我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 4
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
จากโลกเสมือนสู่โลกแห่งความจริง จากแมวกลายเป็นคน
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป คือจิตใจที่รักการทำไร่ปลูกผักของชายหนุ่ม
แล้วความรักล่ะ ความรักน่ะ จะเป็นยังไงกันนะ ม๊าววว!!!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 5.3
เรื่องราวเกิดขึ้นหลังถันเหวยเจินเหรินส่งตัวคนทั้งหมดเข้าไปในมิติถ้ำสวรรค์และสั่งความชุยชีฉาวเสร็จพร้อมส่งอีกฝ่ายเข้าไป
ตอนนั้นเองที่แผ่นฟ้าถล่มลงตรงหน้า มิติโกลาหลคืบคลานเข้ามาถึง
ถันเหวยเจินเหรินได้เช็กชุดข้อมูลของโลกเสมือนนี้ไว้อย่างละเอียดตั้งแต่แรก เขารู้ดีว่าเซตติ้งตรงหน้านี้คืออะไร ดังนั้นจึงเลือกจะไม่หลบหลีกและถูกห้วงความมืดมิดกลืนกิน
เขาสำรวจมิติโกลาหลซึ่งกินพื้นที่เกือบพันลี้ ทั้งสองภพยังอยู่ระหว่างการชนปะทะ จึงก่อให้เกิดพลังงานไม่หยุด หากไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นทิงเหลยขึ้นไปอาจหลงทางในที่แห่งนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมมีข้อยกเว้น เช่นถันเหวยเจินเหรินที่ใช้มิติถ้ำสวรรค์พาคนเข้ามาพร้อมกันเช่นนี้
ถันเหวยเจินเหรินเหินเข้าไปในมิติโกลาหลด้านหน้า เขารู้ดีอีกเช่นกันว่าฟากตรงข้ามคือแห่งหนใด– ภพอสูร
ในโลกมนุษย์มีสัตว์ที่มีจิตสำนึกฝึกฝนบำเพ็ญเพียรได้ อีกทั้งโชคยังเข้าข้างให้พวกมันฝึกระดับขั้นสำเร็จอีกด้วย ทว่าสัตว์เหล่านี้ต่างออกไปจากเผ่าอสูรดั้งเดิมในภพอสูร
แท้จริงแล้วจุดกำเนิดของสัตว์อสูรที่เรียกขานกันในโลกมนุษย์มาจากเผ่ามนุษย์เอง หลังสัตว์ทั้งหลายเกิดจิตสำนึกขึ้น มนุษย์ก็บอกให้พวกมันไปฝึกฝนบำเพ็ญเพียร สุดท้ายจึงกลายเป็นผู้ฝึกวิชาอสูรที่มีทั้งดีและชั่วเฉกเช่นมนุษย์ ที่ถูกเรียกว่าผู้ฝึกปราณมารก็เช่นกัน เพราะหยิบเอาเคล็ดวิชาที่เผ่าพันธุ์มารหลงเหลือไว้มาฝึกโดยมิได้ตั้งใจ
ส่วนเผ่าอสูรดั้งเดิมที่แท้จริงนั้นมีจิตสำนึกตั้งแต่กำเนิด เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาไม่แพ้เผ่ามนุษย์
พื้นที่อีกฟากเชื่อมต่อเข้ากับผืนทะเลทรายขาวโพลนว่างเปล่าไร้ผู้คน ทะเลทรายแห่งนี้ก็ถูกนิมิตที่เชื่อมต่อทั้งสองภพทำลายล้างไปกว่าครึ่ง ถันเหวยเจินเหรินนั่งลงกับพื้นทรายแล้วลองส่งสาสน์ไปแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ดูท่าถึงแม้ว่าทั้งสองภพจะเชื่อมต่อกันแล้ว แต่น่าจะยังส่งสาสน์สื่อถึงกันไม่ได้ชั่วคราว เพราะมีมิติโกลาหลคั่นอยู่
ไม่นานนักทางภพอสูรก็ค้นพบนิมิตเช่นกัน แม้ทะเลทรายจะไม่เหมือนแดนเหมันต์ที่บังเอิญมีคนอยู่พอดี ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าอสูรก็มาถึงในเวลาอันรวดเร็ว แต่ตอนนั้นถันเหวยเจินเหรินหวนกลับไปแล้วเรียบร้อย หลังเผ่าอสูรเหล่านี้ดูลาดเลาสักพักก็เข้าไปในมิติโกลาหลเช่นเดียวกัน หากไม่นับบางส่วนที่หลงอยู่ด้านใน ส่วนที่เหลือก็เดินทะลุมิติโกลาหลมาสู่ดินแดนเหมันต์อย่างปลอดภัย
ทันทีที่มาถึงแดนเหมันต์ เหล่าอสูรยังไม่ทันได้เข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พลันเจอเข้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่ระดับขั้นวิชาล้ำลึกจนมิอาจคาดเดา นั่งแบกเคียวเล่มยักษ์ไว้บนไหล่อยู่ท่ามกลางหิมะ
เผ่ามนุษย์ไม่ได้พบเห็นเผ่าอสูรมากี่ปี เผ่าอสูรก็ไม่ได้พบเห็นเผ่ามนุษย์มานานเท่านั้น แม้ในอดีตจะเคยมีผู้ที่บังเอิญข้ามไปยังอีกภพ ทว่านั่นก็ปรากฏเพียงแค่บันทึกในคัมภีร์โบราณ
เวลานี้เมื่อมองดูฝ่ายตรงข้ามก็พบว่าต่างฝ่ายต่างมีลักษณะคล้ายคลึงกันไม่น้อย
อสูรเมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วมีเรือนร่างสูงใหญ่กว่าอย่างน้อยสองช่วงศีรษะได้ มือทั้งสองฝ่ายมีห้านิ้วเช่นเดียวกัน ทว่าฝั่งอสูรมีข้อต่อนิ้วมากกว่า ส่วนปลายเล็บแหลมคมเป็นอาวุธที่อสูรมีตั้งแต่กำเนิด
ใบหน้าของพวกเขาบ่งบอกความเป็นอสูร…เขี้ยวฟันแหลมคม สีนัยน์ตาต่างจากเรือนผม อสูรบางตนมีหูกับหางสัตว์โผล่ให้เห็น ไม่ทราบเหมือนกันว่าอสูรที่ไม่โผล่หูหางให้เห็นนั้นเป็นเพราะว่าไม่มีหรือเก็บไปแล้วกันแน่
ลักษณะไม่ต่างจากที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณนัก
เผ่าอสูรพวกนี้มองสำรวจเขาด้วยท่าทีแบบเดียวกัน ก่อนจะค่อย ๆ ตระหนักได้ว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าคล้ายจะเป็น ‘มนุษย์’ “นี่คือ… เผ่ามนุษย์?”
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ที่นี่คงเป็นโลกมนุษย์ ปากทางนั่นเชื่อมต่อมาสู่โลกมนุษย์นี่เอง
ความจริงพวกเขาเพียงแค่รุดหน้ามาสำรวจตรวจตราก่อนเท่านั้น ยังไม่ทันตั้งเป้าหมายชัดเจนก็เผอิญเจอกับเผ่ามนุษย์เสียแล้ว ในใจคิดว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามจัดการมัดเจ้านี่ก่อนแล้วกัน
แต่พวกเขายังไม่ทันได้ลงมือ ถันเหวยเจินเหรินก็หิ้วเคียวพุ่งเข้ามาฟาดเผ่าอสูรพวกนี้จนน่วม
แม้ว่าระบบการฝึกบำเพ็ญเพียรของเผ่าอสูรจะต่างออกไปจากมนุษย์ ทว่ายามเทพในยุคบรรพกาลแบ่งแยกภพออกจากกันนั้น ทุกภพต่างได้รับพลังปราณเท่า ๆ กัน ผู้บำเพ็ญเพียรกับชาวเผ่าอสูรที่ถูกเรียกว่า “เซียนโดยการฝึก” จะจากภพนี้ไปเมื่อได้ก้าวเข้าสู่ระดับขั้นสูงสุด ดังนั้นความแข็งแกร่งของผู้ฝึกวิชาระดับเจ๋ว์เสี่ยงในโลกมนุษย์จึงมิต่างจากภพอสูรนัก
ถันเหวยเจินเหรินซัดอสูรที่มาถึงกลุ่มแรกจนเละ จากนั้นก็มัดรวมกันก่อนโยนเข้ามิติถ้ำสวรรค์ แล้วหลงเหลือเผ่าอสูรบางส่วนไว้
ชาวเผ่าอสูรที่มีใบหูบนหัวนั่งมองถันเหวยเจินเหรินอยู่บนพื้นอย่างหวาดผวา อีกฝ่ายเพียงแค่เอ่ยเสียงเย็น “ยังไม่ไสหัวไปอีก”
“เจ้าไม่จับพวกข้าหรือ” พวกเขาดีดตัวลุกขึ้นแล้วหันหลังวิ่งหนีทันที ถันเหวยเจินเหรินยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้แต่คำพูดอย่าง “ประกาศให้เผ่าของพวกเจ้ารู้ซะ หากมีใครกล้าย่างกรายมาที่นี่ก็จะมีสภาพเช่นเดียวกัน” ก็ยังไม่มี
ชาวเผ่าอสูรเหล่านี้มุดหนีเข้ามิติโกลาหลจนไม่เห็นแม้แต่เงา
แนวหน้าผู้มาเยือนยังมีฝีมือไม่เท่าไร แต่อสูรที่มาหลังจากนั้นกลับมีระบบระเบียบมากขึ้น ระดับขั้นวิชาก็สูงขึ้นตามด้วย
ถันเหวยเจินเหรินสู้รบฆ่าฟันกับเหล่าอสูร อีกฝ่ายมีทั้งผู้ที่สิ้นชีพ บาดเจ็บและหลบหนี ส่วนที่จับได้ ถันเหวยเจินเหรินก็จับกุมเอาไว้ทั้งหมด เพราะหลายปีมานี้เขาได้รับอิทธิพลจากชุยชีฉาว เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแรงงานหาได้ยากยิ่ง
เผ่าอสูรบางส่วนที่ตามมาทีหลังถูกถันเหวยเจินเหรินปลิดชีพบ้าง หรือไม่ก็ปล่อยกลับไปบ้าง พวกเขางงงวยยิ่งนัก ต่างกลับไปพร้อมกับความไม่เข้าใจ กระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อนในการถกเถียงของพิภพอสูรในที่สุด
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าถันเหวยเจินเหรินจะหัวเราะเย็นอยู่กับที่: จับกุมพวกแกไว้? ฝันหวานอยู่หรือไง!
อสูรพวกนั้นต่างจากตนอื่น แค่มองจากทั้งหูและหางก็รู้แล้วว่าเป็นเผ่าแมวอสูร จะเหลือเอาไว้ให้ชุยชีฉาวเลี้ยงเล่นหรือไง แน่นอนว่าต้องไล่กลับไปน่ะสิ!
“… จากนั้นจุดเชื่อมต่อของทั้งสองภพก็ขยายขอบเขตกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเองก็ป้องกันเอาไว้ไม่อยู่ ตอนนี้อสูรต่างมิกล้าออกมาชั่วคราว ครั้นถึงวันที่เจ็ดข้าจึงกลับมาพักเสียก่อน ข้าขังเหล่าเชลยอสูรเอาไว้หมดแล้ว รอยามเคลื่อนไหวได้อีกคราค่อยเลือกมิติถ้ำสวรรค์มาจับพวกเขายัดเข้าไปทำไร่ทำนา ผู้ที่จะผ่านมิติโกลาหลต้องมีระดับบำเพ็ญเพียรสูงกว่าขั้นทิงเหลย มิจำเป็นต้องดื่มกิน ทำงานทั้งวันทั้งคืนได้” ถันเหวยเจินเหรินเอ่ยจัดแจง โดยข้ามไม่พูดถึงเรื่องที่ตนลอบปล่อยแมวยักษ์หนีไปหลายตัว
เมื่อเห็นแววชื่นชมและเห็นด้วยบนใบหน้าชุยชีฉาว สีหน้าของเขาก็เริ่มขรึมลงทีละนิด ราวกับว่าสิ่งที่ตนทำลงไปก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ใบหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นกลับบิดเบี้ยว “ผู้อาวุโส! กระนั้นท่าน…ท่านไม่ลองวิเคราะห์กำลังรบของเผ่าอสูรกับท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อเผ่ามนุษย์เลยหรือ ท่านได้สอบสวนเผ่าอสูรเหล่านั้นหรือไม่”
เรื่องสำคัญคือเรื่องนี้หรือเปล่า แล้วผู้บำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ควรตระเตรียมอะไรบ้าง… เหตุใดกล่าวไปกล่าวมา ท่านถึงสาธยายเรื่องที่ตนวางแผนจับเผ่าอสูรเหล่านั้นไปทำไร่เล่า มิหนำซ้ำยังเริ่มวิเคราะห์ประโยชน์ใช้สอยน้อยใหญ่อีก!
ถันเหวยเจินเหรินเงียบขรึมลงชั่วครู่ ก่อนกระแอมแล้วเอ่ย “ข้าพบว่าเผ่าอสูรมิได้แบ่งกองกำลังตามสำนัก หากแต่แบ่งตามเผ่าพันธุ์ ภายในเผ่ามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นร่วมเป็นร่วมตาย อีกทั้งเผ่าอสูรยังมีนิสัยรุนแรงดุร้าย หลังข้ามภพมาเห็นข้าก็ลงมือทันที พวกมันออกมาเพ่นพ่านไปทั่วโดยไม่คิดจะพูดคุยด้วยหลักเหตุผลใด”
จุดเชื่อมต่อระหว่างสองภพมีแต่จะขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายคงจะกลายเป็นภพคู่ขนานที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นอย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจึงต้องป้องกัน ทว่าจะอยู่เฝ้าป้องกันแต่ตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์
เมื่อเข้าสู่วันที่เจ็ดถันเหวยเจินเหรินก็ได้รับสาสน์ตอบกลับจากสำนักอวี่หลิง เหล่าผู้ฝึกวิชาในภพผู้บำเพ็ญเพียรรวบรวมกำลังสร้างพันธมิตรในเวลาสั้น ๆ เพียงแค่เจ็ดวัน จากนั้นแบ่งกำลังออกตามพื้นที่เก้าทวีปเพื่อปกปักอารักขา
ส่วนบรรดาผู้ฝึกวิชาไร้สังกัดกับสำนักที่มีจำนวนศิษย์ไม่มากต่างหันมาขอพึ่งพิงสำนักใหญ่หลายแห่งชั่วคราว
นอกจากต้องคอยสังเกตการณ์และช่วยเหลือกันและกันแล้ว พวกเขายังมีภารกิจใหญ่อีกอย่างหนึ่ง…คือปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดา
มนุษย์ธรรมดาไม่มีเคล็ดวิชาอย่างผู้บำเพ็ญเพียร หากเผ่าอสูรเดินหน้ามาสร้างความวุ่นวาย เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรยังพอมีกำลังต่อกรด้วยได้ ทว่าสำหรับมนุษย์ธรรมดา เรียกว่าเป็นภัยพิบัติฆ่าล้างพวกเขาเลยก็ว่าได้
“ยามนี้แต่ละสำนักคงส่งกลุ่มผู้อาวุโสออกมาช่วยพิทักษ์ฟากฟ้าบ้างแล้ว” ถันเหวยเจินเหรินเอ่ยต่อ “อีกสักประเดี๋ยวข้าจะปล่อยพวกเจ้าออกไป จงกลับไปที่สำนักของตนเสีย”
พวกผู้บำเพ็ญเพียรเบาใจลงเล็กน้อย พวกเขาต้องผ่านการฝึกฝนนับร้อยพันเพื่อบรรลุเซียน จะหวาดกลัวต่อความยากเข็ญไม่ได้โดยเด็ดขาด แม้จะเกิดภัยพิบัติอสูรขึ้น ก็ต้องฝ่าฟันความยากลำบากครั้งนี้ จะเป็นเผ่าอสูรหรือเผ่ามารก็ช่าง มันก็แค่ย้อนรอยกลับไปสู่ชะตากรรมเดียวกับในอดีตกาลเท่านั้น
บางคนสัมผัสได้ถึงความแปลกพิกล เหตุไฉนถันเหวยเจินเหรินจึงไม่เลือกปล่อยพวกเขาออกไปก่อนค่อยอธิบายสถานการณ์ และกลับไปพักผ่อนที่สำนักอวี่หลิงเล่า ไยจึงต้องกลับเข้ามาในนี้เพื่อเล่าให้พวกเขาฟังด้วย
ถันเหวยเจินเหรินจ้องพวกเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็จ้องถันเหวยเจินเหรินกลับ จ้องกันไปจ้องกันมาอยู่พักใหญ่โดยไร้คนเอื้อนเอ่ยคำใด
“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว” ถันเหวยเจินเหรินปริปาก
ผู้บำเพ็ญเพียรต่างกระอักกระอ่วน จริงดังว่า แต่ท่านก็ปล่อยพวกข้าออกไปสิขอรับ
ถันเหวยเจินเหรินกล่าวด้วยความหงุดหงิด “จิ๊ ใครเก็บหญ้าไร้เงามาได้บ้าง ข้าต้องการสิบสองต้น ทิ้งเอาไว้ที่นี่และกลับไปกันได้แล้ว”
ทุกคน “…”
ขณะนั้นสถานการณ์ฉุกละหุก ทุกคนต่างวาดลวดลายประชันฝีมือกันเพื่อแย่งชิงหญ้าไร้เงา จากนั้นฟากฟ้าก็เปลี่ยนผันในฉับพลัน เกิดเรื่องราวมากมายจนทุกคนไม่มีกะจิตกะใจจะนึกถึงหญ้าไร้เงาอีก
ผู้ใดจะไปรู้ว่าถันเหวยเจินเหรินจะยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูด แต่จะว่าไป ที่จริงก็มีคนเก็บหญ้าไร้เงามาได้บางส่วนเช่นกัน
คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว “ผู้อาวุโส หากกล่าวว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่ท่านช่วยปกป้องพวกเรา นั่นคงมิอาจกล่าวอันใดได้ แต่ว่าพวกเราช่วยท่านอาจารย์อาชุยทำไร่แล้ว…”
ถันเหวยเจินเหริน “เจ้าหมายความว่าแค่ทำไร่ก็เพียงพอแล้วงั้นหรือ”
คนผู้นั้น “…”
นี่จะไปต่างอะไรจากการถามเจ้าตัวว่าชีวิตของเขามีค่าเพียงแค่นั้นหรือ
คราวนี้ทุกคนจึงตระหนักกันถ้วนหน้าถึงสาเหตุที่ถันเหวยเจินเหรินต้องกลับเข้ามาเล่าสถานการณ์
ทุกคนประสานสายตากันไปมา ก่อนจะกัดฟันล้วงหญ้าออกมา เวลานี้คงไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก
ท้ายที่สุดเมื่อนับจำนวนแล้ว หญ้าไร้เงาทั้งหมดที่ทุกคนเก็บมาได้มีเพียงสิบห้าต้น จำนวนสู้รอบก่อนไม่ได้เพราะถูกขัดจังหวะ ไม่รู้ว่าต้นพันธุ์จะหนีสำเร็จหรือไม่ หญ้าตรงนี้คงไม่กลายเป็นหญ้าไร้เงากองสุดท้ายหรอกนะ
ถันเหวยเจินเหรินเอาไปสิบสองต้น เพราะพวกผู้เฒ่าต้องการคนละสองต้น ส่วนอีกสามต้นที่เหลือคนอื่นจะแบ่งยังไงก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก
จากนั้นถันเหวยเจินเหรินค่อยวาดมือปล่อยคนพวกนี้ออกไป
เพราะสิ่งที่ประสบพบเจอมาในช่วงนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นจึงมิกล้าล่วงเกินหรือบังอาจกล่าวคำใดต่อหน้าถันเหวยเจินเหริน ทว่าในภายหลังข่าวลือความสัมพันธ์รักใคร่ของถันเหวยเจินเหรินกลับแพร่กระจายไปทั่วภพผู้บำเพ็ญเพียร
ก็ข้อเท็จจริงเห็นอยู่ตรงหน้านี่นา ถันเหวยเจินเหรินมีความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมกับลูกศิษย์ พลอดรักกันตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันตกดิน มิหนำซ้ำยังหลอมของวิเศษแกร่งกล้าให้กับลูกศิษย์อีก
หลังส่งผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดออกไปก็ถึงคราวพวกเขาสามคนกลับไปเสียที
เมื่อมาถึงนอกสำนักอวี่หลิง ภาพทะเลหมอกขาวโพลนเต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายเซียนที่พึงเป็น กลับมีอสนีบาตสีม่วงนับไม่ถ้วนแวบผ่านอยู่ระหว่างกลาง สาดแสงจ้าจนทะเลหมอกพานกลายเป็นสีม่วงคล้ำราวกับด่านเคราะห์เมฆาอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านประมุขคงเปิดใช้เขตอาคมปกปักภูผา” ถันเหวยเจินเหรินชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินหน้าแล้วหยุดลอยอยู่กลางอากาศ
อวิ๋นเมิ่งเจินเหรินนึกขึ้นได้เรื่องการผ่านเขตอาคม “ศิษย์จะมุ่งหน้าไปนำคัมภีร์ไม้ไผ่มาให้ท่านอาจารย์อาเองขอรับ”
ถันเหวยเจินเหรินผงกหัวก่อนอธิบายให้ชุยชีฉาวฟัง หลังเปิดใช้งานเขตอาคมปกปักภูผาแล้ว คนนอกจะไม่สามารถเข้าใกล้สำนักอวี่หลิงตามอำเภอใจ ผู้ที่ไม่มีหลักฐานยืนยันตัวว่าเป็นลูกศิษย์หรือบ่าวรับใช้ประจำสำนัก อาจถูกเขตอาคมแห่งนี้ทำร้ายจนบาดเจ็บได้
ส่วนวาฬพยับเมฆานั้น บรรพบุรุษของพวกมันได้สร้างพันธสัญญาโลหิตกับฟางชุ่นเจินเหริน มีผลต่อสายเลือด จึงสามารถแหวกว่ายท่ามกลางเขตอาคมได้
ก่อนพวกเขาออกเดินทางคัมภีร์ไม้ไผ่ของชุยชีฉาวยังทำไม่เสร็จ เพราะเช่นนี้จึงต้องให้อวิ๋นเมิ่งเจินเหรินไปนำออกมาให้
เมื่อได้รับคัมภีร์ไม้ไผ่ ชุยชีฉาวก็โดยสารวาฬน้อยแหวกว่ายท่ามกลางขุนเขาพร้อมอีกสองคน ดึงดูดสายตาได้ไม่น้อย ตอนนี้ที่นี่เหลือเพียงศิษย์ระดับขั้นต้น เพราะศิษย์ระดับขั้นสูงต่างถูกส่งออกไปกางเขตอาคมหมดแล้ว
ไม่มีใครรู้เรื่องที่แม่วาฬกล่าวกับถันเหวยเจินเหริน และไม่รู้ว่าวาฬน้อยเป็นฝ่ายไล่ตามออกไปเองอีกต่างหาก ยามเห็นภาพตรงหน้าจึงเกิดความคิด…ถันเหวยเจินเหรินช่างแสนดีต่อลูกศิษย์คนนี้เหลือเกิน อีกฝ่ายระดับขั้นต่ำเตี้ยเหาะเหินเองมิได้จึงเรียกวาฬพยับเมฆาให้ใช้สอย ไม่มีผู้ใดในสำนักได้รับการปฏิบัติเช่นนี้อีกแล้ว
เมื่อมาถึงตำหนักทองประดับป้ายเงิน ประมุขเยี่ยนก็ยืนรออยู่หน้าประตูก่อนแล้ว นางเอ่ย “ผู้อาวุโสทุกท่านออกไปกางเขตอาคมกันหมด อีกสักครู่ถึงจะกลับมารับฟังคำสั่งสอนจากท่านอาจารย์อาเจ้าค่ะ”
จนถึงยามนี้พวกเขาก็ยังมิได้เผชิญหน้ากับเผ่าอสูรเสียที– ทางฝั่งเผ่าอสูรคงอยู่ในช่วงตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ถันเหวยเจินเหรินอยู่เฝ้าที่ปากทางและคอยกำจัดพวกปลาซิวปลาสร้อยทิ้ง นั่นคงทำให้ฝ่ายนั้นระวังตัวไม่ข้ามภพมาชั่วคราว
แน่นอนว่าทุกคนต้องมาฟังถันเหวยเจินเหรินสาธยายสิ่งที่ตัวเองประสบพบเจออยู่แล้ว
“ข้าจับเผ่าอสูรกลับมาด้วยบางส่วน กำลังจะสอบสวนพอดี” ถันเหวยเจินเหรินกล่าว “เจ้าไปพร้อมข้าแล้วกัน”
ประมุขเยี่ยนพยักหน้ารับก่อนเข้าสู่มิติถ้ำสวรรค์
นางไร้ข้อโต้แย้งเมื่อชุยชีฉาวก็ตามเข้ามาด้วย
ถันเหวยเจินเหรินจับเผ่าอสูรมาได้สี่ร้อยกว่าตน ทุกตนอยู่ในระดับขั้นทิงเหลยของผู้บำเพ็ญเพียรชาวมนุษย์เป็นอย่างน้อย พวกเขาที่ถูกมัดตัวไว้ต่างนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่กับพื้น
ผู้ที่สถิตอยู่ในมิติถ้ำสวรรค์แห่งนี้คือเจ๋ว์เฉินจื่อ เขานั่งอยู่ด้านข้างฝูงอสูรเหล่านั้น พลางบันทึกสภาพร่างกายและลักษณะจำเพาะของอสูร พร้อมกำหนดเลขประจำตัวให้แต่ละตนไปด้วย
เจ๋ว์เฉินจื่อพูดขึ้นเมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา “อสูรพวกนี้พูดภาษามนุษย์ไม่เป็น”
แม้ทุกวันนี้แต่ละเผ่าจะใช้ตัวอักษรเหมือนกัน เพราะมีเทพเจ้ายุคบรรพกาลร่วมกัน กระนั้นภาษากลับสื่อสารกันไม่รู้เรื่องอยู่ดี อดีตเคยมีภาษากลางที่ใช้ระหว่างทุกเผ่า ทว่าหลังแบ่งแยกออกเป็นหกภพ ภาษากลางก็อันตรธานหายไปตามกาลเวลา ผู้ที่ยังรู้ภาษาอสูรในปัจจุบันก็มีอยู่เพียงหยิบมือ ต่างเป็นผู้ที่ได้พบพานชะตาลิขิตที่หาตัวได้ยากในเวลานี้
ประมุขเยี่ยนเลือกอสูรออกมาหนึ่งตน ก่อนจะใช้พลังปราณที่ส่งออกจากปลายนิ้วเขียนไถ่ถามลงบนพื้น
อสูรตนนี้มิสามารถใช้พลังปราณของตนได้ จึงใช้แท่งไม้เขียนบนพื้นแทน ด้วยระยะเวลาหลายปีที่ล่วงเลย ตัวหนังสือแม้จะยังเหมือนเดิมแต่หลักภาษากลับเปลี่ยนไป ส่งผลให้ประมุขเยี่ยนสับสนเล็กน้อย กระนั้นก็ยังพอทำความเข้าใจได้
ภายใต้แรงกดดันจากประมุขเยี่ยน อสูรตนนั้นจึงมิกล้าเมินคำถาม หลังนางอ่านคำตอบจบก็ตกสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
อิงจากคำตอบของอีกฝ่าย เผ่าอสูรมีจำนวนประชากรไม่มาก ภายในเผ่าไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรง อสูรบางเผ่าสูญพันธุ์ไปแล้วก็มี ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายมนุษย์จึงมีจำนวนคนเป็นต่อ ทว่าเผ่าอสูรชื่นชอบการต่อสู้แย่งชิงและอารมณ์ร้อน อสูรตนนี้กล่าวว่าสาเหตุที่ตนมาในตอนแรก เพราะในเผ่าฮือฮากันไปทั่วว่าภพอสูรกับมนุษย์เชื่อมต่อกันแล้ว ไม่ลองไปจับมนุษย์มาลิ้มรสหน่อยจะได้อย่างไร สมัยบรรพกาลทุกเผ่าต่างก็กัดกินกันเองไม่ใช่หรือ พวกเขายังไม่เคยลิ้มรสชาติที่บรรพบุรุษเคยได้ลองเลย
แต่ก็เป็นเพราะเผ่าอสูรชอบรบราฆ่าฟัน จึงไม่ได้รวมตัวเป็นพันธมิตรกันในทันทีเฉกเช่นมนุษย์ หากกล่าวในแง่ดีคือโจมตีให้แตกพ่ายได้ง่าย แต่ในแง่ร้ายก็คือเจรจาโดยสันติได้ยาก หากทั้งสองภพเปิดสงคราม มนุษย์ธรรมดาย่อมตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก ประมุขเยี่ยนไม่กลัวสงคราม กระนั้นหากไม่จำเป็น นางก็ไม่อยากเห็นภูผาและสายธารต้องย้อมด้วยโลหิตเช่นกัน
ขณะที่ประมุขเยี่ยนกำลังหนักใจ กลับเห็นอาจารย์อาเขียนตัวหนังสือถามอสูรตนนั้นอีกครั้ง “พวกเจ้าทั้งหมดกินแต่เนื้อหรือ ไม่มีใครกินพืชผักเลย?”
อสูรเขียนตอบว่า “ไม่มี” อย่างกล้าๆ กลัวๆ สำหรับอสูรแล้วการกินหญ้าสมุนไพรวิเศษเป็นดั่งการกินยาพิษ ทุกตนต่างรังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยความต้องการของร่างกาย อสูรบางตนที่ยังไม่สำเร็จศีลอดพี่กู่จึงจำต้องกินพืชผักบ้าง เป็นเรื่องที่ทรมานแสนสาหัสเลยทีเดียว
ได้ยินมาว่าในอดีตเคยมีเผ่าอสูรที่กินแต่พืชผักอยู่บ้าง ทว่าเวลาต่อมาก็ต่างดับสูญกันไปหมด
ถันเหวยเจินเหรินถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครปลูกผักสินะ พื้นดินที่ภพอสูรของพวกเจ้ากว้างขวางเพียงไหน อุดมสมบูรณ์หรือไม่”
ประมุขเยี่ยน “…”
ถันเหวยเจินเหรินได้รับคำตอบกลับมาว่า พิภพอสูรมีเก้าทวีปประหนึ่งออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับโลกมนุษย์ พวกเขามีพื้นดินอุดมสมบูรณ์มหาศาล ทว่ากลับไม่เคยมีอสูรตนใดทำไร่ทำนามาก่อน กล่าวได้เพียงว่าการทำปศุสัตว์ของเผ่าอสูรค่อนข้างจะรุ่งเรืองกว่า…
ชุยชีฉาวกับถันเหวยเจินเหรินพรั่งพรูลมหายใจออกมาพร้อมกันต่อหน้าประมุขเยี่ยน
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ เหตุใดเผ่าอสูรจึงสิ้นเปลืองขนาดนี้
กระทั่งพวกผู้อาวุโสของสำนักอวี่หลิงเดินทางมาถึงตำหนักทอง พวกเขาทั้งสามคนก็ออกมาจากมิติถ้ำสวรรค์พอดี ทั้งสามต่างหน้าดำคร่ำเครียด ข้างเท้ามีอสูรตนหนึ่งถูกมัดเอาไว้
เหล่าผู้อาวุโสที่มองเห็นสีหน้าเช่นนั้นต่างหวั่นวิตก รีบเอ่ยถาม “ท่านประมุข เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ประมุขเยี่ยนก้มหน้าก้มตาท่าทางไม่ยินดีจะกล่าวออกมา ผ่านไปสักพักถึงเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว “ข้ามีแนวคิดต่างกับท่านอาจารย์อา”
เหล่าผู้อาวุโสคิดในใจ… ทั้งสองภพเชื่อมต่อเข้าหากันเป็นเรื่องใหญ่ ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าวันหน้าจะเป็นเช่นไร แม้ยามนี้พื้นที่แต่ละแห่งจะถูกป้องกันเอาไว้ ทว่าหากพูดถึงแนวโน้มความเป็นไปในภายภาคหน้า ภพผู้บำเพ็ญเพียรมีคนมากเท่าใด แนวคิดก็ยิ่งแตกต่างหลากหลายมากเท่านั้น การที่ความเห็นของประมุขต่างจากอาจารย์อาจึงมิใช่เรื่องน่าแปลก
พวกเขาต่างรู้ความคิดของประมุขดี “งั้นท่านอาจารย์อาคิดเช่นไรหรือ”
ถันเหวยเจินเหรินทอดสายตามองท้องนภาพลางกล่าว “ข้าว่ามิสู้จัดทัพบุกไปยังพิภพอสูรและจับเหล่าอสูรมาเป็นทาสไร่นาเสียยังจะดีกว่า ทางนั้นจะได้มิสิ้นเปลืองผืนดินไปโดยเปล่าประโยชน์ พืชเสบียงที่ปลูกออกมาก็ให้มนุษย์ธรรมดาเป็นอาหารได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดต้องคอยพะว้าพะวงอีก”
เหล่าผู้อาวุโส “?”
ถันเหวยเจินเหรินเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “เผ่าอสูรก็แค่พวกที่มีแรงกายเต็มเปี่ยมแต่ปราศจากที่ปลดปล่อยเท่านั้น หากเอามาใช้กับผืนดินคงจะดีกว่า
“ถึงอย่างไรสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์กับอสูรก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ไปให้สุดทางเลยเล่า บุกตีพิภพอสูรแล้วจัดการให้สิ้นซากในคราวเดียว จากนั้นดื่มด่ำกับความสบายระยะยาวโดยการนำรถแทรกเตอร์เข้าไปยังผืนดินของอีกฝ่ายและบุกยึดทั้งหมดมา”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้นด้วยใบหน้านิ่งอึ้ง “…แทรกเตอร์คือสิ่งใดขอรับ”
ถันเหวยเจินเหริน “ศิษย์ข้าเป็นผู้คิดค้น ชุยชีฉาว เจ้าเล่าให้พวกเขาฟังซิ”
ชุยชีฉาวหลุดยิ้มมองถันเหวยเจินเหรินอย่างไม่คาดคิด จะทำความคิดนี้ให้เป็นจริงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างไรก็ต้องเอ่ยสนับสนุนเสี่ยวไป๋เสียก่อน ประสบการณ์หลายปีมานี้บอกเขาว่าจะทำให้เจ้าแมวนี่ร้อนใจไม่ได้ แมวที่บ้านอุตส่าห์จับหนูมาให้เป็นของขวัญทั้งที จะด่าทอไม่ได้เด็ดขาด “ท่านมีความคิดที่ดี ข้าดีใจไม่น้อย”
ถันเหวยเจินเหริน “หึ…”
เหล่าผู้อาวุโส “?”
ประมุขเยี่ยนพลันตระหนักได้ การทำไร่คล้ายว่าจะเป็นความชื่นชอบของศิษย์น้องตัวน้อยมาโดยตลอดมิใช่หรือ ที่แท้ข้อเสนอเมื่อครู่ของอาจารย์อาก็เป็นการเอาอกเอาใจศิษย์น้องสินะ
นางผู้มีชีวิตอยู่มากว่าพันปี รับรู้ได้ถึงลางร้ายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในฉับพลัน
แพลตฟอร์มไลฟ์ LJJ
“บ้าบอ ทุกวันนี้การมองหาพาร์ททำนาจากเส้นเรื่องของถันเหวยเจินเหรินก็เหมือนการขุดหาน้ำตาลจากกองขี้นั่นแหละ”
“ถันเหวยเจินเหรินไม่มีมือเหรอ ให้ท่านชุยของฉันป้อนเพื่อ?”
“สักวันท่านชุยต้องปลูกไปถึงหัวของถันเหวยแน่ เอาให้หัวเขียว[1]ชอุ่มไปหมดเลย…”
“วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องสาปแช่งถันเหวยเจินเหรินสินะ”
“ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านชุยของพวกเธอถึงชอบถันเหวยเจินเหริน นี่มันเป็นปีศาจทำไร่อีกตัวนี่เอง! ทั้งคู่ชอบเหมือนกันชัดๆ!”
“อย่างมันเนี่ยนะจะคู่ควรกับการทำไร่?!”
“เขาแค่ใช้การทำไร่มาบังหน้าเพื่อรับความรักจากนายท่านชุยเท่านั้นแหละ ฉันว่าเขารักการทำสงครามมากกว่า สงครามจบคงเหลือเวลาให้ทำไร่แค่นิดเดียว พวกเขาควรอยู่แนวหลังแล้วตั้งใจทำไร่สิ ระหว่างนั้นค่อยส่งอุปกรณ์การรบไปสนับสนุนบ้างก็ได้ จากนั้นก็จับเชลยศึกมาใช้งานให้หมดไง”
“แค้นใจชะมัด ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเจ้าหมอนี่จะทำให้บ้านเมืองฉิบหาย มันคงกลัวผืนดินใต้หล้าสงบสุขเกินไปแหง ๆ!”
“ใจเย็น ต้องใจเย็นเข้าไว้ไอ้หนุ่ม อย่าตะกละจนกลายเป็นไอ้อ้วนในคำเดียว[2]สิ ไม่งั้นอาจเสียทั้งฮูหยินและขุนศึก[3]นะ ปลูกให้ทั่วมิติถ้ำสวรรค์กับโลกมนุษย์ก่อน เวลาทั้งหมดที่มีจะบอกว่าเยอะก็ไม่เยอะเท่าไร ต้องทำไร่อย่างมีประสิทธิภาพถึงจะถูก”
“เถ้าแก่ชุยคิดยังไงกันแน่ อย่าเอาแต่ดีใจสิ”
“สมัยก่อนพวกนายไม่เห็นพูดแบบนี้เลย…”
“(ยิ้มเย็น) ชุยของพวกเธอในสมัยก่อนก็ไม่ได้คลั่งรักแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ”
เฟิงจี้อวิ๋นนึกเสียใจอยู่ทุกวันกับการมาโลกมนุษย์!
เขาเป็นถึงบุตรชายคนเล็กของผู้อาวุโสแห่งเผ่าโฉงฉี[4]ในภพอสูร ใครๆก็รักและตามใจเสมอ เรียกได้ว่าวางอำนาจไปทั่วภพอสูรไม่น้อย
คราวนี้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างสองภพขึ้น เฟิงจี้อวิ๋นกับสหายชั่วสำมะเลเทเมาจึงคุยกันว่าต้องฉวยโอกาสนี้ไปจับผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์กลับมา เพื่อแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เสียหน่อย
ไม่มีผู้ใดเคยได้ลิ้มลองรสชาติผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ นั่นเป็นถึงเซียนโดยการฝึกที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณเชียวนะ เผ่าโฉงฉีของพวกเขาครอบครองตำราบันทึกสิบวิธีการปรุงเซียนโดยการฝึกที่เหลืออยู่เล่มหนึ่งพอดี
คราวนี้จะได้ลองใช้สูตรอาหารนั่นเสียที
เฟิงจี้อวิ๋นและมิตรสหายลักลอบไปยังทะเลทราย ข้ามมิติโกลาหลโดยไม่ให้คนที่บ้านรู้ น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้แสดงฝีไม้ลายมือ พวกเขาก็ถูกถันเหวยเจินเหรินซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นใช้เคียวฟันปีกจนบาดเจ็บ ก่อนถูกจับกุมตัวเอาไว้
เมื่อนับรวมเฟิงจี้อวิ๋นแล้วยังมีเผ่าอสูรอีกหลายร้อยตนที่ถูกจับขังไว้ในมิติถ้ำสวรรค์ของถันเหวยเจินเหริน
การแบ่งระดับขั้นวิชาของพวกเขาต่างออกไปจากของเผ่ามนุษย์ ทั้งหมดแบ่งเป็นปู้เส้อ ปู้ซั่น ปู้เช่ว์ ปู้ฝู ปู้เจ๋ว์ ปู้หลิวนั่น ปู้จ้าวอิ่ง ปู้เม่ยเซิน และปู้กุยรื่อ[5]
เฟิงจี้อวิ๋นเพิ่งฝึกถึงระดับขั้นสี่คือขั้นปู้ฝู ข้ามมิติโกลาหลมาได้อย่างปลอดภัยฉิวเฉียด ทว่าถันเหวยเจินเหรินผู้นี้อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับขั้นปู้หลิวนั่นขึ้นไปแน่นอน
เขาไม่บอกผู้อื่นว่าแท้จริงแล้วตนเองรู้ภาษามนุษย์อยู่บ้าง ในฐานะเผ่าใหญ่แห่งภพอสูร อดีตเคยมีผู้อาวุโสเผ่าโฉงฉีผู้หนึ่งได้พบพานชะตาลิขิตและทะลุไปยังโลกมนุษย์เป็นระยะเวลาหนึ่งโดยบังเอิญ จึงได้เรียนรู้ภาษาของอีกฝ่าย เฟิงจี้อวิ๋นเองเคยศึกษาภาษามนุษย์จากบันทึกที่ผู้อาวุโสท่านนั้นหลงเหลือเอาไว้
เพราะมีข้อได้เปรียบจุดนี้อยู่ เฟิงจี้อวิ๋นจึงเข้าใจสถานการณ์มากกว่าอสูรตนอื่น เขาแอบฟังอยู่พักหนึ่งถึงทราบว่าสมญานามของผู้ที่จับพวกเขามาคือถันเหวยเจินเหริน เป็นผู้ฝึกวิชาระดับเจ๋ว์เสี่ยงแห่งโลกมนุษย์
เขารู้จักระดับขั้นวิชานี้ นั่นเทียบเท่าผู้อาวุโสระดับปู้เม่ยเซินของภพอสูรเชียวนะ!
สำหรับระดับขั้นปู้เม่ยเซินในภพอสูรไม่มีทางร่วงโรยหรือดับสูญ ผู้ที่มาถึงระดับขั้นนี้เรียกได้ว่าเป็นอมตะแล้วด้วยซ้ำ!
ในเผ่าของพวกเฟิงจี้อวิ๋นมีผู้อาวุโสระดับขั้นนี้เพียงแค่สามท่านเท่านั้น อีกทั้งพวกท่านต่างก็ปิดด่านฝึกวิชามาแล้วหลายปี ละซึ่งทางโลก มุ่งหวังแต่จะทะลวงสวรรค์ เหตุการณ์ใหญ่ที่ทั้งสองภพเชื่อมต่อกันก็คงมิอาจสั่นคลอนพวกเขาได้
เริ่มแรกเฟิงจี้อวิ๋นก็ไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไรนัก เหตุใดมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกตนมาถึงขั้นนี้ยังวิ่งพล่านไล่ฆ่าฟันคนอื่นอยู่ด้านนอกไปทั่ว ต่อมาจึงรู้ว่าทั้งหกภพคงมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้
ยามอยู่ในมิติถ้ำสวรรค์ พวกเขาถูกสอบสวน กำหนดเลขประจำตัว และยังถูกร่ายคาถาจำกัดพลังเอาไว้อีก ช่วงแรกก็มีเพียงเศษเสี้ยววิญญาณของผู้แข็งแกร่งคอยเฝ้าดูแลพวกเขาเท่านั้น อสูรทุกตนต่างหงุดหงิดงุ่นง่านไม่น้อย เพราะมิอาจทราบได้เลยว่าจะมีโอกาสกลับไปอีกหรือไม่
แม้ว่าเริ่มแรกอสูรทุกตนจะมุ่งหน้ามาด้วยจิตใจฮึกเหิมไม่กลัวตาย หากแต่หลายวันมานี้พวกเขาก็เริ่มห่อเหี่ยวไม่น้อย
ขณะนั้นนั่นเอง ถันเหวยเจินเหรินกับลูกศิษย์ของเขาก็ได้เข้ามาทารุณกรรมทุกคนต่ออีกทอด ใช่แล้ว มันคือการทารุณกรรม ต่อจากนั้นอีกนาน อสูรทุกตนก็ต่างรู้สึกว่าการทำไร่คือวิธีที่มนุษย์ใช้ทรมานพวกเขา!
เหล่าอสูรถูกนำตัวเข้าไปยังมิติถ้ำสวรรค์อีกแห่ง และเพราะบนร่างยังคงมีอาคมเวทจำกัดพลัง พวกเขาจึงเรียกใช้พลังปราณไม่ได้ พลังปราณที่มีในห้วงสำนึกก็ถูกถันเหวยเจินเหรินสูบออกไปเก็บไว้ในของวิเศษหน้าตาประหลาดจำนวนหนึ่งจนหมด
พลังปราณของพวกเขาจะฟื้นฟูเป็นระยะ ทว่าจากนั้นก็จะถูกสูบออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกลี้ยงอยู่ดี สุดท้ายแม้จะทลายอาคมจำกัดพลังได้ก็ยังไร้ประโยชน์
เพราะใช้พลังปราณไม่ได้ เผ่าอสูรจึงต่างจากมนุษย์ทั่วไปแค่ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนและมีพละกำลังกับร่างกายที่แข็งแกร่งกว่า สุดท้ายเพราะใช้อาคมเวททำไร่ไม่ได้ พวกเขาจึงต้องสัมผัสผืนดินด้วยมือตนเอง
เฟิงจี้อวิ๋นสงสัย หรือแท้จริงแล้วถันเหวยเจินเหรินเป็นเผ่ามาร ผู้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในหมู่ชนทั้งหกเผ่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะบังคับให้อสูรบางตนแปลงกายคืนร่างเดิมเพื่อนำมาใช้งาน
เฟิงจี้อวิ๋นเองก็ถูกบังคับให้แปลงกายกลับสู่ร่างโฉงฉีเดิมของตนเอง จากนั้นก็ถูกจับเทียมใบไถโลหะมาไถดิน
ทว่าใบไถนี้กลับต่างจากใบไถในความทรงจำของเฟิงจี้อวิ๋น ใบมีดไถหลายใบเรียงตัวเป็นแนวกว้าง ไถทีหนึ่งกินเนื้อถึงสิบห้าเมตร
การไถดินให้เรียบเป็นระเบียบต้องพึ่งพาพละกำลังกับความสมดุลของผู้ไถ เพราะเช่นนี้เฟิงจี้อวิ๋นจึงถูกบังคับกดดันให้ฝึกซ้อมไปมาหลายรอบกว่าจะผ่านมาตรฐาน
โฉงฉีมีรูปลักษณ์คล้ายวัว บนหัวมีเขา เส้นขนแหลมคมดั่งเม่น บนแผ่นหลังติดปีกหนึ่งคู่ ตั้งแต่สมัยก่อนเขาของเฟิงจี้อวิ๋นก็มักจะประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดา เส้นขนก็หวีเรียบแปล้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาลากคันไถ ช่างเสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก!
มันคือแผนการชั่วร้ายของมนุษย์ที่มีไว้ทำลายศักดิ์ศรีของพวกตน!
แม้จะอดทนอดกลั้นได้ แต่ผู้ใดจะไปยอม เฟิงจี้อวิ๋นนึกอยากต่อต้านโดยแลกชีวิตเข้าสู้ ทว่ากลับโดนถันเหวยเจินเหรินซัดกลับมาจนน่วม หากไม่ใช่ชุยชีฉาวรั้งอีกฝ่ายไว้ ถันเหวยเจินเหรินคงเหยียบเขาลงดินดั่งที่ลั่นวาจาไปแล้ว
บาดแผลเก่าของเฟิงจี้อวิ๋นยังไม่ทันได้สมานตัวก็ได้รับแผลใหม่เสียแล้ว เขาเคยต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ที่ไหนกัน สุดท้ายได้แต่สะอึกสะอื้นทำไร่ต่อทั้งน้ำตา หลังทำงานส่วนที่ตนรับผิดชอบเสร็จจึงนั่งพักลงที่คันนา
นอกจากทำไร่แล้ว มนุษย์ยังมีวิธีทรมานพวกเขาอีกรูปแบบ นั่นคือการทำอาหารไม่ซ้ำประเภทอยู่ข้างๆ ทุกวัน– มิหนำซ้ำยังตั้งใจเข้ามาทำอาหารในมิติถ้ำสวรรค์โดยเฉพาะอีกต่างหาก
ในอดีตยามที่เผ่ามนุษย์กับอสูรอยู่ร่วมกัน ทุกคนต่างมีสภาพความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้หลังพัฒนามาได้หลายปี พวกเฟิงจี้อวิ๋นยังคิดอยู่เลยว่าสูตรอาหารสิบวิธีการปรุงของพวกเขาเลิศเลอเป็นพิเศษ ผู้ใดจะคาดคิดว่าชุยชีฉาวจะแสดงฝีมือให้พวกเขาประจักษ์ถึงความหมายของประโยคที่ว่า ‘บนโลกปราศจากสิ่งที่มนุษย์ไม่กิน’
เฟิงจี้อวิ๋นมองจนขนหัวลุกชัน ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่ากลิ่นนั้นช่างหอมหวนเย้ายวน ส่วนอีกด้านกลับกลัวว่าอีกฝ่ายคงมิได้กำลังศึกษาวิธีใช้เนื้อโฉงฉีมาทำอาหารร้อยแปดอย่างหรอกกระมัง
ภายใต้สถานการณ์ตกนรกทั้งเป็นเช่นนี้ เฟิงจี้อวิ๋นจึงรายงานชุยชีฉาวว่าแท้จริงแล้วตนนั้นพูดภาษามนุษย์เป็น เพื่อที่จะได้รับเวลาพักผ่อนมากขึ้น
จริงๆ แล้วเขาควรรายงานถันเหวยเจินเหรินที่มีระดับขั้นบำเพ็ญเพียรสูงที่สุด อีกฝ่ายคงเป็นผู้กุมอำนาจของที่นี่และยังเป็นอาจารย์ของชุยชีฉาวอีกต่างหาก แต่เขาไม่กล้า สุดท้ายจึงไปบอกชุยชีฉาวก่อนเป็นคนแรก
ชุยชีฉาวได้ยินแล้วก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ตามคาด เขาจัดการลากอีกฝ่ายไปหาถันเหวยเจินเหริน “โฉงฉีตนนี้พูดภาษามนุษย์เป็น สมควรเลื่อนตำแหน่งหน่อยหรือไม่”
เฟิงจี้อวิ๋นรู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย ราวกับว่าตนนั้นเป็นผู้ทรยศต่อเผ่าอสูร แต่เขาเองก็ทนทุกข์ยากต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน…
ถันเหวยเจินเหรินปรายตามองเฟิงจี้อวิ๋น “เจ้ารู้ภาษามนุษย์?”
เฟิงจี้อวิ๋น “…ขอรับ”
ถันเหวยเจินเหรินเอ่ยถามส่งๆ เพื่อทดสอบมาตรฐานของอีกฝ่าย “ระดับขั้นอะไร”
“ปู้ฝู”
ถันเหวยเจินเหรินชะงัก “เจ้าทำไมนะ”
เฟิงจี้อวิ๋น “ขะ…ข้าปู้ฝูขอรับ[6]”
ถันเหวยเจินเหรินปาแอปเปิลที่กำลังกินลงพื้น ทำเอาเฟิงจี้อวิ๋นตื่นตกใจจนแทบคุกเข่า “เจ้ายังกล้าไม่พอใจอีกหรือ”
เฟิงจี้อวิ๋นร่ำเรียนภาษามนุษย์มาเพียงแค่เล็กน้อย เขาแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ข้าอยู่ระดับขั้นปู้ฝูนี่นา!”
“หยุด!” ชุยชีฉาวผู้นั้นพลันตะโกนออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจยิ่งยวด จากนั้นก็เริ่มเอ็ดถันเหวยเจินเหรินอย่างที่เฟิงจี้อวิ๋นไม่คาดคิด “แอปเปิลยังกินไม่หมด จะปาลงพื้นทำไม”
ถันเหวยเจินเหริน “…”
ชุยชีฉาวเก็บแอปเปิลขึ้นมา “อยากด่าตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เอาแต่เดี๋ยวกินเดี๋ยวเล่นอยู่นั่นแหละ บางครั้งกินแค่สองคำก็ไม่กินแล้ว นี่มันนิสัยเสียประเภทไหนกัน”
สีหน้าของถันเหวยเจินเหรินย่ำแย่จนดูไม่ได้ เฟิงจี้อวิ๋นตัวสั่นเทา รู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่แสนน่ากลัวคนนี้กำลังจะระเบิดอารมณ์ในไม่ช้า
ทว่าสิ่งที่เกินการคาดเดาของเฟิงจี้อวิ๋นยิ่งกว่ากลับเป็นการที่ถันเหวยเจินเหรินแค่นำแอปเปิลไปล้างอย่างกระฟัดกระเฟียดเท่านั้น
“…” เฟิงจี้อวิ๋นนึกว่าถันเหวยเจินเหรินเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในที่แห่งนี้เสียอีก
[1] เป็นการเล่นคำเพื่อโยงถึงวลี “สวมหมวกเขียว” ซึ่งมีความหมายว่าฝ่ายภรรยานอกใจสามีไปมีชู้
[2] เป็นสำนวนจีนหมายถึงอย่าคิดเพ้อฝันทำอะไรเกินตัว
[3] เป็นสำนวนจีน หมายถึง เสียหายทั้งสองด้าน
[4] โฉงฉี (窮奇) คือเทพอสูรในตำนานจีนโบราณ บางตำราก็กล่าวว่ามีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเสือขนาดตัวเท่าวัวและมีปีก บางตำราก็กล่าวว่าคล้ายวัวที่มีขนตั้งชันแหลมคม โดยตามตำนานสัตว์อสูรชนิดนี้ชอบเดินทางไปยังที่ที่มีคนต่อสู้กัน และมักจะทำร้ายฝ่ายธรรมะ แล้วคาบสัตว์อื่นมาให้ฝ่ายอธรรมเพื่อสนับสนุนให้ทำชั่วต่อไป
[5] ความหมายของแต่ละระดับขั้น คือ ไร้กิเลส ไร้พะวง มิถดถอย ไม่ศิโรราบ มิดับสิ้น ไร้อุปสรรค ไร้เงาสะท้อน มิคะนึงสังขาร และมิหวนคืนสู่ตะวัน
[6] คำว่า ปู้ฝู (不服) มีความหมายว่า ไม่พอใจ เจ็บใจ ไม่ยอมรับ ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าปู้ฝู ที่เป็นระดับขั้นบำเพ็ญเพียรของอสูร