จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก
朱颜
ชางเย่ว์ เขียน
กอหญ้า แปล
— โปรย —
ณ ดินแดนเมฆาอวิ๋นฮวง ซึ่งปกครองโดยตี้จวินแห่งคงซางผู้สืบทอดอำนาจจากทวยเทพ
โดยมีฟานหวังหกเผ่าคือ ไป๋ ชิง จื่อ ชื่อ หลาน และเสวียน ร่วมดูแลหกดินแดนใต้อาณัติ
ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวแห่งวาสนาผูกพันและความขัดแย้งที่โชคชะตาลิขิตไว้…
จูเหยียน จวิ้นจู่เผ่าชื่อในวัยสิบแปด
ถูกส่งตัวไปแต่งงานกับหวังแห่งซูซ่าฮาหลู่แต่นางหลบหนีในคืนส่งตัว
จนเกิดเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต
และได้พบสืออิ่งผู้เป็นอาจารย์ของตนอีกครั้งโดยบังเอิญหลังจากไม่ได้พบกันมาห้าปี
สืออิ่ง รู้ดีว่าตนได้ถูกกำหนดว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือนาง
ทว่าเขามิอาจตัดใจฆ่านางเสียตั้งแต่ยังเด็กเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง
ทั้งยังสอนวิชาอาคมให้นาง
กาลเวลาผันผ่าน ภายใต้สัญญาณแห่งดาราวิถีที่บ่งชี้ว่าคงซางจะล่มสลายโดย “มนุษย์เงือกผู้หนึ่ง”
สืออิ่ง พยายามทุกวิถีทางที่จะตามหาและสังการบุคคลในคำทำนายผู้นั้น
ขณะที่จูเหยียน ยืนหยัดปกป้องมนุษย์เงือกที่นางรัก
นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างศิษย์อาจารย์ และการนองเลือดระหว่างเผ่าพันธุ์
ภายใต้วงล้อแห่งโชคชะตาที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
คำทำนายนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และวาสนารักของทั้งคู่จะได้บรรจบหรือพลัดพราก…
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
1
จูเหยียน
ปีที่จูเหยียนถูกบังคับให้แต่งไปซูซ่าฮาหลู่ นางอายุสิบแปดปีพอดี
กลางดึกยามชวด[1] งานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่เพิ่งสิ้นสุดลง ทุกคนในกระโจมทองของก่วงมั่วหวัง[2]ต่างฟุบอยู่กับโต๊ะในสภาพไม่เรียบร้อย ป้านทองจอกหยกเกลื่อนกลาดเต็มพื้น คณะทูตจากตี้ตู[3]ที่เป็นตัวแทนมามอบสมรสพระราชทานมิอาจปฏิเสธการคารวะสุราของชนชั้นสูงเผ่าฮั่วถูได้ จึงถูกกรอกสุราจนเมามายไม่ได้สตินานแล้ว แม้แต่องครักษ์หน้ากระโจมยังเมาหลับใหล ได้ยินเสียงกรนดังต่อเนื่อง
“ข้างนอกดื่มกันได้ที่แล้วกระมัง” จูเหยียนนั่งอยู่ในกระโจมทองอีกหลังที่อยู่ติดกัน เสียงเพลงกล่อมสุรา[4]ข้างนอกค่อยๆ เบาลง จึงลุกขึ้นยืน กระชากชุดวิวาห์สีแดงสดปักลายทองประดับหยกออก เปลี่ยนมาสวมเสื้อตัวสั้นทะมัดทะแมงอย่างเร่งรีบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ข้าต้องไปแล้ว”
“จวิ้นจู่[5]” สาวใช้อวี้เฟยค่อนข้างกังวล “มิสู้ให้อวิ๋นม่านไปเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”
“ไม่เป็นไร อวิ๋นม่านยังต้องอยู่ด้านหน้าคอยจับตาดูพ่อมดใหญ่ของเผ่าฮั่วถู ข้าไปเองได้” นางเปิดกล่องใบหนึ่งที่นำมาจากจวนชื่อหวัง หยิบของชิ้นหนึ่งออกมา…ปิ่นหยกยาวหนึ่งฉื่อ[6] ใสแวววาวดุจแก้วหลิวหลี[7] รูปทรงเหมือนต้นไม้ ขาวดุจหิมะตลอดด้าม มีเพียงแต้มสีชาดที่หัวปิ่น ยามอยู่ใต้แสงไฟดูเลื่อมพรายดุจเมฆพราวแสง
อาจารย์บอกว่าปิ่นนี้มีชื่อว่า “อวี้กู่”[8] มาจากใต้ทะเลลึกของทะเลปี้ลั่วที่แม้แต่มนุษย์เงือกยังว่ายลงไปไม่ถึง เติบโตอยู่ในรอยปริแยกของบ่อปีศาจเทพ ถูกอัคคีพิภพเคี่ยวกรำ ถูกน้ำทะเลโถมทับ ภายใต้การหล่อหลอมด้วยน้ำแข็งและเปลวเพลิง หนึ่งร้อยปีจะยาวขึ้นเพียงหนึ่งชุ่น[9]เท่านั้น เป็นของยุคบรรพกาลที่ตกทอดมาจากสมัยไป๋เวยหวงโฮ่ว หนึ่งในเครื่องมือเวทที่ล้ำค่าที่สุดในโลก
ไป๋เวยหวงโฮ่ว? ล้อเล่นน่า นั่นมิใช่มีอายุตั้งเจ็ดพันปีแล้วหรือ เสินกวน[10]บนเขาจิ่วอี๋พวกนี้ชอบเอาเรื่องลึกลับมาหลอกเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงของคงซานอยู่เรื่อย
กระนั้น ยามนี้เมื่อนางหยิบอวี้กู่ขึ้นมา กลับรู้สึกประหม่านิดๆ
ตั้งแต่อาจารย์มอบเครื่องมือเวทนี้ให้ นางเคยใช้มันร่ายอาคมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งก่อนเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังทำเอาโกลาหลไปหมด ครั้งนี้นับว่าเป็นการเอามาใช้งานอย่างแท้จริง
ไม่รู้ว่า…นางสูดหายใจเฮือกหนึ่ง หยิบอวี้กู่ขึ้นมา แทงลงบนมือซ้ายของตนอย่างรวดเร็วเด็ดเดี่ยว
ฉึก! หยดสีแดงสดปรากฏขึ้นที่นิ้วกลางข้างซ้ายทันใด
หยดโลหิตรวมตัวกันบนปลายนิ้วขาวเนียน ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นทีละนิดเหมือนลูกปัดปะการังเม็ดหนึ่ง แต่จังหวะที่กำลังจะกลิ้งหยดลงไปกลับเหมือนถูกดึงดูดไว้และไหลย้อนกลับเข้าไปในปิ่น…อวี้กู่ดูดซับโลหิตหยดนั้น แต้มสีชาดที่ยอดปิ่นเข้มจัดขึ้นทันตา ก่อนจะมีบุปผาผลิบาน
นางรีบประสานมือทั้งสองข้าง ท่องคาถาในใจ
ระหว่างร่ายคาถาสั้นๆ บุปผาประหลาดดอกนั้นบานสะพรั่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด จากนั้นร่วงโรย สุดท้ายกลายเป็นกลีบดอกไม้ห้ากลีบ ร่วงตกลงบนแพรต่วนเนื้อนุ่มปักลายบนเตียง
จังหวะที่กลีบดอกไม้หล่นลงไป บนแพรต่วนปักลายพลันปรากฏจูเหยียนอีกคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนนางทุกประการ!
อวี้เฟยซึ่งอยู่ด้านข้างสูดหายใจด้วยความตระหนก เกือบจะหวีดร้องออกมา…นี่คืออาคมหรือ ในจวนหวังต่างพูดกันว่าสมัยเด็กๆ จูเหยียนจวิ้นจู่เคยไปเรียนวิชาอาคมที่เขาจิ่วอี๋ ที่แท้เรื่องนี้ก็เป็นความจริง!
“ไม่ต้องกลัว นี่เป็นเพียงเปลือกกลวงเปล่าที่เสกขึ้นจากเลือดของข้าเท่านั้น” นางปลอบอวี้เฟย ยกมือขึ้นหยิกใบหน้าของ “จูเหยียน” ที่อยู่บนเตียงผู้นั้น…บริเวณที่สัมผัสอุ่นนุ่ม เป็นผิวกายมนุษย์อย่างแท้จริง เนื้อและกระดูกสมดุล ไม่แตกต่างอันใดกับคนที่มีชีวิต กระนั้นคนที่ถูกหยิกกลับมีสีหน้านิ่งเฉยราวกับหุ่นไม้
จูเหยียนหยิบอวี้กู่ขึ้นมาแตะที่หว่างคิ้วของ “จูเหยียน” ผู้นั้น ปากขมุบขมิบ หุ่นตัวนั้นก้มศีรษะลงช้าๆ คล้ายกำลังรับคำสั่งนาง
“อาคมนี้คงอยู่ได้เพียงสิบสองชั่วยามเท่านั้น ต้องรีบแล้ว” จูเหยียนร่ายคาถาเสร็จ ตรวจสอบผลงานของตนเองอย่างถี่ถ้วน จากนั้นหันไปสั่งสาวใช้ประจำตัว “รีบเอาเสื้อผ้าข้าสวมให้นาง สวมเครื่องประดับของข้าด้วย ตั้งแต่ในจรดนอก ห้ามขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว เข้าใจหรือไม่”
อวี้เฟยมองหุ่นคนแข็งทื่อตัวนั้น ในใจหวาดหวั่น “จวิ้นจู่ ท่านคิดจะ…”
“ไม่ต้องพูดมาก! เรื่องนี้ข้าหารือกับพวกเจ้าสองคนระหว่างทางก่อนหน้านี้แล้วมิใช่หรือ มาตอนนี้เจ้านึกกลัวแล้วหรือไร เจ้าคิดจะใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลทรายที่แม้แต่นกยังไม่มาถ่ายมูล[11]แห่งนี้ไปตลอดชีวิตจริงๆ หรือ” จูเหยียนซึ่งมีนิสัยใจร้อนหุนหัน หมดความอดทนขึ้นมาทันใด “ประเดี๋ยวพอทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าวิ่งออกไปตะโกนขอความช่วยเหลือทันที เข้าใจหรือไม่”
อวี้เฟยพยักหน้าอย่างขลาดกลัว กำสายคาดเอวแน่น
“ไม่ต้องกลัว เรื่องนี้ง่ายดายมาก ต้องสำเร็จแน่” จูเหยียนปลอบนางอีกครั้ง เสียบอวี้กู่กลับลงในเรือนผม คลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วเดินออกไป “ประเดี๋ยวรอฟังสัญญาณจากข้า แค่ทำตามแผนก็พอ”
ข้างนอกอากาศหนาวเหน็บ ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิวหอบหิมะมา ทำเอาคนแทบมิอาจลืมตาได้ นางดึงหมวกที่เย็บติดกับเสื้อคลุมปิดบังเส้นผมและใบหน้า อ้อมผ่านกระโจมหลังแล้วหลังเล่าที่ก่อกองไฟไว้ คอยหลบคนของแดนประจิมที่ดื่มจนเมามายอย่างระมัดระวัง สองมือประสานกันซ่อนในแขนเสื้อ ทำมุทราเร้นกาย
โชคดีที่อวิ๋นม่านอยู่ด้านหน้าคอยคิดหาวิธีรั้งตัวพ่อมดใหญ่ของเผ่าฮั่วถูไว้ หาไม่แล้วด้วยพลังเวทและสายตาของตาเฒ่าผู้นั้น น่ากลัวว่าตนคงไม่อาจไปมาอย่างอิสระเช่นนี้ได้แน่
นางพุ่งออกไปท่ามกลางลมหิมะ มุ่งหน้าออกห่างจากบริเวณกระโจมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้เดินไปไกลเพียงใด กระทั่งหูไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกของผู้คน จึงหยุดด้วยความเหนื่อยล้า ใช้นิ้วมือแข็งทื่อปัดหมวกกันลมออก พบว่าในปากมีแต่เศษหิมะ แทบจะหายใจไม่ได้
บริเวณนี้เป็นขอบเขตรอบนอกสุดของซูซ่าฮาหลู่แล้ว หากเดินออกไปอีกก็จะเป็นทุ่งหญ้า
ว่ากันว่าหิมะระลอกสองนับตั้งแต่ย่างเข้าเหมันต์นี้ตกต่อเนื่องมาเดือนกว่าแล้ว ทับถมเป็นชั้นหนาถึงสองฉื่อ ฤดูเหมันต์ที่หนาวเหน็บเช่นนี้ น่ากลัวว่าปศุสัตว์ที่เลี้ยงแบบปล่อยอยู่ข้างนอกคงต้องหนาวตายกระมัง แล้วชนเผ่าเร่ร่อนพวกนั้นใช้ชีวิตอย่างไรให้อยู่รอดจนถึงฤดูวสันต์กันนะ
ที่นี่คือที่ลุ่มอ้ายหมีย่าที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ของแดนประจิม…เป็นพื้นที่สีเขียวในทะเลทรายและเป็นที่ตั้งของชนเผ่าฮั่วถู วัวแพะอยู่รวมกันเป็นฝูง ทรัพยากรบริบูรณ์ ทว่าเมื่อเทียบกับเมืองเทียนจี๋เฟิงอันเป็นที่ตั้งของเผ่าชื่อแล้ว ยังคงห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว ยิ่งมิต้องพูดถึงเมื่อเทียบกับจยาหลานตี้ตูอันเจริญรุ่งเรือง…มิน่าพอได้ยินว่านางต้องแต่งไปไกลถึงซูซ่าฮาหลู่ หมู่เฟย[12]ถึงกับหลั่งน้ำตากับฟู่หวัง[13]อยู่หลายวัน…
“อาเหยียนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่าน…ฟานหวัง[14]ทั้งหกเผ่ามีใครบ้างที่ไม่แย่งกันส่งบุตรของตนไปตี้ตู ไยจึงต้องส่งอาเหยียนของข้าไปสถานที่แร้นแค้นกันดารให้แต่งกับคนป่าเถื่อนเช่นนั้นด้วย!”
“ต่อให้แต่งกับคนป่าเถื่อนก็ยังดีกว่าหนีไปกับทาสเงือกนั่น!” ฟู่หวังกลับมีท่าทีผิดไปจากยามปกติ เอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องพูดมาก! ข้าขอราชโองการจากตี้ตูมาแล้ว หากนางกล้าไม่ไป เผ่าชื่อก็รอให้ทหารสวรรค์ยกทัพมาปราบปรามได้เลย!”
หมู่เฟยไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงโอบนางไว้พลางร่ำไห้เงียบๆ ส่วนนางคิดถึง “ทาสเงือก” ที่ฟู่หวังพูดถึงคนนั้น อดใจลอยไปชั่วขณะมิได้ ลืมโต้เถียงอย่างหาได้ยากยิ่ง
“เอาเช่นนี้ เจ้าหนีไปหาอาจารย์ของเจ้าดีหรือไม่” คืนหนึ่งก่อนที่จะออกเรือน หมู่เฟยแอบยัดถุงแพรหนักอึ้งใบหนึ่งให้นาง ข้างในเต็มไปด้วยของใช้ส่วนตัว เครื่องประดับแต่ละชิ้นล้วนเพียงพอให้คนธรรมดาทั่วไปอยู่ได้ทั้งชีวิต “ใต้เท้าสืออิ่งเป็นต้าเสินกวนบนเขาจิ่วอี๋…แค็กๆ ต่อให้เป็นจยาหลานตี้ตูก็ยังต้องเกรงใจเขาถึงสามส่วน”
นางรู้สึกตื้นตันใจ แต่ปากกลับตอบว่า “อาจารย์มักออกท่องพเนจรไปทั่วหรือไม่ก็ปิดด่านกักตัว ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด อีกทั้งเขาจิ่วอี๋อยู่ห่างจากที่นี่ตั้งสิบหมื่นแปดพันหลี่ น้ำไกลจะดับไฟใกล้ได้อย่างไร”
“เจ้า…เจ้าร่ำเรียนวิชาอาคมกับเขามาหลายปี มิใช่เหาะเหินเดินอากาศ ทั้งยังดำดินได้หรือไร” หมู่เฟยยังคงไอไม่หยุด “แค็กๆ…ข้าจะขวางฟู่หวังของเจ้าไว้เอง เจ้าแอบหนีไปหาเขาเถอะ!”
“ทำเช่นนั้นใช่ว่ามิได้ แต่ข้าหนีไปคนเดียวจะมีประโยชน์อันใด” นางแย้ง “ข้าจากไปแล้ว เผ่าชื่อจะทำอย่างไร ตี้จวิน[15]ยังมิใช่ต้องมาเอาความกับฟู่หวังหรอกหรือ”
มองสีหน้ากลัดกลุ้มกังวลของหมู่เฟยแล้ว นางเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่อนเสียงให้นุ่มนวลลง เป็นฝ่ายปลอบโยนหมู่เฟย “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แต่งก็แต่งสิ กลัวอะไรเล่า ดีร้ายอย่างไรก็ได้แต่งกับเผ่าฮั่วถูที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่เผ่าใหญ่แห่งแดนประจิม ไม่นับว่าอัปยศสักเท่าใด”
“แต่เจ้าไม่ได้ชอบฝ่ายนั้นสักหน่อย” หมู่เฟยมองนาง ทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป “คนที่เจ้าชอบมิใช่ มิใช่…”
“ท่านอยากพูดถึงยวนใช่หรือไม่ ไม่เจอเขาตั้งสองปีกว่าแล้ว” นางยิ้ม นิ้วมือพันพู่ห้อยของสายคาดเอวจนขมวดเป็นปมโดยไม่รู้ตัว แสร้งพูดเหมือนไม่มีอะไร “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบข้า ข้าคิดได้แล้วล่ะ” นางเงียบไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจพลางเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงคิดไม่ตกแล้วจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดในอวิ๋นฮวง[16] ข้ายังไม่รู้เลย”
“เฮ้อ…จะอย่างไรก็เป็นมนุษย์เงือก” หมู่เฟยรำพึงอย่างทอดถอน “จวิ้นจู่ที่เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งคงซาง จะอยู่ร่วมกับมนุษย์เงือกที่เป็นทาสมารุ่นแล้วรุ่นเล่าได้อย่างไร แม้ว่าคนที่ชื่อยวนผู้นั้น…เฮ้อ อันที่จริงนิสัยใจคอนับว่าดีทีเดียว”
รอยยิ้มบนใบหน้าจูเหยียนชะงักนิดๆ คล้ายคิดไม่ถึงว่าหมู่เฟยจะเอ่ยเช่นนี้
ยวน ชื่อนี้ดำรงอยู่คู่จวนหวังมานับร้อยปี แต่กลับเป็นคำต้องห้ามมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ชื่อหวังเอ่ยถึงล้วนมีแต่คำปรามาสด่าทออย่างกราดเกรี้ยว…หากไม่เพราะมนุษย์เงือกผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับเผ่าชื่อมานานนับร้อยปี ทั้งยังเคยสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงให้แก่จวนชื่อหวัง ในมือยังมีป้ายละเว้นโทษตายที่เทียดของนางมอบให้ ตอนที่ฟู่หวังโกรธจัดคงลากตัวเขาออกไปให้ห้าม้าแยกร่างแล้วกระมัง
“สิ่งที่ยากเหนี่ยวรั้งในโลกหล้า คือพักตร์ชาด[17]ในคันฉ่องแลบุปผาที่ปลิดปลิว”
คืนก่อนที่เขาจะออกจากจวนชื่อหวังที่อาศัยอยู่มานับร้อยปี เขาเคยเอ่ยคำนี้กับนาง คำพูดนั้นทำเอานางที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินฟังแล้วนิ่งงันไปนาน หัวใจว่างโหวง
“มนุษย์เงือกที่มาจากทะเลปี้ลั่วเหล่านั้น มีรูปโฉมงดงามที่สวรรค์ประทานให้…เจิดจรัสดุจดวงตะวัน อ่อนโยนดุจธารวสันต์ สตรีคนใดบ้างที่ไม่ชมชอบ” หมู่เฟยถอนใจเบาๆ ทำท่าจะพูดแต่ยั้งไว้เสียก่อน “อย่าว่าแต่เจ้าเลย คิดถึงเมื่อครั้งเจิงไท่ฟูเหริน[18]เองก็…”
“หือ?” จูเหยียนอดสงสัยมิได้ “ท่านย่าเทียดทำไมหรือเจ้าคะ”
หมู่เฟยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า เปลี่ยนเรื่องคุย “เฮ้อ หากไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมาเสียก่อน เดิมฟู่หวังของเจ้าตั้งใจจะให้เจ้าไปร่วมการคัดเลือกชายาที่ตี้ตูด้วยกันกับจวิ้นจู่คนอื่นๆ ของหกเผ่า…รูปโฉมอาเหยียนของข้าใช่ว่าจะด้อยกว่าเสวี่ยอิงจวิ้นจู่ของเผ่าไป๋ ไม่แน่ว่า…”
“อา มารดาเห็นบุตรเป็นซีซือ[19]แท้ๆ เชียว…เสวี่ยอิงน่ะงามกว่าข้าเป็นไหนๆ!” นางขัดจังหวะจินตนาการของมารดาอย่างไม่เกรงใจ สาดน้ำเย็นใส่อีกฝ่าย[20]ซึ่งหน้า “อีกอย่างหวงโฮ่วและไท่จื่อเฟย[21]ทุกยุคทุกสมัยของคงซางล้วนต้องคัดเลือกมาจากเผ่าไป๋ เกี่ยวกับข้าที่ใดเล่า หรือท่านอยากให้บุตรสาวของตนไปเป็นอนุผู้อื่น”
หมู่เฟยมุ่นคิ้ว “ตอนแม่แต่งให้ฟู่หวังของเจ้าก็มิได้เป็นเจิ้งเฟย[22]…ได้อยู่กับคนที่ชอบก็ดีแล้ว ตำแหน่งฐานะสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ก็สำคัญน่ะสิ! หาไม่แล้วแต่ก่อนท่านคงไม่ต้องถูกแม่มดเฒ่า[23]นั่นรังแกทุกวี่วัน กระทั่งนางตายจึงได้ลืมตาอ้าปาก จูเหยียนบ่นในใจ แต่เนื่องจากกลัวหมู่เฟยจะเสียใจ จึงไม่กล้าพูดออกมา
หมู่เฟยมองสีหน้าดื้อรั้นของนาง ถอนหายใจเบาๆ “นั่นสิ เจ้าจะยอมลดศักดิ์ฐานะตนเองให้ด้อยกว่าผู้อื่นได้อย่างไร ด้วยนิสัยใจร้อนวู่วามไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ของเจ้า หากไปจยาหลานตี้ตูจริง จะต้องก่อเรื่องได้ตลอดเวลาแน่นอน ไม่แน่อาจเดือดร้อนมาถึงทั้งวงศ์ตระกูล…” พูดถึงตรงนี้ หมู่เฟยก็หัวเราะทั้งน้ำตา ไออีกหลายที “ดังนั้น แค็กๆ ไม่ได้แต่งไปตี้ตู ก็นับว่าเป็นวาสนาในคราวเคราะห์กระมัง…”
“อย่าพูดเช่นนี้สิท่านแม่!” นางเก้อกระดากเล็กน้อย “ลูกรู้กาลเทศะหรอกน่า!”
“เช่นนั้นเจ้ายังจะเถียงฟู่หวัง?” หมู่เฟยไอพลางตำหนินาง “ตอนนั้น…แค็กๆ ตอนนั้นหากเจ้ายอมอ่อนข้อสักหน่อย เอ่ยวาจาน่าฟังให้ฟู่หวังของเจ้าบรรเทาโทสะ มนุษย์เงือกผู้นั้นคงไม่ต้องมีจุดจบเช่นนั้นหรอก…คนเขาอาศัยอยู่ในจวนหวังมาร้อยกว่าปีอย่างสงบสุข ไม่ได้ก่อปัญหาอะไร หากมิใช่เพราะเจ้าก่อเรื่องใหญ่โต จะต้อง…”
“…” รอยยิ้มบนใบหน้าจูเหยียนหายวับ ไม่พูดอะไรอีก
นั่นสินะ หากตอนนั้นข้ายอมคุกเข่าอ้อนวอนฟู่หวังดีๆ บางทียวนอาจไม่ต้อง…
“อาเหยียน เจ้าถูกตามใจแต่เล็กจนเสียนิสัย” หมู่เฟยมองนางพลางส่ายหน้า “ใจกล้า มากความสามารถ เฉลียวฉลาดเก่งกาจ ทั้งยังไม่ยอมคน…หากเป็นชาย ไม่รู้ฟู่หวังของเจ้าจะยินดีเพียงใด แต่เจ้ากลับเกิดเป็นหญิง…”
“เรื่องนี้โทษข้าได้รึ” นางขุ่นเคืองเล็กน้อย ผุดลุกขึ้นมา “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเพราะฟู่หวังให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้! ท่านดูสิ เขาแต่งอนุเข้ามาตั้งมากมายเพียงนั้น สิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่สามารถ…”
“คุยอะไรกัน” เสียงดังสนั่นประหนึ่งฟ้าผ่าลอยมาจากนอกประตู ชื่อหวังก้าวยาวๆ เข้ามา
นางสะดุ้งจนหัวหด กลืนคำพูดท่อนหลังกลับลงไป
“จะออกเรือนอยู่แล้ว ยังมัวมาคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ที่นี่!” ชื่อหวังขึงตาจ้องบุตรสาวที่ไม่สำรวมของตนด้วยความโมโห โกรธจนคิ้วหนาทั้งสองข้างชี้ชัน ตวาดเสียงลั่นดุจฟ้าคำราม “ไม่รู้กาลเทศะ ปากไม่มีหูรูด รอไว้เจ้าแต่งไปซูซ่าฮาหลู่แล้ว ดูซิยังจะมีใครคอยให้ท้ายเจ้าอีก”
ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงถูกชี้หน้าผาก อบรมสั่งสอนยาวหนึ่งชั่วยามเต็ม หลายครั้งที่อยากเอ่ยปากแย้ง แต่เห็นแววตาน่าสงสารของหมู่เฟยแล้ว ก็ได้แต่อดทนไว้…ช่างเถอะ ถึงอย่างไรอีกเดือนกว่าข้าก็จะออกเรือนไปแดนไกล เสียงดุด่าของฟู่หวัง ถือเสียว่าฟังหนึ่งรอบลดลงหนึ่งรอบแล้วกัน! อีกอย่างฟู่หวังก็ปากแข็งไปอย่างนั้นเอง ต่อให้ข้าออกเรือนไปไกลถึงซูซ่าฮาหลู่ แต่หากคนของเผ่าฮั่วถูกล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายนิ้ว ฟู่หวังมิใช่จะยกทัพจากเมืองเทียนจี๋เฟิงรุดไปตีอีกฝ่ายหรอกรึ
นาง จูเหยียนจวิ้นจู่ เป็นธิดาคนเดียวของชื่อหวัง หากภายหน้าบิดาไม่มีน้องชายน้องสาวให้นางแล้ว นางก็จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งชื่อหวัง ปกครองดูแลแดนประจิมทั้งหมด…ดังนั้นหลังจากนางเข้าพิธีปักปิ่น[24] สี่เผ่าในแคว้นทรายจึงแย่งกันมาเจรจาสู่ขอ ฟานหวังซื่อจื่อ[25]มากมายเหยียบธรณีประตูจนแทบพัง
เดิมฟู่หวังดูแคลนชนเผ่าในแดนประจิมเหล่านี้ อยากเลือกเขยขวัญจากหกเผ่าแห่งแคว้นคงซางมากกว่า กลับคิดไม่ถึงว่านางเลือกไปเลือกมา สุดท้ายกลับเลือกทาสเงือกคนหนึ่ง ทั้งยังเกือบหนีไปด้วยกัน! ชื่อหวังโกรธจัด จึงขอราชโองการจากจยาหลานตี้ตู เลือกสามีให้บุตรสาวที่ไม่รักนวลสงวนตัวผู้นี้ของตนอย่างรวดเร็วเฉียบขาด จัดการส่งนางออกเรือนไปเสีย
เขยขวัญที่ชื่อหวังเลือกมาก็คือผู้ปกครองคนใหม่ของเผ่าฮั่วถู เคอเอ่อร์เค่อวัยยี่สิบปี
เคอเอ่อร์เค่อโตกว่าจูเหยียนเพียงสองปี นิสัยห้าวหาญ ชื่นชอบการล่าสัตว์ ว่ากันว่าสามารถฉีกร่างหมาป่าขาวในทะเลทรายได้ด้วยมือเปล่า หลังจากหวังเยียผู้เฒ่าสิ้นชีพ เขาก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหวัง ช่วยแคว้นคงซางปกป้องประตูสู่ทิศตะวันตกของอวิ๋นฮวง ได้รับยศ “ก่วงมั่วหวัง” ที่ตี้ตูแต่งตั้งให้ มารดาบังเกิดเกล้าของเขาคือต้าเฟย[26]ของหวังเยียผู้เฒ่า เป็นจ่างกงจู่[27]แห่งเผ่าซ่าฉี นิสัยใจคอโหดเหี้ยม อุบายเหนือคน เล่ากันว่าครั้งนี้ที่เคอเอ่อร์เค่อสามารถเอาชนะพี่น้องทั้งหลายขึ้นเป็นหวังคนใหม่ ทั้งยังคว้าโอกาสเจรจาเรื่องเกี่ยวดองกับชื่อหวัง จนกระทั่งได้แต่งงานกับผู้สืบทอดตำแหน่งหนี่ว์หวัง[28]ของแคว้นชื่อ ทุกขั้นทุกตอนล้วนไม่พ้นแผนการอันแยบคายของมารดาบังเกิดเกล้าของเขา
มีแม่สามีเช่นนี้ นางแต่งไปอยู่ในทะเลทรายตามลำพัง คิดดูแล้วชีวิตไม่น่าจะง่ายดายนัก
…
จูเหยียนถอนหายใจ เดินอ้อมค่ายใหญ่ท่ามกลางลมหิมะเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงคอกม้าที่อยู่ห่างไกล
ในบรรดาสี่เผ่าใหญ่แห่งแดนประจิม เผ่าฮั่วถูในที่ลุ่มอ้ายหมีย่าขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดอาชาชั้นยอด แน่นอนว่าในคอกม้าย่อมมีม้าล้ำค่ายืนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ข้ารับใช้ที่ดูแลคอกม้ายามนี้เมาฟุบอยู่กับโต๊ะสุรา เนื่องจากอากาศหนาวเหน็บ อาชาเลื่องชื่อที่มีมูลค่ามหาศาลจึงยืนเบียดชิดกัน ซุกหัวนอนหลับและส่งเสียงเบาๆ ออกมาทางจมูก ลมหายใจร้อนที่เป่าออกมาจับตัวเป็นควันขาวท่ามกลางราตรี
ฝีเท้าของนางเบามาก แม้แต่ม้าที่ตื่นตัวที่สุดก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมา
“เอาล่ะ ตรงนี้แล้วกัน อากาศหนาวขนาดนี้ คนจะแข็งตายอยู่แล้ว” จูเหยียนบ่นพลางหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ดึงจุกด้านบนออก ฉับพลัน หมอกควันหลายสายพุ่งขึ้นมาจากขวดหยก ถูกลมหิมะพัดพาไปในชั่วพริบตา อาชาชั้นดีเหล่านี้ส่งเสียงออกมาทางจมูกดังลั่น แต่กลับไม่ตื่นขึ้นมา หางสะบัดทีหนึ่งแล้วหลับลึก
เท่านี้ก็เรียบร้อย อีกประเดี๋ยวย่อมไม่มีม้าที่ตื่นตระหนกมาทำให้นางเสียแผน
จัดการกับม้าเสร็จ จูเหยียนเดินกลับออกไปบริเวณที่โล่ง ดึงอวี้กู่บนศีรษะลงมา พอปิ่นถูกชักออก เรือนผมยาวสีแดงเข้มก็แผ่สยายดุจผืนแพร พลิ้วสะบัดกลางสายลมดุจธงผืนงาม
นางก้มตัวลง ปักอวี้กู่ลงบนพื้นหิมะ
ปลายเหมันต์ในทะเลทราย อากาศหนาวเหน็บจนน่ากลัว พื้นจับตัวเป็นชั้นน้ำแข็งที่แข็งมาก ตอนปิ่นปักลงไปถึงขั้นเกิดเสียงราวกับโลหะเสียดสีกัน
สองมือของนางกุมอวี้กู่ไว้ ออกแรงวาดวงกลมบนพื้นหิมะอย่างบิดเบี้ยวโดยล้อมรอบตนเองไว้ตรงกลาง
“เฮ้อ ฝึกมาตั้งเป็นร้อยๆ รอบแล้ว ก็ยังวาดได้ไม่กลมอยู่ดี” นางมองผลงานของตนเอง อดพึมพำไม่ได้ “อาจารย์เห็นเข้าต้องดุข้าแน่”
จูเหยียนถอนหายใจ ใช้แขนขวาเป็นจุดศูนย์กลาง เริ่มสลักลวดลายที่สลับซับซ้อนบนพื้นหิมะอย่างพิถีพิถัน แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนไม่กล้าผิดพลาดแม้แต่น้อย
ผ่านไปหนึ่งเค่อ[29]เต็ม นางก็วาดลวดลายสลับซับซ้อนบนพื้นหิมะเสร็จ
“เอาล่ะ ไม่น่าจะผิดพลาดแล้วกระมัง” สุดท้ายนางตรวจสอบอีกครั้ง หนาวจนนิ้วมือแข็งไปหมด นางเป่าลมหายใจร้อนเพื่อให้ความอบอุ่น จากนั้นรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วปักอวี้กู่ลงไปตรงกึ่งกลางภาพยันต์จนเกือบมิดด้าม มีเพียงแต้มชาดตรงหัวปิ่นเท่านั้นที่โผล่พ้นหิมะ
สองมือประกบกัน เริ่มบริกรรมคาถา
อาคมกล่อมสัตว์เป็นอาคมที่ซับซ้อนที่สุดในบรรดาอาคมทั้งหมดที่นางเล่าเรียนมา ทั้งยังเอามาใช้ในสถานการณ์จริงเป็นครั้งแรก จึงรู้สึกประหม่านิดๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ยิ่งตื่นเต้นก็ยิ่งผิดพลาด เพิ่งจะท่องคาถาไปได้ไม่กี่ท่อนก็ผิดคำหนึ่งเสียแล้ว นางส่งเสียง “เพ้ย” เบาๆ ในใจร้อนรน ได้แต่ทำหน้ายู่ เริ่มร่ายคาถาใหม่ตั้งแต่ต้น
ครั้งนี้นางไม่เสียสมาธิ คาถาถูกเปล่งออกมาอย่างไหลลื่นดุจสายน้ำ ยืดยาวต่อเนื่อง
ท่ามกลางเสียงท่องคาถา อวี้กู่ที่ถูกปักลงบนพื้นหิมะดูดซับพลังจากผืนดินและขยายขนาดอย่างรวดเร็ว จากเดิมหนึ่งฉื่อ เพียงพริบตาก็กลายเป็นไม้กายสิทธิ์วิจิตรงดงามโผล่พ้นพื้นหิมะ ดูคล้ายต้นไม้หยก! ยันต์บนพื้นใต้ฝ่าเท้านางพลันเปล่งแสงเรืองรอง!
ภายในวงกลมที่ส่องแสงสว่าง พื้นดินที่ถูกหิมะทับถมเริ่มปูดนูนขึ้น ราวกับใต้หิมะมีบางอย่างกำลังตื่นขึ้นจากการหลับใหลและเคลื่อนไหวไปมาอย่างกระสับกระส่าย อาชาชั้นดีในคอกม้าคล้ายรับรู้ถึงสัญญาณไม่ดีบางอย่าง จึงตื่นตัวเช่นกัน แต่เนื่องจากถูกนางพันธนาการไว้ด้วยอาคมเมื่อครู่ จึงไม่อาจวิ่งหนีไปได้
“ลุกขึ้น!” หลังจากร่ายคาถาคำสุดท้ายจบ จูเหยียนจับอวี้กู่และถอนมันขึ้นมา
ได้ยินเพียงเสียงชึ่บ หิมะบนพื้นคลุ้งตลบ!
เสียงคำรามต่ำระลอกหนึ่งดังมาจากใต้พื้นหิมะ แผ่นดินปริแยกจากกันในชั่วพริบตา บางอย่างพุ่งทะยานขึ้นมา
นั่นเป็นสัตว์ขนาดมหึมาที่ไม่เคยพบเห็นในโลกมาก่อน ผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินตัวแล้วตัวเล่า! พุ่งขึ้นไปรวมตัวกันกลางอากาศจนก่อเป็นรูปร่าง จังหวะที่ร่วงตกลงบนพื้น…สัตว์มหึมาเหล่านั้นล้อมนางไว้ ท่าทางดุดันน่ากลัว หมายจะกระโจนเข้าใส่ แต่ก็เหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง จึงถอยหลบอยู่นอกวงกลมที่เปล่งรัศมี
จูเหยียนชูอวี้กู่ขึ้นกลางอากาศ “คุกเข่า!”
สัตว์มหึมาเหล่านั้นสั่นสะท้านทันใด คล้ายถูกพละกำลังบางอย่างที่มิอาจต้านทานกดข่มไว้ หมอบลงอย่างพร้อมเพรียง เข่าหน้างอลงคุกเข่าบนพื้นหิมะ!
นางหยิบอวี้กู่ขึ้นมา แตะที่หน้าผากของสัตว์อสูรเหล่านั้นเบาๆ ร่ายคาถากล่อมสัตว์ตามตำราจนจบท่อนสุดท้าย “สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในหกทิศแปดดินแดน[30] จงฟังบัญชาข้า!”
สัตว์ยักษ์เหล่านั้นก้มหัวลงตัวสั่น หูลู่ลงอย่างเชื่องเชื่อ
นางใช้อวี้กู่แตะหน้าผากสัตว์ยักษ์เหล่านั้น พึมพำเบาๆ คล้ายออกคำสั่งอะไรบางอย่าง หลังจากเก็บอวี้กู่กลับไป นางยกมือขึ้น ชี้ไปยังกระโจมที่อยู่ไกลออกไป ตะโกนเสียงต่ำ “ไปได้!”
ฟิ้ว! ลมหิมะปั่นป่วน ฝูงสัตว์ทะยานไปยังกระโจมทอง!
จูเหยียนเฝ้ามองอยู่ไกลๆ พรูลมหายใจออกมา
ในที่สุดก็จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย ต้องรีบหนีแล้ว นางไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่นาน กำอวี้กู่ไว้ในมือ เมื่อแบออกอีกครั้งอวี้กู่ก็กลับเป็นปิ่นหยกดังเดิม นางเสียบปิ่นลงบนมวยผม คลุมศีรษะด้วยหมวกที่ติดกับเสื้อคลุม บดบังใบหน้าไว้ เลือกม้าจ้าวเยี่ยอวี้ซือจื่อ[31]ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งจากในคอกม้าเพื่อใช้เป็นพาหนะในการหลบหนี
จากตรงนี้ควบม้าเร็วขึ้นเหนือหนึ่งร้อยหลี่ ผ่านหุบเขาซิงซิง[32]ไปก็ถึงผาคงจี้[33]แล้ว บนเขามีวิหารเทพและแท่นบวงสรวง รอไว้ถึงที่นั่นค่อยวางแผนต่อก็ยังไม่สาย
ทว่าขณะที่นางจูงม้ากำลังจะหันหลัง กลับได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นในคอกม้า…คล้ายมีบางสิ่งย่องผ่านความมืดข้างหลังไปอย่างแผ่วเบา กรงเล็บเสียดสีกับพื้น
จูเหยียนตกใจ ร่างกายชะงักทันที ตั้งใจเงี่ยหูฟัง
ตอนแรกนางคิดว่านั่นเป็นเพียงหมาป่าที่หิวโซ เพราะอากาศหนาวจัดจึงบุกเข้ามาในค่าย แต่ตั้งใจฟังให้ดีดูเหมือนจะเป็นเสียงโลหะลากไปบนพื้น เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน นางยังคงชักมีดสั้นออกมาจากหลังเอว เดินตรงเข้าไปหาเสียงนั้น เขี่ยกองฟางที่ขวางอยู่ออกอย่างคล่องแคล่ว
เสียงประหลาดหยุดลงฉับพลัน ดวงตาคู่หนึ่งปรากฏในความมืด จ้องมาที่นาง
“หือ?” นางมุ่นคิ้ว พบว่าเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง
ตัวเล็กและผอมมาก ดูแล้วน่าจะหกเจ็ดขวบเท่านั้น เหมือนจิ้งจอกทะเลทราย[34]ที่ขดตัวอยู่ คงเพราะอดอยากมาก ดวงตาบนใบหน้าเล็กขาวซีดจึงดูโตเป็นพิเศษ รูม่านตาเป็นสีเขียวเข้ม ใบหน้าสกปรกมอมแมม ดูไม่ออกว่าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง
เด็กคนนั้นหลบอยู่หลังกองข้าวฟ่าง กำลังจ้องมองนาง นิ้วมือเปียกชุ่มกำแผ่นแป้งอบชิ้นหนึ่งที่แช่อยู่ในน้ำจากเศษอาหารเหลือทิ้ง นิ้วมือเต็มไปด้วยรอยบวมแดงเพราะถูกความเย็นกัด
นางตะลึงงันครู่หนึ่ง เห็นอยู่ชัดๆ ว่านี่เป็นของเหลือทิ้งจากในงานเลี้ยงของพวกเขาเมื่อครู่…เด็กคนนี้แอบเอามือล้วงลงไปในน้ำเสียของคอกม้าเพื่อหาของกินกลางดึก?
สิ่งที่ข้าทำเมื่อครู่ เด็กคนนี้คงเห็นหมดแล้วกระมัง ถ้าเช่นนั้นก็ยุ่งยากจริงๆ
นางถอนหายใจ เก็บมีดเข้าฝักและย่อตัวลง
“เจ้าเป็นเด็กบ้านใดกัน ไยจึงไม่ไปกินข้าวด้านหน้า” นางจ้องดวงตาสีเข้มของเด็กน้อยพลางถามด้วยความไม่เข้าใจ…วันนี้เป็นวันมงคลของเผ่าฮั่วถู ข้ารับใช้ทั้งหมดล้วนไปรับเนื้อกับสุราชุดหนึ่งได้ เหตุใดเด็กน้อยคนนี้กลับทนหิวอยู่ที่นี่เพียงลำพัง
นางพูดจาอ่อนโยนเป็นกันเอง ทว่านิ้วมือกลับยกขึ้นเงียบๆ หมายจะคว้าข้อมืออีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะระแวดระวังยิ่งนัก ไม่รอให้นิ้วมือนางยื่นเข้ามาใกล้ก็กระถดถอยไปข้างหลังทันที หลบมือของนาง
พอเขาขยับตัว เสียงประหลาดนั่นก็ดังขึ้นทันใด
จูเหยียนเหลือบมอง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย…เท้าทั้งสองของเด็กคนนี้ถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กหนาหนัก! โซ่ตรวนเย็นเยียบพันธนาการข้อเท้าทั้งสองข้างของเขาไว้ เขาขดตัวอยู่ตรงนั้นจ้องมองนาง คลานถอยหลังอย่างระแวดระวัง เหล็กเสียดสีกับพื้น ก่อให้เกิดเสียงประหลาดที่นางได้ยินก่อนหน้านี้
ปลายอีกด้านของโซ่เหล็กเชื่อมไปยังห้องเก็บฟืนมืดทึบด้านหลังคอกม้า
ในค่ำคืนที่น้ำหยดลงมายังกลายเป็นน้ำแข็งเช่นนี้ เด็กคนนี้เสื้อผ้าขาดวิ่น มือเท้าที่โผล่ให้เห็นล้วนเต็มไปด้วยรอยแผลจากความเย็น ข้อเท้าเล็กมีแต่สะเก็ดเลือดซ้อนทับหลายชั้น แผลสมานและเน่าเฟะซ้ำๆ…ที่น่าสยดสยองกว่านั้นคือ นางพบว่าสาเหตุที่เด็กคนนี้อยู่ในท่าคลานตลอดเวลา เพราะท้องเขานูนออกมา เหมือนมีก้อนเนื้ออยู่ในท้อง ทำให้ไม่สามารถยืนตัวตรงได้
หรือจะเป็นลูกของนักโทษ? หาไม่แล้วเหตุใดจึงมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้
นางคิดพลางสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เด็กที่เหมือนสัตว์ป่าคนนั้นจ้องนางอย่างระแวงระวัง ลากโซ่เหล็กคลานถอยหลังอย่างรวดเร็ว ให้ตายก็ไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ มือยังคงกำแผ่นแป้งอบที่ล้วงขึ้นมาจากในน้ำทิ้งไม่ยอมปล่อย
“นี่ ห้ามไปนะ!” จังหวะที่เขากำลังจะคลานกลับเข้าไปในประตู จูเหยียนยื่นมือออกไปเบาๆ คว้าหลังคอเขาและหิ้วตัวเขาขึ้นกลางอากาศอย่างง่ายดาย เด็กคนนั้นปัดป่ายมือเท้าสุดชีวิต ดิ้นรนโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่กลับปิดปากเงียบอย่างดื้อรั้นและน่าประหลาด ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
“คิดจะกัดข้ารึ” นางเองก็ไม่ใช่คนใจดี เพียงออกแรงเล็กน้อยก็บิดแขนเด็กจนไหล่หลุด แค่นเสียงเอ่ยว่า “ดึกดื่นค่ำคืน ไม่ไปหลับนอนให้ดี กลับมาอยู่ที่นี่ ข้าไม่ละเว้นเจ้าหรอก”
นางจับตัวเด็กน้อยที่ดุร้ายไว้ มืออีกข้างดึงอวี้กู่ออกจากเส้นผม
“แอ้…แอ้!” พลันเสียงเลือนรางดังขึ้นในความมืด น้ำเสียงร้อนรนหวาดหวั่น
ชั่วขณะนั้น เด็กที่เงียบมาตลอดพลันโพล่งออกมา “ท่านแม่! อย่าพูด!”
จูเหยียนตกใจ…ที่แท้เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นใบ้หรอกหรือ
“ใครน่ะ?” นางมุ่นคิ้ว ครั้นรู้ว่าที่นี่ยังมีบุคคลที่สองที่เห็นเหตุการณ์ ในใจก็ยิ่งหงุดหงิด จึงลุกขึ้นไปผลักประตูห้องเก็บฟืน
ห้องนี้เล็กมาก ข้างในมีแต่ความมืด กลิ่นเหม็นคาวปะทะใบหน้า ราวกับในนี้เก็บของจำพวกเนื้อเน่าไว้ ในห้องเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ ตอนแรกนางมองเห็นไม่ชัด เท้าจึงสะดุด เกือบจะหกล้ม ได้ยินเสียงเหมือนเตะถูกอะไรบางอย่างเข้า
อวี้กู่สื่อสารกับเจ้าของได้ จึงเปล่งแสงจางๆ ออกมาทันที ส่องสว่างพื้นที่ข้างหน้าให้นาง
ชั่วขณะนั้น นางถึงกับตัวสั่น อดหลุดเสียงอุทานออกมามิได้!
สิ่งที่นางเตะล้มเมื่อครู่นี้เป็นไหสุราใบหนึ่ง ทำจากดินเผาเนื้อหยาบ สูงสามฉื่อกว่า น่าจะเป็นไหสุราที่ชนเผ่าเร่ร่อนที่เป็นคอสุราใช้เก็บสุราฤทธิ์แรงที่หมักขึ้นเอง…ไหสุราใบนั้นกลิ้งขลุกๆ ไปบนพื้น จนกระทั่งสุดท้ายชนกับผนังตรงมุมห้องและหยุดลง
แต่ไหสุราใบนั้นกลับมีศีรษะของสตรี!
สตรีผมยาวสยายล้มหงายอยู่ในความมืด ยื่นศีรษะออกมาจากไหสุราจ้องมองนาง สองตาลึกโหล ใบหน้าเกรอะกรังด้วยโลหิต…สีหน้าดุดันของนางทำเอาจูเหยียนที่เป็นคนใจกล้าสูดหายใจด้วยความตระหนก ถอยหลังกรูด
ปีศาจสาว! ในห้องเก็บฟืนแห่งนี้ขังปีศาจสาวเอาไว้!
“ท่านแม่…ท่านแม่!” เด็กคนนั้นกลับคลานเข้าไป ร้องตะโกนพลางใช้แขนสองข้างที่ลีบเล็กเหมือนต้นปอที่ถูกลอกเปลือกพยายามประคองไหสุราขึ้นมา ทว่าคนตัวเล็กแรงย่อมน้อย ทำอย่างไรก็ไม่อาจตั้งไหสุราหนักอึ้งนั้นขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่พยายามได้ครึ่งทาง ไหสุราก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
ไหสุราล้มอยู่บนพื้นและกลิ้งไปมาไม่หยุด ศีรษะของสตรียื่นออกมาจากไห จ้องนางเขม็ง ปากได้แต่รองเสียงแอ้ๆ เพราะลิ้นในปากถูกตัดทิ้งจนถึงโคน
ชั่วขณะนั้น ในที่สุดจูเหยียนก็เข้าใจ ร้องเสียงหลงว่า “มนุษย์…มนุษย์ไห?”
…ใช่แล้ว สตรีผู้นี้มิใช่ปีศาจ แต่เป็นมนุษย์ที่ถูกตัดแขนขาทั้งสี่และจับยัดลงในไหสุรา!
เหตุ…เหตุใดยังมีของเช่นนี้อยู่บนโลกนี้ด้วย! นางหนาวสะท้านไปทั้งตัว นิ่งงันอยู่กับที่ชั่วขณะ เป็นความจริงที่นางไม่กลัวภูตผีปีศาจใดๆ แต่กลับไม่รู้จะเผชิญหน้ากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในสภาพนี้อย่างไรดี
คอกม้าแห่งนี้เป็นนรกบนดินโดยแท้
ตั้งแต่เป๋ยเหมี่ยนตี้สืบทอดบัลลังก์ เพราะการร้องขอของต้าซือมิ่ง[35]และต้าเสินกวน จยาหลานตี้ตูจึงมีคำสั่งให้อาณาจักรอวิ๋นฮวงยกเลิกทัณฑ์ทรมานทั้งสิบ ในจำนวนนั้นรวมถึงมนุษย์ไหด้วย แต่เหตุใดในคอกม้าของเผ่าฮั่วถูกลับยังซุกซ่อนสตรีเช่นนี้อยู่
นางดึงสติกลับมาไม่ได้ชั่วขณะ ตกตะลึงจนนิ่งงัน
เด็กคนนั้นใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ในที่สุดก็ประคองไหสุราขึ้นมาได้ ใช้แขนเสื้อสกปรกเช็ดหน้าผากของมารดาที่ถูกกระแทกจนแตก จากนั้นยื่นแผ่นแป้งอบที่กำไว้ในมือไปที่ปากนาง เห็นชัดว่าหญิงสาวในไหหิวโซ กลืนกินแผ่นแป้งลงไปในคำเดียว แทบจะกัดมือผู้เป็นบุตรด้วยซ้ำ
จูเหยียนมองนางอย่างตะลึงงัน รู้สึกคุ้นตาชอบกล จู่ๆ ก็โพล่งออกมา “เจ้า…หรือว่าเจ้าคืออวี๋จี[36]?”
หญิงสาวในไหตัวสั่นสะท้าน เหลือบตามองนาง…ใบหน้านั้นเกรอะกรังไปด้วยเลือดและแผลเหวอะหวะ คล้ายถูกมีดคมกรีดเฉือนสะเปะสะปะ ผมเผ้าสกปรกจนดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไร ทว่านัยน์ตาคู่นั้นยังคงเป็นสีเขียวมรกตดุจอัญมณี
ชั่วขณะนั้น จูเหยียนพลันเข้าใจ
ใช่แล้ว นี่คืออวี๋จี! เป็นสตรีที่หวังเยียผู้เฒ่าของเผ่าฮั่วถูรักใคร่โปรดปรานที่สุดสมัยยังมีชีวิตอยู่!
เมื่อนานนมมาแล้ว ประมาณสิบปีก่อน จูเหยียนเคยพบนาง…
สมัยที่นางเป็นเด็ก หวังเยียผู้เฒ่าของเผ่าฮั่วถูเคยพาสตรีผู้นี้มาเมืองเทียนจี๋เฟิง เยี่ยมคารวะที่จวนชื่อหวังอย่างลับๆ บุรุษที่แข็งแกร่งไม่ยอมจำนนต่อผู้ใดคนนั้นละทิ้งศักดิ์ศรีของหวังแห่งทะเลทราย ก้มศีรษะวิงวอนให้ชื่อหวังผู้ปกครองแดนประจิมสนับสนุนเขา ช่วยเขากำราบเสียงคัดค้านของบรรดาผู้อาวุโสในเผ่า เพื่อจะรับเงือกสาวผู้นี้เป็นเช่อเฟย[37]อย่างราบรื่น
“ก็แค่ทาสหญิงที่เป็นมนุษย์เงือก ทั้งยังมีลูกติดคนหนึ่ง! ได้เป็นอนุก็ไม่เลวแล้ว ยังคิดจะแต่งตั้งนางเป็นเช่อเฟยอีก?” ฟู่หวังอดหัวเราะหยันไม่ได้ ตำหนิเขาอย่างไม่เกรงใจ “ฟังข้าเถิด สหายเก๋อต๋า เจ้าอายุตั้งสี่สิบกว่าแล้ว อย่าให้ความลุ่มหลงครอบงำจิตใจจนเลอะเลือน…”
ทว่าพูดได้ครึ่งเดียว เสียงของบิดาพลันชะงัก เพราะเวลานั้นลมหอบหนึ่งพัดผ้าคลุมหน้าจนปลิวพะเยิบขึ้นพอดี เผยให้เห็นโฉมหน้าของสตรีที่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบอยู่เบื้องล่างตลอดเวลา
ชั่วเวลานั้นเอง แม้กระทั่งนางที่แอบฟังอยู่ข้างๆ ยังอดอุทานออกมามิได้
งามจริงๆ…เหมือนเทพธิดาในภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น!
เงือกสาวที่มีเส้นผมยาวสีฟ้าน้ำทะเลผู้นั้นก้มหน้า ริมฝีปากบางดุจกลีบดอกไม้เม้มนิดๆ แพขนตาหลุบลงคล้ายเขินอาย ไม่ปริปากเอ่ยคำใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าหลังผ้าคลุมหน้า นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้นของนางกลับอ่อนโยนดุจธารวสันต์ ทั้งใสกระจ่างทั้งสงบนิ่ง พาให้ถ้อยคำทั้งหมดล้วนด้อยค่าไป
ฟู่หวังไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ สุดท้ายถอนหายใจ “ข้าเห็นแล้วยังรู้สึกเวทนา นับประสาอะไรกับเจ้า”
ภายหลังฟู่หวังผู้คร่ำครึสนับสนุนคำขอนี้หรือไม่ นางจำไม่ได้แล้ว ตอนนั้นนางในวัยแปดขวบเอาแต่จ้องมองเงือกสาวที่งามเฉิดฉันผู้นี้ไม่วางตา คิดในใจว่าสวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ถึงกับประทานรูปโฉมที่งดงามที่สุดให้มนุษย์เงือกที่มาจากทะเลปี้ลั่ว เทียบกันแล้วทำให้ชนเผ่าทั้งหลายบนพื้นแผ่นดินดูด้อยค่าไปหมด
ฉวยโอกาสช่วงที่พวกผู้ใหญ่โต้แย้งกันในกระโจมอย่างรุนแรง นางอดไม่ได้ที่จะแอบวิ่งเข้าไปหาหญิงงาม เกาะเข่าอีกฝ่ายแหงนหน้าแอบมองเงือกสาวใต้ผ้าคลุมหน้าอยู่เป็นนาน สตรีผู้นั้นดูเขินอายและอ่อนโยนยิ่งนัก เพียงมองเด็กหญิงเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไร
นางเป็นคนร่าเริง ในที่สุดก็อดใจไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน ยื่นลูกกวาดในมือออกไป ถามเสียงค่อย “ท่านนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวตั้งนานแล้ว…หิวหรือไม่ กินลูกกวาดไหม”
สตรีที่งามสะคราญผู้นั้นคลี่ยิ้มด้วยความเกรงใจ ก้มหน้าลง พวงแก้มแดงเรื่อ “ไม่หิว ขอบใจเจ้ามาก”
“อา ท่านช่างงามจริงๆ!” เด็กหญิงเต็มไปด้วยความอิจฉา “หากข้างามได้อย่างท่านก็คงดี!”
“เจ้าเองก็งามมาก แม่หนูน้อย” เงือกสาวผู้นั้นระบายยิ้ม ตอบเสียงแผ่ว น้ำเสียงนุ่มนวลดุจลมวสันต์พัดผ่าน “รอไว้เจ้าโตเป็นสาวเมื่อใด จะต้องงามยิ่งกว่าข้าแน่นอน”
“จริงหรือ” เด็กน้อยถือเป็นจริงเป็นจัง ลูบใบหน้าตนเอง “ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เพราะว่าเจ้าเป็นเด็กดี” เงือกสาวผู้นั้นยกมือขึ้นลูบผมอ่อนนุ่มของเด็กหญิง นิ้วมือนางดุจหยกขาว ดูโปร่งแสงนิดๆ “เด็กที่มีจิตใจงดงาม โตขึ้นย่อมเป็นหญิงงามทั้งนั้น นี่เป็นของขวัญที่ทวยเทพประทานให้”
“เช่นนั้นหรือ ดีเหลือเกิน!” เมื่อได้คำรับรองเป็นมั่นเหมาะ นางก็อดหัวเราะอย่างเบิกบานใจไม่ได้
“จวิ้นจู่! ท่านวิ่งหายไปไหนอีกแล้วเจ้าคะ” พลันมีเสียงดังมาจากนอกกระโจม
“อ๊ะ ข้าต้องกลับไปแล้ว! ไม่เช่นนั้นต้องถูกเซิ่งหมัวมัว[38]ดุแน่!” นางแลบลิ้น ยิ้มแฉ่งให้เงือกสาวผู้นั้น “นี่ ไว้ข้าโตขึ้นและงดงามแล้วค่อยมาหาท่านใหม่! จะงามกว่าท่านหรือไม่ ถึงเวลาเทียบกันดูก็รู้เอง!”
…
ในวัยเยาว์ของนาง ความทรงจำเกี่ยวกับสตรีผู้นี้อันที่จริงเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทว่าความงามที่น่าตื่นตะลึงเช่นนั้น แม้จะเห็นเพียงแวบเดียวก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเด็กหญิง เนิ่นนานก็ยังไม่ลืมเลือน
…ไม่คิดว่าผ่านมาหลายปี กลับได้มาพบนางในสถานที่เช่นนี้!
อายุขัยของมนุษย์เงือกยาวนานเป็นสิบเท่าของมนุษย์ เวลาสิบปีเพียงพอที่จะทำให้นางเติบโตจากเด็กสาวกลายเป็นหญิงสาวที่รอออกเรือน แต่สำหรับชีวิตอันยาวนานนับพันปีของมนุษย์เงือก เวลาสิบปีนั้นสั้นเพียงลัดนิ้วมือเดียว เงือกสาวผู้นี้ผ่านชะตาชีวิตขึ้นๆ ลงๆ มามากมาย ใช้ชีวิตร่วมกับหวังเยียผู้เฒ่าในช่วงสิบปีสุดท้ายของเขา โดยที่รูปโฉมยังคงเหมือนเมื่อตอนที่นางพบเจอครั้งแรก
ทว่าความงามที่แม้แต่ธรรมชาติยังมิอาจช่วงชิงไปได้นั้น บัดนี้กลับถูกทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์!
นางมองแม่ลูกคู่นี้อย่างตะลึงงัน จากนั้นมองเด็กน้อยที่ถูกล่ามด้วยโซ่เหล็ก นานครู่ใหญ่จึงพึมพำว่า “สวรรค์…ตามคำสั่งเสียของหวังเยียผู้เฒ่า เจ้า…มิใช่ว่าเจ้าต้องถูกฝังไปพร้อมกันตั้งแต่สามปีก่อนแล้วหรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
อวี๋จีอ้าปากที่ไม่มีลิ้น ส่ายหน้าสุดชีวิต น้ำตาไหลริน หยดลงบนพื้นหยดแล้วหยดเล่า เปล่งแสงอ่อนโยนภายในห้องเก็บฟืนที่มีเพียงแสงสลัว
จูเหยียนเห็นแล้วอดมองตาค้างไม่ได้…
ตำนานเล่าว่ามนุษย์เงือกอาศัยอยู่ในทะเลปี้ลั่ว หยาดน้ำตารินไหลเป็นไข่มุก ถักทอวารีเป็นผืนไหม[39] ทว่าแต่เล็กจนโตนางเคยเจอมนุษย์เงือกเพียงคนเดียวคือยวน ทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมร้องไห้สักครั้งเพื่อคลายความสงสัยในใจนาง นางย่อมไม่รู้ว่าคำกล่าวนี้เป็นจริงหรือเท็จ ยามนี้ได้เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาของอวี๋จีกลายเป็นไข่มุก จึงพูดไม่ออกชั่วขณะ
“ข้าเข้าใจแล้ว…ต้องเป็นฝีมือของซูต๋าต้าเฟยแน่ๆ!” นางมุ่นคิ้ว เอ่ยอย่างขุ่นขึ้ง “ต้องเป็นหญิงชั่วร้ายสมควรตายผู้นั้นปลอมแปลงคำสั่งเสียแน่ๆ หลังจากหวังเยียผู้เฒ่าตายก็ทรมานเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้! ใช่หรือไม่”
อวี๋จีไม่พูดจา เพียงหลั่งน้ำตาเงียบๆ
ต้าเฟยของหวังเยียผู้เฒ่าแห่งเผ่าฮั่วถูมีชื่อเสียงเรื่องความน่าเกรงขาม แม้แต่จูเหยียนผู้เป็นธิดาเพียงคนเดียวของชื่อหวัง ลดตัวลงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ด้วยบารมีของโอรสสวรรค์ยังรู้สึกหวั่นใจนิดๆ นับประสาอะไรกับทาสหญิงที่เป็นมนุษย์เงือกและอยู่ได้ด้วยความโปรดปรานในชั่วเวลาสั้นๆ ของหวังเยียผู้เฒ่า
จูเหยียนถอนหายใจ มองเด็กน้อยข้างๆ
“นี่ลูกของเจ้าหรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหลังจากอายุห้าสิบแล้วหวังเยียผู้เฒ่ายังมีทายาทเพิ่มมาอีก…อ้อ หรือว่าเขาก็คือลูกติดที่เจ้าพามาด้วย?” จูเหยียนคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ดึงเด็กน้อยเข้ามา เกลี่ยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเขาออก หมายจะดูหลังหูของเขา แต่เด็กคนนั้นกลับดิ้นรนสุดแรง กัดที่หลังมือนาง
“นี่!” นางไม่ทันตั้งตัว ด้วยความโมโหจึงพลิกมือฟาดออกไป “เจ้าลูกกระต่าย[40]!”
เด็กคนนั้นเซล้มลงบนพื้นพร้อมโซ่เหล็ก อวี๋จีที่อยู่ในไหรีบร้องแอ้ๆ เสียงดัง
“เป็นมนุษย์เงือกจริงๆ” จูเหยียนกดศีรษะของเด็กไว้ แหวกผมเขาออก เห็นลวดลายเล็กๆ สองจุดหลังใบหูเขา คล้ายจันทร์เสี้ยวเล็กๆ สองวง…นั่นคือเหงือกปลา เป็นลักษณะพิเศษที่พบเฉพาะในชาวเผ่าเงือกที่อยู่ในท้องทะเลลึก แสดงว่าเด็กคนนี้คือลูกติดที่อวี๋จีพามาด้วยจริงๆ
“บิดาเขาเป็นใคร” จูเหยียนอยากรู้ “เป็นมนุษย์เงือกเหมือนกันหรือไม่”
อวี๋จีไม่ตอบ สีหน้าประหลาดเล็กน้อย เอาแต่จ้องนางเขม็ง ดวงตาทอประกายวิงวอน
“เจ้าอยากขอร้องให้ข้าพาเขาไปด้วยหรือ” จูเหยียนมองสตรีน่าสงสารที่ถูกทำเป็นมนุษย์ไห จากนั้นมองเด็กน้อยคนนั้น ในใจหวั่นไหวนิดๆ หลังจากหวังเยียผู้เฒ่าสิ้น เผ่าฮั่วถูทั้งหมดก็ถูกปกครองโดยต้าเฟย แม่ลูกคู่นี้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถูกผู้อื่นทรมาน จะตายก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ลำบาก ด้วยเหตุนี้อวี๋จีจึงร้อนใจ ร้องขอความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างนางกระมัง
อวี๋จีพยักหน้าอย่างร้อนรน จากนั้นหลุบตาลง น้ำตาไหลรินจากดวงตา
น้ำตาของมนุษย์เงือกกลายเป็นไข่มุกเม็ดแล้วเม็ดเล่า
“นี่ เจ้าชื่ออะไร” นางถอนหายใจ ถามเด็กน้อยที่ถูกนางกดไว้กับพื้น “อายุเท่าไรแล้ว หกสิบหรือยัง เจ้าจะเดินทางไปกับข้าได้ไกลเพียงใด”
เงือกเด็กผู้นั้นจ้องนางอย่างเย็นชา แค่นเสียง “หึ” อย่างเหยียดหยัน ไม่ยอมตอบ ความเป็นศัตรูและความโกรธแค้นที่ฝังลึกในกระดูกทำเอาจูเหยียนที่เพิ่งจะบังเกิดความเห็นใจขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่รู้ดีชั่ว” นางพึมพำ “ตอนนี้ข้าเองยังเอาตัวแทบไม่รอด คร้านจะช่วยเหลือเจ้า!”
เวลานี้เอง เสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก คล้ายคนนับไม่ถ้วนสะดุ้งตื่นและกำลังวิ่งหนี กระโจมแต่ละหลังโกลาหลวุ่นวาย เสียงร้องขอความช่วยเหลือแหลมสูงลอยมาพร้อมลมหิมะจากที่ไกล…
“ใครก็ได้…ช่วยที! มีอสูรทราย!”
“จวิ้นจู่ถูกอสูรทรายลากตัวไปแล้ว! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย…”
[1] ยามจื่อ คือช่วงเวลาระหว่าง 23.00-01.00 นาฬิกา
[2] หวัง (อ๋อง) เป็นคำเรียกผู้ปกครองดินแดน “ก่วงมั่วหวัง” แปลว่า หวังผู้ปกครองทะเลทรายอันกว้างใหญ่
[3] คำเรียกเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของบ้านเมืองที่ปกครองโดยจักรพรรดิ ส่วนใหญ่มักเป็นเมืองที่ประทับของจักรพรรดิหรือเป็นที่ตั้งของวังหลวง
[4] เพลงเชื้อเชิญให้ดื่มสุรา
[5] ชื่อตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงของจีน ลำดับยศต่ำกว่ากงจู่
[6] 1 ฉื่อ เท่ากับประมาณ 1 ฟุต
[7] เครื่องแก้วโบราณชนิดหนึ่งของจีนที่ผลิตจากฝีมือมนุษย์ด้วยกรรมวิธีอันซับซ้อน เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของจีนที่มีมานานนับพันปี มีหลายสีและมีลักษณะใสแวววาว
[8] แปลว่า กระดูกหยก
[9] 1 ชุ่น เท่ากับประมาณ 1 นิ้ว
[10] แปลตรงตัวคือ เทพเซียนที่มียศตำแหน่ง หากเป็น “ต้าเสินกวน” ในเรื่องนี้ จะเป็นชื่อตำแหน่งของผู้ที่ทำหน้าที่เสมือนเทพ เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมสำคัญทางจิตวิญญาณและเป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า
[11] หมายถึง สถานที่แร้นแค้นกันดาร
[12] คำเรียกมารดาที่เป็นชายาชั้นเฟย
[13] คำเรียกบิดาที่มีบรรดาศักดิ์เป็นหวัง
[15] ในที่นี้เป็นคำเรียกกษัตริย์อย่างยกย่อง
[16] แดนเมฆา
[17] หมายถึง รูปโฉมงดงาม หญิงงาม มาจากคำภาษาจีนคือ “จูเหยียน” (朱颜)
[18] “ไท่ฟูเหริน” เป็นคำที่ใช้เรียกมารดาของหวังหรือโหวอย่างยกย่อง “เจิง” เป็นคำที่ใช้เรียกญาติที่ห่างจากตัวเองสองรุ่น เจิงไท่ฟูเหรินจึงเป็นคำที่มารดาของจูเหยียนใช้เรียกย่าทวดของสามี
[19] ซีซือ (ไซซี) หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีน สำนวนนี้หมายถึงคนเป็นแม่ย่อมเห็นลูกตัวเองงามที่สุด
[20] หมายถึง ทำลายความกระตือรือร้นของผู้อื่น หรือทำให้เสียความรู้สึก
[21] ตำแหน่งชายาของไท่จื่อ (องค์รัชทายาท)
[22] ตำแหน่งชายาเอก
[23] ภาษาจีนเป็นคำเรียกหญิงชราม่ายนิสัยชั่วร้ายในเชิงเสียดสี
[24] พิธีซึ่งจัดเมื่อเด็กหญิงอายุครบ 15 ปี เพื่อแสดงว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว พร้อมออกเรือนได้
[25] คำที่ใช้เรียกทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งของเชื้อพระวงศ์ชายยศหวัง กง และโหว
[26] หมายถึงชายาเอกของหวัง
[27] ชื่อตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงของจีน ส่วนใหญ่เป็นธิดาสายตรงของหวงตี้หรือเป็นพี่สาวน้องสาวของหวงตี้
[28] หมายถึงตำแหน่งหวังที่เป็นสตรี
[29] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที
[30] หกทิศ หมายถึง บน ล่าง เหนือ ใต้ ออก ตก แปดดินแดน หมายถึง ดินแดนที่อยู่ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ หกทิศแปดดินแดนอุปมาถึงทั้งโลก ทุกหนทุกแห่ง
[31] แปลตรงตัวว่า “สิงห์หยกส่องราตรี” เป็นม้าล้ำค่าที่ปรากฏในตำนานสุยหู่จ้วน (ซ้องกั๋ง) มีสีขาวปลอดดุจหิมะทั้งตัว สามารถเดินทางได้วันละพันหลี่ มีถิ่นกำเนิดในแดนตะวันตก จัดเป็นอาชาชั้นยอด
[32] แปลว่า หุบเขาดารา
[33] แปลว่า ผาเดียวดาย
[34] Corsac fox สุนัขจิ้งจอกขนาดกลาง ใบหน้าสีเทา ขนตามลำตัวออกสีเหลือง แซมด้วยขนขาวที่แผงอกและท้อง ชอบอาศัยอยู่ในที่ราบโล่งหรือทะเลทราย
[35] ชื่อเทพเจ้าผู้กำหนดโชคชะตา ในที่นี้เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางผู้มีหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับทวยเทพ
[36] “จี” เป็นคำเรียกสนมนางใน ส่วน “อวี๋” แปลว่า ปลา
[37] ตำแหน่งชายารอง
[38] คำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังด้วย
[39] ตำนานเล่าว่าผ้าไหมที่มนุษย์เงือกทอขึ้นมีชื่อว่าไหมเจียวเซียว ถูกน้ำแล้วไม่เปียก
[40] ในสมัยโบราณ คำนี้เป็นคำเรียกเด็ก มีความหมายสองนัย หากเป็นพ่อแม่เรียกจะเป็นการเรียกในเชิงเอ็นดูว่าบุตรตนซุกซนมีไหวพริบ แต่หากเป็นคนไม่รู้จักจะกลายเป็นคำด่าหรือเป็นคำเรียกเวลาโมโห มีความหมายทำนอง เด็กเหลือขอ ลูกไม่มีพ่อ เด็กเวร วายร้าย เป็นต้น