ลิขิตรักข้ามปรภพ
孟婆
หวนมี่ เขียน
ลีลรักษ์ แปล
เล่มเดียวจบ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
__________________________
ณ ศาลาจันทร์คล้อย
ชายชราเคราขาวหนวดยาวผู้หนึ่งนั่งปั้นหุ่นดินปั้นอยู่ในศาลา ที่ปั้นอยู่คือหุ่นผู้หญิงตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่เกิดแต่จักรพรรดิสวรรค์ มิอาจทำลวกๆ ได้แม้แต่ผมสักเส้น
ผู้เฒ่าจันทรา [1] กำลังปั้นและแกะสลักหน้าตาของหุ่นผู้หญิงอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อปั้นเสร็จก็วางนางไว้บนโต๊ะ มือผอมแห้งหยิบดินเหนียวมากำหนึ่ง คราวนี้เขาตั้งใจจะปั้นหุ่นผู้ชายที่คู่ควรกับนาง
“ผู้เฒ่าจันทรา นี่คือสมุดบันทึกรายนามของครั้งนี้”
นอกศาลา มีสตรีผมขาวหน้าแดงปลั่งผู้หนึ่งยืนอยู่
เรือนผมขาวของนางที่ยาวเลยเอวลงไปพลิ้วตามลม อาบย้อมด้วยแสงสีเหลืองดุจทองคำ ดวงหน้างามเกลี้ยงเกลาหากแต่แลดูเฉยชาอยู่บ้างยามนี้ปราศจากอารมณ์ สวมชุดสีเทาทั้งร่าง กลับดูไม่โดดเด่นสะดุดตา
เจือด้วยปราณทมิฬจากแดนนรกบางเบา
ผู้เฒ่าจันทราหรี่ตาพลางวางหุ่นผู้ชายในมือลง รับสมุดบันทึกรายนามจากมือสตรีผู้นั้น นี่เป็นสมุดบันทึกรายนามของชายหญิงในโลกมนุษย์ที่ยังไม่ได้แต่งงาน “ไฉนแม่เฒ่าถึงต้องมาส่งด้วยตนเองเล่า เพียงให้แม่หนูเซี่ยมาส่งก็ได้ ลำบากแม่เฒ่าแล้วจริงๆ …”
สตรีเบื้องหน้าเพียงกะพริบตาครั้งหนึ่ง มิได้ใส่ใจ “ไม่ต้องเกรงใจ เซี่ยเอ๋อร์ป่วย ข้าต้องมาที่นี่พอดี จึงถือโอกาสนำมาให้ด้วยเลย”
“แม่เฒ่ามาหาข้าผู้เฒ่าที่นี่มีเรื่องใด ให้ข้าผู้เฒ่าช่วยได้หรือไม่”
สตรีผู้นั้นเม้มปากนิดๆ เอ่ยเสียงเนิบ “ความจริงแล้วก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ก่อนหน้านี้องค์หญิงรองแดนนรกตกหลุมรักองค์ชายใหญ่ของราชามังกร จึงไหว้วานให้ข้าถือโอกาสที่มาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของเทพธิดาเจ็ดดาราแวะมาที่นี่สักเที่ยว เพื่อสอบถามเรื่องด้ายแดงระหว่างนางกับเขา” น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าสุ้มเสียงกลับเบายิ่ง ทั้งลุ่มลึกและมืดมน
“อย่างนี้นี่เอง เรื่องนี้ข้าผู้เฒ่าต้องขอดูสมุดบันทึกคู่บุพเพสันนิวาสสักหน่อย แม่เฒ่าโปรดรอสักครู่”
“ได้ รบกวนท่านแล้ว”
ผู้เฒ่าจันทราเข้าห้อง หยิบบันทึกคู่บุพเพสันนิวาสออกมา เมื่อพลิกไปถึงหน้าขององค์หญิงรองแห่งแดนนรกหมิงเย่ว์ก็เงยหน้าขึ้น “แม่เฒ่า คู่สมรสขององค์หญิงรองได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว มิใช่โอรสองค์โตของราชามังกร”
“เป็นผู้ใดหรือ” หญิงสาวถาม สายลมอ่อนเบาพัดชายกระโปรงสีเทาเข้ม กลิ่นอายเย็นเยือกอันน่าพิศวงที่อธิบายไม่ถูกกำจายออกมา
“แม่เฒ่า ลิขิตสวรรค์มิอาจแพร่งพราย” รู้สึกเหนือคาดอยู่บ้างที่สตรีผู้ไร้ซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา [2] ตรงหน้าถามคำถามนี้ กระนั้นพอคิดได้ว่าอาจเป็นองค์หญิงรองฝากนางมาถาม เขาก็มิได้เก็บมาใส่ใจ
“ข้าทราบแล้ว” นางพยักหน้าให้เขา “เช่นนั้นขอตัวก่อน รบกวนท่านแล้ว” ครั้นหมุนตัว รูปลักษณ์สะโอดสะองของหญิงสาวกลับกลายเป็นหญิงชราหลังโกงในบัดดล ความเยาว์วัยบนใบหน้าคล้ายหายวับในพริบตา กลายเป็นวงหน้าที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาเหมือนยายเฒ่า
ผู้เฒ่าจันทราที่ตามหลังมาเห็นได้ชัดว่าชราไล่เลี่ยกัน ทว่าผู้เฒ่าจันทรานั้นหน้าแดงปลั่ง แลดูใจดี เทียบกับท่าทางหม่นหมองของนางแล้ว กลายเป็นข้อเปรียบเทียบใหญ่หลวง
“แม่เฒ่าเดินทางดีๆ เช่นนั้นขอไม่ส่งแล้ว”
นางโบกมือ บ่งบอกว่าไม่ถือสา
เมื่อส่งยายเฒ่าไปแล้ว ผู้เฒ่าจันทราเดินกลับศาลาจันทร์คล้อย เตรียมงานที่เมื่อครู่ยังทำไม่เสร็จต่อ ทันใดนั้นลมหอบหนึ่งพัดมา พัดมัดด้ายแดงที่เขากองสุมไว้ด้านข้างปลิวไป
“อ๊ะ อา…” เขาไม่สนใจหุ่นดินปั้นที่ยังขึ้นรูปไม่เสร็จดี รีบวิ่งตามด้ายแดงไป
วิ่งหลายก้าวจนหอบฮัก ลมก็หยุดพัดแล้ว ด้ายแดงมัดนั้นตกอยู่ตรงหน้าห่างจากเขาราวห้าก้าวได้ จึงไม่รีบร้อนเก็บ หลังจากหายหอบแล้วค่อยจัดการ
อย่างน้อยรู้ว่าด้ายแดงมิได้ตกลงไปยังโลกมนุษย์ จนก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เพราะเหตุนี้ก็พอแล้ว
ผู้เฒ่าจันทราที่รีบร้อนไล่ตามด้ายแดงมิทันสังเกตว่า ห้องที่เขาเผลอเข้าไปโดยไม่รู้ตัวนั้นเป็นสถานที่วางหุ่นดินปั้นของแดนสวรรค์และแดนนรกโดยเฉพาะ
ในบรรดานั้นมีหุ่นเทพผู้สูงศักดิ์หลายตัวถูกจับคู่แล้ววางอยู่ด้วยกัน ตรงข้อเท้าถูกมัดด้วยด้ายแดง เพียงแต่ยังไม่ว่างเก็บไปวางที่โถงคู่ครอง
ลมกระโชกแรงที่พัดมาปุบปับอีกครั้งพัดมัดด้ายแดงลอยจากพื้นปลิวไปหาหุ่นดินปั้นกลุ่มหนึ่ง เส้นด้ายล้วนแผ่กระจายยุ่งเหยิง พันผูกหุ่นดินปั้นหลายตัวนั้นไว้ด้วยกันประหนึ่งแมงมุมถักทอใย ที่เส้นด้ายนั้นยังถูกมัดเป็นปมอยู่หลายปม
“ตายแล้ว! ไฉนถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้…”
ผู้เฒ่าจันทราทอดถอนใจด้วยความเศร้าสลด กระนั้นกลับทำได้เพียงค่อยๆ แก้ปมด้ายแดงกลุ่มนั้นโดยไม่รู้ว่าจะหาปลายด้ายพบหรือไม่อย่างยอมรับชะตากรรม มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หลังแก้ปมด้ายแดงที่สมควรแก้เกือบหมดแล้ว กลับยังมีด้ายแดงเส้นหนึ่งที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็แก้ไม่ออกสักที
ผู้เฒ่าจันทรามุ่นคิ้วขาว มองหุ่นผู้ชายในมือซ้ายของตนซึ่งก็คือหลงอวี้ องค์ชายใหญ่ของราชามังกรที่แม่เฒ่าเอ่ยถึงเมื่อครู่ หลังเงียบไปสักพัก ผู้เฒ่าจันทราพลันรู้สึกว่าเรื่องราวออกจะจัดการยากเสียแล้ว
เหตุที่องค์ชายใหญ่ของราชามังกรยังไม่เคยผูกด้ายแดงกับเทพธิดาองค์ใดจนถึงตอนนี้ เนื่องด้วยชะตาชีวิตของเขาถูกลิขิตไว้แล้วว่า เขาต้องเสร็จสิ้นการลงไปยังโลกมนุษย์ก่อน จึงจะได้รับการพิจารณาเรื่องคู่บุพเพสันนิวาส ก่อนถึงยามนั้น เขาต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย
ถอนหายใจแล้ว ขณะคิดจะรอแล้วค่อยหาวิธีอีกที ขอดูสักหน่อยว่าหุ่นผู้หญิงที่ถูกผูกไว้กับเขาเป็นผู้ใด ทว่าทันทีที่เห็น ทำเอาดวงตาฝ้าฟางของผู้เฒ่าจันทราเบิกกว้างจนเกือบจะถลนออกมา
สะ…สวรรค์! ไฉนถึงเป็นแม่เฒ่าเสียได้ นี่สวรรค์กำลังเล่นตลกหรืออย่างไร
ครั้นนึกถึงแม่เฒ่าที่นำบันทึกรายนามมาส่งให้ ทั้งยังสอบถามเรื่องคู่ครองให้องค์หญิงรอง ผู้เฒ่าจันทราเบื้อใบ้พูดไม่ออกครู่ใหญ่ ผ่านไปนานสองนานก็ได้แต่มองด้ายแดงเส้นนั้นที่พันผูกข้อเท้าของทั้งสองไว้ มิหนำซ้ำตรงกลางยังมีปมปมหนึ่ง ทำเอาเขาอับจนวาจาอยู่บ้าง
เนิ่นนานผ่านไป จึงแว่วเสียงคร่ำครวญแผ่วโหยของผู้เฒ่าจันทรา น้ำตานองใบหน้าชรานั้น
บันทึกคู่บุพเพสันนิวาสภายในศาลาจันทร์คล้อยถูกลมพัดเปิดออก ส่งเสียงดังสวบสาบ ก่อนหยุดนิ่งที่หน้าหนึ่ง
เพียงเห็นว่าด้านล่างนามของหลงอวี้ที่แต่เดิมว่างเปล่าพลันปรากฏนามของคนผู้หนึ่งขึ้น
นามนั้นคือ…
ยายเมิ่ง
[1] เทพผู้บันดาลรักและการแต่งงานตามความเชื่อของชาวจีน มือหนึ่งถือด้ายแดงที่ใช้ผูกหนุ่มสาวที่เป็นเนื้อคู่กัน อีกมือถือไม้เท้าแขวนสมุดบันทึกรายนามคู่บุพเพสันนิวาส
[2] เจ็ดอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี ความโกรธ ความเศร้า ความสุข ความรัก ความชัง และความปรารถนา ส่วนหกปรารถนาคือ การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ