我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 1
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
ยุคสมัยที่เทคโนโลยีต่างๆ พัฒนาถึงขีดสุด
สายเลือดจักรพรรดิโบราณในตัว ชุยชีฉาว ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
หลินหลิน แห่ง LJJ รีบคว้าตัวทายาทท่านเทพเอาไว้หมับ
คิดว่าจะทำรายได้ให้รายการเรียลลิตี้ในโลกเสมือนอย่างถล่มทลาย
ทว่าสายเลือดเทพโบราณที่ย้อนไปถึงเหยียนตี้เสินหนง
ไม่ค่อยอยู่ในกรอบที่ LJJ หวังไว้สักเท่าไหร่
แต่เทพก็คือเทพ จะหยิบจะจับอะไร
สุดท้ายก็ดึงดูดผู้คนให้สนใจได้ทั้งนั้น
ว่าแต่ … ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของท่านเทพจะเป็นยังไงกันนะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1.3
ชุยชีฉาวตรวจเช็คห้องแช่แข็งทันทีหลังเข้ารับตำแหน่ง เขาไม่ค่อยพอใจกับคุณภาพของซัพพลายเออร์มากนัก แต่ในขณะนี้ยังทำอะไรมากไม่ได้ ดีที่อย่างน้อยของยังสดใหม่
โรงอาหารในมหาวิทยาลัย C แบ่งการจัดซื้อออกเป็นการซื้อจำนวนมากและจำนวนน้อย วัตถุดิบจำพวกข้าว เส้นและน้ำมันต้องซื้อทีละจำนวนมาก ซัพพลายเออร์ต้องผ่านการรับรองสิทธิ์จากทางมหาวิทยาลัย C ก่อน ส่วนการซื้อจำนวนน้อยก็จัดการหาซื้อด้วยตัวเองได้เลย
“เออใช่ เพิ่มรายการของที่ต้องจัดซื้ออีกอย่างที ซื้อพวกเมล็ดพืชมาจำนวนหนึ่งด้วย” ชุยชีฉาวเอ่ย ผักบางชนิดเก็บเมล็ดไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องซื้อเมล็ดพันธุ์มาเอง เพิ่งปลูกพริกไว้ทั่วโรงอาหารได้ไม่นาน เขาก็เล็งพื้นที่อื่นไว้แล้ว
เขาเริ่มปลูกพริกในกระถางตั้งแต่ตอนมาถึง ตอนนี้จึงคุ้นเคยกับจุดเด่นของพริกเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงปลูกพริกไว้ที่นอกโรงอาหารด้วย แต่การจะทยอยขยายพื้นที่ในการยึดครองก็ควรต้องมีสายพันธุ์ที่หลากหลายชนิดอยู่แล้ว
พนักงานจัดซื้อที่ชื่อเสี่ยวฉาวกล่าวอย่างมึนงง “ซื้อเมล็ดพืชเหรอครับ? เถ้าแก่ชุย พวกเราจะซื้อเมล็ดไปทำอะไรกันครับ”
“ต้องใช้” ชุยชีฉาวร่าย “เอากวางตุ้งฮ่องเต้ ปวยเล้ง ผักจี้[1] กระเจี๊ยบเขียว พาสลีย์ ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว… เมล็ดพวกนี้เอามาอย่างละสิบห้ากิโลก่อน”
ชุยชีฉาวเพิ่งทำความรู้จักกับพวกเขาได้แค่ไม่กี่วัน เสี่ยวฉาวยังคงรู้สึกหวาดเกรงเจ้านายใหม่นิดหน่อยจึงไม่กล้าถามอะไรละเอียดนัก ได้แต่พยักหน้าแล้วจดตาม
หลังออกจากห้องแช่แข็ง ชุยชีฉาวเห็นพนักงานธุรการคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกแมวลายขาวดำอยู่ในมือ เขาปรายตามองอีกที
เพราะเมื่อกี้ได้เห็นผักที่มีคุณภาพไม่ถูกใจนัก ชุยชีฉาวจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พนักงานธุรการนึกว่าอีกฝ่ายกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อเรื่องสุขอนามัย จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบายก่อน “สวัสดีค่ะเถ้าแก่ชุย พอดีว่าแม่แมวในซุปเปอร์มาร์เก็ตของมหาลัยเพิ่งคลอดน่ะค่ะ เห็นบอกว่าช่วยไล่แมลงได้ ฝ่ายนั้นเลยแบ่งมาให้พวกเราตัวหนึ่งค่ะ”
สีหน้าของชุยชีฉาวอ่อนลง เขาตอบ “ขอผมดูหน่อย ยังเล็กอยู่เลย น่าจะยังทำหน้าที่ไม่ได้ แต่เมื่อก่อนผมเคยฝึกแมวมานะ”
ถึงพนักงานธุรการจะไม่รู้ว่าแมวนั้นจะฝึกได้ยังไง แต่เธอก็กล่าวอย่างรู้งาน “จริงค่ะ นี่เพิ่งอายุได้สองเดือนเอง คุณจะเอากลับไปเลี้ยงก่อนไหมคะ”
“ได้ครับ” ชุยชีฉาวรับแมวน้อยมาอุ้มไว้ก่อนตรวจดู แมวน้อยน่าจะมีสายพันธุ์ขนยาวผสมอยู่ด้วย ขนที่ไม่ยาวมากดูปุกปุย โดยเฉพาะตรงส่วนของข้างแก้มที่แพลมออกมาทำให้หัวดูกลมมน แววตาของมันดูมีชีวิตชีวา บางทีชุยชีฉาวอาจจินตนาการไปเอง แต่เขารู้สึกว่าสายตาของแมวน้อยดูมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์และคล้ายว่ากำลังมองสำรวจเขาอยู่ด้วยเช่นกัน
ชุยชีฉาวเคยดูแลแมวเลี้ยงแกะมาก่อน พวกมันค่อนข้างฉลาดและเป็นมิตรกับมนุษย์ แถมยังช่วยเฝ้าบ้านและช่วยเจ้าของดูแลสัตว์เล็กตัวอื่นได้อีก—— เพราะว่าแมวพันธุ์นั้นมียีนเด่นของหมาพันธุ์เชพเพิร์ดผสมอยู่ด้วย
เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าการขยายสายพันธุ์นี้เริ่มขึ้นครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดหรือยี่สิบสองนี้แหละ แมวตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าแมวในรุ่นเดียวกัน ซ้ำยังชอบสำรวจมนุษย์ขนาดนี้ คงเป็นแมวเลี้ยงแกะที่นำไปฝึกเล็กน้อยก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ได้
ในมือของชุยชีฉาวมีแมวตัวหนึ่งเพิ่มขึ้นมาขณะกลับมาถึงห้องเช่าแถวมหาวิทยาลัย เขาตั้งชื่อง่ายๆ ให้แมวน้อยง่ายว่า “เสี่ยวไป๋[2]” ก่อนนำอกไก่ที่เอากลับมาด้วยไปต้มแล้วฉีกให้มันกิน พร้อมกับลองป้อนไปด้วยเรียกชื่อมันไปด้วย
“เสี่ยวไป๋ นั่ง” ชุยชีฉาวทำไม้ทำมือ พร้อมกับชูอาหารขึ้นสูง
เสี่ยวไป๋เงยหน้ามองเขา ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ
ชุยชีฉาวยื่นมือออกไปกดลงตรงส่วนหลังของเสี่ยวไป๋ มันก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติง
พอเป็นแบบนี้หลายครั้งเข้า ชุยชีฉาวก็เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “เสี่ยวไป๋ นายเป็นแมวจริงเหรอ? ทำไมตั้งหลายครั้งแล้วยังไม่เข้าใจที่สั่งอีก?”
แม้แต่การฝึกให้เชื่อฟังขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้ หากไม่เหมาะที่จะนำมาใช้งาน ส่งกลับไปคงจะดีกว่ามั้ง
“…” แววตาของเสี่ยวไป๋มีร่องรอยความตื่นตระหนกที่สังเกตได้ยากพาดผ่านแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
“ลองอีกครั้งแล้วกัน” ชุยชีฉาวชูอาหารขึ้นสูงอีกครั้ง ปากก็เอ่ยสั่ง “นั่ง”
เสี่ยวไป๋ค่อยๆ กดส่วนหลัง…แล้วนั่งลง เพียงแต่สีหน้าดูขมขื่นเล็กน้อย
ชุยชีฉาวป้อนอาหารให้มันอย่างพึงพอใจ แมวตัวนี้กินด้วยท่าทีไม่เต็มใจนัก คาดว่าคงจะเลือกกินน่าดู
ถึงจะช้าไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ฝึกเป็นแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ายังเล็กอยู่ก็เป็นได้ ชุยชีฉาวลูบคอของเสี่ยวไป๋ ก่อนจะเอ่ยปากชม “เด็กดี”
หลังจากซ้อมคำสั่งนั่งอีกหลายครั้ง ชุยชีฉาวถึงปล่อยให้มันกินได้อย่างสบายใจ ในเมื่อเป็นแมวเลี้ยงแกะ ของอย่างกระบะทรายก็คงไม่จำเป็น พอกินเสร็จแล้วฝึกมันให้ไปทำธุระที่ห้องน้ำก็พอ
ชุยชีฉาวบิดม้วนผ้าขนหนูเป็นกระต่ายให้เสี่ยวไป๋เป็นของเล่น ส่วนตัวเองก็เริ่มทำงาน เขากำลังทำความคุ้นเคยกับการเกษตรของยุคนี้อยู่
ความจริงแล้วชุยชีฉาวไม่เคยศึกษาเรื่องการเกษตรมาก่อน ตั้งแต่สายเลือดตื่นขึ้น เขาก็ปลูกพืชจำนวนหนึ่งในบ้านอย่างบ้าคลั่งโดยพึ่งสัญชาตญาณล้วนๆ
มาถึงโลกเสมือน เขาถึงเริ่มศึกษาความรู้ด้านทฤษฎี รวมไปถึงคำศัพท์ที่ใช้สั่งพนักงานโรงอาหารปลูกพริกก่อนหน้านี้ก็เพิ่งได้เรียนรู้ในภายหลังด้วยเช่นกัน เพราะเขาจำเป็นต้องสื่อสารอธิบายแนวคิดที่ตนเองต้องการให้คนอื่นเข้าใจให้ได้
ขณะที่กำลังอ่านหนังสือจนเพลิน พลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่นิ้วเล็กน้อย ชุยชีฉาวก้มหน้ามองถึงพบว่าเป็นเสี่ยวไป๋ที่กัดเขาอยู่ ลูกแมวยังไม่ค่อยมีแรงนัก ไม่ทิ้งแม้แต่รอยเอาไว้ ชุยชีฉาวจับเสี่ยวไป๋หงายท้องเพื่อเป็นการลงโทษอย่างเข้มงวด
เสี่ยวไป๋พลิกตัวกลับก่อนจะมุดหนีออกจากมือของชุยชีฉาว มันพยายามปีนขึ้นเตียงของเขาจากผ้าปูเตียง
ชุยชีฉาวหิ้วเสี่ยวไป๋ลงมาอีกรอบ “ไม่ได้ สัตว์เลี้ยงห้ามนอนบนเตียงเจ้าของ นายนอนได้แค่ในกล่องรองเท้า”
เสี่ยวไป๋กระทืบขาหลัง ก่อนจะใช้หัวมุดเข้าผ้าขนหนูอย่างแรงด้วยความแง่งอน พร้อมหางที่ตั้งตรงขึ้น
ชุยชีฉาวหลุดหัวเราะ พลางใช้มือลูบบนหลังแมวสองสามที
นับตั้งแต่เมิ่งชั่งได้กินอาหารเลิศรสจากโรงอาหารหมายเลขหนึ่ง เขาก็ตกอยู่ในสภาพตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ถึงคำพูดที่พิมพ์ลงในกลุ่มแชทจะถูกทุกคนมองว่าเป็นคำโกหกก็ตาม แต่หลังกลับไป เขาได้ลองเสิร์ชดู แล้วพบอย่างตกตะลึงว่าผลการประมูลโรงอาหารทั้งหมดในมหาวิทยาลัยครั้งล่าสุดออกมาแล้ว โรงอาหารอื่นยังคงทำสัญญากับบริษัทเดิมไม่เปลี่ยน มีแต่โรงอาหารหนึ่งเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นองค์กรที่ชื่อว่า “บริษัท เสินหนง แคทเทอริ่ง จำกัด”
หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้ลิ้มลองข้าวโรงอาหารที่แสนเลิศรสนี้? ในที่สุดมหาวิทยาลัยก็เห็นใจพวกเขาแล้วเหรอ?
เมิ่งชั่งแปะสิ่งนี้เป็นหลักฐานลงในกลุ่มแชทรุ่นยังไม่พอ เขายังไปป่าวประกาศให้เพื่อนที่ยังอยู่ในรั้วมหาลัยรับรู้อีก ตอนอาหารเย็น เขาลากเพื่อนในคณะสองคนที่ดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งไปโรงอาหารหมายเลขหนึ่งด้วยกัน
“รับส้มผัดไข่ เนื้อผัดมะเขือเทศเชอร์รี่ หรือว่าวุ้นเส้นผัดล่าเถียวดี?” พ่อครัวใหญ่ของโรงอาหารถามพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ช่วงวันหยุดมีกับข้าวให้เลือกไม่มากนัก กับข้าวที่พอจะกินได้หน่อยก็ถูกตักไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว
ทั้งสามคนพูดไม่ออก “…”
อีกสองคนอยากรุมกระทืบเมิ่งชั่งสักรอบ ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด สภาพนี้ก็ยังเป็นโรงอาหารหมายเลขหนึ่งในความทรงจำไม่ใช่หรือไง? พนักงานก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักหน่อย ยังคงเป็นพ่อครัวใหญ่สุดเย็นชาที่แสนคุ้นเคยนี่ หนุ่มหล่อล่ะ? ไหนกันล่ะหนุ่มหล่อที่บอก?
“ได้ยินมาว่าหมูผัดพริกหวานของโรงอาหารสี่คืนนี้พอกินได้อยู่ เพราะนายแท้ๆ ไปตอนนี้ต้องหมดแล้วแน่ๆ!”
“นายกล้าล้อเล่นแม้กระทั่งเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว!”
เมิ่งชั่งโดนด่าจนเริ่มรู้สึกสงสัยในชีวิตของตัวเอง หรือว่าสิ่งที่เขาพบเจอก่อนหน้านี้คือความฝัน? เป็นเพราะว่าเขาหิวจนถึงขีดสุด แล้วโดนบังคับให้กินข้าวของโรงอาหารหนึ่งจนเกิดภาพหลอนหรือเปล่า?
แต่ว่ารสชาติในความทรงจำนั้น สุดแสนจะเผ็ดร้อนและกลมกล่อมแท้ๆ เป็นรสชาติที่ยากจะลืมเลือน…
เมิ่งชั่งโดนเพื่อนทิ้งอย่างเกรี้ยวกราด เขานั่งกินข้าวคนเดียวจนหมด ก่อนจากไป เขาเห็นว่าคนของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งกำลังรดน้ำบนแปลงที่ถูกขุดไว้ จึงเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้ “นี่กำลังปลูกอะไรเหรอครับ”
“พริกไงล่ะ”
เมิ่งชั่งมองเห็นกระถางต้นพริกในมือของคนคนนั้นแล้วก็อดที่จะถามไม่ได้ “ทำไมต้องปลูกพริกด้วย? เมื่อวานผมก็เห็นพี่ชายคนหนึ่งถือต้นพริกอยู่ที่นี่เหมือนกัน หน้าตาอย่างหล่อเลย”
พนักงานโรงอาหารหัวเราะขึ้น “เธอคงพูดถึงเถ้าแก่ชุยสินะ เขาเป็นคนให้ปลูกพริกนี่แหละ บอกว่าเป็นการลดค่าใช้จ่าย วันหลังเอามาให้นักศึกษากินกันได้”
ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย!
ในใจของเมิ่งชั่งเริ่มเปล่งประกายความหวังขึ้น เถ้าแก่ชุยคนนั้นเป็นเจ้าของใหม่ของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งหรือเปล่านะ? เขาที่มีฝีมือการทำครัวยอดเยี่ยมขนาดนั้น ไม่เกิดความรู้สึกแย่ต่อเมนูของโรงอาหารหนึ่งในตอนนี้บ้างหรือไง?
สายตาของเขาปะทะเข้ากับกล่องรับความคิดเห็นที่ฝุ่นเกาะอย่างหนาแน่น พอนึกถึงชุยชีฉาวที่ให้ความรู้สึกเข้าหาง่ายจนถึงขั้นผัดกับข้าวให้ตัวเองแล้ว เขาก็ตัดสินใจลองเขียนใบร้องเรียนดูสักใบ
ชุยชีฉาวเปิดกล่องรับความคิดเห็นในโรงอาหารหมายเลขหนึ่งออก ค้นพบว่าภายในมีใบร้องเรียนแผ่นหนึ่งนอนแน่นิ่งอย่างเดียวดาย
หลังประมูลที่นี่มาได้ ชุยชีฉาวก็ไม่ได้สนใจในเรื่องบริหารงานอีก คนก่อนหน้าทำยังไง เขาก็ทำเช่นนั้น ในเวลาปกติ เขาจะคอยศึกษาหนังสือเกี่ยวกับการเกษตร และเล็งหาพื้นที่ในการปลูกอื่นๆ เพิ่ม เขาไม่คิดจะชิมอาหารอะไรนั่นด้วยซ้ำ เพียงแค่ปรายตามองบ้างเป็นครั้งเป็นคราวก็เท่านั้น
เมื่ออธิการบดีชุยเตือนว่าใกล้เวลาเปิดเทอม ชุยชีฉาวถึงนึกขึ้นได้ว่าผู้คนก็เป็นพื้นฐานสำคัญเช่นกัน เขาจึงตัดสินใจเปิดกล่องรับความคิดเห็นอ่านในท้ายที่สุด
โรงอาหารหมายเลขหนึ่งไร้ความรับผิดชอบมาอย่างช้านาน ช่วงแรกพวกนักศึกษายังพากันร้องเรียนอย่างหนักหน่วง แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ปลงแล้ว โรงอาหารหนึ่งยังพอปรับปรุงแก้ไขในเรื่องอื่นได้ แต่พอเป็นเรื่องเมนูอาหาร กลับตีให้ตายยังไงก็ไม่ยอมเปลี่ยน
ชุยชีฉาวตกตะลึงเมื่อหยิบใบร้องเรียนออกมาอ่าน บนนั้นเขียนถึงความไม่พอใจที่มีต่อเมนูอาหารในโรงอาหารหมายเลขหนึ่งจนแทบจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด
จะว่าไป เขาเคยชิมไปแค่สองคำตอนทำอาหารให้นักศึกษาคนนั้นเท่านั้น รสชาติพูดได้แค่ว่าธรรมดา แต่ก็ไม่เลวร้ายจนถึงขั้นที่นักศึกษาต้องฟีดแบคกลับมาว่า “จับคู่สุดเลวร้าย” นี่นา
“เห็นว่ารายรับของทุกเดือนยังพอไหว แต่ที่แท้มีปัญหาขนาดนี้เลยเหรอ” แรงกระตุ้นสายหนึ่งผุดขึ้นในใจของชุยชีฉาว การที่เหยียนตี้คัดเลือกธัญพืชออกมาห้าชนิด[3]ก็เพื่อประชาชนทั้งนั้น ชุยชีฉาวเกิดความรู้สึกเมตตาขึ้น เมื่อพบว่ามีนักศึกษาที่น่าสงสารกำลังเผชิญกับความยากลำบากอยู่ตรงหน้า
ชุยชีฉาวโทรศัพท์หาฝั่งครัวจากในห้องทำงาน “ช่วยห่อกับข้าวของวันนี้ให้ผมกลับไปเป็นข้าวเย็นสักสองสามอย่างทีครับ”
เขาจะลองดูว่ามีวิธีสามารถปรับปรุงแก้ไขได้หรือไม่
พอทางฝ่ายครัวรีบจัดการตักกับข้าวสองสามอย่างใส่กระติกรักษาความร้อนขึ้นไปให้เถ้าแก่ชุยทันทีหลังรับปาก และไม่ทันระวังตักกับข้าวประเภทเนื้อตุ๋นแก้วมังกรกับโอรีโอ้ไฟแดงไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
ชุยชีฉาวหิ้วกระติกรักษาความร้อนกลับอพาร์ทเมนต์ไปด้วย เมื่อเสี่ยวไป๋เห็นเขาปุ๊บ ก็เดินขึ้นหน้ามายืนเกาะขาอย่างประจบประแจง ชุยชีฉาวดันมันออก “ไม่ได้ ห้ามเกาะขาคน”
แมวเลี้ยงแกะมักจะกระตือรือร้นเกินไปเสมอ ถึงมันจะเป็นการแสดงถึงความรู้สึกดีที่มีให้ก็เถอะ แต่ก็ห้ามเกาะขาโดยเด็ดขาด
เสี่ยวไป๋ที่โดนเขาดันออก นอนแหมะลงกับพื้นพรมอย่างไม่พอใจ
“ฉันเอากับข้าวกลับมาด้วย” ชุยชีฉาวนั่งลงบนพื้นก่อนเปิดฝากระติกรักษาความร้อนออก พอเห็นเสี่ยวไป๋เดินมา เขาก็เอ่ยทันที “แมวกินอาหารคนไม่…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ เสี่ยวไป๋ที่แค่ดมกลิ่นของกระติกรักษาความร้อนก็หันหัวหนีพร้อมร้อง “แหวะ” ก่อนจะเดินหนีไป
ชุยชีฉาว “…”
ชุยชีฉาวชิมกับข้าวที่อยู่ในกระติกรักษาความร้อนด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันทีที่ชิม “แหวะ——”
วัตถุดิบบางอย่างในนั้นเขาก็ไม่รู้จัก พอนำเข้าปากถึงได้ทำความรู้จักเป็นครั้งแรก และสุดท้ายเขาก็เห็นด้วยกับการจับคู่สุดเลวร้ายที่ถูกเขียนเอาไว้บนใบร้องเรียน
การจับคู่แบบนี้จะไร้ขอบเขตเกินไปแล้ว ไม่ได้คำนึงถึงความเข้ากันของตัววัตถุดิบเลยสักนิด เครื่องปรุงก็ใส่เอาตามใจชอบ แม้ว่าจะเห็นเขาเป็นเจ้านายเลยตักเนื้อมาให้เยอะเป็นพิเศษ แต่มันก็ยังเปลี่ยนความจริงไม่ได้อยู่ดี
ความจริงที่ว่ารสชาตินั้นแสนจะห่วยแตก
ชุยชีฉาวรู้สึกใกล้ชิดกับพืชผักต่างๆ โดยธรรมชาติ เขาชิมและทำความเข้าใจกับจุดเด่นของพวกมันทีละต้น จนเข้าใจพวกมันอย่างถ่องแท้ นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่พวกมันต้องมีจุดจบเช่นนี้
“ไม่ได้…” ชุยชีฉาวพึมพำ จะปล่อยให้มีอาหารรสชาติห่วยแตกแบบนี้อยู่ตรงหน้าเขาได้ยังไง! แถมยังมีนักศึกษาที่ต้องอดกลั้นอดทนมากินอาหารรสชาติห่วยแตกขนาดนี้ทุกวันอีกต่างหาก นี่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนะ เด็กพวกนี้จะน่าสงสารเกินไปแล้ว!
ชุยชีฉาวเหลือบมองเวลา หากตัดเวลาสังเกตการณ์พริกที่ปลูก เวลาศึกษาพืชเสบียงหลากหลายชนิด และเวลาเรียนรู้จากหนังสือการเกษตรแล้ว เขาน่าจะสามารถแบ่งเวลาสำหรับปรับแก้เมนูอาหารทีละอย่างได้
เขาต้องทำความเข้าใจวัตถุดิบที่ใช้บ่อยๆ และวิธีการทำอาหารเบื้องต้นของที่นี่ก่อน จากนั้นก็ใช้ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่มี หาจุดที่ลงตัวกับพวกมันมากที่สุด และใช้โอกาสนี้ปรับแก้แล้วรื้อวิธีการปรุงใหม่ทั้งหมด
กับข้าวอย่างแกงหม้อใหญ่ไม่น่าจะมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากมากนัก หากชุยชีฉาวสามารถสรุปหาวิธีที่เหมาะสมออกมา เขาก็จะสร้างสูตรสำเร็จที่รสชาติใกล้เคียงกันได้
ชุยชีฉาวฝืนกินอีกสองสามคำเพื่อทำความเข้าใจกับตัวอาหาร
เสี่ยวไป๋เดินวนไปมาพลางจ้องไปที่ใบหน้าของชุยชีชาว มันยื่นขาหน้าออกมาตะปบบนแขนของเขา
“เสี่ยวไป๋หิวแล้วเหรอ” ชุยชีฉาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจ้าแมวเหมียวยังไม่ได้กินข้าว เขาลุกขึ้นหยิบเนื้อวัวออกมาก่อนจะเพิ่มไข่ให้มันอีกฟอง พร้อมทำการฝึกมันก่อนกินข้าวเป็นปกติ
แมวน้อยยังมีอายุไม่มาก สอนแค่วันละท่าก็พอแล้ว ถ้าสอนครั้งละมากเกินไปอาจสร้างความสับสนขึ้นได้ ในตอนนี้ต้องเน้นฝึกเรื่องการเชื่อฟังเป็นหลัก
ชุยชีฉาวเขี่ยไปที่ขาหน้าของเสี่ยวไป๋ “จับมือ”
เสี่ยวไป๋โดนบังคับให้วางมือลงบนฝ่ามือของชุยชีฉาว อุ้งมือนุ่มนิ่มยังไม่ผ่านการเสียดสีมาก เหมือนว่าแค่ชุยชีฉาวออกแรงบีบก็อาจคั้นน้ำออกมาจากอุ้งมืออ่อนนุ่มได้
ใครจะไปคาดคิดได้ว่าแมวน้อยนุ่มนิ่มจะโตไปมีพละกำลังและสติปัญญาพอที่จะวิ่งไล่แกะบนพื้นหญ้าได้ล่ะ
ชุยชีฉาวป้อนเนื้อให้มันกินชิ้นหนึ่งเป็นรางวัล แล้วสอนเพิ่มอีกหลายรอบ เสี่ยวไป๋ถึงเข้าใจว่าจับมือแล้วถึงจะมีเนื้อให้กิน ชุยชีฉาวเอ่ยตำหนิโดยไม่รู้ตัว “ปฏิกิริยาช้านิดหน่อย ปกติสอนแค่ห้ารอบก็ควรจะรู้เรื่องแล้ว หรือว่าเป็นแมวที่โง่เป็นพิเศษในหมู่แมวเลี้ยงแกะเหรอ?”
เสี่ยวไป๋เหลือบมองชุยชีฉาวอย่างระอาใจ
ชุยชีฉาวไม่ทันได้สังเกต เขาเกาหัวเสี่ยวไป๋เล่นไปมา ถึงจะโง่ไปหน่อย แต่ยังไงก็ส่งให้ทางโรงอาหารมาแล้ว จะทิ้งไปก็ไม่ได้ หากดูแลด้วยความอดทนอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยสอนท่าใหม่แล้วกัน
สองวันผ่านไป ชุยชีฉาวใช้เวลาว่างส่วนมากไปกับการชิมพร้อมทั้งทำความเข้าใจ เขาเขียนสูตรอาหารอย่างละเอียดออกมาสองเมนู นั่นคือมันฝรั่งตุ๋นและบวบผัดไข่ที่มีวัตถุดิบในคลังเยอะเป็นพิเศษ
“การจะทำให้นักศึกษาได้กินอาหารที่ดีต้องพึ่งอะไร?” ชุยชีฉาวถามคนในครัว
เหล่าพ่อครัวแม่ครัวตอบ “เอ่อ ความสามารถ? ความรับผิดชอบ? ความรัก?”
ชุยชีฉาวหยิบเครื่องชั่งอาหารกับนาฬิกาดิจิตอลออกมา “สูตรอาหารที่แม่นยำต่างหากครับ”
นี่สิ ถึงเรียกว่าการเคารพผู้เพาะปลูกกับอาหาร เลิกจับคู่และใช้วิธีทำอาหารแบบประหลาดได้แล้ว วัตถุดิบจะตายตาไม่หลับเอานะ
ในการทำอาหารจีนนั้น “ปริมาณที่พอเหมาะ” เป็นศาสตร์ที่ต้องการความแม่นยำโดยพึ่งประสบการณ์ของเชฟเป็นเสียส่วนมาก แต่ชุยชีฉาวต้องการวัด “ปริมาณพอเหมาะ” ที่ดีที่สุดออกมาให้ได้อย่างแม่นยำที่สุด แต่เขาคงแบกรับหน้าที่ทั้งหมดในครัวด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอก
คนครัวของโรงอาหารไม่สามารถกะปริมาณกรัมอย่างแม่นยำโดยใช้เพียงแค่ความรู้สึกได้ แต่ชุยชีฉาวได้ทำการคำนวณสูตรของเมนูทั้งสองจานนี้ไว้แล้ว ตั้งแต่ขนาดของหม้อไปจนถึงแรงไฟในครัว อีกทั้งยังกำหนดเกณฑ์ให้กับข้อมูลทุกอย่างโดยเริ่มตั้งแต่จำนวนครั้งของการหั่นผักเลยทีเดียว
การทำแบบนี้ย่อมทำให้เสียเวลายิ่งกว่าเก่า แถมยังต้องเพิ่มต้นทุนแรงงานคนขึ้นอีก แต่ชุยชีฉาวกลับคิดว่า เพื่อช่วยเหลือเหล่านักศึกษาที่น่าสงสารกับเหล่าวัตถุดิบทั้งหมดที่ไม่เคยตายดีแล้ว ยังจะไปมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกล่ะ?
[1] ผักจี้ (Shepherd’s purse) เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ไม่พบเห็นในประเทศไทย ทุกส่วนของต้นกินได้ทั้งหมด รสชาติคล้ายหัวผักกาดและกะหล่ำปลี ผสมรวมกัน ได้รับการแนะนำว่า เป็นผักที่ใช้แทนปวยเล้งได้
[2] คำว่าไป๋ (白) ในภาษาจีนแปลว่าสีขาว
[3] มีตำนานกล่าวไว้ว่าเหยียนตี้ได้ออกเดินทางไปเก็บรวบรวมพืชพันธุ์ไปทั่วหล้า และลองชิมด้วยตัวเองเพื่อคัดแยกว่าอันไหนมีพิษหรือไม่มีพิษ แม้สุดท้ายในตำนานจะบอกว่าเขาได้ตายด้วยพิษ แต่ระหว่างนั้นเขาก็ได้ค้นพบพืชที่เป็นยารักษาโรคได้มากมาย อีกทั้งยังคัดเลือกธัญพืชออกมา 5 อย่าง คือ ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ข้าวฟ่างและถั่วต่างๆ ให้ผู้คนได้เรียนรู้ที่จะเลือกกินเป็นอาหารอีกด้วย