我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 1
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
ยุคสมัยที่เทคโนโลยีต่างๆ พัฒนาถึงขีดสุด
สายเลือดจักรพรรดิโบราณในตัว ชุยชีฉาว ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
หลินหลิน แห่ง LJJ รีบคว้าตัวทายาทท่านเทพเอาไว้หมับ
คิดว่าจะทำรายได้ให้รายการเรียลลิตี้ในโลกเสมือนอย่างถล่มทลาย
ทว่าสายเลือดเทพโบราณที่ย้อนไปถึงเหยียนตี้เสินหนง
ไม่ค่อยอยู่ในกรอบที่ LJJ หวังไว้สักเท่าไหร่
แต่เทพก็คือเทพ จะหยิบจะจับอะไร
สุดท้ายก็ดึงดูดผู้คนให้สนใจได้ทั้งนั้น
ว่าแต่ … ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของท่านเทพจะเป็นยังไงกันนะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1.2
ชุยชีฉาวสวมชุดสูทสามชิ้นสีเข้มเป็นระเบียบ ในวงแขนโอบกระถางต้นกล้าสูงสิบเซนติเมตร รถของอธิการบดีชุยขับวนรอบพื้นที่มหาวิทยาลัย C สายตาของชุยชีฉาวจ้องเขม็งไปยังพื้นหญ้าสีเขียวภายในรั้วมหาวิทยาลัย ละเลยสายตาเป็นห่วงจากอธิการบดีชุยไปอย่างสิ้นเชิง
พื้นที่ว่างเยอะจัง อยาก…อยากจะครอบครองพวกมันทั้งหมด…
แล้วปลูกจนเต็มพื้นที่
“ชีฉาว…” คิ้วของอธิการบดีชุยขมวดเข้าหากันแน่น เขาเอ่ยอย่างเป็นห่วง “หลานจะเข้าร่วมการประมูลโรงอาหารจริงเหรอ? อาไม่เข้าใจเลย ตอนหลานไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกกดดันไปใช่ไหม?”
น้ำเสียงตอนเปรยคำว่า “ประมูลโรงอาหาร” ของอธิการบดีชุยแปลกประหลาดจนถึงขั้นสุด ไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องแบบนี้เข้ากับหลานชายของตัวเองได้จริงๆ
ชุยชีฉาว “อืม” รับคำ ไม่ได้ปฎิเสธอะไร “อยากผ่อนคลายน่ะครับ”
คิ้วที่ขมวดของอธิการบดีชุยค่อยๆ คลายลง สายตาเหลือบไปเห็นกระถางในมืออีกฝ่าย “ถ้าหลานแค่นึกอยากปรับสภาพอารมณ์ อาก็จะไม่ว่าอะไรอีก ยังไงร่างกายก็สำคัญที่สุดอยู่แล้ว อาไม่กลัวว่าหลานจะไม่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การทำงาน แต่ห่วงเรื่องสุขภาพที่แข็งแรงของหลานมากกว่า”
เขามั่นใจว่าเมื่อครู่ตัวเองเห็นความทะเยอทะยานในสายตาของชุยชีฉาว—— ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดจากเรื่องอะไรก็ตาม
“ขอบคุณครับคุณอา งั้นเรื่องประมูล?” ชุยชีฉาวมองไปทางอีกฝ่าย
อธิการบดีชุตอบอย่างไม่ลังเล “ตอนบ่ายหลานแค่ไปดูว่าชอบที่พักไหมก็พอ”
“ขอบคุณครับคุณอา” คราวนี้ชุยชีฉาวถึงเผยรอยยิ้มออกมา เขาดูไม่ต่างจากร่างจริงเลยแม้แต่น้อย จะต่างก็เพียงแค่ขอบตาดำคล้ำที่หายไปพร้อมกับดูมีชีวิตชีวามากขึ้นก็เท่านั้น เรียวคิ้วที่เข้มดั่งหมึกจีนโค้งขึ้นเหมือนต้นหลิวยามฤดูใบไม้ผลิ[1]
ได้ยินมาว่าบริษัท LJJ อ้างอิงข้อมูลมากมายระหว่างพัฒนาโลกเสมือน ข้อมูลเหล่านั้นรวมถึงคลังข้อมูลของมนุษย์จริงๆ ที่พวกเขาเสียเงินทุนก้อนใหญ่ซื้อมาด้วย พอได้เผชิญหน้ากับความเป็นห่วงเป็นใยที่ดูจริงใจจากอธิการบดีชุย เขาถึงได้หมดข้อสงสัยในตรงนี้
“อาก็มีหลานแค่คนเดียว ขอบคุณอะไรกัน” อธิการบดีชุยถามขึ้นอีก “เออใช่ นี่หลานปลูกดอกไม้อะไรอยู่”
ชุยชีฉาว “พริกครับ”
อธิการบดีชุย “หา?”
ชุยชีฉาวมองโดยละเอียดอีกที “พืชตระกูลมะเขือ[2] โดยทั่วไปเรียกว่าพริกชี้ฟ้าครับ”
อธิการบดีชุย “?”
บริษัท LJJ
หลินหลินถามย้ำลูกน้องที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาล่องลอย “เธอว่ายังไงนะ พูดอีกรอบซิ”
ลูกน้องพูดรัว “คุณชุยไม่ได้เป็นอาจารย์และไม่ได้เป็นนักศึกษา แต่เขาเข้าร่วมการประมูลโรงอาหารของมหาวิทยาลัย C ค่ะ”
หลินหลินลุกพรวดขึ้นทันที “เขาเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นแล้วไม่ใช่หรือไง? พวกเราทำรายการหมวดชีวิตในรั้วโรงเรียนอยู่ ไม่ใช่แนวทำอาหารนะ—— ไม่สิ ถึงจะเป็นรายการอาหารก็เถอะ แต่ใครเขาจะเริ่มต้นจากการทำโรงอาหารกัน!”
ทุกคนดูรายการหมวดชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะอยากดูชีวิตในวัยเรียนต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นรักต้องห้ามระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ หรือจะเป็นความรักบริสุทธิ์ของเหล่านักเรียนนักศึกษา โรงอาหารควรจะเป็นแค่หนึ่งในฉากที่ไม่สำคัญนักถึงจะถูก
อีกอย่างถึงเป็นรายการอาหาร พวกอาหารประจำตระกูลเอย อาหารพื้นบ้านเอย อาหารในงานเลี้ยงสุดหรูหราเอย หรือจะเป็นการเอาชีวิตรอดในป่ายังจะดูมีอนาคตมากกว่านี้เลย มาทำโรงอาหารนี่คือเรื่องอะไรกัน?
ถึงต่อจากนี้ชุยชีฉาวอาจจะมีความรักกับใครสักคน แต่ความเท่ก็ลดลงไปแล้วไม่น้อย ถ้าปล่อยรายการแบบนี้ลงในแชแนล จะโดนผู้ชมร้องเรียนหรือเปล่า?
ไม่ใช่สิ… ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็ทำแบบนี้ไม่ได้ไหม?!
ลูกน้องก้มหน้าก้มตาพูดต่อ “ทนายของเขายืนยันว่าการกระทำแบบนี้ไม่ผิดข้อสัญญาสักข้อ เขาเข้ารั้วมหาวิทยาลัยไปจริง แถมพวกเรายังไม่สามารถทำการแทรกแซงในเรื่องนี้ได้อีก”
หลินหลินรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ “ฉันกำลังสงสัยว่าโดนหลอกทำสัญญาด้วยหรือเปล่าด้วยซ้ำ! เขามีสายเลือดระดับสูงพิเศษอย่างสามราชาห้าจักรพรรดิไม่ใช่หรือไง?”
ลูกน้อง “เอ่อ ได้ยินมาว่าสายเลือดของคุณชุยชีฉาวมาจากเหยียนตี้เสินหนง[3]ค่ะ แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็แค่เกิดความต้องการที่จะปลูกพืชผักนะคะ”
หลินหลิน “…”
ลูกน้อง “ทนายของเขาบอกว่าตอนนี้ประชากรล้นหลาม พื้นที่จัดสรรปันแบ่งให้แต่ละคนน้อยเกินไป โลกเสมือนกลับกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการระบายความต้องการปลูกพืชพันธุ์ของเขาน่ะค่ะ บอสคะ การสร้างโลกเสมือนแต่ละครั้ง ค่าใช้จ่ายสูงขนาดนี้เลยนะคะ จะหยุดกลางคันก็ไม่คุ้มเท่าไหร่ แถมพวกเรายังเซ็นสัญญาระยะยาวอีกด้วย จะขาดทุนไหมคะเนี่ย…”
หลินหลิน “…”
ถึงอธิการบดีชุยจะตกปากรับคำแล้ว แต่ชุยชีฉาวก็ต้องลงมือทำงานบางอย่างเองอยู่ดี อย่างพวกเอกสารการจดทะเบียนบริษัท ใบอนุญาตประกอบการธุรกิจ เอกสารประมูลราคาโรงอาหาร หรือข้อมูลโครงการ เป็นต้น
ส่วนเรื่องพนักงาน อธิการบดีชุยเคยบอกไว้ว่าพนักงานโรงอาหารก่อนหน้ามาจากบริษัทจัดส่งแรงงานที่เซ็นสัญญาด้วย หากเขาจะเข้าร่วมการประมูล อีกฝ่ายก็สามารถช่วยติดต่อจ้างงานพนักงานเดิมต่อได้ พอเป็นแบบนี้จะได้ออมแรงไปอีกเปราะ
ชุยชีฉาวยังไม่เข้าใจโลกนี้มากนัก จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย
เขากำลังเช็คเงินทุนที่ตนเองมีอยู่ จากหมวดหมู่ประเภทของโลกเสมือนผนวกกับเซตติ้งของเขาแล้ว เงินในบัญชีที่มีนั้น เพียงพอสำหรับการบริหารในช่วงแรก อีกทั้งยังมีรายรับหลังโรงอาหารเริ่มเปิดทำการอีก
โรงอาหารของมหาวิทยาลัย C ไม่เปิดให้คนภายนอกใช้บริการ ซ้ำยังไม่รับเงิดสดอีกต่างหาก เหล่าอาจารย์และนักศึกษาต้องใช้บัตรของมหาวิทยาลัย[4]ในการรูดจ่ายค่าอาหาร แล้วค่อยไปคิดเงินกับแผนกการเงินทุกสิ้นเดือนแทน
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ชุยชีฉาวสนใจ เขากำลังตั้งใจศึกษาแผนผังของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งที่ตัวเองเตรียมจะประมูลอยู่
ทั้งสองข้างของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งอยู่ติดกับหอพักนักศึกษา ด้านหนึ่งหันไปทางริมถนน ส่วนอีกด้านหันไปหาภูเขาลูกเล็กภายในมหาวิทยาลัย บนภูเขามีสวนสาธารณะขนาดเล็กที่สร้างไว้ให้นักศึกษาขึ้นไปพักผ่อนหย่อนใจได้
โครงสร้างของโรงอาหารมีทั้งหมดห้าชั้น ในนั้นรวมชั้นใต้ดินซึ่งเป็นโซนห้องครัว ห้องแช่แข็ง และโซนแปรรูปอาหารต่างๆ ไว้ด้วย ชั้นหนึ่งถึงสี่เป็นโซนร้านอาหาร โดยมีห้องครัว ห้องทำงาน ห้องประชุมรวมอยู่ด้วย พื้นที่ทั้งหมดของตึกมีมากกว่าหนึ่งพันตารางเมตร
ชุยชีฉาวพอยอมรับพื้นที่นี้ได้ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือพื้นที่ทั้งหมดของมหาวิทยาลัย C มากกว่า
ในโลกที่เขาใช้ชีวิตอยู่ มนุษย์ยากที่จะมีพื้นที่ให้ใช้สอยมากขนาดนี้ เพราะอย่างนั้นเทคโนโลยีโลกเสมือนจึงถูกยกให้เป็นทิศทางในอนาคตของมวลมนุษยชาติมาโดยตลอด หากเทคนิคของมันพัฒนาได้มั่นคงกว่านี้ คนปกติธรรมดาทั่วไปคงเข้าถึงได้
ชุยชีฉาวดูไปดูมาก็เริ่มควบคุมแรงกระตุ้นภายในไม่อยู่ หลังจากสายเลือดที่สืบทอดจากกษัตริย์ยุคโบราณได้ตื่นขึ้น รอบกายของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของราชันย์ นึกอยากจะปลูกของกินอะไรสักอย่างให้รู้แล้วรู้รอด
บริษัท LJJ วางแผนเรื่องชุยชีฉาวไว้อย่างจริงจัง แม้ภายนอกจะทำเป็นไม่มีสคริปต์เตรียมไว้ให้ชุยชีฉาว แต่พวกเขากลับเซตเวลาเริ่มต้นไว้หลังจากหมดเขตรับสมัคร และเพิ่มตัวช่วยอย่างอธิการบดีชุยมาให้ด้วย
—— ไม่ว่ายังไง การปรากฏตัวขึ้นแบบไม่บอกไม่กล่าวก็ให้ความรู้สึกว่าเท่กว่านี่นา
ใครจะไปรู้ว่าถึงชุยชีฉาวจะใช้ตัวช่วยนี้ก็จริง แต่กลับเอาไปช่วยในการทำสัญญาประมูลซื้อโรงอาหารแทนเล่า ตอนหลินหลินรู้เรื่องเกือบกระอักเลือดตาย
เมื่อมีการช่วยเหลือจากอธิการบดีชุย เขาย่อมประมูลสำเร็จและกลายเป็นผู้บริหารโรงอาหารหมายเลขหนึ่งของมหาวิทยาลัย C อย่างไร้ข้อกังขา เจ้าของเดิมที่แพ้การประมูล ขายเครื่องมืออุปกรณ์เดิมของโรงอาหารหนึ่งต่อให้เขาอย่างหดหู่
พนักงานทั้งหมดของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งต่างเผยสีหน้าสงสัย เมื่อเห็นชุยชีฉาวปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระถางต้นพริกชี้ฟ้าที่เริ่มงอก
ทุกคนอ่อนไหวกับนามสกุล “ชุย” เป็นพิเศษ เพราะเป็นนามสกุลเดียวกันกับอธิการบดี ซ้ำตอนแรกยังได้ยินมาว่าคุณชุยคนนี้เป็นนักเรียนนอกที่เพิ่งกลับมาอีกต่างหาก พอมาเห็นเจ้าตัวที่มีใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดสูทพอดีตัวเน้นสัดส่วนเอวบางกับเรียวขายาวเป็นอย่างดีแล้ว มันก็ทำให้ทุกคนอดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้…คนแบบนี้ ทำไมถึงเลือกมาบริหารโรงอาหารกันนะ?
ไม่ใช่แค่นั้น คุณชุยคนนี้ยังไปคุยกับบริษัทจัดส่งแรงงาน ปรับสัญญาขึ้นเงินเดือนกับสวัสดิการให้กับทุกคนจนเสร็จสรรพอีกต่างหาก มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าทุกอย่างราวกับความฝันอย่างไรอย่างนั้น
“สวัสดีครับทุกคน ผมสกุลชุย ชุยชีฉาวครับ เมื่อสักครู่ผมได้ตรวจดูข้อบังคับเดิมทั้งหมดแล้ว ส่วนมากน่าจะใช้ต่อไปได้” ชุยชีฉาวแนะนำตัวอย่างเรียบง่ายจนไม่รู้ว่าจะง่ายกว่านี้ยังไง ไม่มีคำพูดที่ซับซ้อนยุ่งยาก หรือแม้กระทั่งคำกล่าวเปิดตัวตำแหน่งใด ๆ
เขาไม่ทำความคุ้นเคยกับโครงสร้างพนักงาน ไม่ชิมอาหาร และไม่พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์การขายในปัจจุบัน แต่กลับมอบคำสั่งแรกให้แทน “ตอนนี้รบกวนขอให้ทุกคนถอนต้นไม้ทุกต้นออก และถอนหญ้าที่อยู่บริเวณรอบนอกโรงอาหารออกให้หมดด้วยครับ”
ทุกคน “?”
หลี่ทิงเหมย แม่ครัวจากเคาน์เตอร์ชั้นหนึ่งถามสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจขึ้น “เถ้าแก่ชุย ทำไมเหรอคะ นี่คือจะทำอะไรกัน?”
ชุยชีฉาวปรายตามองเธอทีหนึ่งพร้อมตอบ “คิดว่าเป็นการลดค่าใช้จ่ายแล้วกันครับ ผมไปดูพวกผักในห้องแช่แข็งมาแล้ว ผมอยากให้ที่ตรงนี้ทั้งหมดเปลี่ยนมาปลูกพริกแทนครับ”
พนักงานของโรงอาหารต่างมองกันไปมา ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่าวิธีการนี้มันแปลกอะไรนัก—— เพราะคนจีนไปไหนก็ชอบปลูกพริกปลูกกระเทียมเองไม่ใช่หรือไง? แต่พอประโยคนี้ออกมาจากปากอีกฝ่ายแล้ว กลับให้ความรู้สึกไม่เข้ากันเป็นอย่างยิ่ง แถมเถ้าแก่ชุยยังเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาไปอีก แม้แต่ต้นไม้ เขาก็จะให้คนเปลี่ยนมันเป็นพริกทั้งหมด…
ความจริงแล้วพวกต้นไม้พืชพันธุ์ดอกไม้ที่ตั้งอยู่ทั้งในและนอกโรงอาหารต่างถูกปลูกขึ้นโดยทางมหาวิทยาลัยทั้งหมด จะมีคนจากบริษัทดอกไม้มาเปลี่ยนดอกไม้สดเป็นระยะๆ
แม้แต่หญ้าก็เป็นหนึ่งในส่วนของโครงการพื้นที่สีเขียว พูดตามหลักแล้วพวกเขาไม่ควรจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
แต่ว่าพอนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเถ้าแก่ชุยกับท่านอธิการบดีชุย แถมพื้นที่ตรงนี้ยังเป็นของโรงอาหารอีกต่างหาก ถ้าถอนไปก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกมั้ง?
เพื่อแสดงภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าเจ้านายคนใหม่ ทุกคนได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วเริ่มลงไม้ลงมือทำงาน คนที่กรีดเอาเมล็ดก็กรีดต่อไป ส่วนคนที่นำไปตากก็นำไปตาก พืชที่ถูกถอนออกมาก็ถูกย้ายออกไป
ชุยชีฉาวคอยสั่งการอยู่ด้านข้าง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอม เขาราวกับจะมีความอ่อนไหวกับขั้นตอนการเพาะปลูกมาตั้งแต่เกิด เขากำหนดเวลาไว้ชัดเจนสำหรับแต่ละขั้นตอน ขนาดวิธีการก็ต้องเป็นไปตามที่ชายหนุ่มสั่ง
ก่อนหน้านี้ทางโรงอาหารเคยตากเมล็ดพริกเอาไว้จำนวนหนึ่ง พวกมันสามารถนำไปปลูกได้ในทันที ชุยชีฉาวห้ามไว้ในขณะที่พวกเขากำลังจะนำเมล็ดพวกนั้นไปปลูก “ความชุ่มชื้นในดินไม่พอครับ ต้องรดน้ำก่อน ปริมาณน้ำต้องมีอย่างน้อยเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ขุดดินให้ลึกถึงห้าสิบเซนติเมตร แล้วค่อยทำการปลูกแบบแถวเดี่ยว[5] โดยเว้นระยะห่าง…สามสิบเจ็ดจุดห้าเซนติเมตรครับ”
พนักงานของโรงอาหารต่างอ้าปากค้าง
พวกเขาบางคนเติบโตขึ้นในพื้นที่ชนบท ที่บ้านเกิดของตนเองก็พอมีพื้นที่อยู่บ้าง ตอนแรกพวกเขานึกว่าคนอย่างเถ้าแก่ชุยจะดีแต่สั่ง อีกฝ่ายจะไปเข้าใจการปลูกผักเสียเท่าไหร่เชียว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่ปริปาก…จะละเอียดถึงสามสิบเจ็ดจุดห้าเซนติเมตรเลยทีเดียว!
พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเลขแม่นยำหรือไม่ แต่ก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ พริกชอบผืนดินที่ชุ่มชื้นอยู่แล้วนี่นา
ทุกคนต่างก็ใช้ไม้บรรทัดมาวัดระยะห่างตามความต้องการของชุยชีฉาว
“เอ๋…คือว่าตรงนี้ ตรงนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่เหรอครับ ยังมีอะไรให้กินอยู่ไหม?”
ชุยชีฉาวมองไปตามเสียง คนที่เอ่ยปากเป็นเด็กนักศึกษาสวมแว่นคนหนึ่ง ในมือถือบัตรของมหาวิทยาลัยไว้ด้วยใบหน้ามึนงง จริงๆ แล้วเวลานี้เลยเวลาปิดทำการไปแล้วสิบนาที ช่วงวันหยุดมีอาจารย์กับนักศึกษาน้อยอยู่แล้ว ทั้งโรงอาหารจึงมีเพียงแค่นักศึกษาคนเดียวที่กำลังยืนมองเหล่าซือฟู่[6]ทำงานยุ่งด้วยใบหน้าสงสัย
“สวัสดีครับนักศึกษา” ถึงชุยชีฉาวจะใช้โรงอาหารเป็นข้ออ้างเพื่อทำไร่ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังจำได้ว่าหน้าที่หลักของโรงอาหารคือการให้บริการด้านอาหารแก่เหล่าอาจารย์และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย C เขาปรายตามองนักศึกษาคนนี้ทีหนึ่ง “ตอนนี้เลยเวลาให้บริการไปแล้วนะ”
“อ๊ะ จริงด้วย…” เมิ่งชั่งกล่าวอย่างอึดอัดใจ “อาจารย์ครับ คือว่า ผมอ่านหนังสือเพลินไปหน่อย แค่อยากมาดูว่ายังมีอะไรเหลือไหมน่ะครับ”
ชุยชีฉาวมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด “ผมไม่ใช่อาจารย์”
เมิ่งชั่งรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม ชุยชีฉาวอยู่ในชุดสูทสง่าผ่าเผย ซ้ำยังดูมีอำนาจบาตรใหญ่อีกต่างหาก บวกกับการที่อยู่ในมหาวิทยาลัยมานาน ความรู้สึกแรกเจอจึงบ่งบอกว่าเป็นอาจารย์ ถ้าไม่เห็นว่ายังดูอายุน้อย เขาอยากเรียกว่าศาสตราจารย์ด้วยซ้ำ “ขอโทษด้วยนะครับ ผมนึกว่าคุณเป็นอาจารย์ของมหาลัยเรา”
“ฉันเป็นคนของโรงอาหารหมายเลขหนึ่ง” ชุยชีฉาวเอ่ยเรียบๆ
“…” เมิ่งชั่งคิดในใจ คนของโรงอาหารหนึ่ง? หมายความว่ายังไง? โรงอาหารหนึ่งถึงขั้นต้องจ้างนายแบบเพื่อแย่งนักศึกษากับโรงอาหารสี่เลยเหรอ?
ตอนนี้พนักงานของโรงอาหารต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับงาน ชุยชีฉาวบอก “รอแป๊บนึง เดี๋ยวฉันไปดูให้ว่ายังมีอะไรให้กินไหม ถ้ามีจะทำมาให้”
เมิ่งชั่งแย้มยิ้มที่ดูเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก “โอเคครับ”
มาจนถึงตอนนี้ เขาถึงมั่นใจว่าหนุ่มหล่อคนนี้เป็นคนของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งอย่างแน่นอน—— มีแต่คนของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งเท่านั้นแหละ ที่จะมีนิสัยนำวัตถุดิบอะไรที่เหลือก็ตามมาผัดรวมกันน่ะ!
ในยามปกติ บางครั้งชุยชีฉาวก็เลือกที่จะลงมือทำอาหารเป็นงานอดิเรกแทนการใช้เครื่องทำอาหารในครัว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้จักอาหารทุกอย่างของที่นี่อยู่ดี ส่วนเครื่องครัวต่างๆ เพราะทำอาหารกินเองในหลายวันมานี้ เขาจึงพอคุ้นเคยกับพวกมันบ้างแล้ว
ในเวลานี้ข้าวและกับที่เหลือถูกจัดการทิ้งไปจนเกือบหมดแล้ว มีเพียงน่องไก่ทอดไม่กี่ชิ้นกับผัดหน่อไม้น้ำหลงเหลืออีกนิดหน่อย
ชุยชีฉาวยืนมองกับข้าวที่เหลือในมืออย่างครุ่นคิด ตั้งแต่ที่สายเลือดนี้ตื่นขึ้น เขาก็อ่อนไหวกับอาหารมากขึ้น การคำนวณอันแม่นยำนั้นไม่ได้ปรากฏให้เห็นแค่เรื่องการเพาะปลูกเท่านั้น เขายังสามารถประมาณรสชาติได้อีกด้วย
รสสัมผัสก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การเพาะปลูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยต่าง ๆ
เขาชิมปีกไก่กับผัดหน่อไม้น้ำเล็กน้อยพร้อมวางแผนในใจ จากนั้นก็ลอกแป้งของน่องไก่ทอดออกอย่างไม่ลังเล ก่อนจะจัดการนำมันมาหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า ที่แท้ผัดหน่อไม้น้ำพวกนี้ก็ยังผัดได้ไม่สุกดีนั่นเอง อาจเป็นเพราะใช้ไฟแรงผัดไปจนสุกเพียงแค่เจ็ดส่วน น้ำมันที่ใช้ก็มากเกินไป ในสายตาของชุยชีฉาวจึงมีแต่จุดบกพร่องเต็มไปหมด
ชุยชีฉาวอุ่นน้ำมันจนร้อน หลังผัดต้นหอมและขิงจนส่งกลิ่นหอม เขาก็ใส่เนื้อน่องไก่หั่นเต๋าพร้อมกับหน่อไม้น้ำลงไปผัดใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็เด็ดพริกชี้ฟ้าสองสามเม็ดจากต้นมาสับละเอียด ก่อนจะโยนตามลงไป
ด้วยความสามารถในการรับรู้ที่ละเอียดอ่อนและการควบคุมวัตถุดิบของชุยชีฉาว หลังน่องไก่หั่นเต๋ากับหน่อไม้น้ำผัดซ้ำถูกจัดอยู่บนจาน น้ำมันเบาบางกองรวมด้านใต้แนบชิดสนิทอยู่กับตัววัตถุดิบ พื้นจานโดยรอบยังคงความขาวสะอาด น่องไก่หั่นเต๋าที่ถูกผัดจนเหลือง หน่อไม้น้ำขาวนวลเจือสีเหลืองที่ตัดกับพริกชี้ฟ้าสีแดงสด พร้อมทั้งต้นหอมกับขิงบนนั้นทำให้อาหารพื้นบ้านง่าย ๆ ดูมีสีสันยิ่งขึ้น ดูเป็นอาหารผัดที่ไม่มันเยิ้มจนเกินไป มิหนำซ้ำยังให้ความรู้สึกสดชื่นแทนอีกต่างหาก
ความรู้สึกสดชื่นเช่นนี้เกิดได้จากการประมาณอย่างแม่นยำ ทุกอย่างกะจังหวะเวลาได้อย่างเหมาะเจาะ การนำไก่หั่นเต๋ากับหน่อไม้น้ำจานนี้มาผัดซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการใช้น้ำมัน เครื่องปรุง หรือความแรงของไฟที่ใช้ การควบคุมเช่นนี้ต่างจากฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวที่มากประสบการณ์ สิ่งที่ชุยชีฉาวพึ่งพาคือความเข้าใจที่มีต่อวัตถุดิบ การคำนวณและการลิ้มรสของตนเอง สำหรับกับข้าวโรงอาหารธรรมดาเช่นนี้ แม้แต่ชุยชีฉาวที่ไม่ได้มีฝีมือการทำอาหารอะไรเป็นพิเศษยังก็ยังทำได้ ซ้ำยังออกมาอย่างพอดิบพอดีอีกต่างหาก
ชุยชีฉาวตักข้าวชามหนึ่ง—— และใช้สายตารังเกียจมองข้าวชามนี้ไปในขณะเดียวกัน สุดท้ายถึงยอมทนวางมันลงบนถาดอาหาร แล้วยกออกไปให้เด็กนักศึกษาคนนั้น
เมิ่งชั่งนั่งอยู่ ดังนั้นสิ่งที่เขารับรู้เป็นอันดับแรกก่อนจะได้เห็นตัวอาหารคือกลิ่นหอมอันแสนดึงดูด เพียงแค่ได้กลิ่นก็รู้ได้แล้วว่ากับข้าวจานนี้จะเข้ากันได้ดีกับข้าวเปล่าแค่ไหน
ปกติกับข้าวของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งไม่จืดชืดก็รสแปลกพิลึก นานๆ ทีถึงจะมีอาหารปกติโผล่มาบ้าง ส่วนกลิ่นหอมที่สามารถเรียกได้ว่าอยู่ในระดับ “น่าดึงดูด” น่ะเหรอ เมิ่งชั่งชักสงสัยแล้วว่าสัมผัสการรับกลิ่นของตนเองมีปัญหาหรือเปล่า
ชุยชีฉาววางอาหารลง “นายกินเผ็ดได้ใช่ไหม ฉันเพิ่มรสด้วยการใส่พริกลงไปหน่อยน่ะ”
มิน่าล่ะ กลิ่นหอมนี้ถึงได้มีกลิ่นชวนสำลักผสมปนอยู่ด้วย น้ำลายในปากเมิ่งชั่งถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก เขาพยักหน้าตอบโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนใช้ตะเกียบคีบน่องไก่หั่นเต๋าขึ้นหลายชิ้นในทีเดียว
หลังจากถูกนำไปผัดใหม่ น่องไก่หั่นเต๋าที่เคยถูกทอดด้วยน้ำมันทะลักและเกลือหยิบมือนั้นโดนย้อมเป็นสีเหลืองเกรียมจากซีอิ๊ว เครื่องปรุงกลมกล่อมระเบิดกลิ่นหอมออกมา อีกทั้งตัวพริกชี้ฟ้ายังเพิ่มรสชาติได้อย่างพอดิบพอดี ราวกับเป็นการวาดดวงตาให้แก่มังกร[7]อย่างไรอย่างนั้น
พอตะเกียบส่งอาหารเข้าปาก ความหิวโหยและความอยากอาหารของเมิ่งชั่งก็ปะทุขึ้นพร้อมกัน
เขาคีบหน่อไม้น้ำขึ้นอีกชิ้น หน่อไม้น้ำที่ถูกหั่นเป็นชิ้นบางมีรสกล่มกล่อมหลังผ่านการผัดถึงสองรอบ รสหวานจากตัวผักที่เจืออยู่เล็กน้อยช่วยกลบความมันได้เป็นอย่างดี
“ซี้ด…” เมื่อเคี้ยวไปได้ไม่กี่คำ รสชาติของพริกชี้ฟ้าก็แล่นขึ้นมา แม้จะใส่เพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม แต่สำหรับเมิ่งชั่งที่เป็นคนจากทางใต้นั้นเรียกได้ว่าเผ็ดใช้ได้แล้ว
รสชาติของพริกชี้ฟ้านี้ ไม่เหมือนกับที่เขาเคยกินเท่าไหร่ มันมีกลิ่นหอมที่ปกติแล้วพริกชี้ฟ้าทั่วไปไม่มี จะพูดอย่างไรดี… ถ้าใช้คำพูดเบียว[8] ๆ มาอธิบาย มันก็คงจะเป็นรสเผ็ดที่มีจิตวิญญาณล่ะมั้ง!
แต่ยิ่งเผ็ดก็ยิ่งชวนให้กินต่อ รสเผ็ดกระตุ้นน้ำลายในปากของเมิ่งชั่งให้ยิ่งผลิตออกมาเยอะขึ้น ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้น หลังพ่นลมหายใจออกสองสามทีก็เกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมา เขาจึงกวาดข้าวเหลือที่มีรสสัมผัสไม่ค่อยดีเท่าไหร่มาช่วย
หลังเมิ่งชั่งเขมือบไปเกือบครึ่ง แล้วเงยหน้าอีกที เขาก็พบว่าหนุ่มหล่อคนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ น่าจะไปขุดดินกับคนอื่นแล้วละมั้ง อีกฝ่ายบอกเองนี่นาว่าตัวเองเป็นคนของโรงอาหารหมายเลขหนึ่ง…เดี๋ยวนะ
ตอนนี้เองที่เมิ่งชั่งเพิ่งรู้สึกตัว คนของโรงอาหารหมายเลขหนึ่ง? จริงสิ นี่มันอาหารของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งนี่นา!
เมิ่งชั่งถ่ายรูปอาหารที่เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวส่งเข้ากลุ่มแชทรุ่นด้วยใบหน้าเหม่อลอย
“เพื่อนๆ ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงอาหารหมายเลขหนึ่ง มีพี่ชายสุดหล่อคนหนึ่งผัดผักให้ฉันกิน โคตรอร่อยเลย”
ข้อความหลายอันตอบเรียงกลับมาในทันที
“เหอะๆ”
“เหอะๆ …”
“เหอะๆ!”
[1] ต้นหลิวยามฤดูใบไม้ผลิ เป็นสำนวนจีนที่แปลว่านุ่มนวล งดงาม
[2] พริก พืชตระกูลโซลานาซีอี (Solanaceae) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับมะเขือ มันฝรั่ง และยาสูบ พืชในตระกูลนี้มีอยู่ประมาณ 90 สกุล หรือ 2,000 ชนิด โดยทั่วไปเป็นได้ทั้งพืชล้มลุก ไม้พุ่ม และไม้ยืนต้นขนาดเล็ก
[3] เหยียนตี้เสินหนง (炎帝神農) หนึ่งในสามราชาในยุคสามราชาห้าจักรพรรดิ ในตำนานมักจะบอกว่าเหยียนตี้ (จักรพรรดิแห่งไฟ) กับเสินหนง (เทพแห่งการเกษตรและการแพทย์) เป็นคนเดียวกัน ตำนานกล่าวไว้ว่าเขาคือเทพผู้ที่สั่งสอนในด้านการทำกสิกรรม เกษตรกรรม รวมไปถึงด้านการแพทย์ให้แก่มนุษย์ และเป็นผู้ที่รวบรวมสรรพคุณของสมุนไพรต่างๆ ด้วยการชิมถึงร้อยกว่าชนิด เขามีลักษณะสูงถึงสามเมตร และมีเขาวัวอยู่บนหัว
[4] บัตรของมหาวิทยาลัยในส่วนนี้จะต่างจากบัตรนักเรียน เป็นบัตรที่บางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศจีนใช้ร่วมกันในสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อข้าว ซื้อของในสหกรณ์ หรือเป็นการใช้จ่ายใดๆ ในสถานศึกษาก็ตาม
[5] การปลูกแบบแถวเดี่ยว เป็นการปลูกพืชผักแบบทั่วๆ ไป โดยมีระยะระหว่างต้นและระยะระหว่างแถวคงที่
[6] ซือฟู่ (師傅) เป็นคำสุภาพ คำให้เกียรติ ใช้เป็นสรรพนามเวลาเราเรียกช่างหรือคนงานที่มีความชำนาญหรือมีประสบการณ์บางสาขา เช่น ช่างไม้ พ่อครัว ช่างแต่งผม คนขับรถ ฯลฯ
[7] การวาดดวงตาให้แก่มังกร ปกติแล้วมักจะใช้กับบทความหรือการพูด เมื่อมีการใช้คำพูดได้ตรงจุดในส่วนสำคัญ จนทำให้เนื้อหาชัดเจนขึ้น ก็จะทำให้ประเด็นนั้นๆ ดูน่าสนใจ ในที่นี้น่าจะหมายถึงตัวพริกที่เพิ่มรสชาติให้แก่อาหารได้อย่างถูกจุด
[8] เบียว หรือ จูนิเบียว เป็นคำศัพท์ที่มาจากภาษาญี่ปุ่น โดยความหมายเดิมแปลว่ามัธยมต้นปีที่สอง เป็นคำที่เริ่มใช้เรียกอาการของเด็กม.สองของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ติดการ์ตูนและอนิเมะจนอาจคิดว่าตัวเองมีความสามารถหรือพลังดั่งเช่นในนั้น ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่นำผ้าพันแผลมาพันรอบหัวทับดวงตาหนึ่งข้าง แล้วอาจพูดว่า “จะปล่อยดวงตาแห่งคำสาปออกมาไม่ได้นะ” เป็นต้น ก่อนจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายกับคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ม.สองแล้วก็ตาม