老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่
ชุนเตาหาน เขียน
littleell แปล
— โปรย —
เขาเป็นไอดอลของเธอ
เธอเฝ้าติดตามเขามาตลอด
จนมาวันหนึ่งเธอไม่รู้สึกถึงสิ่งอื่นใดในโลกนี้อีกแล้ว
สัมผัสได้เพียงแค่เขา
เธอรู้แล้วว่า “เธอรักเขา”
เธอเดินมาถึงตรงนี้ มาอยู่ข้างกายเขาได้อย่างไรนะ
…ที่แท้เป็นเขาเองนั่นแหละที่เดินเข้ามาหาเธอ
“เธอคงไม่เลิกเป็นแฟนคลับหรอกนะ”
“ไม่หรอก ฉันจะรักเขาตลอดไป”
“ฉันก็เหมือนกัน! โอ๊ย ไม่คิดแล้ว แค่เขามีความสุข
ก็สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น”
แต่ไหนแต่ไรมาความต้องการของแฟนคลับ
ต่างก็ชัดเจนและมีเพียงเท่านี้
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
123
จ้าวอวี๋ยังอยากชวนเซิ่งเฉียวไปกินมื้อดึกด้วยกัน แต่ผู้จัดการที่อยู่ด้านข้างทำไม้ทำมือห้ามว่า “ไม่ได้นะอวี๋อวี๋ จะไม่ทันเครื่องบินแล้ว”
จ้าวอวี๋ยกมือแสดงสัญลักษณ์โอเค “ขอเวลาอีกสิบนาทีนะ!” เธอลากเซิ่งเฉียวไปอีกด้านหนึ่งแล้วถามอย่างสอดรู้สอดเห็นว่า “รักระยะไกลลำบากไหม”
เซิ่งเฉียวว่า “เธอจะลองเองก็ได้นะ”
จ้าวอวี๋ “ไม่ละๆ ทุ่มกับการงานไม่มีจิตใจมีความรัก ฉันจะเป็นเทพธิดาของคนหลายร้อยล้านคน เทพธิดาขอบกับใคร[1]ไม่ได้หรอก”
จู่ๆจ้าวอวี๋ก็พูดภาษาถิ่นขึ้นมา เซิ่งเฉียวขำพรืด จู่แต่แล้วก็มีเสียงดังมาจากด้านข้าง “ขบอะไร เธอขบกับใคร”
เสิ่นเจวี้ยนอี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาเพิ่งลงมาจากเวทีด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว จ้าวอวี๋กล่าวอย่างไม่แยแสว่า “พูดสำเนียงท้องถิ่นได้ไม่เหมือนก็อย่าพูดดีกว่าไหม”
เสิ่นเจวี้ยนอี้เบะปากใส่จ้าวอวี๋ แล้วหันกลับมามองเซิ่งเฉียว “สหาย เธอมาชูแต่ป้ายไฟของยายนี่ มันไม่ค่อยเหมาะสมรึเปล่า”
จ้าวอวี๋ “ฉันรู้สึกว่าก็เหมาะสมดีนะ”
เสิ่นเจวี้ยนอี้ “ไปไกลๆไป! ฉันคุยกับสหายงของฉัน คนที่ไม่เกี่ยวข้องยังไม่รีบถอยไปอีก!”
จ้าวอวี๋ทำท่าอยากต่อยเขา เสิ่นเจวี้ยนอี้ถอยไปหลบด้านหลังเซิ่งเฉียวอย่างรวดเร็ว สองมือจับไหล่ของเธอเอาไว้เล่นหน้าเล่นตาราวกับอยากโดนต่อยจริง ๆ
จ้าวอวี๋ยิ้มเย็น “อยากให้แฟนคลับของนายมาเห็นหน้าโง่ๆนี้จริง ๆ”
เสิ่นเจวี้ยนอี้ “ไม่ว่าฉันจะเป็นยังไงแฟนคลับก็รัก ใครเห็นใครก็รักแบบนี้แหละ”
เซิ่งเฉียว “…”
เซิ่งเฉียวปัดมือเขาออก เสิ่นเจวี้ยนอี้ลากนิ้วผ่านเส้นผมของเธออย่างรวดเร็ว “ล้านรึยัง ฉันรู้จักหมอปลูกผมฝีมือดีมากอยู่คนหนึ่งนะ ให้แนะนำให้เอาไหม”
เซิ่งเฉียว “…ไม่ล้าน ไม่ต้อง ขอบคุณ”
เสิ่นเจวี้ยนอี้มองเธอด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน สหายเริ่มห่างเหินกับฉันแล้ว” เขาชี้ไปที่จ้าวอวี๋อย่างโกรธเคือง “บอกมานะ! ยายนี่แบ่งความรักที่เธอมีต่อฉันไปใช่ไหม!”
จ้าวอวี๋ “???”
เซิ่งเฉียว “???”
จ้าวอวี๋ “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เธอสนิทหรือไม่สนิทกับนายฉันไม่รู้ แต่นายน่ะปัญญาอ่อนขึ้นนะ”
เซิ่งเฉียว “เห็นด้วยกับประโยคที่เธอพูด”
เสิ่นเจวี้ยนอี้ “…”
ผู้จัดการที่เป็นคนมือไม้อ่อนของจ้าวอวี๋ตะโกนเรียกอยู่อีกด้านหนึ่ง “อวี๋อวี๋ ต้องไปจริงๆแล้วนะ”
จ้าวอวี๋กอดเซิ่งเฉียวหนึ่งที “ไปแล้วนะ รอเธอถ่ายละครเสร็จเราค่อยเจอกันใหม่”
เซิ่งเฉียวพยักหน้ารับ “ฉันจะออกไปพร้อมเธอ ฉันเองก็ต้องรีบกลับไปที่กองถ่ายละคร”
เสิ่นเจวี้ยนอี้ “เดี๋ยวก่อน!” ทั้งสองคนหันกลับไปพร้อมกัน เขาเอ่ยด้วยความโกรธว่า “นี่ฉันไม่คู่ควรได้รับการกอดลาบ้างหรือไง!”
เซิ่งเฉียว “ใช่”
เสิ่นเจวี้ยนอี้ “???”
จ้าวอวี๋แสดงสีหน้ารังเกียจ “นายเหม็นเหงื่อไปทั้งตัว ใครอยากกอดนายกัน ไปแล้วๆ บ๊ายบาย!”
เซิ่งเฉียวหลุดขำออกมาแล้วโบกมือให้เขา เสิ่นเจวี้ยนอี้ถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วโบกมือให้เช่นกัน “บ๊ายบาย ไว้มีวาสนาค่อยพบกันใหม่นะ”
เมื่อออกมาฟางไป๋และติงเจี่ยนก็รออยู่ด้านนอกแล้ว เซิ่งเฉียวแยกกับจ้าวอวี๋ตรงประตูทางออก แล้วขึ้นรถเพื่อกลับกองถ่าย กระทั่งขึ้นรถแล้วเปิดโทรศัพท์มือถือดูจึงได้รู้ว่าในเวลานี้ตัวเองมีคู่จิ้นเพิ่มมาอีกแล้ว
แล้วเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าก็ดังขึ้นติดๆกัน เป็นข้อความของเหลียงเสี่ยวถังซึ่งอัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้น :
[พี่ไปชูป้ายไฟบ้านอื่นได้ยังไง พี่ไม่ละอายใจกับตำแหน่งแฟนคลับระดับภรรยาบ้างหรือไง] [ที่พวกคลั่งนั่นบอกใช่ภาษาคนเหรอ อะไรที่เรียกว่าผู้ชายก็ห่วยทั้งนั้น นางฟ้าเท่านั้นที่คู่ควรกับนางฟ้า ผู้ชายคนอื่นห่วย แต่ผู้ชายของพี่คือเทพบุตร!] [มีคู่จิ้นไท่ไท่คู่แล้วยังไม่พอ ตอนนี้ดันมีคู่จิ้นนางฟ้ามาอีก พี่รู้ไหมว่าการที่พวกเราจะอยู่รอดท่ามกลางเรื่องพวกนี้ได้มันยากขนาดไหน] [ฮือๆๆๆๆ คุกเข่าขอร้องให้พี่ช่วยแจกจ่ายความหวานเพิ่มหน่อยได้ไหม จิตใจของหัวหน้าทีมฮั่วเซิ่งจะแตกสลายอยู่แล้ว]เซิ่งเฉียว : […หัวหน้าทีมฮั่วเซิ่ง ฉันมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้บอกเธอ]
เหลียงเสี่ยวถัง : [พี่มีความรักแล้วใช่ไหม]
เซิ่งเฉียว : […]
เหลียงเสี่ยวถัง : [พี่คบกับเสิ่นเจวี้ยนอี้แล้วใช่ไหม!! พี่มันคนห่วย!! พี่ทรยศต่อแฟนคลับและระบบสังคมนิยม!!]
เซิ่งเฉียว : […เธอมาถูกทางแล้วละ]
เหลียงเสี่ยวถัง : [???]
เซิ่งเฉียว : [สวัสดีค่ะคุณแม่สามี]
เหลียงเสี่ยวถัง : [!!!!!!!]
กรี๊ดดดดดดด…ฉันจะตายอยู่ตรงนี้สักสามร้อยหกสิบครั้งแล้วค่อยขึ้นสวรรค์!!!
แม้จะมีโทรศัพท์กั้นขวางแต่เซิ่งเฉียวก็รับรู้ได้ถึงเสียงกรีดร้องของเหลียงเสี่ยวถัง จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมทั้งกำชับกับให้เหลียงเสี่ยวถังเก็บเป็นความลับ ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปตอนนี้จะไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย เรื่องคบหากันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ และเธอเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยพวกนั้น
เหลียงเสี่ยวถัง : [ฮือๆๆๆๆๆ ลูกสะใภ้วางใจได้ ขอเพียงพี่ไม่นอกใจ ต่อให้ตีฉันให้ตายฉันก็ไม่มีวันพูดออกไปแม้แต่คำเดียว ฮือๆๆ]
เซิ่งเฉียว : [ไม่นอกใจแน่นอน!]
เหลียงเสี่ยวถัง : [ฮือๆๆ เพลาๆเรื่องข่าวลือหน่อยนะ ตอนนี้ลูกชายฉันอยู่ต่างประเทศ พี่ต้องทนเหงาให้ได้นะ ฮือๆๆ ไม่คุยกับพี่แล้วฉันไปสงบจิตสงบใจก่อน ชีวิตของฉันในชาตินี้คุ้มค่าแล้ว ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันสั่นคลอนได้อีกแล้ว ฮือๆๆ]
คนบางคนเวลาพูดจาช่างใสซื่อบริสุทธิ์เหลือเกิน
หลังจากมีประเด็นของจ้าวอวี๋และเซิ่งเฉียวไม่ถึงสองวันรายการเผชิญโลกกว้างก็ออกอากาศ ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยแห่กันไปรอดูความหวานของคู่จิ้น
แต่ปรากฏว่าสองตอนแรกกลับไม่มีฉากของจ้าวอวี๋เลย
ชาวเน็ตจึงนึกขึ้นได้ว่าแขกรับเชิญของสถานที่แรกมีซือเซวียนซึ่งเป็นนักโทษในคดีลักพาตัวอยู่ด้วย เดิมทีรายการเผชิญโลกกว้างควรได้ออกอากาศไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่ที่ล่าช้าไปหนึ่งสัปดาห์ก็เพราะต้องตัดฉากของซือเซวียนออกไป ตอนที่ออกอากาศทั้งตอนจึงไม่มีฉากเดี่ยวของซือเซวียนเลย บางฉากที่แขกรับเชิญเข้าฉากด้วยกันไม่สามารถตัดออกได้ก็ถูกเซ็นเซอร์
รายการเริ่มต้นด้วยการที่ทีมผู้กำกับไปสัมภาษณ์แขกรับเชิญแต่ละคนตามบ้าน เซิ่งเฉียวถูกจัดไว้เป็นคนแรก พอเปิดประตู กล้องก็บันทึกภาพสีหน้างุนงงของเธอเอาไว้ได้ เธอสวมชุดอยู่บ้าน มัดผมครึ่งหัว ดูน่ารักเป็นกันเอง
บ้านของเซิ่งเฉียวเป็นบ้านที่เหมาะกับการอยู่คนเดียว เธอปลูกดอกไม้บานสะพรั่งไว้บริเวณระเบียง ห้องสะอาดเรียบร้อย บริเวณกำแพงห้องรับแขกยังมีภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาและแม่น้ำแขวนอยู่ด้วย
ชาวเน็ตในวงการรู้ทันทีว่านั่นเป็นผลงานของเสิ่นชิงอวิ้น จิตรกรผู้มีชื่อเสียงของจีน
ตัวอักษรวิ่ง :
[พวกเธอยังจำเฉียวอวี่ทนายความของเซิ่งเฉียวคนนั้นได้ไหม เสิ่นชิงอวิ้นก็คือคุณแม่ของเฉียวอวี่] [โอ้ เหมือนฉันรู้อะไรบางอย่างเข้าให้แล้ว] [ของขวัญที่แม่สามีมอบให้ลูกสะใภ้] [เปิดฉากจากภาพภาพหนึ่ง เนื้อหาแต่งขึ้นเองทั้งนั้น รูกลวงในสมองใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่ไปร่วมรายการมันสมองของประเทศกันนะ] [พวกเธอ ขอแนะนำว่าอย่าสร้างข่าวลือดีกว่านะ]
เมื่อชื่นชมภาพเสร็จแล้ว ก็ตัดภาพไปที่ประตูห้องซึ่งปิดอย่างแน่นหนาบานนั้นอย่างเฉพาะเจาะจง ได้ยินเสียงของผู้กำกับที่อยากเข้าไปเยี่ยมชมด้วย แต่กลับถูกเซิ่งเฉียวปฏิเสธอย่างอ้อม ๆ
ชาวเน็ต : [ในเมื่อเป็นห้องหนังสือทำไมไม่อยากให้เข้าไปเยี่ยมชม] [ด้านในคงมีบุปผาในกุณฑีทอง[2]วางอยู่เต็มไปหมดละมั้ง] [บุปผาในกุณฑีทองเป็นผลงานวรรณกรรมยิ่งใหญ่ เธอไปเข้าคอร์สกับพวกแอนตี้แฟนมาใหม่นะ]
ท้ายที่สุด เซิ่งเฉียวก็ให้ทุกคนดูกระเป๋าเดินทางของเธอ ข้าวของอย่างอื่นยังไม่เท่าไหร่ จนกระทั่งถึงหนังสือรวมข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยและหนังสือฟิสิกส์ที่ถูกดึงออกมา เซิ่งเฉียวยังกล่าวด้วยสีหน้าเขินอายเป็นพิเศษว่า “ตอนนี้ฉันเป็นนักเรียนมัธยมปีที่หกที่เตรียมสอบเข้าอยู่ค่ะ”
[ฮ่าๆๆๆๆๆ เธอไม่พูดพวกเราก็ลืมไปแล้วนะว่าปีหน้าเธอจะเข้าร่วมการสอบเอ็นทรานซ์ด้วย!]อักษรวิ่ง :
[นั่นคือหนังสือรวมข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ฉันส่งให้เฉียวเฉียวรึเปล่า!] [อาจจะเป็นอันที่ฉันส่งให้ก็ได้!] [ฉันก็ส่งให้เหมือนกัน!] [ฉันเองก็…] [หนังสือรวมข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเยอะจนทำไม่หวาดไม่ไหว กระดาษข้อสอบสูงท่วมหัว ไอดอลคงร้องไห้ที่มีแฟนคลับอย่างพวกเธอ]
พอการเยี่ยมชมเสร็จสิ้นลงก็เป็นฉากสัมภาษณ์เซิ่งเฉียว เมื่อเธอพูดว่าเมืองที่เธออยากไปที่สุดคือนิวยอร์ก ทีมฮั่วเซิ่งก็นั่งไม่ติดในทันที
[ฉันรู้! ฮั่วซีอยู่นิวยอร์ก!] [ฮือๆๆ ถึงแม้จะมองไม่เห็นไอดอลแต่ได้สูดอากาศในเมืองเดียวกันก็ยังดีนะ!] [สูดอากาศเมืองเดียวกันก็เลี่ยนเกินไปแล้วมั้งเนี่ย!] [ข้อความก่อนหน้าจะอินอะไรขนาดนั้น ฉันกับโอบามายังเป็นมนุษย์โลกเหมือนกันเลยนะ] [โอบามาเป็นไอดอลของเธอหรือไง ถ้าไม่ใช่ก็หุบปากไป เธอจะมายุ่งว่าพวกเราอินกันยังไงทำไม] [นักจิ้น คู่จิ้น อยากออกมาหาจุดยืนลดความชอบที่ซีกวงอย่างเธอมีต่อเซิ่งเฉียว]
เมื่อ WF ของทั้งสองด้อมเห็นข้อความของทีมคู่จิ้นก็รับไม่ได้ และเริ่มพิมพ์ถ้อยคำโจมตีทันที จนกระทั่งสิ้นสุดการสัมภาษณ์แขกรับเชิญทุกคนแล้ว ตัดภาพไปที่ห้องรับรองผู้โดยสารในสนามบิน แขกรับเชิญทุกคนอยู่รวมกัน ตอนที่ผู้กำกับขอให้แขกรับเชิญส่งกระเป๋าสตางค์มา ก็มีคนคอมเมนต์ว่า : [พนันได้เลยว่าเสี่ยวเฉียวซ่อนเงินเอาไว้]
จากนั้นก็เห็นผู้ช่วยผู้กำกับค้นตัวเธอได้เงินมาสองพันหยวนจริงๆ ชาวเน็ตต่างก็หัวเราะกันยกใหญ่เมื่อนึกถึงความกลัวของผู้กำกับในรายการหนีตายถวายชีวิตที่ถูกโดราเอมอนเซิ่งเฉียวจัดการ แล้วแฟนๆที่เคยดูรายการหนีตายถวายชีวิตก็คอมเมนต์กันอย่างสนุกสนาน
พอทีมงานมอบหมายให้เซิ่งเฉียวทำหน้าที่หัวหน้าทีม ชาวเน็ตต่างก็สงสัยว่าเธอมีความสามารถเพียงพอหรือไม่ เพราะการรับผิดชอบค้นหาเส้นทางและจัดเตรียมแผนการเดินทางต้องอาศัยทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดีพอสมควร
แม้ว่าเธอจะเคยพูดภาษาอังกฤษในรายการหนีตายถวายชีวิต แต่ก็พูดแค่ไม่กี่ประโยค ผู้ชมบางคนยังคิดว่านี่เป็นบทที่ทางรายการจัดเตรียมเอาไว้ก่อนด้วยซ้ำ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าภาษาอังกฤษของเธอดีจริง
บรรดาแอนตี้แฟนรีบเปิดประเด็นเสียดสีทันที [จะรอดูนักเรียนดีเด่นจอมปลอมเสียหน้า]
เมื่อแขกรับเชิญกันมาครบแล้วก็ขึ้นเครื่องบินเพื่อออกเดินทาง ภาพที่เซิ่งเฉียวทำโจทย์ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นตลกมาก ตอนนี้ทุกคนก็เลยรู้กันหมดแล้วว่าเธอไม่เก่งฟิสิกส์
แฟนคลับของเซิ่งเฉียว : [ฉันจะไปสั่งตัวอย่างข้อสอบฟิสิกส์สิบชุดในเถาเป่าให้ลูกสาวตอนนี้เลย]
ชาวเน็ต : [ฉันเดาว่าเธอคงจะถูกลูกสาวไล่ออกจากการเป็นแฟนคลับแน่ๆ]
ฉากบนเครื่องบินมีไม่มากสองนาทีก็ผ่านไปแล้ว จนกระทั่งเครื่องบินลงจอด ภาพบนหน้าก็ปรากฏตัวอักษรแสดงระยะเวลาในการบินและเวลาปัจจุบัน ท้องฟ้าเริ่มมืดลง แขกรับเชิญทุกคนก็หนาวกันจะแย่ ต่างก็เฝ้ากองสัมภาระแล้วมองซ้ายมองขวา
ในตอนนี้เซิ่งเฉียวที่ถูกสงสัยถูกเยาะเย้ยก็กำชับทุกคนให้สวมเสื้อกันหนาวระวังอย่าให้เป็นหวัด แล้วออกไปติดต่อเช่ารถเพียงคนเดียว เธอเดินไปตามป้ายจนหาจุดเช่ารถจนพบ จากนั้นก็แสดงทักษะภาษาอังกฤษอันน่าทึ่งต่อหน้าชาวเน็ตจำนวนมาก
เธอพูดได้ลื่นไหล ออกเสียงถูกต้อง ใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนาโดยไม่ปล่อยไก่ ทั้งยังต่อราคากับคนขับรถอีกด้วย สุดท้ายก็พาทุกคนนั่งรถไปยังโรงแรมได้สำเร็จ
อักษรวิ่ง :
[คนที่แขวะเฉียวเฉียวของฉันล่ะ] [หน้าแตกยับเยินหมดแล้วจะกล้าโผล่มาเหรอ] [ไม่ได้! ฉันจะบอกไว้เลยนะ! เฉียวเฉียวของฉันไม่ใช่คนกาก! ไม่ใช่เลย! เธอเป็นคนเก่ง! ใครกล้าบอกว่าเฉียวเฉียวของฉันเรียนแย่ฉันจะเอาคลิปนี้ตบหน้าให้!] [คนเก่ง คงเกินไปละมั้ง แค่พูดภาษาอังกฤษได้ ถึงขั้นขึ้นสวรรค์เลยหรือไง] [เก่งหรือไม่เก่ง พวกเรามาคอยดูกันเดือนมิถุนายนปีหน้า] [เมนต์บนนี่ขี้อิจฉาอะไรนักหนา เซิ่งเฉียวไม่เคยไปเรียนเมืองนอก ไม่ได้เรียนม.ปลาย ทักษะภาษาอังกฤษได้ขั้นนี้จะชมว่าเป็นคนเก่งก็คงไม่เกินไป ยอมรับว่าคนอื่นเขาเก่งมันยากนักหรือไง] [ฉันเป็นนักศึกษาป.โทปีหนึ่ง ฉันทำไม่ได้ ข้อสอบทำได้ดี แต่พออ้าปากพูดก็ติดๆขัดๆ อิจฉาทักษะการพูดของเธอจัง] [ฉันอยู่ลอนดอน การออกเสียงของเธอถูกต้องมากจริงๆ ติดสำเนียงของคนท้องถิ่นด้วย สงสัยว่าเธอเคยอยู่ที่ลอนดอนมาก่อน] [ไม่หรอกมั้ง เราก็รู้ตารางงานของเธอกันอยู่ เธอมีเวลาไปลอนดอนที่ไหนกัน] [ไอดอลสวยกว่าฉัน เก่งกว่าฉัน แถมยังพยายามมากกว่าฉันอีก ฮือ ดูตอนนี้จบฉันจะไปทำการบ้าน]
ภาษาอังกฤษของเซิ่งเฉียวดีเสียจนพวกแอนตี้แฟนต้องพ่ายแพ้ไป เป็นการตบหน้าพวกแอนตี้เข้าอย่างจัง ข้อความบนหน้าจอก็เลยสะอาดตาขึ้นไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจยิ่งกว่ากลับอยู่ถัดไป
วันรุ่งขึ้นขณะที่ทุกคนเดินทางตามแผนซึ่งเธออดหลับอดนอนเตรียมข้อมูลเพื่อไปยังซากราดาฟามิเลีย ฉีเหลียนและเหลียงชิวอวี้ก็ถกเถียงกันเรื่องจะจ้างหรือไม่จ้างผู้บรรยาย เซิ่งเฉียวที่ไปซื้อน้ำกลับมาก็บอกทันทีว่าไม่ต้องจ้าง เธอบรรบายให้ฟังเอง
ทุกคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้แต่ผู้ชมเองก็รู้สึกว่านี่ชักจะเสแสร้งมากเกินไปหน่อยแล้ว
เธอจะไปรู้อะไร
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะรู้จริงๆ ทั้งเรื่องราวของนักออกแบบและสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นปูมหลังของสถาปัตยกรรมหรือสไตล์การออกแบบ เธอก็อธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลไปได้ตลอดทาง แม้แต่ผู้ชมทั่วไปก็ถูกตกไปด้วย ชาวเน็ตส่วนมากที่ยังไม่เคยไปซากราดาฟามิเลียต่างบอกไปในทางเดียวกันว่าจะจองทัวร์ไปเที่ยวหนึ่งวันในช่วงวันชาติปีนี้
อักษรวิ่งบนหน้าจอเต็มไปด้วยข้อความชื่นชม แอนตี้แฟนที่เพิ่งถูกตบหน้าไปยังไม่ทันหายก็โผล่ออกมาอีก : [ข้อมูลหาได้จากไป่ตู้ทั้งนั้น พวกเธอโม้เกินไปรึเปล่า]
แฟนคลับของเซิ่งเฉียว : [ข้อมูลที่หาได้จากไป๋ตู้แบบนี้ ทำไมแขกรับเชิญคนอื่นถึงไม่รู้ แต่เฉียวเฉียวรู้ล่ะ]
แอนตี้แฟน : […]
แม่เจ้า แฟนคลับอย่างพวกเธอนี่มันจริงๆเลย
เหอะๆ ถ้าเปรียบกับพวกชอบงัดข้ออย่างพวกเธอแล้วยังห่างชั้นอยู่หนึ่งขั้น
[1]ล้อสำเนียง จากคำว่า 耍朋友 (สว่าเผิงโหย่ว) ซึ่งเป็นคำพูดของคนเสฉวน มีความหมายว่าคบหาเป็นแฟนกัน
[2] บุปผาในกุณฑีทอง (金瓶梅) เป็นวรรณกรรมอีโรติกของจีนซึ่งบรรยายบทสังวาสไว้ค่อนข้างชัดเจน เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายมากรักที่แม้จะมีภรรยาจำนวนมากอยู่แล้วก็ยังมีสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นอีก เขาต้องจัดการเรื่องราวทั้งภายในและภายนอกบ้าน จนชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ วรรณกรรมเรื่องนี้แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ไม่ปรากฏชื่อจริงของผู้แต่ง แต่ผู้แต่งใช้นามปากกาว่า “บัณฑิตแห่งสุสานกล้วยไม้ผู้ยิ้มเยาะ (兰陵笑笑生)” บุปผาในกุณฑีทองจัดเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์หมิง