我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 2
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
ชุยชีฉาว เตรียมเข้าสู่โลกที่สองในบทบาทใหม่
บารอนหนุ่มผู้เป็นเจ้าเมืองเล็กๆ อย่าง นอร์ทัมเบอร์แลนด์
เมื่อสายเลือดเสินหนงมาปรากฏตัวในยุโรปยุคกลางทั้งที
แผ่นดินที่เคยแห้งแตกระแหงจะเขียวขจีได้ขนาดไหนกัน
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
โลกที่ 2: ปลูกผักทำไร่ในยุคกลาง
(ต่อ)
บทที่ 3.1
สนามหญ้าที่ใช้จัดงานเลี้ยงอยู่ด้านล่างของปราสาทบนที่สูง ชุยชีฉาวยืนทอดสายตาอยู่กับที่ เขาเห็นเหล่าเซิร์ฟกำลังพุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่งราวกับวิ่งแข่ง ภาพที่คุ้นเคยนี้ทำให้เขาคิดถึงมหาวิทยาลัย C อยู่บ้าง
เหมือน เหมือนมาก เหมือนพวกนักศึกษา ม. C ตอนโรงอาหารเปิดทำการเลย
กลุ่มเซิร์ฟวิ่งตัดผ่านผืนหญ้าไปยังแม่น้ำสายเล็ก ผ่านตัวโบสถ์ ก่อนจะกระจายตัวกันออกไป เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่กระท่อมของตน
พลันเหล่าลูกเล็กเด็กแดงที่เฝ้ารอพวกเขากลับมากินข้าวอย่างหิวโหยก็ได้ยินเสียงอันน่าสะพรึง แม้จะไม่ถึงขั้นแผ่นดินไหวหรือภูเขาถล่ม แต่ก็ใกล้เคียงกับฝูงแกะที่กำลังวิ่งพล่านพร้อมส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง
“เร็ว เร็วเข้า! รีบนำชามออกมา!”
“ดาน่า ชาม! ไม่สิ หม้อ! อุ้มน้องชายลูกมาด้วย!”
บางคนถึงกับยืนเท้าสะเอวตะโกนเรียกลูกตนเองในหมู่บ้านจากที่ไกลๆ ร้องบอกให้คนโตพาคนเล็กมา และให้คนเล็กอุ้มชามมาด้วย แบบนี้จึงจะประหยัดเวลาได้บ้าง
เสียงตะโกนที่ดังเป็นระลอกทำเอานกบนต้นไม้ตกใจบินแตกรัง แมเนอร์ในเมืองนอร์ทัมเบอร์แลนด์คึกคักขึ้นทันตาเห็น
ส่วนคนที่มีบ้านอยู่ไกลก็ลำบากหน่อย ไม่ว่าจะรีบแค่ไหนก็ไม่ทันคนอื่นเขา ได้แต่วิ่งไปพลางมองระยะทางที่แตกต่างไปด้วยความอิจฉาตาร้อน
พวกเขาไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อนในชีวิตด้วยซ้ำ แม้เสียงหอบหายใจจะดังถี่ในอากาศ แต่ร่างกายของพวกเขากลับพลุ่งพล่านไปด้วยพละกำลัง สิ่งเหล่านี้ทำให้หัวหน้าพ่อบ้านที่มองอยู่คับแค้นใจยิ่งกว่าเดิม ปกติจะเฆี่ยนจะตียังไงตอนทำงานก็ไม่ยอมขยับ แต่พอมีสตูเนื้อแกะให้กินเข้าหน่อย กลับวิ่งเร็วเสียยิ่งกว่าสุนัข
เซิร์ฟแต่ละคนพาครอบครัวกลับมาที่ลานสนามหญ้า ลูกๆ ของพวกเขายังอยู่ในสภาพมึนงง พวกเขาฟังสิ่งที่พ่อแม่ตะโกนจนแทบไม่เป็นภาษาคน ไม่รู้เรื่องสักนิด
พวกเซิร์ฟไม่เคยได้เฉลิมฉลองเทศกาลมาก่อน พวกเสรีชนกับช่างคนอื่นๆ อาจเคยเฉลิมฉลองให้กับผลผลิตที่ได้ปีละครั้งบ้าง แต่พวกเขาไม่เคย สิ่งที่คล้ายคลึงกับการเฉลิมฉลองเทศกาลมากที่สุดในก่อนหน้านี้ คงเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครในบ้านหิวหรือหนาวตายในเหมันตฤดูละมั้ง
ตั้งแต่เกิดจนถึงโต พวกเขามีความทรงจำเช่นนี้ทั้งหมด แม้แต่รุ่นพ่อ หรือพ่อของพ่อก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด
จากนี้เป็นต้นไป เทศกาลเก็บเกี่ยวหลังฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีจะกลายเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าเซิร์ฟในนอร์ทัมเบอร์แลนด์ ถึงนายท่านจะยิ่งจัดยิ่งอลังการขึ้นในทุกปี แต่เทศกาลปีแรกก็ยังคงเป็นปีที่ตราตรึงที่สุดในใจของทุกคน
เมื่อกลุ่มเซิร์ฟทะยานตัวจนถึงระยะที่ใกล้ขึ้น พวกเขาก็พบข้ารับใช้ของนายท่านที่กำลังถือท่อนไม้ในมือยืนเฝ้าอยู่ข้างหม้อ
ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างก็เคยโดนไม้ฟาดมาก่อนทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่กล้าเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอีก สถานที่จัดงานไม่เงียบสงัดอย่างก่อนหน้า เด็กน้อยทั้งหลายถูกอุ้มมาด้วย พวกเขาได้กลิ่นหอมฉุยของสตูเนื้อแกะแต่กลับกินไม่ได้ จึงร้องไห้ออกมายกใหญ่
ชุยชีฉาวสั่งการเสียงเบา พ่อบ้านกล่าวขึ้นในทันที “ทั้งหมดจงต่อเป็นหกแถว” ว่าจบก็ฉุดกระชากเซิร์ฟหกคนให้มายืนเป็นหัวแถวอย่างหยาบคาย เซิร์ฟคนอื่นๆ รีบต่อแถวจนกลายเป็นสิบสองแถว เพราะแต่ละแถวมีหางแถวแตกออกมาสองแถว ทุกแถวต่างยืนยันว่าตนเองนั้นเป็นหางแถวทั้งหมด
หัวหน้าพ่อบ้านเตะพวกเขาสองสามที บังคับให้ตัดหนึ่งในหางแถวออกไปต่อด้านหลังแทน
แม้การกระทำจะรุนแรงหยาบคาย แต่มันกลับได้ผลค่อนข้างดี เซิร์ฟไม่กล้าปริบากบ่นสักคำ กลุ่มเซิร์ฟที่เพิ่งรุดตัวมาถึงก็เดินไปต่อที่หลังแถวแต่โดยดี
หัวหน้าแม่ครัวกับสาวรับใช้ถือหม้อดินเผาใบเล็กอยู่ในมือ คนหนึ่งตักสตู อีกคนตักแคร์รอตกับเนื้อลงชาม เหล่าเซิร์ฟเดินมาหยุดลงตรงหน้าพวกนาง แล้วยื่นภาชนะที่นำมาด้วยออกมา ทุกคนจะได้รับตามจำนวนสมาชิกครอบครัวที่มี
ถึงอย่างไรชุยชีฉาวก็เคยเปิดโรงอาหารมาก่อน เขารู้ปริมาณของกับข้าวหม้อใหญ่ดี ปริมาณเท่านี้น่าจะพอดีกับจำนวนคน
เจนเป็นลูกสาววัยห้าขวบของเซิร์ฟคนหนึ่ง ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยกินเนื้อมาก่อน สิ่งที่พอจะคล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์มากที่สุดเท่าที่นางเคยกินคือไข่ของไก่ตัวเมียในบ้าน ถึงแม้จะมีโอกาสได้กินเนื้อบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มีเอาไว้ให้คนที่ต้องใช้แรงงานกินทั้งนั้น มันจึงนับว่าเป็นเรื่องไม่เลวแล้วที่เด็กสาวเคยได้กินไข่
เจนตัวค่อนข้างเล็กและผอมแห้ง แต่นางมีใบหน้าสวยน่ารัก ดวงตาสีฟ้าใสเกิดประกายหลากสีขึ้นเมื่อสะท้อนกับท้องฟ้ายามค่ำคืน หัวหน้าแม่ครัวเห็นเด็กสาวแล้วนึกถึงลูกสาวของตน จึงตักเนื้อส่วนน่องแกะให้เพิ่มอีกชิ้น
แม้คนอื่นจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดอะไร พวกเขาได้แต่อิจฉาที่บ้านคนอื่นมีลูกสาวหน้าตาน่ารัก
เมื่อพวกเซิร์ฟคนอื่นได้รับสตูเสร็จ ก็นั่งล้อมเป็นวงกลมบนพื้นหญ้าเหมือนครอบครัวของเจน
พวกเขาชิมสตูก่อนเป็นคำแรก ถึงอากาศจะร้อน แต่สตูร้อนข้นที่มีชั้นน้ำมันลอยอยู่ก็ไม่ถึงกับลวกปาก รสชาติกลมกล่อมจนยากจะเชื่อ ในท้องที่หิวจนไส้กิ่วของพวกเขาอบอวลไปด้วยไอร้อนแห่งความสุข
สตูคำแรกที่มีเศษเนื้อผสมอยู่เหมือนเป็นแค่ออร์เดิร์ฟ พวกเขาตักชิ้นเนื้อเข้าปากต่ออย่างอดรนทนไม่ไหว เนื้อส่วนมากเป็นเนื้อแกะ มีเนื้อหมูปนอยู่บ้าง ทุกอย่างถูกตุ๋นจนเปื่อยเละแทบไม่ต้องเคี้ยว
สองมือของเจนถือน่องแกะที่หัวหน้าแม่ครัวให้เป็นพิเศษไว้ นางเริ่มแทะจากเนื้อเอ็นที่ห้อยอยู่ก่อน เด็กสาวที่ได้กินเนื้อครั้งแรกแทะจนกระดูกสะอาดสะอ้าน และยังไม่ลืมที่จะดูดรสชาติที่หลงเหลือจากตัวกระดูกอีกด้วย
รสชาติที่ยากจะจินตนาการนี้ โจ๊กถั่วหรือโจ๊กข้าวโอ๊ตในสมัยก่อนเทียบไม่ได้เลยสักนิด เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองถวิลหาเนื้อพวกนี้เป็นอย่างมาก นางเริ่มดูดจากส่วนตัดของกระดูกตามคำชี้แนะของผู้เป็นมารดา ไขกระดูกด้านในที่ซึมซับน้ำสตูอย่างเต็มที่กลายเป็นของเหลว รสสัมผัสนิ่มต่างจากตัวเนื้อเข้าสู่ปากพร้อมกับกลิ่นหอมเข้มข้น
เซิร์ฟที่ตักได้กระดูกต่างทำเช่นเดียวกัน พวกเขาแทะเนื้อทุกซอกทุกมุมจนหมด จากนั้นก็หักกระดูกก่อนจะดูดไขจนแห้ง สุดท้ายพวกเขาต้องใช้ลิ้นแงะเนื้อที่ติดอยู่ในซอกฟันเพื่อลิ้มรสเนื้อพวกนั้นต่อ
ใช้คำว่า ‘ยัดห่า’ ไม่ถือว่ากล่าวเกินกว่าเหตุ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครเคยได้กินสตูเนื้อแกะตุ๋นที่ทั้งพิถีพิถันและใส่สมุนไพรหอมมาก่อน ปกติก็มีแต่พวกขุนนางท่านลอร์ดถึงกินกันได้ไม่ใช่หรือ
ไม่มีใครเก็บเนื้อเอาไว้กินทีหลัง หากอาหารที่ได้เป็นขนมปังดำ พวกเขาอาจจะมีอารมณ์ที่จะเก็บไว้เพื่อแบ่งกินหลายวันบ้าง แต่รสชาติของสตูเนื้อพวกนี้ดีเกินทนจนไม่มีใครอดทนไหว ถึงพวกเขานำกลับไปก็อาจจะไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะเกรงว่าจะมีคนขโมยไปยามหลับ
หัวหน้าแม่ครัวพาสาวรับใช้เดินวนรอบ ตักกะหล่ำปลีตุ๋นในหม้อลงในชามของพวกเขา
เป็นเวลาเดียวกันกับที่เหล่าเซิร์ฟเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในชามยังมีผักอีก
แคร์รอตกับกะหล่ำปลีเป็นผักที่พวกเซิร์ฟได้กินบ่อย แคร์รอตในยุคนี้เป็นผักที่มีสีแดงคล้ำและกินกันแบบดิบเท่านั้น พวกเขาตักแคร์รอตซึ่งดูดซึมสตูเนื้อเต็มที่เข้าปาก หลังจากเขมือบเนื้อจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะค้นพบว่ามันมีรสสัมผัสต่างจากที่เคยกินยิ่งนัก แคร์รอตตุ๋นนิ่มเละไร้ซึ่งกลิ่นสาบดิน ไม่มีรสฝาด เนื้อแคร์รอตเคี้ยวง่าย ให้น้ำแคร์รอตที่มีรสหวานนอกเหนือจากเนื้อแกะ
ทุกคนดูออกว่าแคร์รอตที่อวบอิ่มระดับนี้ต้องมาจากแปลงผักของนายท่านเป็นแน่ มีเพียงพืชผักที่ใส่ปุ๋ยของนายท่านถึงออกลูกใหญ่และชุ่มฉ่ำได้ขนาดนี้
กะหล่ำปลีที่ถูกนำมาตุ๋นไม่ได้รสชาติย่ำแย่เหมือนที่เคยกิน
โดยทั่วไปป ทุกคนเชื่อว่าผลไม้มีความเย็น จึงต้องนำไปต้ม หากกินแบบดิบอาจทำให้ป่วยได้ แต่พืชผักกลับต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นแคร์รอตไปจนถึงเทอร์นิปหรือกะหล่ำปลี สามารถเอาเข้าปากโดยตรงได้ทั้งหมด การต้มผักจนสุกนั้นไม่ได้มีผลเสียอะไร ทุกคนแค่ไม่คุ้นชินกับการทำอย่างนั้น เหล่าเซิร์ฟใช้ชีวิตตามรอยบรรพบุรุษจนเคยชิน ไม่มีใครคิดจะเปลืองฟืนต้มอาหารที่กินดิบได้หรอก
ทว่าผักที่ต้มสุกกลับให้รสสัมผัสที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สำหรับพวกเซิร์ฟแล้ว มันนับว่าเป็นรสชาติที่หาได้ยาก จนกลบความรู้สึกเศร้าที่เนื้อหมดไปแล้วได้ พออิ่มหนำสำราญจากอาหาร พวกเขาก็มีเวลาว่างมองดูรอบกาย ไม่ก็พูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนบ้านของตน
“…นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาในชีวิต!”
พวกเขาไม่ได้มีคลังศัพท์เยอะนัก จึงได้แต่เน้นย้ำสองพยางค์ไปมาว่าอร่อย
“ท่านพ่อ วันหลังพวกเราก็ต้มแคร์รอตกับกะหล่ำปลีแบบนี้ดีไหมขอรับ ตอนกินไม่เปลืองแรงเลยสักนิด”
“งั้นเจ้าคงต้องไปเก็บฟืนเอง…ดูเจ้ากินเสียสิ ใบผักติดบนหน้าแล้ว รีบแกะมากินเร็ว”
“ข้าก็ยังคิดว่าก้อนน้ำมันที่ท่านลอร์ดให้กินนั้นอร่อยที่สุด พวกเจ้าไม่ได้ลอง รสชาตินั้น…”
“ท่านลอร์ด อ่า ท่านลอร์ดจิตใจดีงามเหลือเกิน”
“พ่อของข้า รวมถึงพ่อของพ่อข้า ก็ไม่เคยได้พบเจอนายท่านที่ดีขนาดนี้มาก่อน!”
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเซิร์ฟส่วนใหญ่ไม่เคยออกจากเมือง พวกเขาคงนำเมืองอื่นมาเปรียบเทียบด้วย ทั้งประเทศ ทั้งผืนดินนี้ จะมีเจ้าเมืองที่ใจกว้างได้ขนาดนี้อีกหรือ?
พวกเสรีชนที่รอบรู้กว่าหน่อยกับช่างเหล็กที่เคยเดินทางไปถึงทางเหนือ กล้ารับประกันว่าตลอดการเดินทางของพวกเขา ไม่เคยพบเจ้าเมืองที่มีจิตใจเมตตากว่าท่านบารอนผู้นี้อีกแล้ว
พวกเซิร์ฟหันไปมองหาท่านบารอน กลับพบว่าอีกฝ่ายจากไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
พอหัวหน้าแม่ครัวได้ยินพวกเขาถามว่านายท่านไปไหน ก็กลอกตามองบน “ไร้สาระ กลับไปกินอาหารค่ำสิ พวกเจ้าได้กินข้าวเร็วกว่านายท่านเสียอีก”
ในปราสาทยังมีผู้รับผิดชอบกับอัศวินอีกตั้งหลายท่านที่รอนายท่านอยู่นะ!
เหล่าเซิร์ฟเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายขึ้นในใจ เวลานี้ฉากท้องฟ้ายามค่ำคืนได้คืบคลานมาเยือน ใต้นภาที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เหล่าเซิร์ฟที่อิ่มหนำยังคงหวนนึกถึงรสชาติเมื่อครู่และอิงแอบพูดคุยกันอยู่อย่างนั้น พวกเขารู้สึกว่านี่เป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวที่ดีงามที่สุดแล้ว
เพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะพบเจอสถานการณ์ที่มีเงื่อนไขจำกัด ทว่านับจากวันนี้ ผู้คนก็เลือกที่จะจัดงานเลี้ยงเก็บเกี่ยวทุกครั้งบนพื้นหญ้ากว้างใหญ่อยู่ดี