที่ฉันส่งให้นาย นายได้อ่านรึยัง”

ฮั่วซีพยักหน้า พลางยกชามของเซิ่งเฉียวแล้วตักน้ำซุปให้เธอ ตักไปก็พูดไปด้วยว่า “อ่านแล้วครับ เนื้อเรื่องค่อนข้างดีทีเดียว แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับบทนี้เท่าไหร่ ยังอยากจะคุยกับคุณอีกสักหน่อย”

คุยไปก็ยกชามที่ตักน้ำซุปกลับไปวางตรงหน้าเซิ่งเฉียว เซิ่งเฉียวถือช้อนก้มหน้ากินน้ำซุป สะกดกลั้นความรู้สึกแสบร้อนในกระเพาะเอาไว้

ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของพวกเขานั้นดูสนิทสนมคุ้นเคยกันมากเกินไปหน่อย ผิดกับหลินอิ่นถงที่เห็นภาพนี้แล้วดวงตาก็แทบจะถลนออกมา แม้แต่ผู้เขียนกับผู้อำนวยการผลิตก็ยังสบตากันแวบหนึ่ง

ผู้กำกับหวังกล่าว “ทำไมถึงไม่เหมาะล่ะ บทนี้เขียนมาให้นายโดยเฉพาะเลยนะ ยังต้องปรับอีกหรือ”

 

พวกเขาพูดคุยสรวลเสเฮฮากันที่โต๊ะอาหาร งานเลี้ยงอาหารมื้อนี้ก็เป็นอันว่าผ่านพ้นไป

งานเลี้ยงฝั่งนี้เลิกแล้ว ทว่าทางฝั่งทีมงานยังคงกินอาหารกันอยู่ ติงเจี่ยนกับฟางไป๋เองก็อยู่ฝั่งนั้นด้วย แต่พอเห็นเซิ่งเฉียวออกมา ทั้งสองคนก็เลยวางตะเกียบลงแล้ววิ่งมาหาทันที พอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ ติงเจี่ยนก็ถามว่า “เฉียวเฉียว เธอดื่มเหล้าเหรอ”

“แค่ครึ่งแก้ว ไม่เป็นไรหรอก”

ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่ก็รู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย

ฟางไป๋จึงพูดกับติงเจี่ยนว่า “พี่ไปกินต่อเถอะ เดี๋ยวผมส่งเฉียวเฉียวกลับก่อน”

ฮั่วซีที่เดินมาจากด้านหลังก็พูดขึ้นว่า “พวกคุณไปกินเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งเธอเอง”

ติงเจี่ยนสบตากับฟางไป๋แวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วจากไป

ฮั่วซีถามเซิ่งเฉียวว่า “เดินไหวไหม”

เธอพยักหน้า “ฉันไม่ได้เมาซักหน่อยนี่คะ”

ทั้งสองคนเดินออกไป ผู้ช่วยของฮั่วซีขับรถมารออยู่ด้านนอกแล้ว ฮั่วซีเปิดประตูรถ รอจนเธอขึ้นไปแล้วถึงได้นั่งลงข้างๆเธอ ปรากฏว่าพอรถแล่นเท่านั้นละ เธอก็เซมาหาเขาทันที

ฮั่วซีประคองศีรษะของเธอไว้ เขากลั้นยิ้มพลางถามว่า “นี่ไม่เมาไม่ใช่เหรอ”

เธอยังคงเอ่ยอย่างดื้อดึง “ไม่เมาค่ะ แค่มึนนิดหน่อย!” พอสิ้นเสียงก็เอ่ยอย่างโมโหว่า “ยายมารป้านั่นชอบกินมะเขือม่วงมากขนาดนั้น อาหารสามเดือนหลังจากนี้ ฉันจะเอามาให้กินจนตายไปเลย!”

ฮั่วซีกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ลูบศีรษะของเธอพลางส่ายหน้าด้วยความขบขัน

เสี่ยวตั้นซึ่งขับรถอยู่ด้านหน้ามองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ของเจ้านายตนผ่านกระจกมองหลังก็เกิดความรู้สึกหลากหลาย

 

เมื่อมาถึงลานจอดรถของโรงแรมแล้ว ฮั่วซีก็ล้วงคีย์การ์ดห้องพักออกมาจากกระเป๋าของเธอ แล้วประคองเธอกลับห้องพัก จนกระทั่งนอนลงบนเตียงแล้วเธอก็ยังคงพูดว่า “ฮั่วซี ฉันไม่ได้เมาค่ะ”

เขาถอดรองเท้าของเธอออกแล้วห่มผ้าให้ “อื้ม คุณไม่ได้เมา”

เธอลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่ง ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เพราะถ้าเกิดฉันเมาแล้วจริงๆ ฉันจะต้องจูบคุณแน่”

เขาหัวเราะหนึ่งตลบก่อนจะนั่งลงข้างๆเตียง “ทำไมต้องเมาก่อนถึงจะจูบได้ล่ะ”

เธอเอ่ยอย่างมีเหตุมีผล “ความเมาทำให้คนขี้ขลาดกล้าหาญมากขึ้น”

หน้าเธอแดงขึ้นเรื่อยๆคงเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังดังมากขึ้น

ฮั่วซีมองเธอสักพักก็ไล้นิ้วมือผ่านผมที่ปรกหน้าเธออย่างแผ่วเบา เขาโน้มตัวลงมา เขยิบเข้าใกล้ใบหูของเธอ แล้วเอ่ยพูดเสียงต่ำว่า “คุณเมาแล้ว”

เธอพึมพำเสียงเบา “ฉันเปล่าค่ะ” แต่เปลือกตากลับหนักขึ้นเรื่อยๆ

“เฉียวเฉียว คุณเมาแล้ว”

เพราะฉะนั้นก็จูบได้

เขาก้มหน้าลงไปประทับจูบลงบนริมฝีปากคลุ้งกลิ่นเหล้าของเธอ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า