我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 2
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
ชุยชีฉาว เตรียมเข้าสู่โลกที่สองในบทบาทใหม่
บารอนหนุ่มผู้เป็นเจ้าเมืองเล็กๆ อย่าง นอร์ทัมเบอร์แลนด์
เมื่อสายเลือดเสินหนงมาปรากฏตัวในยุโรปยุคกลางทั้งที
แผ่นดินที่เคยแห้งแตกระแหงจะเขียวขจีได้ขนาดไหนกัน
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3.2
งานเลี้ยงของเจ้าเมืองทำเอาเหล่าเซิร์ฟครึกครื้นไปได้สิบกว่าวัน ยามว่างจากงาน พวกเขาไม่ได้คุยเรื่องธัญพืช จอบ หรือลูกของตัวเองเหมือนแต่ก่อน หัวข้อที่ทุกคนพูดถึงร่วมกันคือ ‘เนื้อในวันนั้น’
พวกเขาร่ายรายละเอียดของวันนั้นออกมาจนเกินจริง ทุกส่วนต้องเล่าอย่างละเอียดยิบ คนนี้บอกว่าวันนั้นข้าแทะไปจนถึงไขกระดูก คนนั้นบอกว่าได้กินตีนแกะ บ้างก็อวดว่าตนได้เนื้อเพิ่มจากหัวหน้าแม่ครัว จนโดนทุกคนด่าเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาเหมือนยังได้กลิ่นของวันนั้นอยู่เลย…ไม่สิ อาจจะได้กลิ่นจริงก็เป็นได้ เสื้อที่ไม่ได้ซักของพวกเขายังมีคราบสตูเลอะติดอยู่
ความครึกครื้นเช่นนี้โอบล้อมผู้คนจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ผลิ ตอนนายท่านมีคำสั่งให้พวกเขานำมูลที่ย่อยสลายแล้วพวกนั้นมาใส่ลงในแปลง ไม่มีใครอุทานว่า ‘บ้าไปแล้ว’ ออกมาเลย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีหัวหน้าหมู่บ้านกับทหารถือไม้เฝ้าอยู่ด้านข้าง
นายท่านมีคำสั่งให้ทุกคนเก็บรวบรวมมูลไปแลกถั่วตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก ตอนนั้นไม่มีใครเสียเวลาคิดว่าทำไม แค่ทุกคนได้ถั่วก็พอใจแล้ว พอได้รับคำสั่งเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
–แต่เพราะเรื่องไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนายท่านสั่งให้มอบเนื้อแก่พวกเขากินแล้ว นี่จึงเป็นเรื่องที่พวกเขา ‘ไม่ค่อย’ เข้าใจก็เท่านั้น
แมลงกับหนูต่างก็เกิดจากกองมูล การนำมูลกับขยะย่อยสลายพวกนั้นไปไว้ในดินเพาะปลูกนี่มันหลักการอะไรกัน ไม่เข้าใจเลย!
เหมือนอย่างที่ผ่านมา นายท่านไม่เคยอธิบายอะไรก่อนจะเห็นผลลัพธ์ อันที่จริงไม่ต้องอธิบายด้วยซ้ำ แค่เขาสั่งให้นำไปใส่ในแปลงของเขาก็เพียงพอแล้ว
และใช่ นายท่านยังสั่งให้คนไปไถแปลงที่ควรพักดินหลังเพิ่งปลูกข้าวสาลีกับข้าวโอ๊ตเสร็จไปหนึ่งรอบด้วย
แต่จุดนี้ทุกคนเลือกจะมองข้าม เมื่อเห็นว่าพื้นดินตรงนั้นทั้งร่วนและชุ่มชื้น แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังไม่กล้าวู่วามทำตามอยู่ดี เพราะไม่มีเมล็ดพันธุ์มากพอที่จะกล้าได้กล้าเสียอย่างนายท่าน พวกเขาจึงได้แต่รอผลลัพธ์ในการปลูกจากนายท่านแทน
งั้นผลลัพธ์ของการใส่มูลลงบนดินก็ต้องรอให้นายท่านลองดูก่อนสินะ
ขณะพวกเซิร์ฟทำงานบนแปลงดินของผู้เป็นนาย พวกเขาได้แต่ทำตามคำสั่ง คือใส่ปุ๋ยของอีกฝ่ายอย่างคลางแคลงใจและหวาดกลัว
ปุ๋ยเดี่ยว[1]เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแม่ปุ๋ย เคยมีสำนวนจีนกล่าวเอาไว้ว่า “ข้าวเกิง[2]จะโตเร็ว ถ้าแม่ปุ๋ยกินอิ่ม[3]” พวกเขาใช้วิธีโปรย คือการโปรยปุ๋ยก่อนแล้วค่อยฝังดินกลบทั้งหมด แม้จะต้องใช้ปุ๋ยปริมาณมาก แต่มันช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินได้ค่อนข้างดี และเหมาะสมกับดินของนอร์ทัมเบอร์แลนด์เป็นอย่างยิ่ง
พอโปรยไปโปรยมา ทุกคนก็เริ่มคิด
จะว่าไป หลังเก็บเกี่ยวธัญพืช พวกเขาจะต้อนฝูงวัวกับแกะไปกินตอซังที่เหลือ พอพวกสัตว์กินเสร็จก็จะขี้ ปกติก็ไม่ค่อยมีคนเก็บขี้วัวขี้แกะบนดินนัก พวกเขามักจะทิ้งมันอยู่ตรงนั้นให้รอคนมาเหยียบจมดินหรือรอฝนสาดชำระล้างมันออก
ธัญพืชที่เติบโตจากพื้นดินเหล่านั้นก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรนี่ พวกเซิร์ฟพยายามหวนนึกถึงความทรงจำ สุดท้ายพวกเขาจึงได้ข้อสรุปที่ว่า…ไม่มีปัญหา
ไม่รู้ว่าตามกลไกแล้ว พวกเขาจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะตระหนักได้จากปรากฏการณ์ต่างๆ นอกจากมูลสัตว์จะไม่เป็นอันตรายต่อพืชพันธุ์แล้ว ยังเป็นประโยชน์อีกต่างหาก อีกหน่อยพวกเขาถึงขั้นคิดค้นเรื่องการใช้ฉี่หมักมาซักผ้าด้วยซ้ำ…
กระนั้นเมื่อถึงเวลาดังกล่าว มูลสัตว์ก็ยังไม่ใช่ตัวเลือกแรกของเหล่าเซิร์ฟอยู่ดี เพราะว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บขี้วัวด้วยซ้ำ
แม้ตอนนี้พวกเขาจะพอคิดได้อย่างคลุมเครือ แต่ก็ไม่กล้าผลีผลามทำตามท่านเจ้าเมือง เพราะถูกจำกัดด้วยสมองที่ไม่ได้ใช้งานมานาน ผนวกกับความกลัวที่มีต่ออนาคตอันไม่อาจทราบได้นั่นเอง
หลังการใส่ปุ๋ยและหว่านเมล็ดผ่านไปเจ็ดถึงแปดวัน ใบแรกของต้นอ่อนข้าวบาร์เลย์ก็งอกให้เห็น และเริ่มเข้าสู่ช่วงสร้างรวงอ่อนอย่างเป็นทางการ
มันเร็วกว่าที่เคยเป็นมาก ทุกคนนึกไม่ออกว่าเพราะเหตุใด
ถ้าให้ชุยชีฉาวอธิบาย เขาคงบอกทุกคนว่า นั่นเป็นเพราะระบบชลประทานที่ทำให้เกิดการรดน้ำและออกซิเจนที่เพียงพอ อีกทั้งยังรวมถึงอุณหภูมิที่เหมาะสมอีก
ออกรวงเร็วยังพอรับได้ แต่สิ่งที่ทำให้เซิร์ฟรู้สึกตื่นกลัวคือ ข้าวบาร์เลย์ในแปลงของเจ้าเมืองเหมือนมีคนคอยใช้ไม้ดันจากด้านล่างอย่างไรอย่างนั้น พวกมันเติบโตอย่างพุ่งพรวด ต้นกล้าจำนวนมากแข็งแรงและสูงกว่าของชาวบ้านไปกว่าคืบ มองดูราวกับ ‘ต้นข้าวบาร์เลย์ที่เติบโตบนสรวงสวรรค์’ ที่บาทหลวงเคยเทศนาเอาไว้
ไม่ต้องรอให้ถึงการเก็บเกี่ยวในปีหน้า ทุกคนก็ยอมเชื่อแต่โดยดีว่า ปุ๋ยพวกนั้นมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความสมดุลให้แก่ดินอย่างแท้จริง
เหล่าเซิร์ฟถึงขั้นเริ่มถกกันว่าใครรู้คำตอบนี้เป็นคนแรก
“สมัยก่อนเคยมีข้าวไรย์เติบโตบนดินบ้านข้าที่อยู่ใกล้ขี้วัว พวกมันอวบอิ่มเป็นพิเศษ ข้าน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่ามันเป็นเพราะขี้วัวทั้งนั้น”
“ต้นข้าวในดินของข้าที่โดนขี้แกะก็เติบใหญ่กว่าที่อื่นเป็นพิเศษเช่นกัน! ข้าก็รู้สึกแปลกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว!”
เซิร์ฟสองคนเริ่มเกทับแข่งกัน
ในตอนนี้เองที่มีคนพูดขึ้นว่า “หึ ข้ารู้มานานแล้วว่าสิ่งที่นายท่านพูดเป็นเรื่องถูกต้องทั้งหมด”
ณ ที่ตรงนั้นตกสู่ห้วงความเงียบสงัดไปชั่วขณะ ทุกคนมองไปทางเซิร์ฟที่พูดประโยคนี้ด้วยสายตาซับซ้อน ในความคิดของพวกเขา คนที่พูดประโยคแบบนี้ออกมาได้นับว่าเป็นคนที่หลักแหลมมาก…
ในเมืองนอร์ทัมเบอร์แลนด์ เสรีชนที่มีนามว่าไมค์มีความเห็นต่างออกไป ใช่ว่าเขาจะไม่ยอมรับประสิทธิภาพของปุ๋ย เขาเพียงแต่รู้สึกน้อยใจเล็กน้อยก็เท่านั้น
ที่ตั้งกระท่อมของไมค์อยู่ไม่ห่างจากกองปุ๋ยมากนัก หลายเดือนมานี้ ทุกคนอิจฉาไมค์เป็นพิเศษ เพราะหลังจากเขาเก็บมูลหรือขับถ่ายเสร็จก็ส่งไปยังกองปุ๋ยได้โดยตรง เรียกได้ว่าประหยัดแรงไปได้ไม่น้อย
แม้ความจริงไมค์จะได้ใจไม่น้อย แต่เขากลัวว่าทุกคนจะอิจฉา จึงไม่กล้าคุยโวมากนัก ทว่าหลังค้นพบประโยชน์ของกองปุ๋ยแล้ว ไมค์ก็เริ่มรู้สึกว่าแม้ครอบครัวของเขาจะอยู่ใกล้ก็จริง แต่กลับต้องคอยทนดมกลิ่นเหม็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน
สมัยก่อนเวลาพวกสัตว์ขี้ในบ้านก็ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นคลุ้ง แต่บ้านทุกคนก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น จะเอามาเทียบกับกลิ่นกองปุ๋ยคอกรอย่อยสลายขนาดยักษ์ได้อย่างไร
เขากำลังโดนเอาเปรียบอยู่ชัดๆ!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไมค์คิด ถ้าเขานำปุ๋ยกำหนึ่งมาใส่ในที่ดินของตัวเองก็คงจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ไมค์ทวนความคิดไปมา เอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆ อยู่หลายค่ำคืน จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ ถูกแล้ว เขาทำเช่นนี้เพียงเพราะว่าต้องการสิ่งตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้น ในคืนที่พระจันทร์มืดมิดและลมพัดโหม ไมค์จึงหิ้วถังไม้และอาศัยแสงจันทร์ในการลักลอบออกจากบ้าน
ก่อนหน้านี้ทุกคนยังไม่รู้ถึงประโยชน์ของปุ๋ยหมัก แต่เมื่อรู้แล้ว ในเมืองนอร์ทัมเบอร์แลนด์จึงเกิดอาชีพใหม่อย่างคนเฝ้ามูลขึ้น โดยตอนกลางคืนจะมีเซิร์ฟคอยทำหน้าที่ผลัดกันเฝ้ายามในกระท่อมข้างกองมูล
ไมค์คุ้นเคยกับพื้นที่รอบบ้านตัวเองเป็นอย่างดี เขาจะปิดตาเดินก็ยังได้ คนเฝ้ามูลของคืนนี้สัปหงกอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ไมค์ย่องเท้าไปยังริมหลุมก่อนตักมันขึ้นมาหนึ่งถัง และหวนกลับทางเดิมโดยไร้สุ้มเสียง
ในคืนนั้น ไมค์เดินไปกลับระหว่างหลุมมูลกับที่ดินของตัวเองอยู่สองรอบ เขาฝังมูลลงในดินของตัวเองหลายแปลง
แม้การทำงานในความมืดจะทั้งเหน็ดเหนื่อยและเพลียสายตา แต่ในใจของไมค์กลับเต็มไปด้วยความระริกระรี้ เขาวาดฝันถึงสภาพต้นข้าวของตัวเองที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังคิดข้ออ้างตอนมีคนสงสัยไว้แล้วเรียบร้อย ถึงตอนนั้นเขาจะบอกว่าตัวเองฝังพืชปุ๋ยสดเพิ่มกับไปสวดภาวนาในโบสถ์ก็แล้วกัน
ภรรยาของไมค์สะดุ้งตื่นหลังจากเขากลับมา “ทำไมบนตัวเจ้าถึงเหม็นเช่นนี้”
ไมค์พูดในขณะหลับตา “ไปถ่ายมา”
“ไปถ่ายอะไรถึงได้เหม็นขนาดนี้…” จู่ๆ เสียงของภรรยาก็แผ่วลง นางนึกอะไรขึ้นได้ วันก่อนไมค์เอาแต่นั่งบ่นว่ากองมูลด้านข้างเหม็นเกินไป นางเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ จึงไม่พูดอะไรอีก
ไมค์ลักลอบขโมยปุ๋ยท่ามกลางความมืดติดต่อกันอีกหลายคืน จำนวนรวมกันทั้งหมดเพียงพอจะใส่ไร่นาครึ่งหมู่แล้วด้วยซ้ำ ตอนแรกเขาทำเพียงลำพัง ต่อมาภายหลังจึงให้ลูกชายคนโตตามไปด้วย ถึงการทำเช่นนี้จะส่งผลให้ทุกวันไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่าเท่าไร แต่ไมค์คิดเพียงว่าขอแค่ทนผ่านช่วงนี้ไปได้ก็สำเร็จแล้ว
ถึงกระนั้น สุดท้ายก็มีคนพบว่าจำนวนปุ๋ยลดลง
หัวหน้าหมู่บ้านฟาดคนเฝ้ามูลอย่างรุนแรง “รีบบอกมา ทำไมปุ๋ยคอกถึงได้น้อยลง เจ้าขโมยไปใช่หรือไม่!”
คนเฝ้ามูลที่หมอบอยู่กับพื้นร้องไห้จนตัวโยน “ข้าเปล่าจริงๆ ข้าสาบาน! ท่านลองพลิกดินของข้าดูได้!”
แน่นอนว่าหัวหน้าหมู่บ้านต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว เขาขุดดินของคนเฝ้ามูลออก ไม่มีร่องรอยของปุ๋ยคอก ถ้าไม่ใช่คนเฝ้ามูลแล้วจะเป็นใครได้
คนเฝ้ามูลกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบความเสียหาย เขาจึงพยายามย้อนความทรงจำดู “ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหวนิดหน่อย ตอนแรกข้านึกว่าเป็นเพียงแค่เสียงลมพัดผ่าน ท่านว่าเป็นไปได้ไหมที่หนูจะขโมยมูล”
หัวหน้าหมู่บ้านฟาดไม้ลงไปอีกรอบ “ยังจะมา ‘เหมือนจะ’ อีก ข้าว่าเจ้าคงแอบหลับแน่ ๆ ! ยังกล้าบอกว่าหนูขโมยมูลอีก หนูก็ทำไร่ทำนาหรือไง”
หัวหน้าหมู่บ้านกวาดสายตามองเหล่าเซิร์ฟที่พลุกพล่านอยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็รู้สึกว่าคนนั้นเป็นโจรขโมยมูลไปหมด ในใจของเขาคุกรุ่น แต่ไม่รู้จะหาร่องรอยของหัวขโมยได้จากไหน
เรื่องครั้งนี้สร้างความโกลาหลขึ้นในหมู่เซิร์ฟ ทุกคนพากันคาดเดาให้ว่อนว่าเจ้าหัวขโมยใจกล้านั่นเป็นใครกันแน่ พวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายทำผิดขั้นร้ายแรงต่อท่านบารอนผู้มีความเมตตากรุณา
นอกจากจะเกิดความแค้นเคืองขึ้นในใจพวกเขาแล้วยังมีความอิจฉาปะปนอยู่ในนั้นด้วย อย่างน้อยคนนั้นก็ได้ใส่ปุ๋ยลงไปในดิน–เพราะฉะนั้นต้องตามหาตัวจนเจอแล้วอัดให้น่วม!
[1] ปุ๋ยเดี่ยว หรือแม่ปุ๋ย เป็นปุ๋ยซึ่งมีธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการอย่างไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
[2] ข้าวเกิง หรือจาโปนิกา เป็นข้าวที่ปลูกในเขตอบอุ่นและหนาว เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นต้น
[3] ประโยคนี้มีความหมายว่า ตอนจะเปลี่ยนดินต้องใส่ปุ๋ยเสมอ