ฝ่ากฎรักต่างโลก
Law of a Different World
异世之万物法则
焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน
BlueFeather แปล
นิยาย 3 เล่มจบ
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
———————————————————–
บทที่ 2
เวลานี้เขาไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกแล้ว
โจวอวี้เดินหน้าต่อ ตามข้อมูลที่ได้รับมา ข้างหน้าจะเป็นแผนกวิจัยและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์
ภายในแผนกเละเทะ เครื่องมือและอุปกรณ์ถูกทำลายเกือบหมด สภาพของมันราวกับโดนรถถังบดขยี้อย่างไรอย่างนั้น
โจวอวี้สืบเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย ปลายเท้าเหยียบโดนเศษแก้วของหลอดทดลองจนเกิดเสียงแผ่วเบาท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด เสียงที่ดังขึ้นช่างชวนสั่นประสาท ประหนึ่งว่ามันจะปลุกอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ให้ย่างกรายเข้ามาได้ทุกขณะจิต แต่ถึงอย่างนั้นโจวอวี้ก็ยังคงสงบเยือกเย็น
บนพื้นคือร่างไร้วิญญาณของนักวิจัยหลายคนอยู่ในสภาพการตายอย่างอนาถ ถ้าพิจารณาจากความแข็งของศพ โจวอวี้สันนิษฐานว่าพวกเขาน่าจะตายก่อนที่ตัวเขาเองจะได้รับภารกิจเสียอีก
โจวอวี้เงยหน้าขึ้น เห็นกล้องวงจรปิดตรงมุมเพดาน ด้วยความสามารถในการตรวจสอบระยะไกลของจวี้ลี่กรุ๊ป พวกเขาต้องรู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่พวกนั้นก็ยังสร้างเรื่องโกหกเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือตัวประกัน ทำให้หน่วยของโจวอวี้ต้องมาเป็นเครื่องสังเวย
จำนวนศพที่โจวอวี้นับได้ตรงกับจำนวนของนักวิจัยแผนกวิจัยและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่ทำงานอยู่ในขณะนั้น
หน้าจอคอมพิวเตอร์แตกร้าว ตัวซีพียูพังเละไม่มีชิ้นดี โจวอวี้จึงตรวจสอบไม่ได้ว่าพวกเขากำลังทำงานวิจัยอะไรอยู่กันแน่
เขาเคลื่อนตัวไปยังประตูอีกบานของแผนกวิจัยและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่ถูกปิดไว้
โจวอวี้เบี่ยงไปด้านข้าง ใช้นิ้วดันประตูให้เปิดออก เสี้ยววินาทีนั้นหูพลันได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างที่พิงประตูอยู่ ล้มกระแทกพื้นดังโครม
ยามที่ใบหน้าครึ่งซีกปรากฏขึ้นที่รอยแยกระหว่างประตู โจวอวี้ก็พบว่าร่างนั้นคือจ้าวเฉิง สมาชิกในทีมที่อายุน้อยที่สุด ปากของเขาอ้าออกเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างราวกับอีกฝ่ายได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก่อนตาย ณ ช่วงเวลานั้น หัวใจของโจวอวี้พลันเต้นรัว เขาย่อตัวลงและแตะนิ้วลงที่คอของจ้าวเฉิง…ไร้สัญญาณชีพ
โจวอวี้หลับตาลงอย่างยากลำบาก เพราะไม่รู้ว่าอีกฟากหนึ่งของประตูมีอะไรรออยู่ เขาจึงจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายร่างของจ้าวเฉิงอย่างระวัง จากนั้นจึงผลักประตูให้เปิดออก
ที่ด้านหลังประตูยังคงเป็นทางเชื่อมเลนเดียว ตามข้อมูลที่ได้รับมา ถ้าโจวอวี้จำไม่ผิด เส้นทางนี้จะเชื่อมไปยังศูนย์กลางของสถาบันวิจัย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เอาไว้เพาะเลี้ยงสัตว์สำหรับการวิจัยทางชีววิทยา
โจวอวี้ใช้มือปิดตาของจ้าวเฉิงลง เขาสังเกตเห็นว่าร่างกายของจ้าวเฉิงมีแผลคล้ายกับถูกแทงหลายจุดตั้งแต่คอลงมา พร้อมกับเลือดที่ไหลอาบราวกับสายน้ำ โจวอวี้นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าอะไรที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งเกิดบาดแผลฉกรรจ์เช่นนี้ได้ บนผนังทางเชื่อมปรากฏร่องรอยของกระสุนปืนเต็มไปหมด ปลอกกระสุนก็หล่นอยู่เกลื่อนกลาด โจวอวี้หยิบปืนของจ้าวเฉิงขึ้นมาพินิจดู พบว่าด้านในว่างเปล่า ไม่มีกระสุนเหลืออยู่แม้แต่นัดเดียว
มือของจ้าวเฉิงยังคงแข็งค้างอยู่ในท่าดึงมีดสั้นออกจากเอวเพื่อป้องกันตัว…แต่กับคู่ต่อสู้ที่อำมหิตเช่นนี้
มีดสั้นจะไปทำอะไรมันได้
เมื่อเห็นสภาพการตายที่น่าเศร้าของจ้าวเฉิง โจวอวี้ก็สามารถยืนยันได้ว่าตอนนี้สมาชิกในทีมของเขาคงยากที่จะมีชีวิตรอด รวมไปถึงรองหัวหน้าหน่วยเฉินชงด้วย
ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้หนทางข้างหน้าเป็นขุมนรก โจวอวี้ก็จะฝ่าไปเจอกับเจ้าสิ่งนั้นให้ได้
เขายกปืนขึ้นพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าต่อ ช่วงขาของเขาก้าวยาวมากขึ้นกว่าเดิม ความระแวดระวังถูกลดระดับลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความต้องการที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จักพรรค์นั้น
เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูศูนย์เพาะเลี้ยง ก่อนจะดันประตูเลื่อนออกไปด้านข้าง
ช่วงเวลาที่หัวใจบีบรัด เขาคิดว่าจะมีอะไรโผล่พรวดออกมา ทว่าทุกอย่างกลับเงียบสงัด
อารมณ์ความรู้สึกของโจวอวี้จึงค่อย ๆ สงบลง เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจะตื่นตระหนกและหวาดกลัว เพราะเขามีเปอร์เซ็นต์ที่จะกลายเป็นซากชิ้นเนื้อน่าอนาถเช่นเดียวกับจ้าวเฉิงถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ แต่ความตายนั้นก็ยังไม่มาเยือน หากเป็นเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา โจวอวี้คงรู้สึกว่าความเงียบเชียบเช่นนี้ช่างทรมานเหลือแสน ทว่าตอนนี้…มันเปรียบเสมือนประตูชีวิตอีกบานของเขา
เขาเดินเข้าไปข้างในโดยคิดว่าจะได้เห็นสัตว์ต่าง ๆ ถูกเพาะเลี้ยงอยู่ในกรง ทว่าเขาคิดผิด
พื้นที่ทั้งหมดคือเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพืชหลากหลายชนิดที่โจวอวี้ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วดึงต้นหญ้าเหี่ยว ๆ ที่อยู่ข้างเท้าขึ้นมาเพ่งดู ใบของมันเป็นรูปข้าวหลามตัดและมีลวดลายบางอย่างพาดผ่าน ราวกับมันรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิจากปลายนิ้วของโจวอวี้ ต้นหญ้าที่ถูกดึงขึ้นมาพลันกระจัดกระจายกลายเป็นผุยผงเหมือนกับขี้เถ้า
โจวอวี้ยังพบอีกว่าพืชที่อยู่ในเรือนกระจกแห่งนี้ล้วนเหี่ยวเฉาทุกต้น คล้ายกับว่าพวกมันตายในเวลาเดียวกัน
ทว่านอกจากพืชพวกนี้แล้ว โจวอวี้กลับไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย
ส่วนเรือนกระจกฝั่งตะวันตกคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างกระแทกจนแตก ใกล้ ๆ กันนั้นเขาพบร่างที่สวมชุดเกราะของหน่วยสวาทสองคนนอนกองอยู่บนพื้น
โจวอวี้ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เขาก็ยังต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่ดี
พวกเขาใช้กระสุนจนเกือบหมดแม็ก หากเทียบกับจ้าวเฉิงแล้ว สองคนนี้มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชนกว่า แถมยังฝึกฝนอยู่ในหน่วยมานานหลายปี
คำนวณจากเวลาที่พวกเขาขาดการติดต่อจากศูนย์บัญชาการ พวกเขาน่าจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วินาที
โจวอวี้เงยหน้าขึ้นมองเรือนกระจกที่แตกเป็นรูโหว่ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ฆ่าพวกเขา มันน่าจะเผ่นหนีผ่านรอยแตกนี้ไปแล้ว
โจวอวี้กระชับปืนในมือแน่น กัดฟันกรอด ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงฆ่าไอ้บ้านั่นเท่านั้น!
เขาก้าวข้ามรอยแตกอย่างแน่วแน่ เส้นทางข้างหน้าไร้แสงไฟส่องสว่าง หากยังก้าวต่อไปสิ่งที่รอเขาอยู่ก็มีเพียงรัตติกาลที่มืดมิด
เขารู้ดีว่าในความมืดนั้นจะต้องมีเจ้านั่นอยู่ด้วยแน่
อีกอย่างเฉินชงเพิ่งจะขาดการติดต่อไปได้ไม่นาน บางทีเขาอาจจะหาอีกฝ่ายเจอในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้!
โจวอวี้เคลื่อนตัวเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว แม้จะดูเหมือนไม่มีหวัง แต่ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างก็ถูกปลุกเร้าขึ้นทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นต่อมรับกลิ่น เสียงที่ได้ยิน ความรู้สึกเวลาเหยียบลงพื้นในแต่ละย่างก้าว หรือแม้กระทั่งแรงเสียดทานที่เกิดจากการที่ร่างกายปะทะกับอากาศ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา โจวอวี้มีลางสังหรณ์และปฏิกิริยาตอบสนองที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มี ความรู้สึกที่
เฉียบคมนี้เองที่ทำให้เขารอดพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชมานับครั้งไม่ถ้วน
เขาไม่สนว่ายามที่ออกตัววิ่งจะเกิดเสียงกระทบพื้นดังกังวาน เพราะเขาต้องการจะล่อให้เจ้าสิ่งนั้นออกมา
จู่ ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้า หูได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาจนแทบเลือนหาย
โจวอวี้หันหน้าไปด้านข้าง แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่เขาก็สามารถแยกแยะโครงร่างของเฉินชงได้
ราง ๆ อีกฝ่ายพิงผนังอยู่ในสภาพที่ใกล้จะหมดลมหายใจเต็มที
“เฉินชง!” โจวอวี้เข้าไปประชิดร่างของเพื่อนร่วมทีม ก่อนจะโดนเฉินชงใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักออกอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ผม…บอกว่าห้ามเข้ามาไง…ทำไมหัวหน้าถึงไม่ฟัง…”
โจวอวี้ไม่ตอบเฉินชง เพราะคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว กลับกันถ้าตอนนั้นเปลี่ยนเป็นเฉินชงที่อยู่ในรถบัญชาการ เฉินชงจะต้องเข้ามาช่วยเขาอย่างไม่ลังเลแน่นอน
ที่ตรงนี้มืดเกินไป ทำให้โจวอวี้ไม่สามารถตรวจดูอาการบาดเจ็บของเฉินชงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดฉุนขึ้นจมูก
ขณะที่โจวอวี้กำลังจะประคองเฉินชงขึ้นมา เขาก็พบว่าแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายด้วนกุดไปเสียแล้ว
“มัน…มาแล้ว…”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เฉินชงพูดกับโจวอวี้
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เสียงคืบคลานของอะไรบางอย่างดังมาจากข้างหลังโจวอวี้ ชั่วพริบตาที่เปิดไฟฉายขึ้นและหมุนตัวหันกลับไป โลกทัศน์ของเขาก็พังครืนลงมาทันที!
มันเป็นตัวประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ที่ไร้ผิวหนังห่อหุ้มกล้ามเนื้อ คลานสี่ขา สัญชาตญาณบอกโจวอวี้ว่าเจ้าสิ่งนี้จะต้องมีพละกำลังมหาศาล
สิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปหากโดนแสงสว่างจ้าสาดใส่ย่อมต้องหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ ทว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ไม่มีดวงตา!
หรือไม่มันก็ต้องมีประสาทรับเสียงที่ดีมาก ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่พิเศษที่ผ่านการฝึกมาโดยเฉพาะจะมา
ตายอย่างอนาถทั้งหมดแบบนี้ได้อย่างไร
โจวอวี้กลั้นลมหายใจ หยุดนิ่งทุกการเคลื่อนไหว
สัตว์ประหลาดตัวนั้นแสยะเขี้ยว น้ำลายไหลย้อยน่าขยะแขยง ทว่าโจวอวี้กลับไม่รู้สึกอะไร
เขาเฝ้ามองสัตว์ประหลาดตัวนั้นอย่างระวัง หางยาว ๆ ของมันโบกสะบัดไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่กลางอากาศ บนหางนั่นมีหนามแหลมคมอยู่ประปราย ถ้าโจวอวี้เดาไม่ผิด จ้าวเฉิงคงจะถูกหางนี่เสียบทะลุร่างจนถึงแก่ความตาย ปืนของจ้าวเฉิงและสมาชิกคนอื่น ๆ ถูกยิงออกไปจนหมดแม็กแต่มันกลับไม่เป็นอะไรแม้สักกระผีกเดียว แสดงว่ามันจะต้องเร็วกว่ากระสุน…หรือไม่ กระสุนก็ไม่อาจทำอะไรมันได้
เจ้ามฤตยูตัวเอ้ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว โจวอวี้ที่ยังไม่เข้าใจรูปแบบพฤติกรรมของมันจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวปุบปับ
มันขยับเข้ามาหาโจวอวี้อย่างเชื่องช้า ขณะที่มือขวาของโจวอวี้รั้งอยู่ในไกปืนและพร้อมจะเหนี่ยวยิงได้ทุกเมื่อ ระยะห่างระหว่างเขากับมันเริ่มสั้นลงเรื่อย ๆ โจวอวี้ยกไฟฉายที่อยู่ในมือซ้ายขึ้น โดยไม่ได้คิดจะปิดหรือวางมันลงแต่อย่างใด เหงื่อจากหน้าผากไหลลงไปตามกรอบหน้า สิ่งที่เขาต้องการคือมองสัตว์ประหลาดตัวนี้ให้ชัด ๆ!
แสงสว่างจากไฟฉายเผยให้เห็นใบหน้าของมันที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นน่าเกลียด กล้ามเนื้อแขนขาปูดขึ้นมาเป็นลูก และหางที่แผ่รัศมีโจมตีเป็นวงกว้าง
ยามนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างจากโจวอวี้เพียงไม่กี่เซนติเมตร จวบจนถึงตอนนี้ เส้นประสาทของโจวอวี้ล้วนตึงเครียดจนถึงขีดสุด
สัตว์ร้ายตัวนี้นอกจากจะไม่มีดวงตาแล้ว แม้แต่หูกับจมูกก็ไม่มี!
ถ้าอย่างนั้นมันได้ยินเสียงไหม ได้กลิ่นหรือเปล่า
โจวอวี้ครุ่นคิดอย่างสงสัย
ประจวบเหมาะกับที่แขนเสื้อของโจวอวี้มีเศษกระจกติดอยู่ เขาจึงหยิบมันขึ้นมาและใช้นิ้วดีดออกไปด้วยความว่องไว
เศษกระจกตกลงบนพื้นที่ห่างออกไปไม่ไกล เกิดเป็นเสียงดังก้องขึ้นมาอย่างชัดเจน
ทว่าสัตว์ประหลาดไม่มีการตอบสนองใด ๆ ไม่แม้แต่จะเบี่ยงศีรษะด้วยซ้ำ
ชัดเลย…มันไม่ได้ยิน!
ถ้ามันไม่ได้ยินเสียง แล้วมันฆ่าคนตั้งหลายคนได้อย่างไร
จู่ ๆ เจ้าสัตว์ร้ายพลันเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันจนโจวอวี้ไม่ทันได้ตอบสนองใด ๆ นอกจากเอี้ยวตัวหลบไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ ลางสังหรณ์ที่แม่นยำนี้ช่วยชีวิตโจวอวี้ไว้อีกครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกเจ้าสัตว์ประหลาดกระแทกล้มลงไปแล้ว
ด้านหลังของเขาเกิดเสียงดัง ‘โครม’
หัวใจของโจวอวี้พลันบีบรัดขึ้นมาทันที
เขาค่อย ๆ หันกลับไป สายตามองเห็นอุ้งเท้าของสัตว์ประหลาดจิกจมเข้าไปในผนังพร้อมกับร่างของเฉินชงที่โดนช่วงชิงลมหายใจเฮือกสุดท้ายไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนโจวอวี้ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะขัดขวางไม่ให้เฉินชงถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา
โจวอวี้กำหมัดแน่น เขาจะต้องฆ่ามัน
จะต้องฆ่ามันให้ได้!
“มาดูกัน…ว่าแกจะเร็วได้สักแค่ไหน! ”
โจวอวี้ยันตัวขึ้น ถือปืนไว้ด้วยมือข้างเดียวและออกตัววิ่งด้วยความว่องไว เขาวิ่งไปพลางสาดกระสุนอย่างต่อเนื่อง สัตว์ร้ายตัวนั้นถูกยิงถอยร่นไปสองครั้งก่อนจะกระโจนไปยังพื้นที่ว่างอย่างรวดเร็ว หางของมันสะบัดไปมาไม่หยุดคล้ายกับกำลังระบุตำแหน่งของโจวอวี้
พริบตาเดียวกระสุนก็หมดลงพร้อมกับหางของสัตว์ประหลาดที่สะบัดมาทางศีรษะของโจวอวี้พอดิบพอดี เขาทิ้งตัวลงไปด้านข้างพลางเปลี่ยนซองกระสุนอันใหม่อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะยันตัวขึ้นอย่างปราดเปรียวเพื่อหลบหางของสัตว์ประหลาดที่หวดเรี่ยพื้น
โจวอวี้พบว่ากระสุนที่เขายิงใส่สัตว์ประหลาดไปนั้น โดนร่างกายของมันขับออกมาจนหมด แม้จะสามารถเรียกบางอย่างที่คล้ายกับเลือดออกมาจากตัวของมันได้ ทว่าบาดแผลของมันก็ค่อย ๆ สมานกลับดังเดิม ความสามารถในการฟื้นฟูของมันสูงกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นที่โจวอวี้เคยรู้จัก
โจวอวี้จิ๊ปาก สายตาจับจ้องไปที่มันอย่างเย็นเยียบ
หากจะจัดการสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีแต่ต้องเข้าประชิดตัวมัน ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาจะทำคือกำจัดเจ้าหางน่ารำคาญนั่นให้พ้นสายตา