[ทดลองอ่าน] คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน เล่ม 2 ตอนที่ 41

《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน

 

เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —

 เจียงซูเหย่าผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
กลับกลายเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารแปลกๆ หลากหลายรายการ
ด้วยเหตุนี้เซี่ยสวินสามีแต่เพียงในนามจึงชื่นชอบ
และหวงแหนนางยิ่งยวด
.
ขอเพียงได้กินอาหารฝีมือภริยา เท่านี้เขาก็พึ่งใจแล้วจริงๆ
ส่วนสหายร่วมงานผู้ตะกละตะกลามเหล่านั้นน่ะหรือ…
อย่าหวังว่าจะได้มากินอาหารฝีมือภริยาที่เรือนของเขาอีก
.
แค่เขาแบ่งปันให้บ้างเป็นครั้งคราว
เท่านี้ก็นับว่าเขาใจกว้างอักโขแล้ว!

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

41

 

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เจียงซูเหย่าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าในตอนเช้าและออกมาจากห้องโถงโซ่วหนิงแล้วก็ได้ถูกสวีซื่อเรียกไว้

“น้องสะใภ้สาม” สวีซื่อค่อยๆเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า แม้นางจะอายุสามสิบสองแล้ว แต่วันเวลากลับไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของนางมากเกินไป

น้อยมากที่สวีซื่อจะเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับเจียงซูเหย่าก่อน เจียงซูเหย่าจึงแปลกใจเล็กน้อย และหยุดฝีเท้ามองนาง

นางยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคย “ขอเชิญน้องสะใภ้ไปพูดคุยที่เรือนของข้าจะได้หรือไม่”

เจียงซูเหย่าลังเลอยู่ชั่วครู่ และพยักหน้าเป็นคำตอบ

เมื่อสาวใช้เลิกม่านขึ้น โจวซื่อได้เดินออกมาจากในห้อง พอได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง แล้วขมวดคิ้วมองดูพวกนาง

โจวซื่อผู้นี้ นิสัยสอดคล้องกับรูปร่างหน้าตาของนางเป็นอย่างมาก หน้าตาหุนหันพลันแล่น มุทะลุดุดัน ตรงไปตรงมา แต่กลับแสดงท่าทางว่ามีความรู้ความสามารถยึดถือในคุณธรรม พยายามให้ใกล้เคียงกับสวีซื่อ ซึ่งบรรยายได้หนึ่งคำ “ดันทุรัง”

“พี่สะใภ้ใหญ่ น้องสะใภ้” นางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “พวกเจ้าสองคนสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

สีหน้าของสวีซื่อยังเหมือนเดิม ตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ต้องพยายามสนิทกันเข้าไว้”

โจวซื่อแค่นเสียง “เฮอะ” อย่างหยามหยัน โดยหาได้สนใจไม่ว่าเจียงซูเหย่าจะอยู่ตรงนี้ด้วย ก็พูดออกมาตรงๆว่า “ช่าง

เสแสร้ง ระหว่างเจ้ากับข้าไม่เคยสนิมสนมกันมาก่อน”

สวีซื่อกล่าวว่า “น้องสะใภ้ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้” ท่าทางไม่คิดจะถือสาหาความกับโจวซื่อมากนัก

โจวซื่อรู้สึกจนปัญญาเหมือนกำปั้นได้ทุบลงบนปุยฝ้าย ฉับพลันนั้นรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ และอัดอั้นตันใจ แต่ผ่านมานานหลายปีเพียงนี้จึงคุ้นชินนานแล้ว ได้ถลึงตามอสวีซื่อแวบหนึ่ง แล้วจ้องมองเจียงซูเหย่าอยู่หลายที ก่อนจะเบะปาก เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

“นางก็มีนิสัยแบบนี้ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยหนามแหลม คุ้นเคยแล้วก็ดีเอง” สวีซื่อพาเจียงซูเหย่าเดินไปที่เรือนของบ้านใหญ่พร้อมกับพูดคุยไปด้วย

เจียงซูเหย่าคิดไม่ถึงว่าลับหลังสวีซื่อจะเป็นคนที่บอกว่าคนอื่นว่าไม่ดีเป็นด้วย จึงมองนางอย่างประหลาดใจ

สวีซื่อรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่และไม่อยากอธิบาย แล้วทั้งสองมาถึงเรือนของบ้านใหญ่อย่างเงียบๆ

เจียงซูเหย่านั่งลง มองสวีซื่อที่รินน้ำชาให้นางอย่างไม่เร่งไม่รีบ ในที่สุดทนไม่ไหว เอ่ยถามว่า “พี่สะใภ้ใหญ่เรียกข้ามามีธุระอะไรหรือ”

รอยยิ้มที่อ่อนโยนของสวีซื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ถอนหายใจออกมา และกล่าวว่า “น้องสะใภ้เป็นคนพูดตรงไปตรงมา ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว จะพูดตรงๆโดยไม่ปิดบัง ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้น้องสะใภ้ช่วยคลายข้อสงสัยบางอย่าง”

“แต่ก่อนอื่น ข้าต้องขอโทษน้องสะใภ้ด้วย”

“เอ๊ะ?” เจียงซูเหย่ากำลังมองไปที่ขนมอบหลากหลายที่อยู่บนโต๊ะด้วยความตะกละ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ตกตะลึง แล้วเลื่อนสายตาออกจากขนมอบ

“พี่สะใภ้ใหญ่นี่หมายความอย่างไร” อยู่ๆจะมาขอโทษนางโดยไม่มีเหตุผล ทำให้นางรู้สึกว่าสวีซื่อต้องการให้นางทำเรื่องใหญ่

ใบหน้าของสวีซื่อฉายความขัดเขินเล็กน้อย “ข้าเคยมีอคติต่อน้องสะใภ้ จงใจทำตัวห่างเหิน และแม้กระทั่งไม่ให้เด็กทั้งสองไปที่เรือนของน้องสะใภ้ ภายหลังค่อยๆตระหนักได้ว่าตัวเองใจแคบ ความคิดคับแคบ”

ตอนแรกจวนเซียงหยางป๋อไม่รู้ไปเกลี้ยกล่อมฮองเฮาอย่างไร ตั้งใจจะให้พระนางมอบสมรสพระราชทานแก่เจียงซูเหย่ากับเซี่ยสวิน หากเป็นการมอบสมรสพระราชทานจากฮองเฮา คิดจะหย่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เซี่ยสวินจำต้องไปสู่ขอเจียงซูเหย่าก่อนที่จะมีการมอบสมรสพระราชทาน สวีซื่อในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ อดไม่ได้ที่จะพยายามจับผิดน้องสะใภ้อย่างเจียงซูเหย่าที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียผู้นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่หลังจากที่เจียงซูเหย่าแต่งเข้ามาในจวนแล้ว กลับไม่ได้ทำตัวไร้เหตุผลเหมือนเช่นในข่าวลือ สามารถอยู่ร่วมกับกับเซี่ยสวินได้เป็นอย่างดี การที่ทำตัวห่างเหินและการจับผิดทำให้นางดูใจร้าย นอกจากนี้เจียงซูเหย่ายังเอ็นดูต่อเด็กทั้งสองเป็นอย่างมากและไม่ได้รู้สึกไม่พอใจต่อเซี่ยเจากับเซี่ยเย่าเพราะพฤติกรรมของนาง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นางต่างหากถึงจะเป็นคนที่นิสัยไม่ดีคนนั้น

“พี่สะใภ้ใหญ่ไฉนถึงพูดเช่นนี้” เจียงซูเหย่าค่อนข้างช้าในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จึงไม่ได้สังเกตเห็นความคิดห่างเหินของสวีซื่อเหล่านั้น

สวีซื่อรู้สึกละอายใจมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และแล้วขอโทษเจียงซูเหย่าด้วยความจริงใจอีกครั้ง

เจียงซูเหย่ารู้สึกอึ้งอยู่บ้าง นางหันไปมองป๋ายจื่ออย่างเงียบๆ กลับเห็นท่าทางของป๋ายจื่อที่เลิกคิ้วและระบายความขุ่นเคืองออกมา

หากสิ่งที่สวีซื่อพูดเป็นความจริง แต่ดูเหมือนว่าจะมีแค่นางคนเดียวที่ไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นหรือ

เมื่อเจียงซูเหย่าเห็นสวีซื่อยิ่งพูดยิ่งเสียใจมากขึ้น ท่าทางที่อ่อนโยนที่เจือความรู้สึกผิดทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ดังนั้นจึงขัดจังหวะ “พี่สะใภ้ใหญ่มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆเถอะ”

สวีซื่อบิดผ้าเช็ดหน้าแน่นกว่าเดิม อธิบายอย่างกระวนกระวายว่า “น้องสะใภ้เข้าใจผิดแล้ว หากข้าไม่มีเรื่องจะขอร้องเจ้า ข้ายังต้องกล่าวขอโทษเจ้า”

“เอ่อ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…” เจียงซูเหย่ายังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็มีลูกชิ้นลูกหนึ่งวิ่งโผเข้าหาร่างนางมาจากที่ไกลๆ

“ท่านอาสะใภ้สาม!” เซี่ยเจากอดแขนของนาง กล่าวอย่างตกใจระคนดีใจว่า “เจ้ามาได้อย่างไร”

“อาเจา!” สวีซื่อตำหนิด้วยสีหน้าจริงจัง

เมื่ออยู่ต่อหน้าสวีซื่อ เซี่ยเจายังไม่กล้าคึกคักร่าเริงมากเกินไป จึงปล่อยแขนของเจียงซูเหย่าอย่างน้อยใจ และกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “มารดา ท่านอาสะใภ้สาม”

หลังจากที่เขาแสดงการคารวะเสร็จ เซี่ยเย่าเพิ่งจะมาถึง เนื่องจากเดินเร็วจนเกินไปถึงกับหายใจหอบ

เขาเดินเข้าไปคารวะ สวีซื่อพยักหน้า แล้วถามหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างว่า “พวกเขามาได้อย่างไร”

“เรียนฮูหยิน บ้านของท่านอาจารย์มีเรื่องด่วน เพิ่งจะส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ”

สวีซื่อกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ไม่อยู่ พวกเจ้าก็ควรจะทบทวนบทเรียน ไม่ใช่มัวแต่ห่วงเล่น”

“ข้าได้ยินสาวใช้บอกว่าท่านอาสะใภ้สามมาแล้ว ถึงได้พาน้องสี่มาด้วย” เซี่ยเจาดึงแขนเสื้อของเจียงซูเหย่า

เจียงซูเหย่ากล่าวอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “อย่างนั้น…ไม่ทราบว่าเมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่อยากจะพูดอะไร”

สวีซื่อถึงนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ จึงละเว้นเรื่องการอบรมสั่งสอนบุตรชายไว้ก่อน กล่าวกับหมัวมัวว่า “พาพวกเขาไปเช็ดหน้าก่อน”

หลังจากไล่เด็กสองคนนั้นออกไปแล้ว สวีซื่อกล่าวว่า “เรื่องที่ข้าจะขอร้องมันเกี่ยวข้องกับอาเย่า คิดว่าน้องสะใภ้คงจะ

เคยได้ยินมาแล้วว่าอาเย่าร่างกายอ่อนแอและขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งไม่ค่อยมีความอยากอาหาร ข้าทุ่มเทความคิดไปมากมาย กลับเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขากินอาหารเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคำ แต่ข้าได้ยินบ่าวไพร่บอกว่าเขาชอบกินอาหารที่น้องสะใภ้ทำมาก ดังนั้นข้าจึงหน้าหนามาขอสูตรอาหารจากน้องสะใภ้”

เจียงซูเหย่านิ่งเงียบ

สวีซื่อรู้ว่าคำพูดของตัวเองฟังดูหน้าหนาอยู่บ้าง น้ำเสียงจึงยิ่งละอายใจมากขึ้น “หากว่าน้องสะใภ้ถือสาข้าก็เข้าใจได้ แต่หากว่าน้องสะใภ้มีข้อเรียกร้องอะไร โปรดบอกมาได้ ข้าจะพยายามทำอย่างเต็มที่”

เจียงซูเหย่าทำอะไรไม่ถูก “ไม่ใช่ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าสูตรอาหารของข้าไม่ได้มีอะไรพิเศษ”

นางครุ่นคิดอาหารที่เซี่ยเย่าชอบกินอย่างละเอียด แล้วพบว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้เลือกกิน

“พี่สะใภ้ใหญ่ทุ่มเทความคิดเกี่ยวกับอาหารของอาเย่ามาหลายปีเพียงนี้ แม่ครัวกับท่านหมอต้องมีฝีมือไม่เลว ข้าคิดว่าไม่แน่ว่าจะสามารถมอบสูตรอาหารที่ถูกใจพี่สะใภ้ได้”

เมื่อสวีซื่อเห็นน้ำเสียงจริงจังของนาง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้สติ ก้มหน้าอย่างหดหู่ “เป็นเพราะข้าคิดไม่รอบคอบเอง หวังว่าน้องสะใภ้จะไม่ถือสา”

“ทว่าข้ามีความคิดบางอย่าง เวลานี้ยังไม่ถึงตอนเที่ยง มิสู้พี่สะใภ้ใหญ่ให้ข้ายืมใช้ห้องครัวได้หรือไม่”

สวีซื่อเงยหน้าขึ้นมาฉับพลัน และไม่สามารถปกปิดความตกใจระคนดีใจที่ฉายอยู่ในตาได้ “ดี ดี ขอบคุณมาก”

นางก็เดินตามเจียงซูเหย่าเข้าไปในห้องครัวด้วย

เจียงซูเหย่ากวาดตามองรอบๆห้องครัว และหยิบเนื้อขาหลังขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “วันนี้ตอนเที่ยงกินเกี๊ยวกันเถอะ”

“เกี๊ยว?” ปกติจวนเซี่ยกั๋วกงไม่ค่อยกินเกี๊ยว ซึ่งมักจะใช้เป็นอาหารในช่วงฉลองวันปีใหม่

“อืม แม้ว่าจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ของอร่อยก็สามารถรับประทานได้ทุกเวลา” เจียงซูเหย่าพับแขนเสื้อขึ้น “สิ่งที่สำคัญมากที่สุด การทำเกี๊ยวมันสนุกมาก”

เกี๊ยวมีมาแต่โบราณ ตามตำนานเดิมเรียกว่า “เจียวเอ่อร์[1]” ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นโดยจางจ้งจิ่ง[2]ที่ทำไปเพื่อรักษาใบหูที่เย็นจนแข็ง นานวันเข้าได้ถูกเปลี่ยนเป็น “เกี๊ยว”

อย่างไรก็ตามแหล่งที่มาไม่สำคัญ แค่อร่อยก็ใช้ได้แล้ว

สวีซื่อไม่เคยทำอาหารมาก่อน เมื่อตุ๋นน้ำแกง เวลาส่วนใหญ่ที่ตุ๋นน้ำแกง ก็จะเข้ามาในห้องครัวแล้วคนให้เข้ากันอยู่สองครั้ง ทำเหมือนกับว่าเป็นคนทำด้วยตัวเอง เมื่อเห็นเจียงซูเหย่าลงมือเอง อดไม่ได้ที่จะตกใจ

เจียงซูเหย่าไม่สนใจว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อมาถึงห้องครัวก็จะเป็นสนามหลักของนาง

หลังจากที่นางล้างมือแล้วก็เริ่มนวดแป้ง โดยทำอย่างชำนิชำนาญ และความเร็วของมือก็เร็วเช่นกัน ไม่นานจากนั้นก็นวดจนได้ก้อนแป้งที่มีความนุ่มและแข็งปานกลางแล้วคลุมด้วยผ้าโปร่งบางเปียกเพื่อพักแป้งไว้

สวีซื่อเฝ้าดูอยู่ข้างๆ จนกระทั่งเจียงซูเหย่าหยิบมีดทำครัวขึ้นมาสองเล่มและเริ่มสับหมู ในที่สุดก็หาโอกาสเอ่ยปากได้ “น้องสะใภ้ เรื่องนี้สั่งให้บ่าวไพร่ทำก็ใช้ได้แล้ว”

เจียงซูเหย่าปักมีดทำครัวลงบนเขียงเสียงดัง “ฉึก” แล้วเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ใหญ่คิดว่าเพราะอะไรข้าถึงชอบทำอาหาร”

“เออ…” สวีซื่อมองไปที่มีดทำครัวที่แหลมคมทั้งสองเล่ม แล้วพยายามเค้นสมองที่จะต่อบทสนทนา

เจียงซูเหย่าไม่ได้ทดสอบนาง เห็นนางมีท่าทางเหมือนกับกำลังเผชิญกับศัตรู แล้วทำอันใดไม่ถูก “เพราะว่าข้าคิดว่าการได้ลงมือทำอาหารเองนั้นเป็นสิ่งที่มีความสุขมาก”

“เรื่องนี้ฟังดูลี้ลับมหัศจรรย์มาก แต่จากการจัดการวัตถุดิบไปจนถึงสัดส่วนของเครื่องปรุงรส ทุกขั้นตอนต้องจัดการ

ด้วยตัวเอง วัตถุดิบที่ทำออกมาก็จะมีการใส่ใจลงไปด้วย บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ทุกคนมักบอกว่า ‘อาหารที่ทำด้วยตัวเองมีกลิ่นหอม’กระมัง”

ตั้งแต่เล็กจนโตข้อกำหนดที่เข้มงวดของสวีซื่อคือความใจกว้างและความเหมาะสม แทบไม่เคยแสดงความคิดบนใบหน้า แต่ในขณะนี้ ใบหน้าของนางได้แสดงความงุนงง

“เอาเป็นว่า ท่านเคยทำอาหารเองหรือไม่”

สวีซื่อส่ายหน้า

“อย่างนั้นมารดาของท่านเคยทำอาหารให้ท่านหรือไม่”

สวีซื่อเคยส่ายหน้าอีกครั้ง

เจียงซูเหย่าหมดคำพูด เอ่ยถามว่า “แล้วหมัวมัวเล่า”

สวีซื่อหวนคิดถึงอย่างละเอียด และตอบว่า “เคย สมัยที่ยังเป็นเด็กตอนที่ข้าป่วย หมัวมัวเคยเคี่ยวโจ๊กให้ข้า”

มันผ่านมานานเกินไปและเจียงซูเหย่าไม่สามารถถามอะไรออกมาได้ จึงได้ยอมแพ้และพูดตรงๆ ว่า “สมัยยังเป็นเด็ก ตอนที่ข้าป่วยมารดาจะเข้าครัวทำอาหารให้ข้า แต่ไม่ได้ทำอาหารรสเลิศที่ประณีตอะไร ส่วนมากเป็นแค่โจ๊กขาวง่ายๆหรือไม่ก็ไข่ตุ๋น ไข่ตุ๋นเพียงแต่คนให้เข้ากันแล้วเติมเกลือก่อนจะไปตุ๋นในหม้อ โจ๊กขาวยิ่งทำได้ง่าย ใส่ใบผักเล็กน้อย เติมเกลือ และเหยาะน้ำมันงาไม่กี่หยดก็เป็นอันใช้ได้แล้ว สำหรับข้าแล้วอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก”

“ต่อมาเมื่อโตขึ้น มักจะคิดถึงอาหารที่เคยกินตอนที่ป่วยอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้มีรสชาติ

แบบนั้นได้ แม้ว่าจะไปร้านโจ๊กที่ดีที่สุด ยังไม่สามารถได้กินอย่างที่ใจต้องการได้ มีแต่ตอนที่กลับไปที่บ้าน ฝีมือการเคี่ยวโจ๊ก

ของมารดาถึงจะทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ”

สวีซื่อฟังอย่างเงียบๆ คล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ

“ฉะนั้นโจ๊กที่ข้าทำ ไม่ได้เป็นอาหารที่อร่อยมากที่สุด คงเป็นเพราะว่าอาเย่าเห็นข้าทำอาหาร และเห็นความตั้งใจของข้า จึงกินได้อย่างสบายใจกระมัง”

หลังจากที่นางกล่าวจบ ไม่ได้ให้สวีซื่อได้มีเวลาตอบสนอง ก็จับมีดแล้วเริ่มสับเนื้อ

สวีซื่อตกใจแล้วผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างเงียบๆ

ขั้นตอนในการสับหมูสำหรับการทำไส้เกี๊ยว สามารถสับจนทำให้มีเลือดของเนื้อหมูออกมาเล็กน้อย เพื่อที่จะทำให้เพิ่มความสด และยังรักษาเนื้อสัมผัสของเนื้อหมูไว้ได้ด้วย ซึ่งไม่ได้อ่อนยุ่ยเหมือนที่ถูกบีบออกมาจากเครื่องจักร

สำหรับเนื้อที่ใช้ ให้เลือกหมูสามชั้นที่มีเนื้อติดมัน โดยสับเนื้อติดมันสีขาวนวลและเนื้อไม่ติดมันสีแดงเข้มจนละเอียด แล้วสับอย่างช้าๆ เพื่อทำให้ไส้เนื้อมีความหอมกลมกล่อม นุ่มแต่ไม่เหนียว

เจียงซูเหย่าเลือกผักกาดขาวที่ล้างน้ำแล้วมาจากมุมห้องครัวมาหั่นซอยละเอียด และบีบน้ำออกเพื่อป้องกันไม่ให้ไส้เนื้อมีน้ำมากเกินไปจนส่งผลต่อรสชาติ

การสับเนื้อต้องมีความชำนาญถึงจะไม่ทำให้ปวดเมื่อยมือ และขั้นตอนการสับสามารถทำให้ผ่อนคลาย แต่ก็หนวกหูเล็กน้อย

เสียงนี้ได้ดึงดูดเซี่ยเจากับเซี่ยเย่าที่กำลังทบทวนบทเรียนอยู่ในห้องหนังสือ พวกเขาแอบมองอยู่ที่ทางเข้าห้องครัว เมื่อเห็นสวีซื่อยืนอยู่ด้านใน ก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก จึงขยิบตาให้อีกฝ่ายและวางแผนจะถอยออกไป

เจียงซูเหย่าเพิ่งจะสับไส้เสร็จ ขณะกำลังจะปรุงรสไส้เนื้อ และเมื่อหยิบกระปุกน้ำมันงา หางตาได้เหลือบไปเห็นเงาร่างของเจ้าตัวเล็กทั้งสอง จึงรีบเรียกพวกเขาไว้

เมื่อเซี่ยเจาได้ยินเจียงซูเหย่าร้องเรียกชื่อของเขา ร่างกายก็หยุดชะงักโดยพลัน แล้วหันไปมองสวีซื่ออย่างระมัดระวัง

เหนือความคาดหมาย สวีซื่อไม่ได้ตำหนิพวกเขาว่ามัวแต่ห่วงเล่น เพียงแต่ส่งยิ้มให้พวกเขาเท่านั้น

เซี่ยเจาใจกล้า เมื่อเห็นเช่นนั้น ได้วิ่งเข้าไปในห้องครัว เซี่ยเย่าไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ จึงเม้มปากอย่างจนปัญญา

“ท่านอาสะใภ้สาม ท่านกำลังทำของอร่อยอะไรอยู่”

“เกี๊ยว” เจียงซูเหย่ากล่าวว่า “รีบไปล้างมือเร็วเข้า พวกเราไปห่อเกี๊ยวด้วยกัน”

เมื่อเซี่ยเจาได้ยิน จึงวิ่งตึงๆไปล้างมือ ปล่อยให้เซี่ยเย่ายืนอยู่ข้างๆประตูห้องครัวอย่างลำบากใจไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหรือถอยออกไปดี

“อาเย่าก็ไปด้วยสิ” เจียงซูเหย่ากล่าว

เซี่ยเย่าไม่ได้ออกไปทันที แต่มองไปที่สีหน้าของสวีซื่อก่อน

“ไปเถอะ” สวีซื่อพยักหน้า

เซี่ยเย่าถึงเดินออกไปอย่างช้าๆ

เมื่อพวกเขากลับมา เจียงซูเหย่าได้ตัดแป้งที่มีขนาดที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นใช้ไม้นวดแป้งทำเป็นดอกไม้ในมือ ทั้งกดทั้งหมุน ก้อนแป้งถูกคลึงเป็นแผ่นวงกลมบางๆแล้วบินออกไปจากมือทีละแผ่น

หลังจากที่เจียงซูเหย่าได้ทำแผ่นเกี๊ยวเสร็จแล้ว ก็เหลือแค่ห่อเกี๊ยวเท่านั้น

นางให้สาวใช้ยกม้านั่งมาสี่ตัว คนทั้งหลายก็นั่งห่อเกี๊ยวในห้องครัวโดยตรง

เจียงซูเหย่าวางแผ่นเกี๊ยวในฝ่ามือ คีบไส้เนื้อขึ้นมาก้อนหนึ่งและวางลงตรงกลาง จุ่มนิ้วลงไปในน้ำแล้ววาดวงกลมบน

ขอบของแผ่นเกี๊ยว จากนั้นบีบ และขยับนิ้วมืออย่างรวดเร็ว เกี๊ยวที่มีไส้ตุงนูนก็ห่อเสร็จไปหนึ่งตัวแล้ว

สวีซื่อเลียนแบบการเคลื่อนไหวของนาง ก็ห่อได้หนึ่งตัว ด้วยความที่ไม่คุ้นชินมือ เกี๊ยวที่ห่อออกมาจึงไม่ต่างกับของเซี่ยเจาเท่าใดนัก

นางอายเล็กน้อย เจียงซูเหย่าไม่หัวเราะเยาะนางอย่างแน่นอน แล้วสอนอย่างช้าๆด้วยความใจเย็นอีกครั้ง

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เซี่ยเจาได้ห่อเกี๊ยว ราวกับได้ค้นพบแผ่นดินใหม่จนแทบอยากจะห่อเกี๊ยวให้ออกมาเหมือนกับซาลาเปา

เซี่ยเย่านั่งอยู่ข้างๆเจียงซูเหย่าอย่างเงียบๆ ศึกษาอย่างรอบคอบโดยไม่กะพริบตา ผลจากการศึกษาค่อนข้างออกมาดี เกี๊ยวที่ห่อออกมาดูเรียบร้อยดี แค่ไม่กี่อันก็เลียนแบบได้เหมือนมาก

ตอนแรกสวีซื่อยังปรับตัวไม่ได้เล็กน้อย ต่อมาหลังจากที่ได้ยินเซี่ยเจากับเจียงซูเหย่าพูดคุยหัวเราะคิกคัก ร่างกายค่อยๆรู้สึกผ่อนคลาย เกี๊ยวที่อยู่ในมือก็สวยงามขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังสามารถห่อเกี๊ยวที่ดูดีได้โดยไม่จำเป็นต้องบีบรูปร่าง

เซี่ยเจายังคิดจะบดขยี้เกี๊ยว แต่ได้ถูกเจียงซูเหย่าห้ามไว้ “ห่อเองกินเอง”

เซี่ยเจามองดูเกี๊ยวของตัวเอง แล้วมองไปที่เจียงซูเหย่า และได้ยอมแพ้

เซี่ยเย่าห่อได้ช้า แค่ตักไส้ก็ต้องตักอย่างระมัดระวังอยู่เป็นเวลานาน มากเกินไปก็ไม่ได้ น้อยเกินไปก็ไม่ดี ด้วยสีหน้าที่จริงจัง

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเจียงซูเหย่า เขาก็นับที่ตัวเองได้ห่อไว้ เพราะกลัวว่าห่อมากเกินไปแล้วจะกินไม่หมด

นับแล้วยังมีอยู่ไม่เยอะมาก นัยน์ตาที่สว่างไสวของเขาได้เผยรอยยิ้มออกมา สามารถเล่นไปได้อีกสักพัก

เซี่ยเจาไม่สามารถถทำร้ายเกี๊ยวได้อีกต่อไป จึงมารบกวนเจียงซูเหย่า ทั้งออดอ้อนทั้งยื่นมือมาก่อกวน สุดท้ายถูกเจียงซูเหย่าข่มขู่ด้วยการจะเอาแป้งมาถูหน้าจนสำเร็จ

หลังจากที่ห่อเกี๊ยวอย่างสนุกสนาน แม่ครัวรีบเข้ามาทำความสะอาดบนโต๊ะที่ยุ่งเหยิง

น้ำจิ้มของเกี๊ยวมีรสชาติที่แตกต่างกัน บางคนชอบกินกับน้ำส้มสายชู บางคนชอบใส่ซีอิ๊วดำ น้ำมันงา กระเทียมสับ

และน้ำขิง หากว่าชอบรสจัด ก็ให้เติมน้ำมันพริกหนึ่งช้อน

นางทำน้ำจิ้มออกมาหลายรสชาติ หลังจากที่เอาเกี๊ยวออกมาจากหม้อ สาวใช้ก็ยกทั้งหมดมาที่โต๊ะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอาหารกลางวันพอดี

เกี๊ยวที่ออกมาจากหม้อเป็นสีขาวอวบอ้วน เปลือกบางไส้เยอะ ในชามมีหกเจ็ดตัว เปลือกมีความลื่น และไอร้อนระอุแถมยังมีความเค็มความหอมโชยเข้ามาในจมูก

เจียงซูเหย่าให้สาวใช้ตักน้ำแกง โรยด้วยต้นหอมซอย ให้คนละหนึ่งชาม

“กินกันเถอะ” เจียงซูเหย่ากล่าวว่า “ดูว่าเครื่องปรุงรสใดที่ถูกปาก ก็ตักให้ตัวเองหนึ่งชามเล็ก”

สวีซื่อยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในตอนแรก จึงไม่กล้าขยับตะเกียบ แต่ความอึดอัดใจได้หายไปเมื่อเห็นลูกชายทั้งสองคนเริ่มเคลื่อนไหวทันที

นางคีบเกี้ยวขึ้นมาหนึ่งตัว เปลือกเกี๊ยวมีความลื่น และแทบจะหลุดออกจากตะเกียบ โชคดีที่เกี๊ยวถูกยัดไส้จนตุงนูน ทำให้คาติดอยู่

นางไม่เคยกินเกี๊ยวแบบนี้มาก่อน เวลานี้มองดูเกี๊ยวสีขาวตัวใหญ่ที่อยู่ระหว่างตะเกียบ เมื่อได้กลิ่นของกระเทียมและความกลมกล่อมของเครื่องปรุงรสที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆก็รู้สึกหิวขึ้นมา

ตักเครื่องปรุงรสมาชามหนึ่ง เอาเกี๊ยวจุ่มลงไปในนั้น เปลือกเกี๊ยวถูกเคลือบด้วยน้ำปรุงรสสีน้ำตาลอ่อนๆชั้นหนึ่งและจุ่มลงในน้ำมันงา พลันมีความมันวาวที่ลายพร้อยในชั่วพริบตา

สวีซื่อคีบเกี๊ยวขึ้นมา อ้าปากกว้างเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นแล้วเกี๊ยวตัวใหญ่อวบอ้วนจะร้อนลวกปาก

เมื่อเป่าให้หายร้อนแล้ว ก็กัดเกี๊ยวไปครึ่งคำ ไอร้อนที่อยู่ในปากได้หายไปแล้ว ความสดอร่อย ความหอมกรุ่นได้ฟุ้งกระจายในปาก ทั้งมีความสดของเนื้อหมู และยังมีกลิ่นหอมสดชื่นของผักกาดขาวด้วย

ไส้เนื้อสับมีเนื้อสัมผัสหนา ละเอียดไม่หยาบ และยังหนึบหนับ หลังจากเคี้ยวไปเล็กน้อย น้ำที่ร้อนจัดและมีกลิ่นหอมได้อบอวลในปาก ไม่รู้ว่าเป็นน้ำของผักกาดขาวหรือว่าน้ำของเนื้อที่ไหลออกมา

น้ำปรุงรสมีความเค็ม ความเค็มซีอิ๊วได้เจือความหวานที่กลมกล่อม กระเทียมสับมีรสเผ็ดแต่ไม่ระคายเคือง และน้ำมันงามีรสอ่อน ซึ่งช่วยเพิ่มความสดของไส้เนื้อได้เป็นอย่างมาก

หลังจากกลืนเกี๊ยวลงไปแล้ว รสชาติที่สดใหม่ที่มีความชุ่มฉ่ำยังคงหลงเหลืออยู่ในปากเป็นเวลานาน และปลายลิ้นชาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราถูกรมควันด้วยไอร้อนหรือจากน้ำมันงา

เพราว่าได้เฝ้าดูเจียงซูเหย่าทำมัน ตัวเองก็มีส่วนร่วมในการห่อไส้ด้วย สวีซื่อยิ่งรู้สึกว่าเกี๊ยวนั้นอร่อยมาก แทบรอไม่ไหวที่จะกลืนเกี๊ยวอีกครึ่งที่เหลือเข้าไปในท้องโดยไม่คิดจะเป่าให้หายร้อนก่อน

เซี่ยเย่าแตกต่างกับสวีซื่อ ไม่ว่าเขาจะกินอะไรจะกินคำเล็กๆ เกี๊ยวตัวใหญ่สีขาวที่เจียงซูเหย่าห่อไว้มันใหญ่ไปสำหรับเขา

เขาคีบเกี๊ยวไว้แน่น จุ่มลงในน้ำส้มสายชูเล็กน้อย แล้วเอากลับคืนมา เพราะชอบรสชาติดั้งเดิมของเกี๊ยวมากกว่า

เปลือกของเกี๊ยวมีความลื่นมาก นุ่มและเคี้ยวหนึบ กินแค่เปลือกอย่างเดียวก็อร่อยแล้ว

หยุดเป่าอยู่ครู่หนึ่ง กินเกี๊ยวไปคำหนึ่ง ไอร้อนยังคงพุ่งออกมา

เกี๊ยวที่มีส่วนผสมของน้ำ มีความสดอร่อยและละเอียดอ่อน ไส้เนื้อหนา แถมยังได้เคี้ยวชิ้นเนื้อที่ถูกสับละเอียด เนื่องจากมีเนื้อติดมันและไม่ติดมันเท่ากัน จำต้องออกแรงสับ ไส้เนื้อถึงจะเนียนละเอียด

รสชาติของเกี๊ยวที่จุ่มน้ำส้มสายชูนั้นยิ่งเข้มข้นมากขึ้น เมื่อเทียบกับรสชาติที่ซับซ้อนของน้ำจิ้มอื่นๆ เกี๊ยวมีกลิ่นหอมของน้ำส้มสายชูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อกลืนไส้เนื้อที่อ่อนนุ่มลงไป ดูเหมือนว่าร่างกายได้แช่อยู่ในน้ำอุ่นก็ไม่ปาน

เขากินคำเล็กๆ หลังจากที่กินเกี๊ยวตัวใหญ่แล้ว ก็มีรอยยิ้มมีชัยระบายบนใบหน้า คีบเกี๊ยวอ้วนใหญ่อีกตัวโดยไม่ลังเล เหมือนเด็กที่ไม่เคยเบื่ออาหารแม้แต่น้อย

เซี่ยเจากินอย่างเอร็ดอร่อย ยัดเกี๊ยวตัวใหญ่เข้าใส่ปากในคำเดียวจนแก้มป่อง ขณะที่เคี้ยวก็หรี่ตาอย่างมีความสุข

กลืนลงไปโดยไม่รอให้เคี้ยวอย่างละเอียด เกี๊ยวนุ่มลื่นก็ไหลลงไปตามคอ การกินถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง

หลังจากที่กลืนเกี๊ยวลงไป แล้วตามด้วยน้ำแกงสดชื่นที่มีกลิ่นของต้นหอม นั่นถึงเรียกได้ว่าเป็นความพึงพอใจ

น้อยมากที่สวีซื่อจะกินอาหารโต๊ะเดียวกันกับเด็กทั้งสองคน เมื่อเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ ทำให้มีความอยากอาหารมากขึ้น ปากได้เคี้ยวเกี๊ยวที่นุ่มลื่นได้ไม่หยุด และเฝ้ามองดูพวกเขากินอาหารไปด้วย

จนกระทั่งเห็นเซี่ยเย่ากินตัวที่หก นัยน์ตาของนางเบิกกว้างเล็กน้อย แล้วมองเจียงซูเหย่าอย่างประหลาดใจ

เจียงซูเหย่ากลับหาได้แปลกใจไม่ มองสวีซื่ออย่างสงสัยพร้อมกับท่าทางที่ “มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ”

สวีซื่อส่งยิ้มให้นาง แล้วถอนสายตากลับไป ในที่สุดก็เข้าใจความหมายคำพูดเหล่านั้นของเจียงซูเหย่า

อาหารนอกจากลิ้มรสในรสชาติแล้ว ที่แท้ก็ต้องใช้ใจกินด้วย

การมีส่วนรวมในวันนี้ ในที่สุดนางถึงเข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยเย่าถึงชอบเจียงซูเหย่ามากขนาดนี้ คนที่มีความอบอุ่นและมีความผ่อนคลายที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างแบบนี้ ใครบ้างจะไม่ชื่นชอบ

 

 

[1]เจียวเอ่อร์ (娇耳)มีความหมายว่า หูอ่อน

[2] จางจ้งจิ่ง(张仲景) เป็นท่านหมอในปลายราชวงศ์ฮั่นได้คิดสูตรน้ำแกงที่ทำมาจากแป้งห่อเนื้อแกะ พริกและยาขับหนาวที่ผ่านการต้มเพื่อรักษาอาหารหูเปื่อย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า