[ทดลองอ่าน] เชิญร่ำสุรา 將進酒 บทที่ 98 : ทางหนี

เชิญร่ำสุรา
將進酒

 

ถังจิ่วชิง
唐酒卿

กอหญ้า แปล

 

เสิ่นเจ๋อชวนพูด “ข้าเช็ดคราบเลือดไม่ออกแล้ว”
เซียวฉือเหย่ตอบ “พวกเราจะเข้าสู่แดนอสูรด้วยกัน แนบชิดอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำตัวให้สะอาดอีกแล้ว”
ริมฝีปากบางของเสิ่นเจ๋อชวนเม้มเล็กน้อย “ข้า…”
เซียวฉือเหย่บีบริมฝีปากที่เม้มเข้าด้วยกันแน่นของเขาให้เปิดออก “เจ้าจะพูดอะไรกับข้า”
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสิ่นเจ๋อชวนพูดเสียงเจือสะอื้น “ข้าเจ็บเหลือเกิน”
เซียวฉือเหย่ลูบผมเสิ่นเจ๋อชวน ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เขา “เจ็บตรงไหน บอกข้า”
เสิ่นเจ๋อชวนร้องไห้โฮ แม้แต่หัวไหล่ยังสั่นเทา เขาร้องประหนึ่งจะขาดใจ
เหมือนความเจ็บปวดรวดร้าวตลอดหลายปีมานี้ถูกปลดปล่อยออกมาในค่ำคืนนี้ทั้งหมด
แต่เขาโง่เหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหนทั้งที่อดทนกับความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เซียวฉือเหย่พลิกตัวกอดเสิ่นเจ๋อชวนไว้ โอบอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดทั้งตัว
ทำให้เสิ่นเจ๋อชวนได้พบสถานที่ที่สามารถถอดเปลือกนอกอันเสแสร้งของตัวเองออกไปได้
เขาขยี้ผมเสิ่นเจ๋อชวน เอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
“เจ้าจะไม่เจ็บอีกแล้ว ข้ารับรอง หลันโจวจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป”

 

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

 

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing

…XOXO…

มาดามโรส

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 98
ทางหนี

 

ฝนหยุดตอนย่ำรุ่ง ฟ้าดินดูกว้างใหญ่มัวหม่นเมื่อความมืดบรรจบกับความสว่าง ชีจู๋อินย่ำน้ำโคลนออกจากสนามฝึก ผูกเกราะแขนมองรองขุนพลของตนควบม้าเข้ามาในค่าย รองขุนพลของนางมีนามว่าชีเหว่ย เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำ นิสัยรอบคอบระมัดระวัง ยามอยู่ในสมรภูมิแบกขวาน ยามอยู่นอกสมรภูมิจับเข็มเย็บผ้า ไม่ว่าสิ่งใดล้วนทำได้ทั้งนั้น มีชื่อเสียงในกองทัพมาก

ชีเหว่ยลงจากม้ากลางทาง พยักหน้าทักทายเหล่าทหารข้างทางที่คารวะเขาอย่างรีบเร่ง ก่อนจะเดินตรงไปข้างกายชีจู๋อิน “ท่านจอมทัพ ข่าวไปถึงแล้ว!”

“ชวี่ตูหรือว่าเปียนจวิ้น” ชีจู๋อินถาม

“ถึงทั้งสองทางแล้ว” ชีเหว่ยรูปร่างไม่สูง เขากวาดตามองรอบด้านก่อนพูด “ชวี่ตูเจอฝนกะทันหัน ถูกฝนชะล้างอย่างหนัก คุณชายรองสกุลเซียวหลบหนีไป นำทหารรักษาพระองค์สองหมื่นหนีไปถึงเขตแดนจงปั๋ว ดูท่าน่าจะมุ่งหน้าไปฉือโจว”

ชีจู๋อินไม่ตระหนกแม้แต่น้อย นางผูกเกราะแขนให้แน่น ตอนกัดเชือกยังผลิยิ้มอย่างคลุมเครือ “เจ้าหนุ่มผู้นี้หนีไปไวทีเดียว”

“ก่อนหน้านี้มีคดีเสบียงกองทัพ ตามด้วยการโอบล้อมสังหารเซียวฉือเหย่ ครานี้หลีเป่ยอ๋องต้องโมโหแน่” ชีเหว่ยเดินตามชีจู๋อินไป “หากหลีเป่ยอ๋องแข็งข้อ พวกเราย่อมต้องเพิ่มทหารรักษาการณ์ในจงปั๋วหกโจว กำลังทหารในจงปั๋วจะกลับมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านจอมทัพ…”

ชีจู๋อินสวมเสื้อคลุม “จงปั๋วกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น หากให้มาอยู่ภายใต้ชื่อข้าจริง ข้าไม่กล้ารับหรอก เรื่องในชวี่ตูไม่เร่งด่วน เจ้าบอกข้าก่อนว่าทหารรักษาการณ์เปียนจวิ้นเป็นอย่างไรบ้าง ลู่ก่วงไป๋ทำสงครามซุ่มโจมตีไปจนถึงบ้านเกิดของพวกเปียนซาแล้วหรือ”

ใบหน้าหยาบกระด้างของชีเหว่ยฉายแววลังเล “ท่านจอมทัพ ครั้งนี้ขุนพลลู่ไม่สนใจคำสั่งทหาร ไล่ตามทหารม้าเปียนซาข้ามเขตไป ข้าสงสัยว่า…” เขาเงียบไป มิได้เอ่ยคำพูดนั้นออกมา

ชีจู๋อินพูด “ปีนี้เสบียงกองทัพถูกลดลงกึ่งหนึ่ง เปียนจวิ้นต้องลำบากแน่ ข้าอ้างชื่อบิดาทำสัญญายืมเงินกับสกุลเหยียนในเหอโจวแล้ว เงินนี้เป็นเงินที่ข้าจะเจียดออกไปซื้อเสบียงอาหารให้ทหารรักษาการณ์เปียนจวิ้น เจ้าจะพูดข้อสงสัยอะไรกับข้า เรื่องที่ไม่มีหลักฐานข้าไม่รับฟังทั้งสิ้น”

ชีเหว่ยรู้ว่าชีจู๋อินเห็นคุณค่าของขุนศึก แต่ไรมาปูนบำเหน็จและลงโทษอย่างชัดเจน ไม่มีทางข่มเหงผู้อื่นเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ แต่ครั้งนี้เขารุดไปเปียนจวิ้นตรวจสอบด้วยตัวเอง เพราะเห็นความผิดปกติถึงได้เกิดสงสัย เขาไม่กล้าปิดบังอีก รายงานตามความจริง “ท่านจอมทัพ เรื่องที่ไม่มีหลักฐานข้าก็มิกล้าพูดเช่นกัน ครั้งนี้ข้าไปเปียนจวิ้นเพื่อสืบสถานการณ์การรบเมื่อหลายวันก่อน ทว่าขุนพลลู่ไม่เพียงไม่กลับค่าย ยังโยกย้ายทหารเฝ้าหอจุดควันสัญญาณออกไปด้วย”

ชีจู๋อินชะงักเท้า หันไปมองชีเหว่ย “เขาโยกย้ายทหารเฝ้าหอส่งสัญญาณ?”

ชีเหว่ยผงกศีรษะ กำลังจะอธิบายให้ละเอียด กลับได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากอีกทาง สองคนหันไปมอง เห็นนอกค่ายมีคนแปลกหน้ากรูเข้ามามากมาย พวกเขาล้อมเกี้ยวหลังเล็กประณีตหลังหนึ่งไว้ ถูกทหารยามขวางไว้ข้างนอก

อิ๋งสี่เห็นทหารยามไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกม่านด้วยตัวเอง เอ่ยเสียงแหลม “ไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร เกี้ยวข้าผู้ใดบ้างที่ขวางได้! ข้าคือเจียนจวินที่องค์เหนือหัวในชวี่ตูส่งมา! เจ้ารีบไปรายงาน บอกจอมทัพชีว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้ง!”

ชีจู๋อินมองอยู่ไกลๆ และพูดกับชีเหว่ย “เจ้าไปรับหน้าที บอกว่าข้ายุ่ง ไม่มีเวลาพบเขา ขันทีจากชวี่ตูล้วนเหมือนกัน เลี้ยงดูเขาให้ดีและให้เขาหุบปาก อย่าก่อความวุ่นวายก็พอ ตอนนี้ข้าจะไปเปียนจวิ้น ลู่ก่วงไป๋หาใช่ขุนศึกที่จะหนีสงคราม ก่อนที่ข้าจะกลับมา บอกคนจากชวี่ตูว่าข้าไม่อยู่ ทางนั้นสถานการณ์ยากจะคาดเดา เจ้าจับตาดูบิดาไว้ด้วย หากเขาส่งจดหมายถึงชวี่ตู เจ้าสกัดไว้ก่อน บอกเขาให้สำรวมหน่อย”

ชีเหว่ยยังอยากพูดอะไรอีก ทว่าชีจู๋อินกลับพลิกตัวขึ้นม้าเสียแล้ว

ก่อนไปนางหันกลับมาพูดกับชีเหว่ย “เหตุการณ์ในชวี่ตูยังไม่สงบภายในครึ่งเดือนนี้แน่ งานสมรสในเดือนหน้าต้องเลื่อนออกไปอยู่แล้ว ปลดแถบแพรสีแดงในบ้านลงมาก่อน นั่นล้วนเป็นเงินทั้งนั้น” พูดจบก็ไม่รีรอ พาคนอ้อมเกี้ยวของอิ๋งสี่ มุ่งหน้าไปเปียนจวิ้น

 

เสิ่นเจ๋อชวนดื่มยาแล้ว ระหว่างทางอาการป่วยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ทหารรักษาพระองค์ต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อ พวกเขาต้องคิดหาทางโน้มน้าวโจวกุ้ยผู้ว่าการเขตฉือโจวให้ยอมเปิดทาง…ก่อนหน้านั้นยังต้องสลัดทหารที่ไล่ตามมาไม่หยุดหย่อนทิ้งไปด้วย

“ข้างหลังคนที่ตามมาไม่ลดละคือหานจิ้น” ถานไถหู่กุมดาบนั่งกอดเข่าอยู่บนก้อนหิน “หากไม่อาจโจมตีเขาให้ถอยไปก่อนถึงฉือโจว เขาจะนำคำสั่งโยกย้ายจากชวี่ตูบังคับให้โจวกุ้ยปิดเมืองทันที ขังพวกเราให้ตายอยู่ในเขตแดนจงปั๋ว”

เซียวฉือเหย่กอดอกไม่พูดจา เบื้องหน้าพวกเขาเป็นแผนที่หยาบๆ แผ่นหนึ่ง เซียวฉือเหย่หาได้กลัวการต่อสู้กับหานจิ้น แต่เขาต้องคำนึงถึงเรื่องเวลา ยิ่งยื้อเวลานานไป ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อทหารรักษาพระองค์ ชีจู๋อินยังไม่ได้นำกำลังมาโอบล้อมเขา นั่นเพียงเพราะตอนนี้ชวี่ตูยังตกอยู่ในสถานการณ์ชุลมุนที่แผ่นดินไร้ผู้สืบบัลลังก์ รอจนสถานการณ์ในชวี่ตูแน่นอนแล้ว มีเวลาสั่งการให้ชีจู๋อินไล่ล่าพวกเขาเมื่อไร ทหารรักษาพระองค์สองหมื่นของเขาย่อมต้องปะทะกับแผ่นเหล็ก

“ความยากมิได้อยู่ที่การต่อสู้ แต่อยู่ที่จะต่อสู้ให้ไวได้หรือไม่” ใบหน้าขาวซีดของเสิ่นเจ๋อชวนยังไม่มีเลือดฝาดกลับคืนมา เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาขีดเขียนบนพื้น “หานจิ้นกล้าตามมาไกลถึงเพียงนี้ เพราะเบื้องหลังคือตันเฉิง เสบียงอาหารในตันเฉิงเปรียบเสมือนประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้างสำหรับแปดกองกำลังในมือเขา พวกเขาไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นอยู่ ทหารสองหมื่นของพวกเราหนีมาถึงที่นี่ได้เพราะอาศัยแรงฮึด แต่ไม่มีเสบียงอาหารเลย คิดจะผ่านฉือโจวเพื่อไปหลีเป่ย จำต้องแก้โจทย์ยากข้อนี้ให้ได้ก่อน”

ถานไถหู่ยังไม่ชินกับการเผชิญหน้ากับเสิ่นเจ๋อชวน เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนหันไปมองเซียวฉือเหย่ เซียวฉือเหย่ไม่ได้มองเขา เอ่ยว่า “มีอะไรก็พูดมา”

ถานไถหู่เปลี่ยนท่านั่ง ชี้นิ้วไปที่พื้น “ฉือโจวเป็นสหายเก่าของพวกเรา ให้โจวกุ้ยอ้างว่าข่าวสารถูกปิดกั้น จากนั้นพวกเรายืมเสบียงอาหารของเขามาใช้ยามคับขันก่อน แบบนี้ไม่ได้หรือไร”

“ไม่ได้” เสิ่นเจ๋อชวนปล่อยมือจากก้อนหิน “ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การกระทำทุกอย่างล้วนเป็นการเลือกฝั่งเลือกฝ่าย ต่อให้โจวกุ้ยมิได้มีเจตนาเช่นนั้น แต่หากเขาทำ เช่นนั้นในสายตาของชวี่ตู เขาย่อมเป็นคนทรยศที่ช่วยเหลือทหารกบฏ รอจนพวกเราเดินทางผ่านฉือโจวไป เขาจะถูกคุมตัวไปชวี่ตูรับการสอบสวนและลงโทษ โจวกุ้ยยังมีครอบครัวทั้งคนแก่และเด็กเล็ก เขาไม่มีทางทำเช่นนี้แน่”

ติงเถาเงยหน้าจากสมุด “พี่เฉินไปรวบรวมเสบียงอาหารแล้วมิใช่หรือ เขาต้องกำลังเดินทางมาหาพวกเราแน่”

“เสบียงกองทัพที่เขารวบรวมมาส่งไปหลีเป่ยแล้ว นั่นเป็นเสบียงของทหารม้าเหล็กหลีเป่ยที่อยู่แนวหน้า ไม่มีเหลือแบ่งมาให้ทหารรักษาพระองค์หรอก” เซียวฉือเหย่ย่อตัวลงพิจารณาแผนที่ “ต่อให้เขากับกู่จินมาถึงก็นำเสบียงอาหารมาด้วยไม่เยอะ”

ดังคำกล่าวที่ว่ากำลังพลยังไม่เคลื่อน เสบียงอาหารนำไปก่อน ในอดีตหลีเป่ยกับฉี่ตงสามารถโจมตีทหารม้าเปียนซาจนล่าถอยไปอย่างรวดเร็วได้เพราะทหารม้าเปียนซาไม่มีเสบียงอาหาร มิอาจทำศึกยืดเยื้อ บัดนี้ทหารรักษาพระองค์ถูกกระหนาบอยู่ตรงกลาง ไม่ว่ารุกหรือถอยล้วนลำบาก มิอาจทำศึกยืดเยื้อได้เช่นกัน จู่โจมฉือโจว บางทีอาจเป็นวิธีการหนึ่ง แต่แน่นอนว่าเป็นวิธีการที่ย่ำแย่ ก่อนหน้านี้พวกเขาทุ่มเงินไปกับฉือโจวเกือบแสนตำลึง อุตส่าห์สร้างไมตรีกับโจวกุ้ยเพื่อหวังให้เขาคอยเฝ้าระวังและให้ความช่วยเหลือ จุดประสงค์ก็เพื่ออนาคต

“ย้อนกลับไปตีตันเฉิง” ถานไถหู่ครุ่นคิด “ตันเฉิงมีเสบียงอาหาร พวกเราจะไม่อยู่ในเมืองนาน ได้เสบียงแล้วจากไปทันที เมื่อถึงฉือโจวทุกอย่างย่อมเจรจากับโจวกุ้ยได้”

“ไม่ได้” เสิ่นเจ๋อชวนถอนหายใจเล็กน้อย “ตันเฉิงมีเส้นทางทหารที่ทะลุไปฉวนเฉิงและชวี่ตูได้โดยตรง ย้อนกลับไปเท่ากับมีเวลาให้ชวี่ตูโยกย้ายแปดกองกำลังที่เหลือออกมา การเดินทางทำให้เหน็ดเหนื่อย ย่อมไม่แน่ว่าจะโจมตีเมืองได้อย่างรวดเร็ว”

ข้อเสนอของถานไถหู่ถูกเสิ่นเจ๋อชวนปฏิเสธถึงสองครั้ง เขารักษาหน้าไว้ไม่อยู่ จึงถูมือโดยไม่พูดอะไรอีก พี่ชายเขาถานไถหลงเป็นยอดบุรุษ ทั้งยังเป็นขุนศึก ทว่าถานไถหู่ไม่มีผู้ใดสอน ตอนนี้เขาทั้งอับอายและกระอักกระอ่วน แต่ในใจกลับยอมรับอีกฝ่าย เขาหาใช่คนเอาแต่ใจไม่ฟังเหตุผล อย่างน้อยก็ยอมรับว่าความคิดตัวเองไม่รอบคอบ

เซียวฉือเหย่เหมือนเข้าใจความคิดของถานไถหู่ จึงยกมือขึ้นตบหลังเขา พูดอย่างไม่จริงจังนัก “ย้อนกลับไปโจมตีตันเฉิงมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ก็เป็นวิธีการหนึ่ง สมัยก่อนเจ้าอยู่แต่ในชวี่ตูและเคยทำศึกกับแปดกองกำลังในตรอกเพียงครั้งเดียว บัดนี้เมื่อออกมาแล้ว เรื่องใดไม่รู้ก็ถามให้มาก วันหน้าเจ้าต้องนำทัพ ยังมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจอีกมากมาย ใช่ว่าทุกครั้งจะมีใต้เท้าเสิ่นคอยชี้แนะ เหลาหู่ การเรียนรู้ไม่มีจุดสิ้นสุด ถ้ายอมลำบากศึกษาสักหน่อย อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด”

ดินบนพื้นถูกขีดเขียนจนเละ เสิ่นเจ๋อชวนมองดวงตะวัน “หานจิ้นเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ในชวี่ตู ปกติเคยแต่ควบม้าในลานล่าสัตว์ ดังนั้นในชั่วเวลาสั้นๆ นี้เขายังไล่ตามพวกเราไม่ทันแน่”

“ระหว่างนี้หากซุ่มโจมตีสักครั้ง ย่อมสามารถปล้นเสบียงอาหารของหานจิ้นได้” เซียวฉือเหย่กวาดตามองรอบด้าน “มิต้องใช้กำลังถึงสองหมื่นด้วยซ้ำไป”

“เขากลัวเจ้า” ปลายนิ้วของเสิ่นเจ๋อชวนจิ้มดิน “ตลอดทางไล่ตามมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ คิดจะทำให้เขาหลงกล ต้องมีเหยื่อล่อก่อนถึงจะได้”

“ข้านำกำลังห้าร้อยรอเขาอยู่ที่นี่ เดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกเป็นแม่น้ำหนีซา สองด้านติดภูเขา หนึ่งด้านเป็นแม่น้ำ ให้เหลาหู่นำกำลังทหารสองพันดักซุ่มอยู่ที่นั่น” เซียวฉือเหย่เช็ดดินออกจากปลายนิ้วให้เสิ่นเจ๋อชวน “คืนนี้ให้ติงเถาพาคนไปกินดื่มในตำบลที่ตั้งอยู่ระหว่างทาง กระจายข่าวออกไปว่าทหารรักษาพระองค์หนีมาถึงที่นี่ เนื่องจากข้าขัดสนจนไม่มีเงินซื้อเสบียงอาหาร ทั้งยังออกจากจงปั๋วมิได้ ดังนั้นกองทัพจึงระส่ำระสาย มีทหารหลบหนีจำนวนมาก”

หานจิ้นยังเยาว์วัย เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเซียวฉือเหย่ในเหตุการณ์คูระบายน้ำอุดตัน เสิ่นเจ๋อชวนพูดถูก หานจิ้นหวาดกลัวเซียวฉือเหย่จริงๆ อันที่จริงหนุ่มกางเกงแพรในชวี่ตูน้อยคนนักที่จะไม่กลัวเซียวฉือเหย่ รูปร่างและนิสัยของเซียวฉือเหย่ทำให้เขากลายเป็นป้าอ๋องอย่างแท้จริงตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง การขับเคี่ยวในลานล่าสัตว์หนานหลินเป็นการแบ่งแยกความแตกต่าง ทายาทสายตรงอย่างหานจิ้น ยามอยู่ในบ้านมิใช่บุตรชายคนโต มีบิดาและพี่ชายคอยดูแล เข้าวังก็ราบรื่นทุกประการ ดูเหมือนไม่แตกต่างจากเซียวฉือเหย่ แต่เขากลับไม่เคยโดดเด่นเหมือนเซียวฉือเหย่ บางทีอาจเพราะหวาดกลัว เขาจึงไล่ตามเซียวฉือเหย่อย่างรอบคอบ แต่เขาไม่ยอมพลาดโอกาสในการเอาชนะเซียวฉือเหย่แน่นอน

ขอเพียงเซียวฉือเหย่เปิดช่องโหว่ให้เขา

“นอกจากเรื่องพวกนี้” เสิ่นเจ๋อชวนใคร่ครวญครู่หนึ่งและพูดกับติงเถา “ยังต้องบอกว่าข้ากับท่านโหวไม่ลงรอยกัน ระหว่างทางมีปากเสียงกันหลายครั้งจนถึงขั้นจะแยกทางกันแล้ว”

“เจอปัญหาทั้งภายในและภายนอก” เซียวฉือเหย่ฉีกยิ้มเห็นฟัน “พูดให้อนาถได้เท่าใดยิ่งดี”

ติงเถาจดลงในสมุดอย่างรวดเร็ว

ถานไถหู่ไม่วางใจ เอ่ยถาม “ติงเถาจะแสดงละครได้หรือ ไหนลองพูดให้พวกเราฟังสักรอบซี”

ติงเถาขยี้ตา ถือสมุดท่องว่า “นายข้าถูกคนทำร้ายจนน่าอนาถเหลือเกิน แปดกองกำลังไล่ตามไม่หยุดเหมือนสุนัข พวกเขาไล่ตามจนนายข้าไม่มีแม้กระทั่งเงินจะกินโจ๊ก พวกเราหนีตายออกมาจากชวี่ตู หมู่บ้านเกษตรและร้านรวงพวกนั้นล้วนไม่มีเวลาจัดการ เงินในจวนก็ไม่ได้นำออกมาด้วย กระเป๋าว่างเปล่าไม่มีเงินสักแดง แถมนายข้ายังติดเงินร้านต่างหูบนถนนเสินอู่อยู่ตั้งหลายพันตำลึง ตอนนี้ไม่มีปัญญาใช้คืนแล้ว ใต้เท้าเสิ่นตากฝนไม่สบาย ป่วยหนักมาก แต่ไม่มีเงินหาหมอ ตอนนี้ทหารและอาชาต่างหิวโหย ข้าหิวเหลือเกิน หิวจนน้ำย่อยเอ่อขึ้นมาในปากไม่หยุด ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงพาพี่น้องออกมาปล้นชิงชาวบ้าน ได้เงินมาเล็กน้อย เดิมทีพวกเราล้วนเป็นบุรุษที่ดี กลับต้องถูกบีบคั้นจนถึงขั้นนี้ พวกเราแวะกินอาหารเล็กน้อยและจะเร่งเดินทางต่อ จะไปขอพึ่งหานจิ้น! หานจิ้นดีจะตาย มีทั้งเงินและเสบียงอาหาร ติดตามเขาจึงจะมีอนาคต! อนาคตก็คือ…” ติงเถาท่องออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่สมจริง

เซียวฉือเหย่พูด “นายเจ้ารู้สึกว่าเจ้าพูดได้ดีมาก เหลาหู่ ถอดเสื้อคลุมของเขาออก ทาโคลนบนหน้าเขา ให้เหรียญทองแดงสามพวงและให้เขาเร่งเดินทาง ไม่ต้องแวะกินหรือนอนในโรงเตี๊ยม เคาะชามขอทานจากชาวบ้านในตำบลต่างๆ ไปแล้วกัน”

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า