我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 1
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
ยุคสมัยที่เทคโนโลยีต่างๆ พัฒนาถึงขีดสุด
สายเลือดจักรพรรดิโบราณในตัว ชุยชีฉาว ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
หลินหลิน แห่ง LJJ รีบคว้าตัวทายาทท่านเทพเอาไว้หมับ
คิดว่าจะทำรายได้ให้รายการเรียลลิตี้ในโลกเสมือนอย่างถล่มทลาย
ทว่าสายเลือดเทพโบราณที่ย้อนไปถึงเหยียนตี้เสินหนง
ไม่ค่อยอยู่ในกรอบที่ LJJ หวังไว้สักเท่าไหร่
แต่เทพก็คือเทพ จะหยิบจะจับอะไร
สุดท้ายก็ดึงดูดผู้คนให้สนใจได้ทั้งนั้น
ว่าแต่ … ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของท่านเทพจะเป็นยังไงกันนะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2.2
หลังพริกชี้ฟ้าที่ปลูกในโรงอาหารถูกเก็บเกี่ยวหมด ทุกคนก็ได้เห็นเถ้าแก่ชุยลงมือทำครัวด้วยตัวเอง แม้จะถอดเสื้อตัวนอกกับถลกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นแล้ว ภาพของเขาก็ยังดูไม่ค่อยเข้ากับห้องครัวนัก หากเห็นเพียงแค่ส่วนใบหน้า ไปบอกคนอื่นเขาว่ากำลังทำการทดลองอยู่ยังมีคนเชื่อเลย
แต่พอน้ำมันพริกถูกทำสำเร็จ พวกเขาก็พูดไม่ออกทันที
พริกชี้ฟ้ากับพริกปาปริก้าถูกผัดร่วมกันก่อนจะนำมาบดเป็นผงหยาบ จากนั้นก็นำไปผัดกับงาที่คั่วจนสุกอีกรอบ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของพริกโชยไปทั่วตลอดการผัด พนักงานโรงอาหารหนึ่งที่ห้อมล้อมอยู่อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้
สมุนไพรจำพวกโป๊ยกั้ก ยี่หร่า อบเชยที่เตรียมเอาไว้ต่างหาก ถูกนำลงกระทะไปผัด ก่อนสุดท้ายจะนำสมุนไพรทั้งหมดออก แล้วเหลือไว้แค่น้ำมัน
เขาใช้ทัพพีด้ามใหญ่ตักน้ำมันเดือดที่มีอุณหภูมิประมาณร้อยแปดสิบองศาขึ้น ก่อนราดลงบนผงพริกในชาม เสียง “ซ่า” ดังขึ้น น้ำมันเดือดทำให้ผงพริกหยาบสีแดงบุ๋มลงไปเป็นหลุม ก่อให้เกิดเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับฟองอากาศเล็กน้อย
น้ำมันไหลท่วมผงพริกสีแดงสดกับเมล็ดพริกสีเหลืองอ่อนพร้อมเม็ดงาสีขาว ฟองอากาศที่เดือดปุดกระตุ้นกลิ่นเผ็ดหอมรุนแรงออกมา
ชุยชีฉาวเลือกที่จะทำทีละชามใหญ่ เพราะมันง่ายต่อการผสมให้เข้ากันอย่างเช่นในตอนนี้ สายตาหลายคู่มองตามทัพพีในชามที่กำลังผสมน้ำมันร้อนกับผงพริกให้เข้ากัน ทุกส่วนสัมผัสเข้ากับน้ำมันเดือดอย่างทั่วถึง ทุกคนเกิดความรู้สึกหิวขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อได้กลิ่นหอมฉุนนี้…
อุณหภูมิของน้ำมันค่อยๆ ลดลง ฟองเดือดหดหายจนเกลี้ยง ปริมาณน้ำมันเยอะกว่าตัวพริกอย่างเหมาะเจาะ น้ำมันสีแดงห่อหุ้มพริกกับงาเม็ดขาวอยู่บนช้อนที่ตักขึ้นอย่างน่าลิ้มลอง
พอชุยชีฉาวเงยหน้าอีกที ก็พบว่าคนอื่นเข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“นี่คือพริกที่พวกเราปลูกออกมาเหรอ? หอมจัง…”
“แค่ดมกลิ่น ฉันก็สามารถกินข้าวหมดทั้งชามได้แล้ว”
“เถ้าแก่ชุย คุณจะมีฝีมือยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”
ชุยชีฉาวยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เดี๋ยวผมจะทำอีกสามชามใหญ่ ยิ่งทิ้งไว้หลายวัน รสชาติก็จะยิ่งดีขึ้น พอถึงตอนนั้นค่อยเอาไปวางบนเคาน์เตอร์ชั้นละชามแล้วกัน ให้พวกนักศึกษาตักกันเอง”
ทุกคนมองแล้วได้แต่คิดว่าพอถึงตอนนั้นพวกเขาเองก็อาจจะอดรนทนไม่ไหวเป็นฝ่ายไปตักมากินคู่ข้าวเองก็เป็นได้
หลายวันต่อมา น้ำมันพริกได้ปรากฏบนเคาน์เตอร์ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นสี่ตามที่บอกไว้ มันอยู่ในชามกระเบื้องใบโต ด้านบนมีฝาปิดไว้พร้อมกับโพสท์อิทที่มีลายมือพู่กันจีนโย้เย้แปะไว้ว่า…น้ำมันพริก เชิญตักฟรี
กลุ่มที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัย C พากันมาซื้อข้าวในโรงอาหาร พวกเขาเกาะกระจกตรงเคาน์เตอร์ดูกับข้าวไป ปากก็พร่ำบ่นไป “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเงินเดือนที่ออกล่าสุดมันผ่านมาเป็นหมื่นปีแล้วนะ ตอนนี้จะหมดตัวแล้ว แต่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งเดือนแน่ะ”
“ฉันก็เหมือนกัน ดีนะที่เติมเงินไว้ในบัตรล่วงหน้า เออใช่ ทำไมเซียวเหวินถึงไม่มาซื้อข้าวด้วยกันล่ะ”
“ไปกินข้าวกับแฟนที่เว่ยจือหลินมั้ง ไปนานแล้ว ส่วนพวกเราแม้แต่มันฝรั่งตุ๋นยังไม่ได้กินเลย โดนตักจนเกลี้ยงไปหมดแล้ว คนพวกนี้มาต่อแถวกันตั้งแต่กี่โมงเนี่ย?”
“นี่ ตรงนั้นมีน้ำมันพริกให้ตักได้ใช่ป่ะ? กับข้าวจืดชืดขนาดนี้ ฉันไปเติมพริกแล้วมโนว่าตัวเองกำลังนั่งกินเว่ยจือหลินดีกว่า”
“ท่านช่างจินตนาการบรรเจิดเหลือเกินนะคะ!”
จุดเด่นหลักของร้านอาหารเว่ยจือหลินคือหมาล่า ทางร้านเคลมว่าพริกทั้งหมดผ่านกระบวนการคัดสรรมาอย่างดี รับประกันว่าเผ็ดสะใจ เผ็ดจนไม่รู้ลืมแน่นอน เมนูสุดคลาสสิคไม่ว่าจะเป็นปลาต้มพริก ตีนไก่เผ็ด หรือไก่ผัดถั่วลิสงทอดก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เว่ยจือหลินเปิดสาขาในเมืองมหาวิทยาลัย ร้านก็ขายดีอย่างระเบิดระเบ้อดั่งเช่นเมนูที่พวกเขามี สายกินจากเขตหนานไห่ต่างทยอยพากันมาลิ้มรสเมนูที่ในเน็ตที่เล่าลือกันมานานว่าสามารถทำให้คนเผ็ดจนน้ำตาไหลได้
สถานที่รับประทานอาหารที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในมหาวิทยาลัย C ในช่วงนี้ นอกจากโรงอาหารหมายเลขหนึ่งแล้วก็มีแค่เว่ยจือหลินเท่านั้น
ทว่าการมีอยู่ของทั้งสองแห่งกลับให้ความหมายที่แตกต่างออกไปสำหรับทุกคน ข้าวโรงอาหารเป็นอาหารอีกประเภทที่แยกออกมาเดี่ยว ๆ ซ้ำโรงอาหารหมายเลขหนึ่งยังเป็นที่โด่งดังมาอย่างยาวนาน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครคิดจะนำสถานที่ทั้งสองแห่งมาเปรียบเทียบกันเลยแม้แต่นิด
ในวันนี้ ณ หอพักบุคลากรในมหาวิทยาลัย C ห้องพักหมายเลข 201 กลับเกิดการประชันกันระหว่างข้าวจากโรงอาหารหนึ่งและเมนูแนะนำของเว่ยจือหลินอย่างไม่เป็นทางการ
ที่ปรึกษาเสี่ยวฉิน เสี่ยวเฉิน และเสี่ยวโจว ซื้อข้าวจากโรงอาหารหมายเลขหนึ่งกลับมากิน พวกเธอถึงช้าเกินไป จึงพลาดเมนูที่ดังไปทั่วมหาวิทยาลัย C สองอย่างนั้น สุดท้ายจึงได้แต่จำใจซื้อเมนูจำพวกผัดผักกวางตุ้งไต้หวัน เนื้อผัดถั่วงอก และเต้าหู้ผัดสามสหาย[1]กลับมากิน
ที่ปรึกษาทุกคนพักอยู่ห้องเดี่ยว แต่ถึงอย่างนั้น พวกหญิงสาวก็ชอบมานั่งกินข้าวด้วยกันเสมอ
พอวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะ และนึกขึ้นได้ว่าในนั้นมีเมนูอะไรบ้างก็อดที่จะรู้สึกมวนกระเพาะไม่ได้ สุดท้ายเสี่ยวฉินที่ยุ่งมาตลอดทั้งช่วงสายก็เป็นฝ่ายฮึบเปิดกล่องข้าวออกก่อน น้ำมันพริกสองช้อนที่เธอตักอยู่ที่มุมหนึ่งของกล่องข้าว เธอคีบเนื้อขึ้นมาจิ้มน้ำมันพริกเล็กน้อยก่อนนำเข้าปาก
ในวินาทีที่ปลายลิ้นสัมผัสกับอาหาร เสี่ยวฉินแทบจะมีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ทัน… มันอร่อย
เธอทำใจไว้แล้วว่าจะได้กินเนื้อที่ผัดจนเหนียวและชุ่มด้วยน้ำที่มากเกิน แม้ว่าเนื้อในวันนี้จะผัดได้ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แต่ว่า…แต่ว่าจังหวะที่น้ำมันพริกจำนวนน้อยบนเนื้อผัดรสย่ำแย่ได้สัมผัสเข้ากับตุ่มรับรสของเธอนั้น รสชาติเผ็ดร้อนก็แผ่ซ่านทั่วปาก น้ำลายจำนวนมากก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับความคิดของเธอ
เสี่ยวฉินเคี้ยวเนื้ออีกสองสามทีโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นความเผ็ดแสบของพริกชี้ฟ้า ความหอมจากพริกปาปริก้า หรือจะเป็นงาขาวเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่กระทบระหว่างซี่ฟัน รวมไปถึงน้ำมันสีแดงที่ราดอยู่ด้านบน ทุกอย่างต่างก็ทำให้เนื้อที่เดิมจืดชืดระเบิดรสชาติอร่อยออกมา
เสี่ยวฉินไอสำลักด้วยความเผ็ดร้อนพร้อมกับกลิ่นหอมที่ปะทะเข้ากับปลายลิ้น เธอเอ่ยอย่างตกตะลึง “เผ็ดจัง แต่อร่อยมาก”
น้ำมันสีแดงกับเม็ดงาขาวคล้ายจะหลงเหลืออยู่บนปลายลิ้นอีกเล็กน้อย มันทิ้งสัมผัสแสบร้อนไว้ในโพรงปาก จนทำให้ริมฝีปากของเสี่ยวฉินแดงเจ่อขึ้นเล็กน้อย
“หืม? ว่าไงนะ พริกอร่อยมากเหรอ?” เสี่ยวเฉินมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เธอไม่ได้ตักน้ำมันพริกมาด้วย จึงคีบถั่วงอกขึ้นมาจิ้มน้ำมันพริกในกล่องของเสี่ยวฉินก่อนส่งเข้าปาก
“ซี้ด——” เสี่ยวเฉินที่ชอบกินเผ็ดเป็นปกติก็ตกตะลึงเช่นกัน กลิ่นหอมตลบอบอวลในปาก พริกที่เคยนำไปทอดและแช่ในน้ำมันเป็นระยะเวลาหนึ่งมีสัมผัสกรอบที่ไม่แห้งเกินไป เมล็ดของพริกกับงากลิ้งไปมาด้วยกันบนเรียวลิ้น ช่วยเพิ่มรสสัมผัสของถั่วงอกมากยิ่งขึ้น พอเคี้ยวไปมาได้สองสามที ไรเหงื่อก็ผุดตามออกมาด้วย
มันเรียกน้ำย่อยของเสี่ยวเฉินได้เป็นอย่างดี ความหิวโหยเริ่มร้องเรียกออกมาเสียงดัง เธอรีบพุ้ยข้าวสวยคำหนึ่งเข้าปากเพื่อดับความเผ็ดร้อน “ฮู่ว เผ็ดมากจริงด้วย แถมยังหอมเป็นพิเศษอีกต่างหาก พระเจ้า ฉันจิ้มมากเกินไป น้ำตาเกือบร่วงแน่ะ”
รสชาติเผ็ดร้อนเช่นนี้กระตุ้นความอยากอาหารได้อย่างยอดเยี่ยม กับข้าวจืดชืดที่ปกติแค่มองก็รู้สึกรังเกียจกลับดูน่ารักขึ้นทันตาเห็น พวกเธอไม่สามารถกินข้าวกับน้ำมันพริกเปล่าๆ เพราะมันเผ็ดเกินไป แต่เมื่อกับข้าวคำใหญ่กินคู่กับน้ำมันพริกเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงรสชาติได้แล้ว รสสัมผัสที่อบอวลทั่วปากเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเข้มพร้อมกับรสเผ็ดร้อนที่แสนสะใจ
“ที่รักทั้งหลาย ดูสิว่าฉันเอาอะไรกลับมาด้วย” เซียวเหวินเปิดประตูห้อง 201 ออกพร้อมกับตีนไก่เผ็ดที่ห่อกลับมาจาก “เว่ยจือหลิน” ในมือ ภาพทีเห็นคือสภาพเพื่อนร่วมงานทั้งสามที่มีใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาเปียกชื้น พร้อมกับอ้าปากหอบหายใจราวกับว่าจะมีควันออกมา เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เดี๋ยวก่อน พวกเธอกินอะไรเข้าไปกันถึงได้มีสภาพแบบนี้”
“โรงอาหารหนึ่งไง ไม่ไหว ฉันต้องกินน้ำ” เสี่ยวฉินมองถุงในมือเพื่อน “ถ้ารู้ว่าเธอจะห่อตีนไก่เผ็ดกลับมาด้วย ฉันคงไม่กินเยอะขนาดนี้หรอก”
ในใจของทุกคนพลันเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ แต่ความคิดกลับผุดขึ้นโดยธรรมชาติ…น้ำมันพริกธรรมดาๆ ของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งยังอร่อยขนาดนี้ งั้นเว่ยจือหลินที่โด่งดังก็ต้องเผ็ดแซ่บกว่านี้อีกสินะ?
“ฮ่าๆ เมนูใหม่ของโรงอาหารหนึ่งเป็นอาหารเผ็ดเหรอ” เซียวเหวินวางกล่องที่ห่อกลับมาด้วยลง “งั้นพวกเธอยังจะลองชิมตีนไก่เผ็ดนี่ไหม? อย่างเผ็ดเลยนะ ตอนอยู่ร้าน ฉันใช้ทิชชู่หมดไปสามห่อแน่ะ เช็ดน้ำมูกจนสุดท้ายรองพื้นหลุดหมดแล้ว”
งั้นก็ลองดูหน่อยแล้วกัน ถึงจะอิ่มแล้ว แต่ก็ยังกินได้อีกสักคำสองคำแหละ
ทั้งสามคนหยิบตีนไก่เผ็ดขึ้นมาแทะคนละชิ้น รสชาติเผ็ดร้อนหลังเข้าปากค่อนข้างโดดเด่นเช่นกัน รสเค็มผสมผสานกับความหอมจนเรียกความอยากอาหารให้เพิ่มขึ้นอีก แต่พวกเธอกลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนอย่างเมื่อครู่
เสี่ยวฉินถึงขั้นคิดในใจด้วยซ้ำว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่านะ ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าน้ำมันพริกฟรีของโรงอาหารหนึ่งอร่อยกว่าตีนไก่เผ็ดชุดละหลายสิบหยวนของเว่ยจือหลินอีกล่ะ?
ตีนไก่เผ็ดของเว่ยจือหลินก็อร่อยเช่นกัน ถ้าเป็นเวลาปกติ พวกเธอน่าจะสามารถกินคู่กับข้าวเปล่าทั้งชามได้ แต่พอมากินตอนนี้กลับให้ความรู้สึกว่าเพราะโรงอาหารหนึ่งดีเลิศอยู่แล้ว เลยไม่ได้ให้ความรู้สึกตื่นตะลึงอะไรมากนัก
เซียวเหวินมองสีหน้าแปลกประหลาดของพวกเธอ ก่อนถามขึ้นอย่างงุนงง “ทำไม ไม่อร่อยเหรอ”
“ไม่นะ ก็อร่อยดี แต่ว่า…พูดยังไงดี…” เสี่ยวฉินพูดเสียงแผ่ว “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าน้ำมันพริกของโรงอาหารหนึ่งชนะขาดนะ”
“… ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน อธิบายยังไงดี น้ำมันพริกของพวกเขาเหมือนจะให้รสชาติที่เข้มข้นกว่า”
“นี่เป็นส่วนผสมลับประจำตระกูลอะไรหรือเปล่า กินนี่อย่างเดียวยังรู้สึกว่าดีแบบปานกลางนะ แต่พอได้เปรียบเทียบแล้วก็รู้ผลแพ้ชนะเลยละ”
เซียวเหวินเบิกตากว้างพลางพูด “จริงหรือเปล่าเนี่ย? พวกเธอคงไม่ได้แกล้งอำฉันอยู่ใช่ไหม ช่วงนี้ในมหาวิทยาลัยมีแต่คนอ้างว่าอาหารสุดเลวร้ายเป็นเมนูที่โรงอาหารหนึ่งเพิ่งปรับสูตรเยอะจะตาย!”
จริงหรือหลอก ทุกคนสามารถพิจารณาได้ด้วยตัวเอง
ด้านอีกฝั่ง ทางคนครัวของโรงอาหารหมายเลขหนึ่งกำลังหุงข้าวหม้อใหม่แข่งกับเวลา ข้าวเปล่าที่ปกติแล้วเพียงพอ วันนี้กลับกลายเป็นว่ามีปริมาณน้อยเกินไป ต้นสายปลายเหตุก็มาจากการที่นักศึกษาจำนวนไม่น้อยมาร้องเรียกของเพิ่มข้าวไม่หยุดหลังถูกน้ำมันพริกเรียกน้ำย่อยนี่แหละ
ทั้งโรงอาหารเกิดเสียงสูดน้ำมูกและเสียงสูดปากขึ้นเป็นระลอก คนที่ไม่รู้คงนึกว่าทั้งโรงอาหารพร้อมใจกันกินหม้อไฟ
ตอนนี้น้ำมันพริกชามใหญ่ยักษ์เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวแล้ว
เผ็ดเกินไปแล้ว พอลิ้นของนักศึกษาบางส่วนที่มักจะกินอาหารรสชาติจืดแตะโดนนิดเดียว น้ำตาก็เริ่มไหลเป็นทาง ส่วนนักศึกษาที่ชอบกินรสจัด แค่พริกช้อนเดียวก็เพียงพอต่อการกินคู่กับข้าวเปล่าแล้ว
น้ำมันพริกกินคู่ได้กับทุกอย่าง นอกจากความเผ็ดแล้วยังมีรสชาติหอมเข้มข้นที่ทำให้คนน้ำตาร่วงไปตาม ๆ กัน แต่ก็ทำให้อยากกินอีกเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมันปรากฎขึ้นในโรงอาหารหมายเลขหนึ่ง คนที่กินเผ็ดไม่ได้ยังเริ่มครุ่นคิดเลยว่าจะลองเติมรสเผ็ดดูสักนิด หรือจะกินอาหารสุดเลวร้ายเปล่า ๆ ดี
“ซือฟู่! ขอร้องละ! ข้าวเปล่าด้วยครับ!”
“ซือฟู่! ข้าวยังต้องหุงอีกนานเท่าไหร่? ช่วยลูกทีเถอะ!”
นักศึกษาจำนวนมากถือชามยืนเบียดกันอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ราวกับพสกนิกรที่หิวโหยมาเป็นเวลากว่าสามวัน
นักศึกษาด้วยกันยังรู้สึกเลยว่าภาพตอนนี้ค่อนข้างตลก ภาพแบบนี้เคยเกิดขึ้นในโรงอาหารหมายเลขหนึ่งที่ไหนกัน แม้แต่ตอนเมนูปรับสูตรสองอย่างนั้นหมด ทุกคนที่ซื้อไม่ทันก็ได้แต่หันหลังกลับเท่านั้น หรืออย่างมากก็แค่ถอนหายใจ เทียบกับตอนนี้ที่คนแทบจะยื่นหัวเข้าไปตรงกระจกของเคาน์เตอร์แล้วไม่ได้เลย คอที่ยืดยาวต่างก็มีไว้เพื่อมองว่าข้าวในครัวหุงเสร็จแล้วหรือยังเท่านั้น
ป้าด้านในที่ทำหน้าที่ตักอาหารไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่งั้นพวกหนูกินกับข้าวอย่างอื่นไปก่อนไหมจ๊ะ ข้าวยังไม่สุกเลย”
กินกับข้าวไปก่อนแล้วกัน
นักศึกษาที่เติมกับข้าวอยู่อดที่จะถามขึ้นไม่ได้ว่า “น้ำมันพริกนี่ซื้อมาเหรอคะ”
“เปล่าจ้ะ ทำเองหมดเลย เห็นพริกที่ปลูกไว้ด้านนอกหรือเปล่า ใช้พวกนั้นมาเป็นวัตถุดิบหลักนั่นแหละ เจ้านายของพวกเราบอกว่ามีไว้ให้นักศึกษาตักมาปรุงน่ะ ไม่เก็บเงินเพิ่ม” ป้าตอบพร้อมรอยยิ้ม
ทุกคนต่างเห็นต้นพริกด้านนอกนั่นโตมาด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าแม้ภายนอกจะดูธรรมดา แต่ความเผ็ดกลับน่าตกตะลึงเช่นนี้
นักศึกษาบางคนถามขึ้นอีกว่า “นี่พริกพันธุ์อะไรเหรอครับ สองวันก่อนผมไปกินเว่ยจือหลินมา พวกเขาเอาแต่โม้ว่าพริกของตัวเองมาจากฐานแปลงปลูกพิเศษตลอด ผมว่ามันสู้น้ำมันพริกอันนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ป้าตักอาหารไม่รู้จักร้านอาหารชื่อดังในเน็ตแห่งนี้ เธอจึงทำเพียงครุ่นคิดแล้วกล่าว “น่าจะเป็นพริกชี้ฟ้าธรรมดามั้งจ๊ะ แถมเป็นเมล็ดที่เลี้ยงมาจากพริกที่เมื่อก่อนเคยนำเข้ามาอีก”
ความจริงเธอรู้สึกว่าเถ้าแก่ชุยน่าจะมีเคล็ดลับประจำตระกูลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้มากกว่า เหมือนกับที่เหล่านักศึกษาไม่รู้ว่าสูตรเมนูอาหารที่ถูกปรับทั้งหลายก็มาจากเถ้าแก่ชุยที่มีความแม่นยำเป็นพิเศษตั้งแต่อุณหภูมิน้ำมันไปจนถึงจำนวนกรัมของวัตถุดิบนั่นแหละ
ยังไงเสีย พริกที่เถ้าแก่ชุยปลูกก็ค่อนข้างมีมาตรฐานสูงเช่นกัน
ในตอนนี้ เถ้าแก่ชุยที่พนักงานโรงอาหารต่างพูดถึง กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของอธิการบดีชุย ในมือถือภาพเรนเดอร์[2]เอาไว้ บนนั้นเป็นภาพของภูเขาขนาดเล็ก โดยมีทางเดินปูด้วยหินกรวดลากยาวไปจนถึงศาลากับโต๊ะหินที่อยู่บนยอดเขา รอบข้างมีต้นไม้ที่ไม่สูงนักตั้งอยู่ ส่วนพื้นที่ๆ เหลือก็เต็มไปด้วย…ต้นกล้าของผักเขียวชอุ่ม
แปลงแล้วแปลงเหล่า หากไม่ตั้งใจดูโดยละเอียดคงให้ความรู้สึกว่าเป็นทิวทัศน์สวยงามที่เขียวสบายตาดี
อธิการบดีมองภาพเรนเดอร์พลางเอ่ยถามด้วยเสียงเหม่อลอย “ภูเขาด้านหลัง ปลูกผัก?”
ความจริงแล้ว ภูเขาด้านหลังที่ว่าเกิดจากการขุดดินเพื่อสร้างขึ้นเป็นพิเศษสมัยเริ่มขยายเขตโรงเรียน บนนั้นปลูกต้นไม้ไว้บ้างส่วน และยังสร้างศาลากับทางเดินเล็กๆ ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ได้วางแผนอะไรไว้อีก
“ใช่ครับ” ชุยชีฉาวพูดอย่างใจเย็น “คุณอาไม่รู้สึกเหรอครับว่าถ้าเว้นภูเขาด้านหลังไว้มันน่าเสียดาย? ผมลองตรวจสอบดูแล้ว พวกอาจารย์กับนักศึกษาส่วนใหญ่ชอบไปเดินเล่นกันที่สนามกีฬามากกว่า”
อธิการบดีกล่าวแย้ง “ที่หลานพูดก็ถูก แต่ที่อาเข้าใจคือมีคู่รักนักศึกษามากมายที่ชอบไปเดินเล่นกันบนภูเขานั่น แถมนี่ไม่ใช่สิ่งที่อาจะสามารถตัดสินใจได้ง่าย ๆ…”
“พวกเขาเลือกจะไปที่อื่นได้ครับ” ชุยชีฉาวตอบอย่างเย็นชา “อาครับ ผมอยากปลูกผักบนเขาลูกนี้จริงๆ”
อธิการบดีชุย “…”
แม้ว่าคำขอจะพิเศษไปหน่อย แต่ด้วยความจริงใจที่เต็มเปี่ยมของหลานรักแล้ว อธิการบดีชุยลังเลเพียงแค่สองวินาทีก็เอ่ยรับปากอย่างแน่วแน่ “เดี๋ยวอาจัดการให้!”
“ขอบคุณครับคุณอา” ชุยชีฉาวขอบคุณบริษัท LJJ ในใจที่เตรียมคอนเนคชั่นพิเศษและเหนียวแน่นจนถึงขั้นที่เขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ชุยชีฉาวครุ่นคิดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงบริษัท LJJ แม้ว่าความรักในรั้วมหาวิทยาลัยที่พวกเขาร้องขอจะไม่เกิดขึ้น แต่การปรากฏตัวมายึดครอง (การปลูกไร่ทำนา) ของทั่วมหาวิทยาลัยโดยไม่ทันตั้งตัวกลับใกล้สำเร็จในอีกไม่ช้า
ด้วยเหตุนี้นี่เอง แหล่งที่รายการเคยวางแผนไว้ว่ามีมีบรรยากาศเหมาะแก่การเปิดเพลงรักในรั้วมหาวิทยาลัยที่สุดกำลังจะถูกพังทลายลงด้วยจอบของโรงอาหารหมายเลขหนึ่ง
ในโลกแห่งความเป็นจริง
ชุยชีฉาวอยู่ในโลกเสมือนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ฟุตเทจที่สะสมไว้เพียงพอต่อการตัดต่อตอนแรกของรายการแล้ว
หลินหลินโดนด่าไปชุดหนึ่งเพราะเรื่องของเจ้าตัว สุดท้ายผู้บริหารระดับสูงก็ได้มติจากการประชุมว่าการสร้างโลกเสมือนมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ค่าเซ็นสัญญาของชุยชีฉาวก็เป็นจำนวนไม่น้อย บวกกับอีกฝ่ายมีทนายที่เก่งกล้าสามารถอีกต่างหาก ท้ายที่สุดจึงได้แต่กัดฟันยอมถ่ายทำรายการต่อไป
หลินหลินนั่งดูฟุตเทจอย่างอัดอั้นใจไปรอบหนึ่ง ชุยชีฉาวไม่มีความรักคบหาใครยังพอรับได้ แต่ยังจะทำลายสถานที่สุดโรแมนติกที่เหมาะกับบรรยากาศของความรักมากที่สุดในมหาวิทยาลัย C ทิ้งอีก คู่รักโดนไล่ตะเพิดหนีหายกันไปหมดแล้ว…
ฮัลโหล ฉันไม่ได้ให้คอนเนคชั่นพิเศษกับนายเพื่อจะใช้อำนาจในการปลูกผักนะ?
สีหน้าของผู้ชมที่มาเพื่อรอดูความรักในรั้วมหาวิทยาลัยจะนิ่งค้างเอานะ
“ปล่อยลงในแชแนลหญิงสาวนั่นแหละ โยนไปไว้ในประเภทรั้วโรงเรียน” หลินหลินกุมขมับแล้วกล่าว
ผู้ชมจะมาร้องเรียนก็ไม่มีประโยชน์ จะเอาไปตัดต่อเป็นรายการอาหารก็ไม่ไหวอีก ชุยชีฉาวเปิดแค่โรงอาหาร ฝีมือการทำอาหารก็ไม่ได้สูงส่งหรือมีลูกเล่นอะไรเท่าไหร่นัก แถมส่วนมากยังให้พ่อครัวแม่ครัวเป็นคนทำอีก
พอนั่งคิดนอนคิดไปมากว่าครึ่งค่อนวัน เธอก็ตัดสินใจว่าใส่ ๆ ลงไปในประเภทรั้วโรงเรียนเถอะ ไม่แน่การเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างอาจสร้างผลลัพธ์เกินคาดก็ได้นี่?
หากมีผู้ชมร้องเรียนก็ตอบตามคำพูดจากทนายของชุยชีฉาวแล้วกันว่า…สถานที่ในรายการก็อยู่ในมหาวิทยาลัยตลอด การแยกประเภทไปอยู่แนวรั้วโรงเรียนไม่มีปัญหาเลยแม้แต่นิด
ลองสู้ด้วยการตลาดแบบย้อนกลับ[3]สักตั้งแล้วกัน
ทางฝ่ายโปรโมทใช้ปกคลิปเป็นภาพโคลสอัพใบหน้าของชุยชีฉาวเพื่อหลอกให้คนกดเข้ามาดู พร้อมทั้งตั้งชื่อคลิปว่า “เจ้าของสายเลือดจักรพรรดิโบราณ ปรากฏตัวขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยช่วงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด”
ผลลัพธ์เป็นไปตามที่หลินหลินคาดไว้ ทันทีที่รายการออนแอร์ แม้จะไม่ได้ทุ่มงบโปรโมทเป็นพิเศษ แค่โปรโมทตามปกติ ก็ยังดึงดูดผู้ชมออนไลน์ได้เป็นจำนวนมาก ส่วนในคราวนี้คงได้ผู้ชมส่วนมากเป็นผู้หญิงเพราะไปใส่ไว้ในแชแนลหญิงสาว
แค่ปกก็มีจุดเด่นไปแล้วสองที่ อย่างแรกคือคนหล่อ อย่างที่สองคือเจ้าของสายเลือดกษัตริย์โบราณ หากคนแบบนี้ปรากฏตัวขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย เรื่องราวจะเดินไปในทางอบอุ่นหัวใจหรือชวนให้คนปวดใจกันแน่นะ?
[1] สามสหายในที่นี้หมายถึงผักสามชนิด คือ มะเขือ มันฝรั่ง และพริกหวาน
[2] การเรนเดอร์ (Render) คือ การสร้างภาพ โดยนำข้อมูลต่างๆ มาคำนวนและสร้างออกมาเป็นภาพแบบจำลองหรือภาพกราฟฟิกส์ 3D
[3] การตลาดแบบย้อนกลับ (Reverse Marketing) กลยุทธ์การตลาดที่ กระตุ้นให้ผู้บริโภคหาคุณค่านอกเหนือจากสินค้าที่แบรนด์พยายามขายอยู่