[ทดลองอ่าน] จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก บทที่ 2 สืออิ่ง

จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก
朱颜

 

ชางเย่ว์ เขียน
กอหญ้า แปล

 

— โปรย —

ณ ดินแดนเมฆาอวิ๋นฮวง ซึ่งปกครองโดยตี้จวินแห่งคงซางผู้สืบทอดอำนาจจากทวยเทพ
โดยมีฟานหวังหกเผ่าคือ ไป๋ ชิง จื่อ ชื่อ หลาน และเสวียน ร่วมดูแลหกดินแดนใต้อาณัติ
ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวแห่งวาสนาผูกพันและความขัดแย้งที่โชคชะตาลิขิตไว้…

จูเหยียน จวิ้นจู่เผ่าชื่อในวัยสิบแปด
ถูกส่งตัวไปแต่งงานกับหวังแห่งซูซ่าฮาหลู่แต่นางหลบหนีในคืนส่งตัว
จนเกิดเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต
และได้พบสืออิ่งผู้เป็นอาจารย์ของตนอีกครั้งโดยบังเอิญหลังจากไม่ได้พบกันมาห้าปี

สืออิ่ง รู้ดีว่าตนได้ถูกกำหนดว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือนาง
ทว่าเขามิอาจตัดใจฆ่านางเสียตั้งแต่ยังเด็กเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง
ทั้งยังสอนวิชาอาคมให้นาง

กาลเวลาผันผ่าน ภายใต้สัญญาณแห่งดาราวิถีที่บ่งชี้ว่าคงซางจะล่มสลายโดย “มนุษย์เงือกผู้หนึ่ง”
สืออิ่ง พยายามทุกวิถีทางที่จะตามหาและสังการบุคคลในคำทำนายผู้นั้น
ขณะที่จูเหยียน ยืนหยัดปกป้องมนุษย์เงือกที่นางรัก
นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างศิษย์อาจารย์ และการนองเลือดระหว่างเผ่าพันธุ์

ภายใต้วงล้อแห่งโชคชะตาที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
คำทำนายนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และวาสนารักของทั้งคู่จะได้บรรจบหรือพลัดพราก…

_______________________________

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

2

สืออิ่ง

นั่นเป็นเสียงของอวี้เฟย เสียงร้องแหลมสูงด้วยความหวาดผวา ดุจตาข่ายเหล็กที่ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนฟ้า ทะลวงผ่านลมหิมะในชั่วพริบตา บาดหูทิ่มแทงผืนราตรีของแดนประจิม จูเหยียนผุดลุกขึ้นทันใด

ดูท่าเด็กคนนั้นคงตกใจกับฝูงอสูรทรายจริงๆ ร้องโหยหวนออกปานนี้ ไม่เหมือนเสแสร้งแม้แต่น้อย…ทั้งที่กำชับไว้แล้วแท้ๆ ว่าสัตว์มหึมาเหล่านั้นรับคำสั่งของข้า นอกจากจูเหยียนตัวปลอมนั่นแล้ว จะไม่จู่โจมคนอื่นๆ ในกระโจม นางยังจะกลัวบ้าอะไรอีก!

จูเหยียนร้อนใจ ไม่สนใจเรื่องทางนี้อีก…นางเดินทางมาซูซ่าฮาหลู่ครั้งนี้ ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คน หัวเดียวกระเทียมลีบ ท่ามกลางความโกลาหลครั้งนี้ สามารถปกป้องตัวเอง เอาตัวรอดอย่างราบรื่นได้ก็ไม่เลวแล้ว ไหนเลยยังจะมีเวลาไปสนใจแม่ลูกคู่หนึ่งที่โผล่มากะทันหันอีกเล่า

นางคว้าหลังคอของเด็กคนนั้นไว้อย่างง่ายดาย แตะอวี้กู่ไปที่หว่างคิ้วเขาทันที จุดแสงดุจหิ่งห้อยพุ่งเข้าไป อวี๋จีที่อยู่ข้างๆ อ้าปากร้องเสียงดัง ทว่าปากที่ไร้ลิ้นย่อมไม่อาจส่งเสียงได้ นางสั่นศีรษะอย่างรุนแรง แทบจะทำเอาไหสุราล้มลงอีกครั้ง

“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ฆ่าลูกเจ้าหรอก” จูเหยียนถอนหายใจ โยนเด็กที่ตัวอ่อนปวกเปียกกลับลงบนพื้น “เด็กคนนี้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรเห็นเข้า ข้าต้องใช้อาคมลบความทรงจำในคืนนี้ของเขาทิ้ง ส่วนเจ้า…ถึงอย่างไรเจ้าก็พูดไม่ได้ คายความลับไม่ได้อยู่แล้ว ช่างเถอะ”

นางว่าพลางชักมีดสั้นออกมา ฟันฉับไปที่โซ่เหล็กที่ล่ามเท้าเด็กน้อยอยู่ เงยหน้ามองอวี๋จีที่ถูกบรรจุอยู่ในไห จากนั้นส่ายหน้า “ช่างเถอะ ไหสุราของเจ้ายังคงเก็บไว้ดีกว่า แนบติดกับเนื้อไปแล้ว ขืนทำแตก คาดว่าเจ้าก็คงไม่รอดชีวิต…”

นางปัดมือและลุกขึ้น “เอาล่ะ ต่อจากนี้พวกเจ้าหาหนทางเอาเองแล้วกัน…ข้าต้องไปยุ่งเรื่องของข้าแล้ว!”

นางทิ้งมีดสั้นเล่มนั้นไว้ให้เด็กน้อย หันหลังเดินออกจากประตู

ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปยังกระโจมทอง ทางฝั่งนี้กลับว่างเปล่าไม่มีใครสนใจ ท่ามกลางลมหิมะ นางได้ยินเสียงหวีดร้องของอวี้เฟย ทั้งเสียงคำรามของอสูรทราย เสียงจินทั่ว[1]ดังก้องทั้งในนอก ปลุกผู้กล้าของเผ่าฮั่วถูให้ตื่นขึ้นมา เมื่อพ่อมดใหญ่ในเผ่าออกโรง อสูรทรายเหล่านั้นคงถูกกำจัดสิ้นในเวลาไม่นาน

ไม่เป็นไร ขอเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม นางก็ออกจากที่นี่อย่างราบรื่นได้แล้ว

…จูเหยียนจวิ้นจู่ถูกอสูรทรายใต้หิมะจู่โจมในคืนก่อนวันสมรส ประสบเคราะห์กรรมอันน่าอนาถ ศพอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ เมื่อข่าวนี้แพร่ไปถึงตี้ตู ชาตินี้ย่อมไม่มีคนบังคับให้นางแต่งงานอีก ดียิ่งนัก

จูเหยียนออกจากห้องเก็บฟืนอย่างร้อนรน รีบรุดจะจากไป แต่พอออกไปมองดูก็พบว่าม้าจ้าวเยี่ยอวี้ซือจื่อที่เตรียมไว้ข้างนอกตัวนั้นหายไปแล้ว แม้แต่ม้าที่อยู่ในคอกม้าทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่ที่เดิม บนพื้นหิมะมีรอยกีบเท้าม้ากระจัดกระจาย เห็นชัดว่าพวกมันหนีไปหมดแล้ว

อะไรกัน! นางตื่นตระหนกจนหน้าถอดสีอย่างห้ามไม่อยู่

ฝีมือผู้ใด ม้าพวกนั้นถูกข้าใช้อาคมตรึงไว้แล้วชัดๆ! ยังจะวิ่งหนีไปได้อย่างไร

ลมหิมะยังคงพัดกรูเกรียว นางได้ยินเสียงร้องโหยหวนของอสูรทรายลอยมาจากที่ไกลๆ พวกมันล้มลงทีละตัว…เห็นทีคนของเผ่าฮั่วถูจะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว อีกไม่นานก็จะบุกเข้าไปในกระโจมทอง นางร้อนใจ ยกสองมือขึ้นประสานมุทราตรงหน้าอก เร้นกายท่ามกลางลมหิมะในชั่วพริบตา

รอไม่ได้แล้ว ต่อให้ไม่มีม้า ก็ต้องไปจากที่นี่ทันที!

หิมะทับถมหนาจนเกือบถึงเข่า นางเร้นกายเดินโซเซออกไปข้างนอก คิดจะเหินตัวขึ้นไปกลางอากาศหลบหนีไปโดยเร็ว แต่ลมหิมะพัดแรงเหลือเกิน ทั้งนางยังสวนทางลมอยู่ ร่างจึงซัดเซไปมา ทำอย่างไรก็ทะยานตัวไม่ได้ ท่าทางเหมือนนกโง่งมที่พยายามกระพือปีกบินหลายครั้ง แต่ก็ถูกลมพัดกลับมาอย่างทุลักทุเลทุกครั้งไป สุดท้ายตกลงบนพื้นหิมะอย่างท้อใจ ได้แต่ย่ำเท้าหนักบ้างเบาบ้าง รีบออกจากซูซ่าฮาหลู่โดยเร็ว

เดินไปเดินมา พลันชนคนผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง

“นี่ ไม่มีตาหรือ” จูเหยียนถูกชนกระแทกจนล้มก้นจ้ำเบ้าบนพื้นหิมะ ในใจเดือดดาล จึงโพล่งด่าออกไป แต่พอคำพูดหลุดจากปากไปแล้วพลันได้สติ รีบปิดปากไว้…ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าล่องหนอยู่นี่นา คนอื่นจะเห็นได้อย่างไรเล่า พูดออกไปเช่นนี้มิเท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวตนหรือ

“ตัวเองใช้คาถาพรางกาย ยังโทษว่าผู้อื่นไม่มีตา?” เสียงเย็นชาตอบกลับมาราวกับน้ำแข็งที่ลอยมาตามลม “โตจนป่านนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนแมลงวันไร้หัวอยู่อีก”

“…” ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น นางก็สะท้านเฮือกไปทั้งตัว

อะไรนะ หรือว่า…เป็น เป็นเขา?

คืนที่มีลมหิมะกลางทะเลทราย ชายหนุ่มผู้หนึ่งกางร่มก้าวออกมาจากความมืด เดินมาตรงหน้านางด้วยฝีเท้าเบาสบาย ชุดคลุมยาวสีขาวพลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้า ชายเสื้อปักลายเมฆาอันคุ้นเคย เกล็ดหิมะโปรยปรายลงบนร่มที่วาดลายดอกเฉียงเวย[2]สีขาว ใต้ร่มคือนัยน์ตาราบเรียบคู่หนึ่ง กำลังหลุบมองนางที่ล้มลงบนพื้นในสภาพทุลักทุเล หัวคิ้วขมวดมุ่นนิดๆ

“อา…อาจารย์?” นางพูดตะกุกตะกักพลางมองคนผู้นั้น ชั่วขณะนั้นไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

บุรุษที่ปรากฏกายกลางทะเลทรายในคืนหิมะตกหนักผู้นี้อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก เรือนผมยาวครอบด้วยเกี้ยวหยก กรอบผมตรงหน้าผากมีเหม่ยเหรินเจียน[3]เด่นชัด คิ้วตาคมคาย สองตากระจ่างเย็นชา ประหนึ่งเทพเซียนที่ลอยล่องออกมาจากหิมะ

คนผู้นี้คือต้าเสินกวนแห่งอารามเทพจิ่วอี๋…สืออิ่ง!

อาจารย์ที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า เหตุใดจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่นี่ได้ ข้าไม่ได้กำลังฝันไปกระมัง จูเหยียนมองเขาอย่างปากอ้าตาค้าง กระทั่งคนผู้นั้นยื่นมือออกมา ฉุดนางขึ้นจากพื้นหิมะ

มือของเขาอบอุ่นทรงพลัง หาใช่ภาพมายาไม่

“อา…อาจารย์?” นางเอ่ยปากอีกครั้งอย่างตะกุกตะกัก ทำอะไรไม่ถูก

สืออิ่งไม่สนใจนาง เพียงหันหน้าไปด้านข้างเงี่ยหูฟัง เสียงคำรามของสัตว์อสูรลอยมาตามลมจากที่ไกล พลันมีลำแสงแหวกฝ่าม่านราตรี เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง!

“พ่อมดใหญ่ของเผ่าฮั่วถูร้ายกาจจริงๆ เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเค่อก็กำจัดอสูรทรายที่เจ้าเรียกออกมาจนราบคาบแล้ว” สืออิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ไปเถอะ ไปดูเรื่องสนุกกัน”

“หา?” นางสะดุ้งตกใจ ถอยหลังก้าวหนึ่ง

พลังบำเพ็ญของข้าแค่พอหลบหูตาพวกองครักษ์ได้เท่านั้น ขืนใช้อาคมพรางกายต่อหน้าพ่อมดใหญ่ เกรงว่าคงถูกจับได้ทันทีกระมัง

“กลัวอะไรเล่า” เขาเอียงร่ม บังศีรษะนางไว้ พูดเสียงเรียบ “มีข้าอยู่ทั้งคน”

ลมหิมะอันทารุณหยุดชะงักฉับพลัน อากาศภายใต้ร่มอบอุ่นนิ่งสงบ ดุจไอหมอกยามเช้าในหุบเขาจิ่วอี๋ นางอาลัยความอบอุ่นนี้ แต่ก็เหลือบมองอาจารย์อย่างขลาดกลัว ไหล่ลู่พลางพึมพำ “รีบ…รีบฉวยโอกาสช่วงชุลมุนหนีไป น่า…น่าจะดีกว่ากระมัง”

นางกลัวอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก พออยู่ต่อหน้าเขา แม้แต่คำพูดคำจายังตะกุกตะกัก

“เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะหนีได้หรือ” สืออิ่งมองนาง สีหน้าเฉยชา “ต่อให้พ่อมดใหญ่ดูไม่ออกว่าอสูรทรายฝูงนี้ถูกเจ้าเรียกมา ต่อให้พวกเขาดูไม่ออกว่าคนที่ถูกกินเป็นเพียงหุ่น…แต่ว่า ร่องรอยพวกนี้เล่า”

เขาเงียบ ชี้ไปยังรอยเท้ากระจัดกระจายบนพื้นหิมะ มีทั้งรอยกรงเล็บของอสูรทราย ทั้งยังมีรอยกีบเท้าม้า ปรากฏอยู่ทั่วพื้นหิมะเต็มไปหมด

จูเหยียนร้อนตัว ถามว่า “ระ…ร่องรอยพวกนี้ทำไมหรือ”

สืออิ่งมุ่นคิ้ว จำต้องชี้แนะลูกศิษย์ด้วยความอดทน “รอยเท้าของอสูรทรายเหล่านี้เห็นชัดว่าโผล่ออกมาอย่างปุบปับใกล้กับคอกม้า แต่แทนที่พวกมันจะจู่โจมม้าที่อยู่ใกล้ๆ กลับพุ่งตรงไปยังกระโจมของเจ้า ส่วนม้าพวกนั้นก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าคนของเผ่าฮั่วถูล้วนโง่งมเหมือนเจ้าหมดหรือไร”

“…” จูเหยียนนิ่งงัน พูดไม่ออก นานครู่ใหญ่จึงถามด้วยเสียงพึมพำ “ม้า…ม้าพวกนั้น ท่านเป็นคนปล่อยไปหรือ”

“แน่นอน ขืนไม่ปล่อย คนฉลาดมองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว อีกทั้งสัตว์พาหนะของพวกชนชั้นปกครองล้วนมีตราประทับ เจ้าขี่ม้าที่ขโมยมาออกไปอย่างโจ่งแจ้ง คิดจะรนหาที่ตายหรือ” สืออิ่งส่ายหน้า เหลือบมองนางอย่างไม่ได้ดั่งใจ “อาศัยแผนการที่เต็มไปด้วยช่องโหว่เช่นนั้นของเจ้า ยังคิดจะหนีการแต่งงานอีกรึ”

พอถูกเปิดโปงด้วยคำพูดนี้ จูเหยียนอดสะดุ้งไม่ได้ ร้องออกมา “ท่าน…ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะหนีการแต่งงาน”

“หึ” สืออิ่งคร้านจะตอบนาง เอ่ยเพียง “ไป ตามข้าไปดูเรื่องสนุกตรงนั้นกัน”

“…” นางถูกอาจารย์คุมตัว จำต้องเดินกลับไปอย่างไม่เต็มใจ อดบ่นงึมงำไม่ได้ “อาจารย์ ท่าน…ท่านกักตัวบำเพ็ญอยู่ที่หุบเขาตี้หวังไม่ใช่หรือ เหตุ…เหตุใดจู่ๆ จึงมาที่นี่ได้”

“มาดื่มสุรามงคลของเจ้าไม่ได้หรือไร” สืออิ่งตอบเสียงเรียบ

“อาจารย์…ท่าน!” นางรู้ว่าเขากำลังเหน็บแนม ในใจหงุดหงิดยิ่งนัก กระทืบเท้าอยู่กับที่ แต่กลับไม่กล้าตอบโต้…ให้ตาย เขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อพูดจาถากถางข้ารึ

สืออิ่งมิได้สนใจนาง เอาแต่เดินไปข้างหน้า ทั้งที่ไม่เห็นเขายกเท้าสักเท่าไร แต่ตัวกลับพุ่งสวนทิศทางลมหิมะไปข้างหน้า ว่องไวปานลูกธนู จูเหยียนแค่หยุดพักครู่เดียวก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นางรีบตามไป ห่อร่างอยู่ใต้ร่มคันนั้น พลางหันไปมองสีหน้าอาจารย์อย่างกระวนกระวาย

ในฐานะต้าเสินกวนแห่งอารามเทพจิ่วอี๋ แม้สืออิ่งจะอายุไม่มาก แต่กลับมีฐานะสูงยิ่งในแคว้นคงซาง เป็นรองเพียงต้าซือมิ่งแห่งหอคอยขาวจยาหลานเท่านั้น ตั้งแต่จากจิ่วอี๋มา ตนก็ไม่ได้พบเขาเป็นเวลาห้าปีเต็ม…อาจารย์นิสัยหยิ่งทะนงเย็นชา เดินทางไปมาไม่แน่นอน เหมือนมังกรเทพที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ยามนี้เหตุใดจู่ๆ จึงปรากฏตัวในแดนประจิม นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้

หรือว่า…เขาจะมาดื่มสุรามงคลจริงๆ?

ทว่าพอคิดถึงตรงนี้ ตรงหน้าพลันมีบางสิ่งวูบผ่าน เงาดำสายหนึ่งปะทะเข้ามา ไออำมหิตกรีดเฉือนใบหน้าดุจคมมีด

แย่แล้ว! นางไม่มีเวลาคิดมาก สิบนิ้วประสานมุทราทันที แต่ร่างกายยังไม่ทันขยับก็ได้ยินเสียงทุ้มทึบ ลำแสงพุ่งมาจากที่ไกล ทะลุหัวของเจ้าสิ่งนั้น เจ้าสิ่งนั้นแผดเสียงร้องดังลั่น ล้มลงข้างเท้านางทันที กระตุกอยู่ไม่กี่ทีก็สิ้นใจ

จูเหยียนก้มลงมอง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่คืออสูรทรายที่ถูกนางส่งออกไป ในปากยังคาบร่างครึ่งท่อนที่โชกเลือดคาอยู่ เป็นเจ้าสาวตัวปลอมนั่นเอง

สืออิ่งถือร่มยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้านิ่งเฉย

“มายาบุปผา? นั่นเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ้าหรือ” เขามองมุมหนึ่งของแขนเสื้อสีแดงปักลายทองที่อสูรทรายคาบไว้ในปากพลางเอ่ยเสียงเรียบ…นี่เป็นผ้าไหมบรรณาการของตี้ตูซึ่งมอบให้เฉพาะตระกูลชนชั้นปกครองทั้งหกเผ่าเท่านั้น ลายปักบนนั้นเป็นฝีมือของกองภูษา เป็นชุดพิธีการที่นางผู้เป็นเจ้าสาวสวมใส่ในคืนวันเข้าหอเพื่อดื่มสุราคล้องแขน

“อืม” นางปรายตามองแวบหนึ่ง ได้แต่ยอมรับ

ร่างกายครึ่งท่อนบนของ “จูเหยียน” ผู้นั้นถูกอสูรทรายกลืนเข้าไปในปากแล้ว เหลือเพียงแขนครึ่งท่อนห้อยอยู่ข้างนอก แขนครึ่งท่อนที่ถูกฟันคมของสัตว์อสูรงับไว้ขาวดุจหิมะนวลเนียนดุจรากบัว สิบนิ้วเรียวดุจต้นหอมฤดูวสันต์ย้อมด้วยโค่วตาน[4] ที่นิ้วหนึ่งยังสวมแหวนอัญมณีที่นางมักสวมเป็นประจำ

“หุ่นทำได้ไม่เลว” หายากที่สืออิ่งจะชมนาง “เสียดายที่ไม่เห็นศีรษะ”

“คง…คงถูกกินไปแล้วกระมัง” จูเหยียนนึกถึงสภาพตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดและแผลเหวอะหวะ อดรู้สึกสะท้านสันหลังไม่ได้…วันนี้โชคไม่ดีจริงๆ แผนหนีงานแต่งล่มไม่เป็นท่าไม่พอ ยังถูกบังคับให้ต้องมาเห็นสภาพการตายน่าสังเวชของตัวเอง ช่างไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย

“น่าเสียดาย” สืออิ่งส่ายหน้า “ไม่เห็นศีรษะ ข้าจึงไม่รู้ว่าตกลงเจ้าสำเร็จวิชาหรือไม่”

“…” นางรู้สึกไม่สบอารมณ์ พึมพำว่า “ที่แท้ท่านมาทดสอบข้า…”

ศิษย์อาจารย์สองคนพูดคุยกันได้ไม่กี่คำ ก็มีคนจำนวนมากวิ่งมาทางนี้ ร้องตะโกนเสียงดัง คบไฟสว่างโรจน์ ดุจมังกรเพลิงร้องคำราม กรูเข้ามาล้อมอสูรทรายที่ตายแล้วเอาไว้

เห็นกลุ่มคนมากมายโอบเข้ามา จูเหยียนก็คิดหนีโดยสัญชาตญาณ สืออิ่งกลับกดร่มลง บังศีรษะและใบหน้าของทั้งสองไว้ “ไม่เป็นไร แค่ยืนอยู่ใต้ร่มก็พอ พวกเขามองไม่เห็นเจ้า”

นางอึ้งไป ก่อนจะตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว…นั่นสิ ด้วยพลังบำเพ็ญของอาจารย์ ทั่วทั้งอวิ๋นฮวงล้วนไร้ผู้เทียมทาน หากเขายื่นมือเข้าปกป้องข้า พ่อมดใหญ่เผ่าฮั่วถูนั่นจะนับเป็นตัวอะไร

สองคนจึงกางร่มยืนอยู่กับที่ มองคนกลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามา

“ตรงนี้…จวิ้นจู่อยู่ตรงนี้!” มือธนูที่นำหน้ากระโดดลงจากหลังม้า ตะโกนด้วยความยินดี ทว่าพอเดินเข้ามาเห็นซากศพที่คาอยู่ในปากอสูรทรายเพียงแวบเดียว เสียงก็แผ่วลง เอ่ยเสียงสั่น “จวิ้นจู่…จวิ้นจู่นาง…”

“นางทำไม” มีคนร้องถามเสียงดัง พร้อมเสียงกีบเท้าม้ากระชั้นเข้ามาดุจลมหอบ

คนที่ตามมาติดๆ คือสตรีวัยสี่สิบกว่าแห่งแดนประจิม รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง เสื้อผ้าอาภรณ์งามหรู ทั้งร่างประดับทองคำหนักอึ้ง ม้ายังไม่หยุดดี นางก็กำแส้กระโดดลงจากหลังม้า ท่วงท่าคล่องแคล่วยิ่งกว่าบุรุษ…นั่นคือต้าเฟยของหวังเยียผู้เฒ่าเผ่าฮั่วถู ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของเผ่าในเวลานี้ ทุกคนที่เห็นนางต่างถอยหลบไปด้านข้าง

ทั้งที่รู้ดีว่านางมองไม่เห็นตน จูเหยียนก็ยังอดห่อตัวอยู่ใต้ร่มไม่ได้

“นี่คือแม่สามีของเจ้ากระมัง ดูร้ายกาจทีเดียว” สืออิ่งมองสตรีสูงศักดิ์แห่งแดนประจิมผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง ก่อนจะหันมามองประเมินนางรอบหนึ่ง “เจ้าสู้นางไม่ได้แน่นอน”

“นี่!” จูเหยียนกระตุกแขนเสื้ออาจารย์ แทบจะฉีกเสื้อเขาขาด เรื่องราวบานปลายมากขึ้นทุกที นางไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้ดูละครที่ตนเองเป็นคนกำกับอีกต่อไป แต่ไม่ว่าทำอย่างไรคนน่าโมโหผู้นี้ก็ไม่ยอมไปเสียที

ให้ตายเถอะ ตอนแรกทำไมข้าถึงกราบคนผู้นี้เป็นอาจารย์นะ

“สวรรค์!…” ต้าเฟยกระโดดลงจากหลังม้า เดินเข้ามามองดู สีหน้าพลันซีดเผือด นางชะงักไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ตวาดเสียงเฉียบทันที “อย่าเพิ่งแตะต้อง!”

ผู้กล้าเผ่าฮั่วถูเพิ่งจะล้อมเข้าไป หมายจะดึงคนออกมาจากปากอสูรทราย พอได้ยินเช่นนี้ก็ชะงัก ถอยหลบไปด้านข้าง ต้าเฟยก้าวฉับๆ ไปข้างหน้า คุกเข่าลงบนพื้นหิมะ คว้าแขนข้างที่ห้อยร่องแร่งอยู่ข้างนอก ร่างสะท้านเฮือก สูดหายใจเงียบๆ ด้วยความตระหนก

นางเงยหน้า สั่งคนข้างๆ “ยังช่วยได้! เร็ว ไปตามพ่อมดใหญ่มา!”

“จวิ้น…จวิ้นจู่เป็นอย่างไรบ้าง โอ สวรรค์! นี่มัน…” เวลานี้เอง คนผู้หนึ่งกระหืดกระหอบลงจากหลังม้าอย่างทุกลักทุเล เป็นทูตที่มาจากจยาหลานตี้ตู พอเห็นภาพตรงหน้า แม้แต่เสียงก็ยังสั่นเครือ…ส่งจวิ้นจู่เผ่าชื่อมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่ซูซ่าฮาหลู่ เดิมนี่เป็นภารกิจที่ดีงามยิ่ง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เขาบกพร่องต่อหน้าที่ กลับไปตี้ตูคงต้องถูกตี้จวินลงโทษประหารแน่กระมัง

ในใจของทูตทั้งตระหนกและร้อนใจ ประกอบกับลมหนาวเสียดแทงกระดูก จึงหมดสติไปทันที

“ใครก็ได้ รีบพาใต้เท้ากลับไปพักในกระโจมทอง!” ต้าเฟยไม่ลนลานแม้อยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย สั่งให้คนเผ่าฮั่วถูที่อยู่รายรอบพาทูตจากตี้ตูที่หมดสติออกไป จากนั้นหันไปเหลือบมองแขนที่ห้อยออกมา เอ่ยว่า “จวิ้นจู่ได้รับบาดเจ็บ ร่างกายของธิดาผู้สูงศักดิ์ ไม่เหมาะจะเปิดเปลือยต่อหน้าธารกำนัล ทุกคนถอยออกไปสิบจั้ง ใครเข้าใกล้ประหารทันที!”

“ขอรับ!” นักรบเผ่าฮั่วถูปฏิบัติตามคำสั่งเคร่งครัดมาแต่ไหนแต่ไร ถอยหลังไปพร้อมเพรียงกันทันที

ในค่ำคืนที่ลมหิมะพัดหวีดหวิว ระยะห่างสิบจั้งนับว่าบดบังหูตาทั้งหมดได้

จูเหยียนเร้นกายเฝ้ามองอยู่ข้างๆ อดพึมพำมิได้ “เพ้ย จับชีพจรดูก็รู้ว่าตายสนิทแล้ว นางแม่มดเฒ่าผู้นี้ยังจะเล่นละครเสแสร้ง นางทำเช่นนี้ต้องมีแผนการชั่วร้ายแน่ๆ!”

“แม่มดเฒ่า?” สืออิ่งเลิกคิ้ว “เรียกแม่สามีของเจ้าเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ”

“ใครเป็นแม่สามีข้า” นางแค่นเสียงทีหนึ่ง นึกถึงสภาพอเนจอนาถของอวี๋จีในคอกม้า ส่วนลึกในใจอดรู้สึกเดียดฉันท์มิได้ คิ้วทั้งสองข้างเคียดขึ้ง “หากมิใช่เพราะกลัวจะก่อเรื่องให้ฟู่หวัง ข้าอยากแอบย่องเข้าไปบีบคอแม่มดเฒ่าผู้นี้ให้ตายจริงๆ!”

สืออิ่งไม่ตอบอะไร มองนางด้วยสายตาแฝงความนัยลึกซึ้ง ก่อนจะเบือนหน้าไป

รอจนกระทั่งทุกคนถอยออกไปหมดแล้ว ต้าเฟยของเผ่าฮั่วถูคุกเข่าลงบนพื้นหิมะ เผชิญหน้ากับสัตว์ตัวมหึมาที่ตายไปแล้ว นางถกแขนเสื้อขึ้น ใช้มือเปล่าง้างปากอสูรทรายแล้วดึงร่างลูกสะใภ้ที่ถูกกลืนลงไปออกมา…ศพที่สภาพไม่สมบูรณ์ห้อยลงมา เหนือไหล่ขึ้นไปมีแต่แผลเหวอะหวะ ศีรษะหายไปทั้งหมด

“ไม่เห็นหน้าแล้วจริงๆ” สืออิ่งพึมพำใต้ร่ม “ถูกกัดแทะจนเละไปหมด”

“…” จูเหยียนยืนอยู่ด้านข้าง มุ่นคิ้วพลางกระตุกเสื้อเขาเป็นเชิงให้รีบไปจากที่นี่ ภาพเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยคาวเลือดเช่นนี้นางทนดูไม่ไหวแล้วจริงๆ ขืนดูต่อไปนางต้องอาเจียนออกมาแน่

ทว่ายามนี้เอง คนผู้หนึ่งห้อม้ารุดมา พลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างเร่งร้อน

“แน่ะ นั่นฟูจวิน[5]ของเจ้า หวังคนใหม่เคอเอ่อร์เค่อ” สืออิ่งพลันยิ้ม ชี้บุรุษแห่งแดนทะเลทรายที่หนวดเคราครึ้มเต็มหน้า “เป็นลูกผู้ชายที่ห้าวหาญคนหนึ่ง”

“อัปลักษณ์” จูเหยียนเบ้ปาก แค่นเสียงทีหนึ่ง

ในฐานะธิดาเพียงคนเดียวของชื่อหวัง นางเกิดและเติบโตในจวนหวังอันหรูหราฟุ้งเฟ้อ ตั้งแต่เล็กคนที่นางเลื่อมใสชื่นชมก็คือคนรูปงามล้ำเลิศอย่างยวน เนื่องจากยึดเอาคนงามที่โดดเด่นในหมู่มนุษย์เงือกเป็นบรรทัดฐานความงาม เมื่อเติบใหญ่ มาตรฐานที่นางใช้วัดความหล่อเหลาของบุรุษจึงสูงลิบลิ่ว…แม้กระทั่งอาจารย์ ในสายตานางก็แค่ดูใบหน้าหมดจดองอาจเท่านั้น นับประสาอะไรกับชายฉกรรจ์ในแดนประจิมที่หยาบกระด้างผู้นี้เล่า

“ตื้นเขิน” สืออิ่งส่ายหน้า

“หมู่เฟย! จวิ้นจู่นางเป็นอย่างไรบ้าง” อีกฝ่ายกระโดดลงจากหลังม้า ถามอย่างร้อนใจ ครั้นเห็นศพไร้หัวบนพื้น ลูกกระเดือกก็ขยับเล็กน้อย กลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกปะทะใบหน้า เขาพลันข่มกลั้นความรู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะที่เต็มไปด้วยสุราไว้ไม่อยู่ หันหน้าไปอีกทาง มือหนึ่งยึดอานม้าประคองตัวไว้ อาเจียนออกมาดังโอ้ก…แน่นอนว่าเจ้าบ่าวน่าจะเคยได้ยินมาว่าจูเหยียนจวิ้นจู่ของเผ่าชื่อเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ในใจย่อมเปี่ยมด้วยความคาดหวัง คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ยังไม่ทันได้เข้ากระโจมทองดื่มสุราคล้องแขน สภาพของเจ้าสาวที่เขาเห็นกลับเป็นเช่นนี้

เจ้าบ่าวเหลือบมองตนเพียงแวบเดียวก็อาเจียนไม่หยุด จูเหยียนยืนอยู่ด้านข้าง รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก แทบอยากจะพุ่งเข้าไปที่เบื้องหน้าเขา แก้ไขความเข้าใจผิด…นี่…อย่าไปมองเศษเนื้อกองนั้นเลย นั่นน่ะของปลอม ของปลอม! ข้าหน้าตาไม่เลวเลยนะ! คู่กับเจ้านับว่าเลิศเลอเลยล่ะ

ราวกับล่วงรู้ความคิดของนาง สืออิ่งหันไปมองนางแวบหนึ่ง “เสียใจภายหลังสินะ?”

“เสียใจกับผีน่ะสิ! แค่ไม่คิดว่าสภาพการตายของตนเองจะดูไม่ได้ขนาดนี้…” นางอดดึงแขนเสื้อเขาอีกทีไม่ได้ พึมพำว่า “ตอนนี้เราหนีได้แล้วกระมัง ยังมีอะไรน่าดูอีก…ท่านจะรอดูข้าถูกบรรจุลงโลงแล้วนำไปฝังอย่างนั้นหรือ”

“รออีกประเดี๋ยว” สืออิ่งยังคงไม่ขยับ “อยากหนีเจ้าหนีไปเอง”

นางอยากจะหนีไปจริงๆ แต่พอเงยหน้าก็แข็งค้างไปทั้งร่าง

ท่ามกลางลมหิมะที่พัดกรูเกรียว ชายชราในชุดคลุมยาวสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามา เส้นผมและหนวดเคราขาวโพลน ใบหน้าเหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้ง ทว่าสิบนิ้วกลับประคองเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งไว้…นั่นคือสัวหล่างพ่อมดใหญ่ของเผ่าฮั่วถู จอมเวทผู้เลื่องชื่อที่สุดในแดนประจิม ตัวคนยังมาไม่ถึง พลังกดดันรุนแรงก็พุ่งปะทะใบหน้าก่อนแล้ว

ตอนพ่อมดใหญ่เดินผ่าน เขาหยุดชะงักข้างกายนางเล็กน้อย ดวงตาฉายแววสนเท่ห์ ก่อนจะมองมายังทิศทางของนาง จูเหยียนตระหนักถึงความร้ายกาจของอีกฝ่าย รีบกลั้นหายใจเก็บพลังปราณ หดตัวอยู่ข้างกายอาจารย์ทันที กำแขนเสื้อเขา ยืนนิ่งไม่ไหวติง

หากข้าก้าวพ้นจากใต้ร่มคันนี้ คงถูกจับได้ทันทีกระมัง

“ผู้อาวุโส! รีบมาดูเถิด!” โชคดีที่เวลานี้ต้าเฟยประคองร่างโชกเลือด ร้องตะโกนเรียกเขาเสียงหลง “จวิ้นจู่นาง นางถูกอสูรทรายกัดตายแล้ว! ท่านรีบมาดูเถิดว่ายังพอมีหนทางหรือไม่”

พ่อมดใหญ่ตอบรับพลางหันไปมอง หันเหความสนใจไป จูเหยียนพลันรู้สึกว่าแรงกดดันบนร่างเบาลง อดโล่งอกมิได้

แม้แต่หัวก็ไม่มีแล้ว ยังจะมีหนทางอะไรอีก

ทว่าพอจูเหยียนคิดเช่นนี้ กลับเห็นพ่อมดใหญ่ก้าวเข้าไป โน้มตัวลงมองศพที่ขาดวิ่นไม่สมบูรณ์ ยื่นนิ้วออกไปเขี่ยเลือดเนื้อกองนั้น เอ่ยเสียงแหบ “เหลือแค่นี้เองหรือ ออกจะยากสักหน่อย แต่หากเครื่องสังเวยที่ใช้มีมากพอ ก็ยังพอทดลองดูได้”

อะไรนะ! นางตกใจ หันไปมองอาจารย์

โลกนี้มีวิชาอาคมที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ด้วยหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง พ่อมดใหญ่ผู้นี้มิใช่เก่งกาจยิ่งกว่าอาจารย์อีกหรือ

สืออิ่งกลับมิได้เอ่ยอะไร เพียงมองพ่อมดใหญ่เผ่าฮั่วถูเงียบๆ ดูเหมือนนิ้วมือเรียวที่ถือร่มจะกำแน่นขึ้นเล็กน้อย

ต้าเฟยได้ฟังเช่นนี้ก็สงบใจลงได้ สีหน้าคืนสู่ความสุขุมมั่นคงเหมือนยามปกติ เงยหน้าเอ่ยกับบุตรชาย “เคอเอ่อร์เค่อ เจ้าถอยออกไปก่อน สั่งคนให้ใช้ผ้าปิดล้อมที่นี่ไว้ ห้ามผู้ใดเข้ามาใกล้ส่งเดช” นางเงียบครู่หนึ่งจึงกำชับว่า “หากทูตจากตี้ตูถาม ให้เจ้าบอกว่าพ่อมดใหญ่กำลังช่วยชีวิตจวิ้นจู่ อยู่ระหว่างความเป็นความตาย ไม่สะดวกให้ผู้ใดเข้ามารบกวน เข้าใจหรือไม่”

“ขอรับ” เคอเอ่อร์เค่อรู้นิสัยของมารดาดี จึงมิกล้ามากความ ถอยออกไปทันใด

เพียงไม่นาน พื้นที่โล่งแห่งนี้ก็เหลือเพียงนางกับพ่อมดใหญ่สองคน รวมทั้งศพสองศพบนพื้น

รังสีความน่าเกรงขามของพ่อมดใหญ่รุนแรงเกินไป จูเหยียนถูกกดข่มจนต้องขดตัวอยู่ใต้ร่ม มองดูอย่างอกสั่นขวัญแขวน กระตุกแขนเสื้ออาจารย์เป็นพักๆ ดวงตาแทบจะฉายแวววิงวอนอยู่แล้ว ทว่าสืออิ่งกลับไม่สนใจนางเลย เอาแต่ยืนอยู่กลางลมหิมะ เร้นกายเฝ้าดูสถานการณ์เงียบๆ

“ต้าเฟยไม่อยากให้เคอเอ่อร์เค่อเห็นกระมัง” พ่อมดใหญ่ไอเบาๆ ลูกเพลิงในฝ่ามือวูบไหว “ก็ไม่แปลก ไม่ว่าใครหากเห็นกับตาว่าภรรยาฟื้นคืนชีพจากความตาย หลังจากนี้ยังต้องใช้ชีวิตร่วมกระโจมกับนาง ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ”

พ่อมดใหญ่เอ่ยพลางโน้มตัวลง วางมือลงบนแขนขาดท่อนนั้น หลับตาเล็กน้อย พึมพำอะไรบางอย่าง เปลวไฟในมือลุกพรึ่บทันใด!

ชั่วขณะนั้น จูเหยียนรู้สึกว่าดวงตาของอาจารย์เปล่งประกายวาบ

อีกด้านหนึ่ง พ่อมดใหญ่พลันลืมตาขึ้น “ประหลาด จวิ้นจู่ท่านนี้…ดูไม่เหมือนคนที่มีชีวิต!”

อะไรกัน! ถูกมองออกแล้วหรือ จูเหยียนสะดุ้งในใจ แทบกระโดดผลุงออกไปจากใต้ร่ม กลับได้ยินต้าเฟยถามอย่างงุนงง “แน่นอนว่านางเป็นคนที่ตายไปแล้ว เหตุใดท่านจึงถามเช่นนี้เล่า”

“ไม่ ความหมายของข้าคือ เลือดเนื้อกองนี้ไม่มีกลิ่นอายของชีวิตแม้แต่น้อย” คิ้วยาวของพ่อมดใหญ่ขมวดมุ่น มองสายลมที่พัดอยู่รอบด้าน เอ่ยเสียงเบา “อีกทั้งคนเพิ่งตาย สามจิตเจ็ดวิญญาณ[6]กลับหายไปไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”

“อ๊ะ!” ชั่วขณะนั้น จูเหยียนอดอุทานออกมามิได้

นั่นสินะ หุ่นคนแม้มีเลือดเนื้อ แต่กลับไม่มีสามจิตเจ็ดวิญญาณ! ความแตกต่างข้อนี้ หลอกคนธรรมดาทั่วไปได้ แต่จะหลอกพ่อมดใหญ่ที่มีพลังบำเพ็ญได้อย่างไร เรื่องสำคัญขนาดนี้ ข้าลืมไปได้อย่างไรกันนะ

“ใคร?” พอนางอุทานออกไป พ่อมดใหญ่เผ่าฮั่วถูก็หันขวับ สายตาดุจคบเพลิง ฝ่ามือกำเข้าและคลายออก ฉับพลันเปลวเพลิงกลุ่มนั้นเหมือนลูกธนูพุ่งออกไป ยิงตรงมาที่นาง!

“อ๊า…” นางร้องเสียงหลง มือไม้ปัดป่ายเป็นพัลวันหมายจะต้านทาน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เบื้องหน้ากลับมืดมิด อาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างกายนางลงมือในชั่วพริบตา ปิดปากนางไว้ทันที ขณะเดียวกันก็กดร่มให้ต่ำลงอีก เอียงร่มในมือมาบังศีรษะกับใบหน้านางไว้และหมุนเบาๆ

ดอกเฉียงเวยสีขาวดอกหนึ่งผลิบานเงียบๆ ท่ามกลางหิมะ ดับเพลิงกลุ่มนั้นในชั่วพริบตา

เวลาเดียวกัน นางเห็นนิ้วก้อยของอาจารย์ขยับเบาๆ อสูรทรายบนพื้นที่ตายไปแล้วพลันกระตุกไปทั้งร่าง กระโจนขึ้นจากพื้นหิมะราวกับถูกชักใย แผดเสียงคำราม พุ่งเข้าใส่ต้าเฟยเผ่าฮั่วถูที่อยู่ข้างๆ!

“ระวัง!” พ่อมดใหญ่ตกใจ รีบเบี่ยงตัวเข้ามาช่วย

กระนั้นอสูรทรายที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับดุร้ายเป็นสองเท่า การโจมตีครั้งนี้ทำได้เพียงชะลอความเร็วของมันลงก่อนที่มันจะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง ทำเอาต้าเฟยล้มลงบนพื้นหิมะ มันเตรียมจะขย้ำคอนาง ต้าเฟยเองก็ปราดเปรียวว่องไว ชักดาบพกออกมา แทงลงกลางกระหม่อมของอสูรทราย อาศัยจังหวะนี้ พ่อมดใหญ่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว โบกมือเรียกอสนีสายหนึ่ง

เปรี้ยง! อสูรทรายถูกโจมตีจนร่างแหลกเหลว

เขี้ยวคมของสัตว์อสูรเกือบจะขย้ำลำคอของนางแล้ว แต่สตรีที่แข็งแกร่งผู้นี้กลับไม่ลนลาน เพียงหอบหายใจพลางลุกขึ้นจากพื้น ปัดหิมะที่ติดตามตัว ทว่าเมื่อเห็นอสูรทรายสลายกลายเป็นจุณ นางก็หน้าถอดสีอย่างห้ามไม่อยู่ อุทานออกมาด้วยความตกใจ “แย่แล้ว!”

การจู่โจมครั้งนี้แทบจะทำให้ศพของจูเหยียนถูกทำลายไปทั้งหมด หากเมื่อครู่การประกอบศพขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องยาก ตอนนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง…ศพคนและเลือดเนื้อของอสูรทรายผสมปนเปกันไปหมด

ต้าเฟยยืนนิ่งอยู่บนพื้นหิมะ ตะลึงงันไปพักใหญ่ หยิบเส้นผมสีแดงเข้มปอยหนึ่งขึ้นมาจากกองเลือดเนื้อเละเทะ หันไปถามพ่อมดใหญ่ “คราวนี้จะทำอย่างไรดี”

“นี่มันอะไรกัน เมื่อครู่อสูรทรายตัวนี้ถูกข้าฆ่าตายไปแล้วชัดๆ!” พ่อมดใหญ่สีหน้าเคร่งเครียด มองเลือดเนื้อกองนั้น แววตาวูบไหว เงยหน้ากวาดตาไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง คล้ายต้องการค้นหาบางสิ่งในสายลม “อะไรที่ทำให้เจ้าสิ่งนี้ลุกขึ้นมาจู่โจมได้อีกครั้ง”

สืออิ่งปิดปากจูเหยียน กดร่มลงต่ำเงียบๆ หมุนข้อมือช้าๆ เฉียงเวยสีขาวบนร่มงอกงามอย่างช้าๆ เลื้อยกระหวัดไปมา โอบล้อมพวกเขาไว้ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะ

ลมหิมะส่งเสียงหวีดหวิว บนทุ่งหิมะว่างเปล่าไร้คน

“ประหลาด” พ่อมดใหญ่เดินวนรอบหนึ่ง เมื่อสัมผัสไม่พบสิ่งใด เขาจึงพรูลมหายใจอย่างโล่งอก พึมพำอย่างไม่เข้าใจ “เหตุการณ์เมื่อครู่ออกจะผิดปกติ”

“เราเร่งมือเข้าเถอะ!” ต้าเฟยกำเส้นผมปอยนั้นไว้ในมือ มองเขาอย่างเป็นกังวล “เหลือแค่สิ่งนี้แล้ว ยังสามารถทำได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้จูเหยียนจวิ้นจู่ตายในคืนนี้ไม่ได้เด็ดขาด! มิฉะนั้นแล้วแผนการต่อจากนี้ของเราต้องพังหมดแน่!”

แผนการต่อจากนี้? แผนการอะไร จูเหยียนเต็มไปด้วยคำถาม กลับได้ยินพ่อมดใหญ่ไอหลายที ดึงสายตากลับมามองไปที่เส้นผมปอยนั้น เอ่ยว่า “ไปที่คลังสุสาน เอาผู้หญิงออกมาสิบสองคน…เดี๋ยวนี้เลย ก่อนฟ้าสว่าง!”

มือของสืออิ่งที่ถือคันร่มสั่นนิดๆ ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง

“ได้!” ต้าเฟยสูดหายใจ ลุกขึ้นทันใด

พวกเขาจะทำอะไร คลังสุสานอะไร จูเหยียนมองดูด้วยความสงสัย แต่ไม่กล้าส่งเสียง ได้แต่เหลือบตามองอาจารย์ ทว่าสีหน้าของสืออิ่งกลับเคร่งขรึมยิ่งนัก ถอยหลบไปด้านข้าง เฝ้ามองต้าเฟยมุ่งหน้าไปยังทิศทางของคอกม้าเงียบๆ ดวงตาสาดประกายคมกริบดุจใบมีด

อาจารย์ที่เป็นเช่นนี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

ต้าเฟยเดินอ้อมคอกม้า ผลักประตูห้องเก็บฟืนเข้าไป ชั่วขณะนั้น จูเหยียนสูดหายใจด้วยความตระหนกโดยไม่รู้ตัว พลันคิดถึงแม่ลูกที่น่าสยดสยองและน่าเวทนาในห้องเก็บฟืนคู่นั้น…นางฟันโซ่ตรวนของเด็กคนนั้นขาดแล้ว ไม่รู้ว่าระหว่างที่ชุลมุนกันเมื่อครู่ เด็กคนนั้นฉวยโอกาสพามารดาหลบหนีไปหรือยัง ทว่าลมหิมะรุนแรงเช่นนี้ เด็กที่ผอมแห้งและอ่อนแอคนหนึ่งจะอุ้มไหสุราที่หนักอึ้งจากไปได้อย่างไร

ในใจนางเป็นกังวลเล็กน้อย รู้สึกไม่สบายใจนัก

“เอ๋?” ต้าเฟยเพิ่งจะเดินเข้าไปก็อุทานเบาๆ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว “เกิดอะไรขึ้น เด็กนั่นกับนังแพศยาคนนั้นหายตัวไปได้อย่างไร!”

จูเหยียนพรูลมหายใจด้วยความโล่งอกเงียบๆ

“เจ็บใจนัก ปล่อยให้หนีไปได้! นางหญิงชั้นต่ำนั่น!” ต้าเฟยใช้แส้หวดฟาดข้าวของในห้องด้วยความเดือดดาลจนล้มระเนระนาด “น่าโมโหนัก…รอให้ตามตัวกลับมาได้เมื่อไร ข้าจะจับเจ้าเด็กนั่นตัดแขนตัดขา ทำมนุษย์ไห!”

“อย่ามัวสนใจเรื่องพวกนี้เลย! นี่มันเวลาใดแล้ว!” พ่อมดใหญ่มุ่นคิ้ว ไอเบาๆ ท่ามกลางลมหิมะ มือกำเส้นผมสีแดงเข้มปอยนั้น “หากอยากปกปิดเรื่องนี้ให้ได้ก่อนฟ้าสาง คืนจวิ้นจู่ที่มีชีวิตให้ทูตคงซาง ก็รีบเอาเครื่องสังเวยออกมาจากคลังสุสานให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

มือของต้าเฟยชะงักทันที คล้ายฝืนสะกดอารมณ์เอาไว้

“ได้” นางกัดฟัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “รอประเดี๋ยว”

นางเดินอยู่ในห้องเก็บฟืนเล็กๆ ไม่รู้ทำอะไรบ้าง ได้ยินเสียงเบาๆ ห้องสั่นเล็กน้อย ฉับพลัน พื้นดินแยกตัวออกจากกันเงียบๆ

ใต้พื้นห้องเก็บฟืนเผยให้เห็นทางเข้ามืดทะมึน คล้ายเป็นห้องเก็บสุราลับ

ใต้ดินมีไหสุราเรียงรายเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ

…ทว่าไหสุราแต่ละใบล้วนมีศีรษะคนโผล่ออกมา!

 

 

[1] “จินทั่ว” หรือ “เตียวโต่ว” เป็นเครื่องใช้ในกองทัพสมัยโบราณ ทำจากโลหะ มีสามขาและมีด้ามจับ ปลายด้ามจับมักทำเป็นรูปหัวสัตว์ ยามกลางวันใช้หุงอาหาร ยามกลางคืนใช้เคาะบอกโมงยามเวลาลาดตระเวน

[2] กุหลาบพันธุ์ Rosa multiflora

[3] ลักษณะกรอบผมรูปตัววี (V) ตรงกลางหน้าผาก

[4] น้ำยาย้อมสีเล็บให้แดงในสมัยโบราณ ทำจากกลีบดอกไม้สีแดงสดตำให้แหลกละเอียด ผสมกับสารส้ม นำไปทาเล็บและใช้ผ้าพันหุ้มไว้ชั่วเวลาหนึ่งเพื่อให้ติดสี

[5] คำที่ภรรยาใช้เรียกสามีด้วยความเคารพ

[6] ตามคติของลัทธิเต๋ามีความเชื่อว่าในตัวมนุษย์ประกอบด้วยสามจิตและเจ็ดวิญญาณ โดยจิตทั้งสามได้แก่ จิตฟ้า จิตดิน จิตชีวิต เมื่อตายไป ดวงจิตทั้งสามจะแยกกลับสู่สวรรค์ ดำสู่นรก วนเวียนในสุสาน และจะมารวมกันใหม่เมื่อกลับมาเกิด ส่วนวิญญาณทั้งเจ็ดหมายถึง เจ็ดอารมณ์รับรู้ ได้แก่ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด ใคร่ เมื่อร่างดับสูญวิญญาณทั้งเจ็ดจะสลายไป หรืออาจติดตามดวงจิตไปด้วย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า