我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 4
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
จากโลกเสมือนสู่โลกแห่งความจริง จากแมวกลายเป็นคน
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป คือจิตใจที่รักการทำไร่ปลูกผักของชายหนุ่ม
แล้วความรักล่ะ ความรักน่ะ จะเป็นยังไงกันนะ ม๊าววว!!!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 6.2
ชุยชีฉาวบอกถันเหวยเจินเหริน “นายให้มันน้อยๆ หน่อยดีกว่า พวกคนแก่คนเฒ่าตกใจกันใหญ่แล้ว ช่วงนี้นายชอบทำตัวออดอ้อนต่อหน้าคนอื่นมากขึ้นนะ”
เขาจะเฉไฉก็ไม่ได้อีก ไม่งั้นเสี่ยวไป๋ต้องโกรธไปครึ่งค่อนวันแน่ ช่วงนี้เสี่ยวไป๋เอาแต่ประดิษฐ์เครื่องจักรกลการเกษตรกับอาวุธอยู่ตลอด เจ้าตัวก็คงเหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน
ถันเหวยเจินเหรินหัวเราะเสียงเย็น “นายบอกว่าใครออดอ้อนนะ”
บนใบหน้าชุยชีฉาวปรากฏรอยยิ้มบางเบา สายตามองอีกฝ่ายด้วยความขบขัน ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเขาสองสามที
ถันเหวยเจินเหรินก้าวประชิดชุยชีฉาวอย่างหักห้ามใจไม่ได้ แรกเริ่มเป็นเพราะความเคยชิน แต่ไม่นานนักเขาก็เกิดความรู้สึกยินดีในใจยามเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิด เรียกได้ว่าติดใจจนหยุดไม่ได้เลยจะดีกว่า เขาทั้งอยากอวดให้คนอื่นเห็น ทว่าขณะเดียวกันก็ไม่คิดจะแบ่งปันให้คนอื่นเห็นด้วย
เขาเคยคิดว่าเป็นเพราะในที่สุดตนก็มีร่างกายที่สูงใหญ่และพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าชุยชีฉาวเป็นแน่ อยากกอดก็กอด จะกอดจากด้านหน้าหรือด้านหลัง ชุยชีฉาวตัวร้ายก็ไม่มีทางขัดขืนเขาได้ อีกฝ่ายถูกเขากุมเอาไว้ในกำมือได้อย่างอยู่หมัด…
ชุยชีฉาว “ย่อตัวลงสิ ให้ฉันดูหน่อยว่าบนหัวนายมีขนนกติดอยู่หรือเปล่า”
ถันเหวยเจินเหรินย่อตัวลงทันทีทันใด
ตั้งแต่ภพอสูรจนไปถึงโลกมนุษย์ ทุกสำนัก ทุกพรรคฝ่าย ทุกเผ่าอสูรต่างก็มีเคล็ดวิธีตรวจสอบความเป็นความตายของลูกศิษย์ตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นคัมภีร์ไม้ไผ่ของสำนักอวี่หลิง สาเหตุที่การทำคัมภีร์ค่อนข้างกินเวลานั่นเป็นเพราะว่ามีคาถาหลากหลายรวมอยู่ในนั้นด้วย
นอกจากประโยชน์ใช้สอยเรื่องการเป็นบัตรผ่านเข้าเขตอาคมปกปักภูผา ใช้ยืนยันตัวตนและรักษาชีวิตได้ครั้งหนึ่งแล้ว ประมุขยังสามารถรับรู้ความเป็นตายของศิษย์ประจำสำนักได้อีกด้วย หากเกิดร่วงโรยไปย่อมแสดงขึ้นบนปูมประวัติของสำนัก
อสูรหลายเผ่าก็มีเคล็ดวิชาลับนี้อยู่เช่นกัน นับตั้งแต่ทั้งสองภพเริ่มทำสงคราม พวกเขาก็ค่อยๆ รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ อสูรหลายตนที่ไปแล้วไม่หวนกลับ ล้วนแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่
อสูรติดอยู่ที่โลกมนุษย์หลายตนเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะถูกมนุษย์จับตัวไว้เป็นเชลยแน่ๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่นำเชลยออกมาเป็นโล่มนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้ยกเชลยขึ้นมาข่มขู่อีก จะกล่าวว่าเก็บเอาไว้สอบสวนก็ดูจะจำนวนเยอะเกินไปหน่อยกระมัง
เผ่าอสูรยังไม่ทันเข้าใจจุด ก็ปรากฏเรื่องราวที่ทำให้พวกเขางุนงงยิ่งกว่าเดิมอีก
ยิ่งรอยปริร้าวที่จุดเชื่อมต่อระหว่างสองภพใหญ่ขึ้นเท่าใด มิติโกลาหลที่คั่นตรงกลางก็ยิ่งสงบและหดตัวลงเท่านั้น
กระทั่งหิมะของแดนเหมันต์ยังถูกลมพัดโปรยปรายไปเต้นระบำร่วมกับเม็ดทรายสีขาวในทะเลทรายแห่งภพอสูร ผู้บำเพ็ญเพียรเริ่มเฝ้าแนวป้องกันที่มีเส้นทางยาวไกลขึ้นไม่อยู่ อสูรหลายตนเล็ดลอดหูตาแล้วแทรกซึมกระจายตัวไปยังแผ่นดินทั้งเก้าทวีปแห่งโลกมนุษย์สำเร็จ
เฟิงปู้ฉีแห่งเผ่าโฉงฉีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นบุตรของผู้อาวุโส น้องเล็กของเขาเฟิงจี้อวิ๋นขาดการติดต่อไปตั้งแต่ทั้งสองภพเชื่อมต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อความเสียง กระแสจิตหรือสาสน์ต่างก็ตามรอยไม่เจอ ทางตระกูลมั่นใจว่าเขาต้องไปยังโลกมนุษย์เป็นแน่ เพราะมีเพียงแค่ข้ามภพไปเท่านั้นจึงหาตัวไม่เจอแม้แต่เงา
ไปรอบนี้คงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี แต่ในเมื่อไม่มีข่าวการสิ้นชีพ คนที่บ้านก็เกิดความหวังขึ้นในใจอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายที่อยู่โลกมนุษย์อาจได้พบพานชะตาลิขิตบางอย่างก็เป็นได้
เฟิงปู้ฉีทะลวงแนวป้องกันของโลกมนุษย์อย่างหมายมั่น นึกแต่จะหาตัวน้องชายกลับมาเท่านั้น ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใกล้ความหวังอีกก้าวโดยการเข้ามาถึงโลกมนุษย์
เฟิงปู้ฉีเองก็พูดภาษามนุษย์เป็นเช่นกัน เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเก็บกลิ่นอายของตน พร้อมปลอมตัวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรชาวมนุษย์ จากนั้นจึงลอบสืบสถานการณ์ของโลกมนุษย์ไปทั่ว
เพราะความวุ่นวายที่เกิดจากเผ่าอสูร โลกมนุษย์ในทุกวันนี้จึงสามารถพบเห็นผู้บำเพ็ญเพียรได้ทั่วไป เฟิงปู้ฉีอาศัยความหลักแหลมของตนลอบสืบข่าวคราวบางอย่างมาได้ นั่นคือมนุษย์จับอสูรจำนวนมากไปเป็นเชลยตามที่คาดการณ์ โดยทั้งหมดถูกส่งไปที่สำนักอวี่หลิง
หลายปีมานี้สำนักอวี่หลิงเป็นสำนักผู้ฝึกวิชาเซียนที่ใหญ่โตไม่เป็นสองรองใครในโลกมนุษย์ ถันเหวยเจินเหริน ปรมาจารย์ขั้นเจ๋ว์เสี่ยง ผู้สร้างความเสียหายสาหัสแก่ภพอสูรก่อนหน้านี้ก็เป็นคนจากสำนักอวี่หลิงเช่นกัน คาดว่าเหล่าเชลยจากเผ่าอสูรคงถูกถันเหวยเจินเหรินคุมขังอยู่ที่นั่น
น่าชิงชังเสียจริง เขาต่อกรผู้แข็งแกร่งระดับเจ๋ว์เสี่ยงไม่ไหว ทว่าเผ่าโฉงฉีไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้โดยเด็ดขาด ต้องช่วยน้องชายกลับไปให้ได้ หากช่วยไม่ไหวอย่างน้อยก็ต้องทำให้สำนักอวี่หลิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เฟิงปู้ฉีคิดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เอ๊ะ คุมขัง? เจ้าเคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างถันเหวยเจินเหรินกับศิษย์ของเขาหรือไม่”
ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหันซ้ายแลขวา ระยะห่างเช่นนี้มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางได้ยินเสียงของพวกเขาแน่ ด้านข้างมีเพียงผู้ฝึกวิชาไร้สังกัดเงียบขรึมคนหนึ่งนั่งอยู่ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเหมือนกันหมดได้ยินก็คงไม่เป็นไร “เหอะ เรื่องนี้มีผู้ใดที่ยังไม่รู้อีกเล่า เขารู้กันหมดทั่วบ้านทั่วเมือง! มีเพียงศิษย์สำนักอวี่หลิงเท่านั้นที่ปิดหูขโมยกระดิ่ง[1] มิชอบฟังผู้อื่นพูดถึงต่อหน้า”
“เป็นอย่างที่ท่านว่า” คนผู้นั้นกล่าว “ถันเหวยเจินเหรินตามอกตามใจศิษย์รักของตนทุกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าการกักขังเหล่าอสูรไว้ที่สำนักอวี่หลิงยังมีประโยชน์อีกอย่าง นั่นคือปล่อยให้ลูกศิษย์ของเขารังแกเล่นอยู่ในกำมือ”
“รังแกเล่น!”
“ใช่แล้ว แอบกระซิบบอกเจ้าแล้วกัน ข้ามีสหายสนิทผู้หนึ่ง ศิษย์สำนักสหายข้าไปหารือเรื่องบางอย่างที่สำนักอวี่หลิงแล้วเผอิญรู้เรื่องเข้า เพราะถันเหวยเจินเหรินทำคนเดียวมิทัน จึงจำต้องเรียกให้ผู้อื่นช่วยหลอมโลหะให้กลายเป็นของจำพวกโซ่เหล็ก ไหนจะยังมีสิ่งของรูปร่างประหลาดละลานตาอีก เจ้าลองคิดดูสิ หากจะคุมขัง ใช้แค่คาถาจำกัดพลังก็เพียงพอแล้ว ของเหล่านั้นจะเอามาทำประโยชน์อันใดเล่า”
“ถันเหวยเจินเหรินอายุอานามก็ปาเข้าไปกี่พันปีแล้ว เขาจะไปเข้าใจนวัตกรรมแปลกใหม่เหล่านี้ได้อย่างไร กลับเป็นศิษย์ของเขาที่ทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนเข้าสำนัก ศิษย์ของเขาต้องเป็นคนเรียกร้องเองแน่”
“นี่…สวรรค์ ได้ยินว่าอสูรต่างมีรูปลักษณ์แปลกประหลาดต่างจากมนุษย์เรา เขาจับอสูรมารังแกเล่นเช่นนั้นหรือ ช่างสรรหาวิธีเล่นเสียจริง!”
เฟิงปู้ฉีได้ยินแล้วแทบจะพ่นไฟออกมา รังแกเล่น? มิหนำซ้ำยังบอกว่ารูปลักษณ์ประหลาดอีก?
อย่าบอกนะว่าตอนนี้น้องเล็กกำลังถูกศิษย์ของถันเหวยเจินเหรินทรมานอยู่ น้องชายของเขากินดีอยู่ดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยต้องทนฝนทนแดดทุกข์ยากลำบากมาก่อน เขาจะไปทนการลบหลู่เช่นนี้ได้อย่างไร
เฟิงปู้ฉีสืบมาได้ว่าเมืองแห่งหนึ่งมีศิษย์สำนักอวี่หลิงปักหลักอยู่ เขาเคยลอบสังเกตการณ์ด้วยตนเองรอบหนึ่ง ระดับขั้นวิชาสามารถมองออกได้ด้วยตาเปล่า อีกฝ่ายอยู่แค่ระดับปู้เช่ว์เท่านั้น สู้เขาไม่ได้เลยสักนิด เขาจึงตัดสินใจโดยพลันว่าจะลักพาตัวอีกฝ่ายมาระบายอารมณ์อัดอั้น พร้อมทั้งเค้นถามวิธีเข้าสู่สำนักอวี่หลิง
โบราณว่าไว้ มาเร็วมิสู้มาได้จังหวะ ยามที่เฟิงปู้ฉีกำลังจะลอบโจมตีศิษย์สำนักอวี่หลิงนั้น ประจวบเหมาะกับที่พวกเขาได้ปืนพกกับปืนใหญ่พลังปราณมาครอบครองพอดี…
หลังประดิษฐ์อาวุธใหม่เหล่านี้เสร็จ ศิษย์ระดับล่างของสำนักอวี่หลิงก็ได้ลองนำมาใช้ก่อน หากผลลัพธ์ออกมาดีค่อยกระจายไปให้สำนักกับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สังกัดคนอื่นๆ แล้วให้พวกเขาทุกคนเรียนรู้วิธีใช้ร่วมกันจากการสอนของสำนัก
เฟิงปู้ฉีเห็นคนอื่นเป็นลูกพลับนิ่ม ปรากฏว่าพอได้ปะทะเข้าจริง ศัตรูกลับนำของวิเศษหน้าตาประหลาดที่ไม่เคยพบเคยเห็นออกมา พร้อมสั่งให้เขายกมือขึ้นยอมจำนน
เฟิงปู้ฉีใช้ภาษามนุษย์สบถคำหยาบออกมาคำหนึ่ง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังปิดบังตัวตนอสูรเอาไว้ เขาไม่แยแสกับสิ่งของเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ระดับขั้นการฝึกวิชาเป็นของตายตัว แม้ว่าจะเป็นของวิเศษที่เผ่าพันธุ์มนุษย์คิดค้นขึ้นเป็นพิเศษก็ตาม มันจะไปทำสิ่งใดได้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในวินาทีต่อมา ของวิเศษนั่นจะยิงพลังคาถาอันน่าหวาดผวาออกมาครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าสิบลี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว อย่าว่าแต่จะหลบพ้นขอบเขตการโจมตีเลย เรียกว่าทำอะไรไม่ถูกจะดีกว่า เขาต้านทานพลังเวทระดับนี้ไม่ได้เลยสักนิด!
เลือดกระอักออกมาจากปาก ลักษณะเฉพาะของเผ่าอสูรปรากฏบนกายเฟิงปู้ฉี เขาวัวขนาดใหญ่ทั้งสองข้างผุดขึ้นบนหัว แผ่นหลังมีปีกงอกกางออกมา
ลูกศิษย์สำนักอวี่หลิงตกตะลึงรีบหยุดยิงทันที “เป็นเผ่าอสูร! มีอสูรลักลอบเข้ามา!”
“สังหารไม่ได้ ต้องจับเป็นกลับไปให้ท่านอาจารย์อาชุย!”
“ใช่ ต้องนำไปมอบให้ท่านอาจารย์อา!”
ยามนี้ชุยชีฉาวค่อนข้างเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียร ทว่าชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไร ทั้งหมดเป็นเพราะข่าวฉาวสีดอกท้อระหว่างเขากับซือจุนของตนทั้งนั้น
ทว่าภายในสำนักอวี่หลิง ชุยชีฉาวกลับชำระล้างมลทินทั้งหมด และได้รับความเคารพรักจากทุกคน
สาเหตุมาจากอาวุธพลังปราณเหล่านี้นั่นเอง ตอนนี้ทั้งสำนักต่างรู้ว่านี่เป็นอาวุธที่ชุยชีฉาวศึกษาค้นคว้า ส่วนถันเหวยเจินเหรินเป็นเพียงผู้หลอมออกมา เพราะระดับขั้นฝึกวิชาของชุยชีฉาวตามไม่ทันความคิดเท่านั้น ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าความดีความชอบทั้งหมดเป็นของใคร
ช่วงแรกยามเปิดสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูรนั้น แม้แต่ลูกศิษย์ระดับล่างก็เลือดร้อนนึกอยากร่วมศึกด้วย ทว่ากลับโดนกักตัวให้สงบจิตสงบใจฝึกฝนวิชา จนกระทั่งมีอาวุธของชุยชีฉาว ทุกคนจึงสามารถใช้ปราณที่ไม่ใช่ของตนยิงพลังเวทที่แตกต่างกันออกมาได้
ชุยชีฉาวเผยเคล็ดวิธีการยิงให้พวกเขาเล็กน้อย โดยสอนเทคนิคจำพวกขอบเขตที่กำลังการ “ยิง” ครอบคลุม และเมื่อลงมือใช้จริงจึงได้สัมผัสว่าการคิดค้นครั้งนี้สุดยอดแค่ไหน เรียกได้ว่าปฏิวัติการรับรู้ที่มีต่อพลังปราณในภพผู้บำเพ็ญเพียรเลยก็ว่าได้
สำนักอวี่หลิงมีเคล็ดวิชาเป็นร้อยเป็นพัน วิถีที่นับถือคือพลังแห่งคุณธรรมที่ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ ส่วนชุยชีฉาวก็ได้บุกเบิกมุมมองใหม่…ว่าแม้ระดับขั้นการฝึกวิชาจะต่ำก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีฝีมือก็เก่งกาจได้เช่นกัน
แม้ว่าจะยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้อาวุโส แต่เมื่อคำนึงว่าอาวุธเช่นนี้ไร้ประโยชน์สำหรับผู้ที่ฝึกวิชาขั้นสูงถึงระดับหนึ่ง ทว่าเป็นประโยชน์มากต่อลูกศิษย์ที่ระดับขั้นวิชาต่ำ พวกเขาจึงลงความเห็นว่าควรค่าแก่การสนับสนุน
ดังนั้นต่อให้ลูกศิษย์ระดับขั้นบำเพ็ญเพียรสูงจะมีข้อกังขาเกี่ยวกับกรรมวิธี ก็ได้แต่ก้มหัวยอมรับในตัวชุยชีฉาว หากไม่พูดถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างอีกฝ่ายกับถันเหวยเจินเหริน แล้วยกแค่เรื่องการคิดค้นครั้งนี้มาพูด พวกเขาก็ไม่มีคำครหาต่อตำแหน่งที่อีกฝ่ายครองอีกต่อไป
แน่นอนว่าความเคารพยำเกรงที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะทุกคนยังมิเคยได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ตอนถันเหวยเจินเหรินออดอ้อนชุยชีฉาวกับตัวมาก่อน…
เฟิงปู้ฉีถูกส่งตัวไปยังหมู่เขาที่ตั้งสำนักอวี่หลิงทั้งอย่างนั้น ก่อนจะถูกพาไปยังเสวียนผู่ ยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของถันเหวยเจินเหริน เขาก็ถูกส่งเข้าไปยังมิติถ้ำสวรรค์แล้ว
ชั่วอึดใจต่อมา เศษเสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งก็ลอยละล่องมาหา “มาใหม่หรือ ระดับขั้นไหน เผ่าอะไร”
เฟิงปู้ฉีประหลาดใจ เพราะว่าเสี้ยววิญญาณดวงนี้แม้จะมีรูปโฉมเป็นเผ่ามนุษย์ แต่วาจาที่เอ่ยออกมากลับเป็นภาษาอสูรดั้งเดิมแท้ ๆ หนำซ้ำเมื่อลองฟังอย่างละเอียดแล้วยังได้ยินสำเนียงตะวันตกเฉียงเหนือเหมือนบ้านเกิดของเขาอีก!
เจ๋ว์เฉินจื่อถลึงตามองเฟิงปู้ฉี ก่อนจะใช้ภาษาอสูรเอ็ด “นี่ ข้าถามเจ้าอยู่นะ!”
เขาเรียนภาษามาจากเฟิงจี้อวิ๋น ชุยชีฉาวกล่าวว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง พร้อมส่งเสริมให้ทุกคนเรียนรู้ภาษาอสูร
เมื่อนึกถึงเฟิงจี้อวิ๋น เจ๋ว์เฉินจื่อก็มองเฟิงปู้ฉีดี ๆ อีกรอบ “หน้าตาดูคุ้น ๆ นะ เจ้าเป็นเผ่าโฉงฉีหรือเปล่า”
เฟิงปู้ฉีเรียกคืนสติได้พร้อมเชิดหน้าตอบ “ใช่แล้วจะทำไม!”
เจ๋ว์เฉินจื่อปรายตามองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะไปเรียกเฟิงจี้อวิ๋น ในเมื่อมาจากเผ่าเดียวกัน งั้นให้ฝ่ายนั้นถามน่าจะสะดวกกว่า
‘เฟิงจี้อวิ๋น (เมฆา)’ หรือที่เรียกกันในวันนี้ว่า ‘เฟิงจี้อวิ๋น (พากเพียร)’ ได้ตกลงปลงใจยอมรับชื่อใหม่อันเปี่ยมไปด้วยเกียรติยศของตนแล้ว เขากำลังบินเล่นอยู่บนฟ้ากับวาฬน้อย เมื่อได้ยินเจ๋ว์เฉินจื่อเรียกก็ตวัดปีกบินลงมาหา จากนั้นก็นิ่งอึ้งยามได้เห็นใบหน้าของเฟิงปู้ฉี “พี่ใหญ่!”
“น้องเล็ก!” เฟิงปู้ฉีเบิกตากว้าง น้องเล็ก นี่มัน ทำไมจึงมีสภาพกลายเป็นเช่นนี้ได้ ลูกศิษย์ของถันเหวยเจินเหรินทรมานเชลยเผ่าอสูรตามที่ข่าวลือว่าจริงด้วย
บนร่างน้องเล็กที่เห็นตรงหน้าห้อยโซ่เหล็ก ขนแหลมบนหลังที่ตั้งชันขึ้นเสียบแอปเปิลไว้หลายลูก บนใบหน้าประดับรอยยิ้มเซ่อซ่า คงโดนทรมานจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วเป็นแน่
เฟิงจี้อวิ๋นเห็นสายตาพี่ใหญ่ผิดปกติจึงเอื้อมมือไปดึงลูกแอปเปิลจากด้านหลังของตน ก่อนจะขยับตัวขึ้นหน้าไปกุมมือเฟิงปู้ฉีไว้ “พี่ใหญ่ พะ พี่มาที่นี่ได้อย่างไร”
เฟิงปู้ฉีทั้งโมโหทั้งปวดใจ ทว่าเมื่อเห็นว่าโซ่บนตัวน้องเล็กมิได้ล่ามอีกฝ่ายเอาไว้จึงเบาใจลง แต่ก็เกิดความไม่เข้าใจขึ้นด้วย “กว่าข้าจะลักลอบเข้าโลกมนุษย์ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าปลอมตัวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรชาวมนุษย์เพื่อตามหาเจ้า ทว่ากลับโดนพวกเขาใช้อาวุธปริศนายิงโจมตีจนบาดเจ็บ จากนั้นจึงถูกส่งตัวมาที่นี่ ครอบครัวต่างเป็นห่วงเจ้ามาก น้องเล็ก เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ขะ ข้าไม่เป็นไร เฮ้อ เพียงแค่คงจะไร้โอกาสได้พบเจอครอบครัวอีก…” พอเฟิงจี้อวิ๋นกล่าว เฟิงปู้ฉีก็อดเผยสีหน้าสลดไม่ได้ ในเมื่อถูกขังอยู่ที่นี่ การออกไปย่อมต้องเป็นเรื่องยาก
ขณะที่กำลังสนทนากันก็มีอสูรตัวน้อยตนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
อสูรตัวน้อยรายงาน “จากการประเมิน ไร่นาเข้าสู่ช่วงออกดอกออกรวงอย่างเป็นทางการแล้วขอรับ!”
เฟิงจี้อวิ๋นเอ่ยอย่างใจเย็นนิ่งขรึม “ดีมาก คืนนี้แจกแอปเปิลให้ทุกคนลูกหนึ่ง บอกหัวหน้ากลุ่มย่อยทุกคนว่าจงตั้งสติให้มั่น ลงมือรดน้ำเก้าส่วนในทันที และคอยเฝ้าแหล่งน้ำให้ดี หากเห็นก้นบ่อขอให้รีบรายงานให้ข้ารู้ พวกเราจะขาดแคลนน้ำไม่ได้เด็ดขาด”
อสูรน้อยตอบรับเสียงดังฟังชัด “ขอรับ!” จากนั้นก็วิ่งจากไป
เฟิงจี้อวิ๋นหันมาอีกที พบเพียงสายตาแปลกประหลาดจากพี่ใหญ่
เฟิงปู้ฉีไม่เคยเห็นน้องเล็กของตนดูน่าเชื่อถือเช่นนี้มาก่อน อีกฝ่ายออกคำสั่งด้วยท่าทีเอางานเอาการ แม้เขาจะไม่เข้าใจเนื้อหาที่พูดสักนิด แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมั่นอกมั่นใจดี ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ดูเต็มอกเต็มใจเชื่อฟัง
น้องเล็กประสบพบเจออะไรที่นี่กันแน่…
“พี่ใหญ่” เฟิงจี้อวิ๋นใคร่ครวญไปมาก็นึกอะไรขึ้นได้ เขากดไหล่พี่ใหญ่ก่อนลดเสียงลงต่ำ “พี่วางใจเถิด ทุกวันนี้ข้าอยู่ที่นี่พอจะมีสิทธิ์มีเสียงอยู่บ้าง ข้าจะปกป้องพี่ใหญ่เอง พี่ใหญ่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมมาตลอด ไว้พี่ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ได้แล้วค่อยมาช่วยข้าแล้วกัน ช่วงนี้เผ่าเทาเที่ย[2]ที่มาใหม่ต้องการแย่งชิงความโปรดปรานไปจากข้า ถ้าหากมีพี่คอยช่วย ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลอันใดอีก!”
เฟิงปู้ฉีพยักหน้าตามก่อนจะชะงักงัน แย่งอะไรนะ ความโปรดปราน?
ชั่วพริบตานั้นในหัวของเฟิงปู้ฉีปรากฏภาพลามกขึ้นเป็นจำนวนมาก ศิษย์ของถันเหวยคนนั้นกระทำอันใดกันแน่…
เฟิงจี้อวิ๋นตกสู่ห้วงความคิดของตนเองเสียแล้ว มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือก คล้ายคลึงกับภาพในความทรงจำยามบิดากำลังคิดวางแผนจัดการเผ่าอื่นยิ่งนัก “เจ้าพวกเทาเที่ยที่ปลูกได้แค่หมู่หนึ่งก็แอบกินไปแล้วสามส่วนน่ะหรือ คิดจะมาแก่งแย่งชิงดีกับข้า? คำว่าอวิ๋นจากเฟิงจี้อวิ๋นของข้าน่ะมาจากคำว่าขยันพากเพียรเลยนะ!”
เฟิงปู้ฉี “?”
อะไรนะ ไม่ใช่อวิ๋นจากคำว่าวายุเมฆาหรือ
เฟิงปู้ฉีสับสนงุนงง “น้องเล็ก เผ่ามนุษย์ขังพวกเจ้าไว้ทำสิ่งใดในที่แห่งนี้กันแน่!”
เฟิงจี้อวิ๋นยกมือขึ้นตวัดโบกไปมาอย่างสง่าผ่าเผย “พวกเรากำลังทำอะไรน่ะหรือ พี่ใหญ่ ไร่นาทั้งหมดตรงหน้าพี่ มีข้าเป็นผู้รับผิดชอบอย่างไรล่ะ!”
เฟิงปู้ฉี “…”
[1] สำนวนจีน เปรียบเปรยถึงการหลอกตนเอง
[2] เทาเที่ย (饕餮) คือ อสูรในตำนานจีนโบราณ ชื่อมีความหมายว่าความตะกละตะกลาม ตำนานกล่าวว่ามันตะกละตะกลามสมชื่อจึงกินร่างกายของตนเองเข้าไป