我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 4
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
จากโลกเสมือนสู่โลกแห่งความจริง จากแมวกลายเป็นคน
แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป คือจิตใจที่รักการทำไร่ปลูกผักของชายหนุ่ม
แล้วความรักล่ะ ความรักน่ะ จะเป็นยังไงกันนะ ม๊าววว!!!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 6.3
ขณะนี้ถันเหวยเจินเหรินกับชุยชีฉาวรวบรวมมิติถ้ำสวรรค์ได้ประมาณสามสิบกว่าแห่ง ที่เล็กที่สุดมีขนาดเท่ากับหนึ่งมณฑล อสูรทั้งหมดค่อยๆ ถูกล้างสมองและซึมซับพฤติกรรมระหว่างการใช้แรงงาน ส่วนมากต่างหมดความคิดต่อต้าน คิดแต่จะยกระดับคุณภาพชีวิตในยามนี้ให้สูงขึ้น เพื่อที่จะได้รับโอกาสกินผลไม้หรือเนื้อ
การแข่งขันกันเองทำให้เหล่าอสูรไม่คิดจะร่วมแรงร่วมใจมองมนุษย์เป็นศัตรู กลับกันยังทำทีปากหวานก้นเปรี้ยวลอบวางอุบายใส่กันลับหลังอีกต่างหาก เมื่อตอนนี้อำนาจแต่ละฝ่ายเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง อสูรทุกตนต่างจับกลุ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพื่อให้ได้รับทรัพยากรที่ดีกว่าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น ผืนดินบริเวณใกล้แหล่งน้ำย่อมต้องดีที่สุด ผู้ที่ครอบครองเครื่องจักรการเกษตรต่างๆ มักมีวาจาสิทธิ์ อีกทั้งผู้ที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้มากกว่าก็ย่อมได้เปรียบในการแข่งขันยิ่งกว่าเช่นกัน
เมื่อความคิดพื้นฐานเป็นเช่นนี้ จึงใช้ระบบแบ่งพื้นที่นาให้อสูรแต่ละตนรับผิดชอบ เหล่าอสูรที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าก็จะรวมตัวเป็นกลุ่มเล็กแล้วดูแลแปลงปลูกร่วมกันเพื่อกระจายความเสี่ยง
นอกจากพวกเขาจะสูญเสียแรงใจแล้ว ยังสิ้นเปลืองแรงกายอีก หนำซ้ำพลังปราณก็ถูกสูบไปใช้ที่แนวหน้าจนหมด แม้ชุยชีฉาวจะไม่ได้ตั้งใจจัดการอะไรมากนัก ทว่าเผ่าอสูรเหล่านี้ก็ค่อย ๆ ดำเนินรอยตามรูปแบบการทำงานของเขาโดยไม่รู้ตัว
ชุยชีฉาวเคยครุ่นคิดว่า แม้โปรแกรมเมอร์ของ LJJ จะออกแบบค่าเริ่มต้นให้เผ่าอสูรค่อนข้างหัวรุนแรงบ้าเลือด ทว่าก็ยังหนีไม่พ้นความเป็นมนุษย์อยู่ดี
พวกเขาถูกออกแบบขึ้นโดยมนุษย์ บนโลกนี้ไม่มีเผ่าอสูร เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เผ่าพันธุ์อสูรที่แท้จริงจะตัดสินใจอย่างไร จะยอมจำนนง่ายดายเพียงนี้หรือไม่
แต่สิ่งเหล่านี้หาใช่ประเด็นสำคัญ เวลานี้มิติถ้ำสวรรค์แทบทุกแห่งต่างมีระบบนิเวศเป็นเอกเทศแยกจากกัน เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของแปลงใช้ปลูกห้าธัญพืช ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ใช้ปลูกพวกผักผลไม้กับเครื่องเทศ
รวมถึงยังมีพื้นที่ฟาร์มแบบเลี้ยงปล่อยอีกต่างหาก ฝูงวัวกับแพะที่เลี้ยงเอาไว้ในตอนแรกมีไว้เพื่อให้นมแก่วาฬน้อยเท่านั้น แต่ต่อมาเมื่อคำนึงถึงหลายๆ ด้านแล้วจึงได้นำเข้ามาอีกฝูงใหญ่ จากนั้นก็ใช้ความรู้ด้านการทำปศุสัตว์ที่ชุยชีฉาวศึกษามาขยายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ส่วนศึกระหว่างสองภพที่ควรเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกในโลกผู้ฝึกเซียน ชุยชีฉาวเพียงแค่ออกแบบอาวุธให้พวกเขาในระยะเริ่มแรก จากนั้นก็หันเหความสนใจไปทางภัยพิบัติด้านเสบียงที่กำลังจะมาเยือนโลกมนุษย์
ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีชีวิตมายาวนานอย่างประมุขเยี่ยน พอจะอนุมานผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาได้ ทว่าสิ่งที่นางให้ความสำคัญสูงสุดก็ยังคงเป็นภยันตรายตรงหน้าอยู่ดี นางค่อนข้างสนับสนุนยามรับรู้ว่าชุยชีฉาวจะทำไร่ในมิติถ้ำสวรรค์เพื่อบรรเทาสาธารณภัย
ธารน้ำแข็งปริมาณมหาศาลในแดนเหมันต์ที่ถล่มไปกว่าครึ่ง ถูกดันออกมาจากตำแหน่งเดิมและเริ่มละลายลง การละลายปริมาณมากจะทำให้ระดับน้ำทะเลระหว่างทวีปทั้งเก้าสูงขึ้น ผืนดินที่ติดทะเลจะจมลง รวมถึงผืนดินที่มีแม่น้ำไหลผ่านด้วย น้ำใต้บาดาลจะกลายเป็นน้ำเค็มทั้งหมด ขณะเดียวกันสภาพภูมิอากาศก็จะแปรปรวนขั้นรุนแรงเช่นกัน
ด้วยเหตุผลนานัปการ แปลงปลูกจำนวนมากมายคงจะหดหายหรือเพาะปลูกไม่ได้อีก เมื่อรวมกับสภาพอากาศผิดปกติย่อมทำให้ผลผลิตเสบียงอาหารลดฮวบลงทันที ด้วยวิธีการรับมือของมนุษย์ในเวลานี้ ทุพภิกขภัยนับเป็นแผ่นไม้ที่ตอกตะปู[1]เอาไว้แล้ว
ในโลกที่แสนจะล้ำจินตนาการแห่งนี้ มีเพียงชุยชีฉาวที่คำนึงถึงปัญหาด้านเสบียงอย่างจริงจัง หลังเขาวิเคราะห์สภาพภูมิประเทศของทวีปทั้งเก้า ก็คาดการณ์ว่าพื้นที่ที่มีโอกาสจะประสบภัยพิบัติหนักหนาที่สุดคงเป็นทวีปฟางฉ่าว เพราะน้ำเย็นยะเยือกที่ละลายจากธารน้ำแข็งจะไหลมารวมที่นี่
เพราะมีผืนน้ำและดินอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ ทวีปฟางฉ่าวจึงเป็นคลังเสบียงแห่งใหญ่ที่สุดจากทั้งเก้าทวีป หากทวีปหนึ่งมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ทวีปข้างเคียงก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย
หากเผชิญกับภัยพิบัติ เป็นไปได้ที่ผลผลิตจะลดปริมาณลงอย่างน้อยห้าส่วน ประชากรจากเมืองติดชายฝั่งต้องพากันอพยพหนี ผืนดินอุดมสมบูรณ์จะกลายเป็นแม่น้ำทะเลทั้งหมด
การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มกระทบทวีปฟางฉ่าวในระยะเริ่มต้น ปีนี้ที่นั่นมีฝนตกชุกกว่าที่เคย ผู้คนที่มีถิ่นฐานริมชายฝั่งก็เริ่มทยอยพากันอพยพเข้าแผ่นดินด้านใน
ปริมาณข้อมูลข่าวสารที่มนุษย์ธรรมดารับรู้ไม่มากเท่าผู้บำเพ็ญเพียร แค่ข่าวคราวการปรากฏตัวของเผ่าอสูรก็ทำเอาพวกเขาอกสั่นขวัญแขวนมากพอแล้ว หากได้รู้ว่าธารน้ำแข็งกำลังจะไหลลงทะเล คงหลีกเลี่ยงมิได้ที่ผู้คนในวงกว้างจะตื่นตระหนก
แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ชาวนากับนักพรตผู้มากประสบการณ์บางส่วนก็เริ่มค้นพบว่าสภาพอากาศของปีนี้ช่างผิดธรรมชาติ พวกเขากำลังนึกคาดเดาอยู่ว่าสาเหตุเกิดเพราะผลกระทบจากภพอสูรหรือไม่
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลังจากชุยชีฉาวคำนวณพื้นที่เสี่ยงและสถานการณ์ภัยพิบัติเสร็จเรียบร้อย เขาก็เอาแต่ค้นหาพืชชนิดต่าง ๆ ในภพผู้บำเพ็ญเพียรที่ให้ผลผลิตปริมาณมากและใช้ทำกสิกรรมได้
โชคดีที่คลังสมบัติของสำนักอวี่หลิงค่อนข้างรุ่มรวย หลังเสาะหาอยู่ไม่กี่เดือนชุยชีฉาวก็พบเข้าในที่สุด
คลังกว่าเอ้อร์ของสำนักอวี่หลิงเก็บสะสมเมล็ดพันธุ์เอาไว้จำนวนหนึ่ง พืชพันธุ์ชนิดที่เจอมีนามเรียกขานว่าไผ่หงส์ปลิด สำนักอวี่หลิงในสมัยโบราณเคยมีพวกมันอยู่จำนวนมาก ทว่าทุกวันนี้กลับมีอยู่เพียงแค่บนเขาเซียนลูกสูงลิ่วเท่านั้น เพราะมันต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิต่ำมาก
หลังสำนักอวี่หลิงได้ตั้งสำนักขึ้นที่นี่ เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัย จึงร่ายคาถาอาคมไว้จนทำให้ไผ่หงส์ปลิดร่วงโรยไปหมด หลงเหลือไว้เพียงเมล็ดพันธุ์ที่ยังกักเก็บพลังชีวิตไว้เท่านั้น หอหมินหมีจูเถาจะนำออกมาปลูกสักต้นสองต้นเป็นครั้งคราว เพื่อเก็บเมล็ดข้าวจากไม้ไผ่ชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหาร
ไผ่หงส์ปลิดต้นหนึ่งมีขนาดใหญ่ถึงสิบกว่าคนโอบ สาเหตุที่ขนานนามว่าหงส์ปลิด ย่อมต้องเป็นเพราะในยุคบรรพกาล ผลของไม้ไผ่ชนิดนี้เป็นอาหารของนกเฟิ่งหวง[2]นั่นเอง
ลักษณะเด่นของไผ่หงส์ปลิดที่ชุยชีฉาวสนใจ คือเยื่อไผ่ของมันต่างจากต้นไผ่ทั่วไป เบาบางแต่ก็ยืดหยุ่นสูง นั่นหมายความว่าทั้งโปร่งแสงและรักษาอุณหภูมิได้
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือไผ่หงส์ปลิดชื่นชอบน้ำไท่อีเป็นอย่างมาก หากรดด้วยน้ำไท่อีแล้ว ไม่จำเป็นต้องปลูกในผืนแปลงเต๋ออี้ก็สามารถเจริญเติบโตได้อย่างว่องไว
เยื่อไผ่เช่นนี้นับเป็นวัสดุชั้นเลิศในการสร้างโรงเรือนเพาะปลูกขนาดใหญ่ซึ่งเหมาะกับเผ่ามนุษย์ในปัจจุบันมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคอะไรมาก วัสดุก็มาจากธรรมชาติและจัดการสร้างได้ง่าย
ยามนี้ทั้งเก้าทวีปเกิดภัยพิบัติถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โรงเรือนขนาดใหญ่รับมือภัยพิบัติได้ในระดับหนึ่ง มันช่วยรักษาความอบอุ่นและป้องกันน้ำท่วมขังได้ ไม้จากไผ่หงส์ปลิดสามารถนำมาทำเป็นโครงสร้างและใช้เยื่อไผ่คลุมทับได้ในตัวพอดี
ชุยชีฉาวทดสอบอยู่ที่เสวียนผู่พักหนึ่ง เมื่อคิดว่าใช้ได้จริง เขาก็เริ่มปลูกไผ่หงส์ปลิดจำนวนมาก
ไผ่หงส์ปลิดต้นหนึ่งสูงถึงร้อยกว่าจั้ง แต่ว่ากันว่าหากเทียบกับนกเฟิ่งหวงที่แท้จริงแล้ว นี่ยังนับว่าขี้ปะติ๋วเท่านั้น
สมัยโบราณมีพลังปราณปกคลุมอยู่เต็มเปี่ยม ศึกสงครามก็เยอะ ทุกคนจึงพยายามเติบโตอย่างเต็มกำลัง กระนั้นเผ่ามนุษย์ที่ใช้เวลาหลายปีกว่าจะตามทันก็ยังเตี้ยกว่าเผ่าอสูรสองช่วงศีรษะอยู่ดี คงได้แต่โทษธรรมชาติดั้งเดิม
ขนาดร่างของวาฬพยับเมฆาที่อยู่ในยุคนี้อาจน่าตะลึงพรึงเพริด ทว่าหากอยู่ในสมัยบรรพกาลแล้ว มันก็คงนับว่ามีขนาดร่างกายกลาง ๆ กระมัง
ชุยชีฉาวต้องทำการทดลองอยู่ในมิติถ้ำสวรรค์เป็นเวลานาน เขาจึงสร้างบ้านเอาไว้ในนี้เพื่อตัดปัญหา วัสดุก็ใช้ไผ่หงส์ปลิดที่มีอยู่แล้ว
ชุยชีฉาวกำลังดื่มชากับถันเหวยเจินเหรินบนระเบียงชั้นสองของหอไม้ไผ่ ไผ่หงส์ปลิดในระยะแรกแทบจะโตพรวดขึ้นวันละหลายเมตร หลังรดน้ำไท่อีเพียงไม่กี่วันพวกมันก็สูงกว่าหอไม้ไผ่ของเขาแล้ว มิหนำซ้ำยิ่งโตลำต้นก็ยิ่งหนา ยังไม่ทันได้แตกหน่อก็ใหญ่จนต้องใช้สามคนโอบ
“นกเฟิ่งหวงสมัยก่อนกินแต่ผลต้นไผ่ งั้นตัวต้องใหญ่เท่าไหนกันแน่” ชุยชีฉาวถามขึ้น
เขากำลังจินตนาการท่าทางกินผลต้นไผ่ของนกเฟิ่งหวงอยู่ มันต้องมุดหัวชะโงกเข้าดงไผ่ไปหาอาหารหรือก้มหัวจิกเหมือนไก่กันนะ หากเป็นอย่างหลัง งั้นขนาดตัวของนกเฟิ่งหวงต้องน่าสะพรึงแค่ไหนกัน
ถันเหวยเจินเหรินครุ่นคิด “นกเฟิ่งหวงโตเต็มที่มีความสูงระดับไหล่อยู่ที่สองร้อยกว่าจั้ง”
ชุยชีฉาวคิดภาพตาม ถ้าหากบวกคอกับหัวไปด้วย งั้นนกเฟิ่งหวงก็ต้องมีขนาดตัวน่าตะลึงมากแน่ “น่าเสียดาย ถึงที่นี่จะเป็นโลกฝึกเซียน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีนกเฟิ่งหวงหรือมังกรให้ดูอยู่ดี”
เห็นได้ชัดว่าโปรแกรมเมอร์ออกแบบสิ่งต่างๆโดยอิงจากตำนาน ทว่าในเซตติ้งนี้พวกมันต่างถูกเทพยุคบรรพกาลทั้งหลายพาขึ้นสวรรค์ไปแล้ว หลงเหลือเพียงแค่สายเลือดบางส่วนอย่างเจียว[3] งูและนกยูงเท่านั้น
หลงเหลือเพียงสิ่งที่เล่าขานกันในตำนานว่าผู้ที่บำเพ็ญเพียรได้ครบบริบูรณ์เท่านั้นจึงจะได้พบเจอกับมังกรทอง
นี่เป็นตำนานของชาวจีน ถึงชุยชีฉาวจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกเซียนกำลังภายในเท่าไรก็ยังอดสนใจเล็กน้อยไม่ได้
“ถ้านายอยากดูก็ได้นะ” ถันเหวยเจินเหรินซดน้ำชาอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบง่าย “ขอร้องฉันสิ แล้วฉันจะพานายไปดู”
ชุยชีฉาวไม่สนใจอีกฝ่าย เขานั่งเอนอยู่บนเก้าอี้ไผ่สักพัก ทว่าจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกจนหมด
ถันเหวยเจินเหรินตกใจจนเกือบจะกลิ้งตกลงจากเก้าอี้ เขาสำลักน้ำชาไอค็อกแค็กเสียงดัง “แค็ก! แค็ก ๆ ๆ!”
พื้นที่ผืนใหญ่แห่งนี้ถูกแบ่งออกมาปลูกไผ่หงส์ปลิดทั้งหมด จึงไม่มีอสูรอยู่ด้วย ถึงจะมีก็คงโดนป่าไผ่ผืนโตขนาดนี้บดบังจนมองอะไรไม่เห็นอยู่ดี
การกระทำของชุยชีฉาวไร้ซึ่งความลังเล เพียงแค่ครู่เดียวก็ถอดจนเหลือเพียงแค่ร่างเปลือยเปล่าท่อนบนกับกางเกงผ้าไหมตัวบาง มิหนำซ้ำมือยังจับอยู่ตรงขอบกางเกงอีกต่างหาก
… บะ บอกให้ขอร้องก็ขอเลยหรือไง
แต่การขอร้องแบบนี้จะประหลาดไปหน่อยไหม น่ากระอักกระอ่วนใจเสียจริง
ถันเหวยเจินเหรินไม่รู้ว่าควรยืนอย่างไรไปชั่วขณะ มือก็ไม่รู้ว่าควรไว้ตรงไหน หลังจากตั้งสติสักพักถึงเท้าพนักเก้าอี้ก่อนนั่งลงไปอีกรอบ เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อ แล้วมองไปทางชุยชีฉาวอย่างเยือกเย็นและเรียบนิ่ง “หืม?”
ชุยชีฉาวถอดต่อจริง ๆ เขาถอดกางเกงผ้าไหมตัวนั้นออกจนเหลือแค่กางเกงใน จากนั้นก็เอ่ยอย่างใจเย็น “ฉันจะไม่ถามว่านายเป็นใครกันแน่ แต่ฉันคิดว่าการกระทำของนายในตอนนี้น่าจะผิดกฎหมายนะ LJJ จับตาดูนายอยู่ นายทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว หยุดแค่นี้จะดีกว่า”
— จากระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวของ LJJ หากชุยชีฉาวเปลือยในระดับหนึ่งภาพจะกลายเป็นโมเสกโดยอัตโนมัติ แม้กระทั่งพนักงานของ LJJ ก็จะมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ชุยชีฉาวเปิดอกพูดกับเสี่ยวไป๋ เขาใช้วิธีนี้หลบเลี่ยงหูตาของผู้อื่น แม้จะมีสัญญาที่เขาเซ็นไว้กับ LJJ แต่เสี่ยวไป๋ก็เคยผ่านโลกเสมือนมาด้วยกันหลายสิบปี ไม่ว่าเบื้องหลังของเสี่ยวไป๋จะเป็นอะไร เป็นใครก็ย่อมต้องเกิดความผูกพันกันบ้างอยู่แล้ว
ประโยคของเสี่ยวไป๋เมื่อครู่บอกชัดเจนแจ่มแจ้งว่าอีกฝ่ายสามารถปรับแก้ข้อมูลแล้วพาเขาไปดูมังกรหรือหงส์ได้ ชุยชีฉาวจึงคิดจะเอ่ยเตือนสักสองสามประโยค
เขาทนเพิกเฉยต่ออีกตัวตนของเสี่ยวไป๋ไม่ได้ นอกเหนือจากแมวน้อยที่บังเอิญต้องโชคชะตาฟ้าลิขิตกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา บางทีเสี่ยวไป๋อาจจะเก่งจนสามารถหนีจากการตามล่าของ LJJ ได้ แต่ว่า…มันมี ‘แต่ว่า’ เยอะเกินไปแล้ว
ถันเหวยเจินเหรินกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงผิดหวังเล็กน้อย “…นายหมายถึงเรื่องนี้เองเหรอ”
ชุยชีฉาว “?”
ชุยชีฉาว “ไม่งั้นฉันจะต้องหมายถึงเรื่องไหน”
“ผู้อำนวยการหลิน ผู้อำนวยการหลินคะ!”
หลินหลินกำลังนั่งดื่มยาแก้ผมร่วงอยู่ในห้องทำงาน สายตาเห็นลูกน้องในฝ่ายวิ่งเลิ่กลั่กเข้ามาหา เธอจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”
อีกฝ่ายกลืนน้ำลายหลายอึก “ทางฝั่งชุยชีฉาว…”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ตรงช่วงอกของหลินหลินก็เริ่มเจ็บแผ่ว ๆ ขึ้นอีกครั้ง
“…เกิดภาพโมเสกขนาดใหญ่ขึ้นค่ะ จู่ๆ เขาก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดตอนอยู่กับเสี่ยวไป๋”
“แค็ก ๆ!” หลินหลินเกือบสำลักยาที่กิน เธอรู้สึกว่าผมร่วงเพิ่มอีกเป็นกำในชั่วพริบตา “สถานการณ์เป็นแบบไหน! ให้ฉันดูซิ!”
หลายวันมานี้หลินหลินเป็นฝ่ายกำกับการตัดต่อทั้งหมด เธอตรวจสอบเนื้อหาก็พบว่าชุยชีฉาวเริ่มถอดเสื้อผ้าตั้งแต่เสี่ยวไป๋บอกให้อีกฝ่ายขอร้องตน จากนั้นเมื่อเรือนร่างของชุยชีฉาวกับเสี่ยวไป๋ซ้อนทับกัน ภาพที่เห็นจึงหลงเหลือเพียงแค่โมเสกขนาดใหญ่ มองไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
หลินหลิน “…”
มีคนปลอบโยนหลินหลิน “ผู้อำนวยการ ลองคิดในแง่ดีสิ บางทีชุยชีฉาวอาจแค่อยากหลบพวกเราแล้วคุยกับเสี่ยวไป๋สักสองสามประโยค เขาคงไม่ทำอะไรเลยเถิดขนาดขอร้องเสี่ยวไป๋ให้โชว์ฟีนิกซ์ให้ดูจริงๆ หรอกมั้ง”
ทว่าก็มีคนเหน็บแนม “ไม่สิ เป็นนายจะรับการขอร้องแบบนี้ได้เหรอ”
คนนั้นถามกลับ “ทำไมล่ะ วิธีนี้ได้ผลกับเสี่ยวไป๋แน่นอนนี่นา”
“… ก็จริง”
นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดภาพโมเสกขึ้นนอกเหนือจากสถานการณ์ตอนชุยชีฉาวอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องคิดว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่
“ตัดฟุตเทจช่วงนี้ออกทั้งหมดเลยไหม” มีคนถามขึ้น “แต่ว่าถ้าหากมีโอกาสเล็ก ๆ ที่เสี่ยวไป๋เกิดไปแก้ไขข้อมูลจริงๆ แล้ว จากนี้พวกเราจะทำยังไงต่อ”
“ถ้าเฝ้าตอรอกระต่ายแล้วพวกคุณยังจับเสี่ยวไป๋ไม่ได้ ก็ไปโต้รุ่งเขียนเนื้อเรื่องใหม่มาแทนซะ!” หลินหลินเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้าจับเสี่ยวไป๋ได้แล้ว โปรแกรมเมอร์ก็เข้าไปแสดงเป็นเสี่ยวไป๋ต่อจนจบด้วย!”
ทุกคน “…”
ผู้อำนวยการเหมือนจะเริ่มสติแตกแล้ว…
“แล้วก็ฟุตเทจช่วงนี้” หลินหลินหลับตาลงแล้วเอ่ย “ไม่ตัด ใส่เข้าไปให้หมด! วัตถุดิบแบบนี้ขายได้จะตาย ทำไมต้องตัดด้วย ปล่อยออกไปทำร้ายจิตใจผู้ชมซะ!”
ทุกคน “…”
พูดประโยค ‘ทำร้ายจิตใจผู้ชม’ ออกมาทั้งอย่างนี้เลยเรอะ
ชุยชีฉาวจงใจเดินเข้าใกล้แนบชิดเสี่ยวไป๋ยิ่งกว่าเดิม แบบนี้โมเสกจะได้ยิ่งเบลอมากขึ้นจนไม่มีทางเผยข้อมูลอะไรออกไปได้
ถันเหวยเจินเหรินอาศัยอยู่กับชุยชีฉาวมาตั้งนาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายโป๊เปลือย สมัยตอนเขาเป็นแมวยังเคยโดดลงอ่างอาบน้ำของชุยชีฉาวอยู่เลย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะตอนนี้เป็นมนุษย์หรือสภาพจิตใจเปลี่ยนแปลง เขาจึงไม่อาจทนที่ชุยชีฉาวมาลบหลู่กันแบบนี้ ทว่ายามชุยชีฉาวขยับเข้าใกล้ เขากลับเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติขึ้น
ชุยชีฉาวยังคงจี้ถาม “นายคิดว่าอะไร”
ถันเหวยเจินเหรินกลั้นใจชั่วครู่ ก่อนจะเค้นออกมาได้ประโยคหนึ่ง “นายไม่ขอให้ฉันพาไปดูนกเฟิ่งหวงแล้วเหรอ”
“เห็นฉันเป็นเด็กหรือไง” ชุยชีฉาวถามอย่างนึกขบขัน “อีกอย่าง ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะถอดเสื้อทำไมเล่า”
ถันเหวยเจินเหรินหัวเราะเสียงเหือดแห้งสองที ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอก”
เขามีท่าทีไม่ใส่ใจเท่าไรนัก
“ถ้าพวกเขาจับฉันได้จริงก็จับได้ตั้งนานแล้ว”
ชุยชีฉาวระอาใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงอีกฝ่ายที่ยอมรับว่าตนเองเป็นมนุษย์และยังไม่ค่อยเคารพกฎหมายอีกต่างหาก เขาเกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา– แม้ว่าเสี่ยวไป๋จะมีฝีมือล้ำเลิศ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงน่ากลัวว่าจะ…เป็นคนที่ไม่ค่อยรอบคอบเท่าไรนัก
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของเสี่ยวไป๋ ชุยชีฉาวจึงไม่ถาม อีกอย่างถ้าเกิดเขาบอกเสี่ยวไป๋ไปว่า “นายไม่ค่อยรอบคอบนะ” เสี่ยวไป๋คงจะวีนแตกใส่เขาอีกเป็นแน่
ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ใจกันดีโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูด ดังนั้นพวกเขาจึงหลบเลี่ยงปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง แล้วสนใจแค่ความสัมพันธ์ในโลกเสมือนเท่านั้น เสี่ยวไป๋ไม่กังวลเหมือนชุยชีฉาว เขากลับคิดว่าในเมื่อพูดถึงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงขนาดนั้นอีก
เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “ตอนนี้นายพักอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ LJJ เหรอ”
ไม่ต้องพูดถึงตอนนักแสดงของ LJJ ทำงาน เพราะมีข้อจำกัดทางด้านเทคนิค เวลาพักผ่อนส่วนมากจึงอาศัยอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ไม่ว่าจะเพื่อเรียนรู้บทเรียนหรือเข้ารับคำปรึกษาทางด้านจิตวิทยาต่าง ๆ ก็ตาม
ชุยชีฉาวนิ่งคิดสักพักก่อนพยักหน้า เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง
ไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋หลุบตาเงียบแล้วกำลังวางแผนเรื่องใดอยู่
ชุยชีฉาวพูดกับเขาอีกสองประโยค เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุจึงตัดจบบทสนทนาลงแล้วกลับห้องไปใส่เสื้อผ้า
[1] แผ่นไม้ที่ถูกตอกตะปู เป็นสำนวนหมายถึงเรื่องราวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้
[2] นกเฟิ่งหวง คือนกฟีนิกซ์ในตำนานจีน
[3] เจียว (蛟) หรือ เจียวหลง (蛟龍) ในตำนานจีนโบราณคือมังกรที่มีเกล็ด สามารถเรียกน้ำ เรียกหมอก ก่อให้เกิดอุทกภัยได้