ลิขิตรักข้ามปรภพ
孟婆
หวนมี่ เขียน
ลีลรักษ์ แปล
เล่มเดียวจบ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
__________________________
ณ ศาลายายเมิ่ง
น้ำพุเหลืองไม่เห็นแสงรุ่งอรุณตลอดปี มีเพียงอาทิตย์อัสดงคล้อยต่ำเช่นเคย แสงอัสดงจากดวงตะวันมักเหยียบย่างลงบนผืนธาราลืมเลือนเสมอ ไม่เคยลอยขึ้นและไม่เคยตกดิน ฉุดอารมณ์เศร้าระทมทุกข์ของการพรากจากพลุ่งขึ้นอย่างไร้สาเหตุ วนเวียนอยู่ในอก กลับมิควรค่าที่จะเอ่ยถึง
ศาลายายเมิ่งประกอบด้วยแปลงดอกไม้ล้อมรั้ว ตัวเรือนสร้างจากไม้ ประตูทรงวงเดือนและบ่อศิลา ทั้งเงียบสงัดและงามประณีต
ศาลายายเมิ่งคือสถานที่พำนักของยายเมิ่ง ตั้งอยู่มุมหนึ่งของแดนนรก มืดมิดมาแรมปี กระนั้นก็พอเห็นแสงตะวันบ้างเป็นครั้งคราว ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมอกบางเบา มองจากที่ไกลจะเห็นเพียงเงาของอาคารรางๆ แม้เดินเข้าไปใกล้อีกสักหน่อยก็ยังไม่แน่ว่าจะหาเส้นทางไปที่นั่นพบ
“ท่านยาย…”
เสียงอ่อนหวานเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของสตรีดังมาจากข้างนอก ประตูไม้ที่ทั้งเล็กทั้งเตี้ยถูกผลักเปิดออก หมิงเหยา องค์หญิงเก้าผู้เป็นธิดาองค์สุดท้องของราชาแดนนรกร้องเรียกหลายครั้งแล้วไม่พบคน จึงถือวิสาสะผลักประตูเข้ามา
เมื่อเดินเข้ามาถึงเรือนหลักแล้วยังไม่เห็นคนที่ตนมาหา หมิงเหยากัดริมฝีปาก เดินไปด้านนอกเรือนอีกฝั่งหนึ่ง
อยู่ที่แปลงดอกไม้ทางนั้นหรือไม่หนอ
นางคาดเดาอย่างอาจหาญ ฝีก้าวไม่ชักช้าลังเล เลี้ยวผ่านโค้งหนึ่ง ดึงชายกระโปรงเดินตัวปลิวจนไปถึงอีกด้านหนึ่งของเรือน
ศาลายายเมิ่งจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เชิง หากกล่าวเปรียบเทียบในมุมมองของโลกมนุษย์แล้ว รูปแบบก็คือบ้านชาวนาดีๆ นี่เอง เพียงแต่ไม่มีของประดับตกแต่งหรูหราหลากสีสันมากมายนัก
ยายเมิ่งไม่ชอบสีสัน ดังนั้นทุกสิ่งที่เห็นในเรือนของนาง หากมิใช่สีดำก็เป็นสีเทา อาจจะมีสีขาวด้วย น้อยครั้งนักที่จะปรากฏสีสันให้เห็น
ทว่าส่วนใหญ่มักเป็นของขวัญเสียมากกว่า
“ท่านยาย” ก่อนเหยียบย่างเข้าไปในแปลงบุปผา หมิงเหยาร้องเรียกอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ต้องให้ยายเมิ่งตอบ หมิงเหยาก็เห็นนางตั้งแต่ไกลๆ แล้ว
ผมขาวสะดุดตาทั่วศีรษะนางอาบย้อมด้วยแสงตะวันยามสายัณห์อ่อนจาง คล้ายสีส้ม สีทอง และสีแดง ส่องต้องดวงหน้ารูปไข่ขาวกระจ่างเกลี้ยงเกลาจนกลายเป็นสีชมพูดึงดูดใจคน ใบหน้างามยิ่งมองยิ่งมีเสน่ห์ ทว่ามักราบเรียบไร้อารมณ์เป็นนิจ หากแต่มิได้ลดทอนเสน่ห์และท่วงทีสง่างามของนางแม้สักน้อย ร่างแบบบางอ่อนแอของนางถึงจะสวมชุดสีหมึกกลับสะโอดสะอง ชายแขนเสื้อกว้างพลิ้วปลิวสะบัด กำจายกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำหมึกบางเบา
“ท่านยาย ท่านคิดอันใดอยู่หรือ” หมิงเหยาเดินไปใกล้นาง มองตามสายตานางด้วยความสนใจใคร่รู้ กลับเห็นเพียงซากความเสียหายในแปลงดอกไม้แปลงหนึ่ง
ยายเมิ่งผินหน้ากลับมา แม้ในใจหงุดหงิด กระนั้นก็ยังไม่มีอารมณ์ใดปรากฏบนใบหน้านางแม้แต่นิดเดียว
ราบเรียบเฉยชาเช่นเคย
“ไม่มีสมุนไพรแล้ว ก็เคี่ยวน้ำแกงไม่ได้”
ถึงตอนนั้นดวงวิญญาณที่เดินข้ามสะพานอนิจจังก่อนเวียนว่ายตายเกิดก็จะจดจำเรื่องราวในอดีตชาติได้ นั่นมิใช่เรื่องดีนัก
“เอ๋ แต่ก่อนหน้านี้ท่านยายปลูกไว้แปลงใหญ่มิใช่หรือ” หมิงเหยาเอียงคออย่างงุนงง ถามด้วยความไม่เข้าใจ น้ำแกงลืมชาติคือน้ำแกงที่ปรุงขึ้นโดยใช้ตัวยาสมุนไพรจากโลกมนุษย์หลายชนิด ผสมกับน้ำตาที่คนผู้นั้นหลั่งมาทั้งชีวิต
เนื่องด้วยต้องใช้ตัวยาสมุนไพรปริมาณมาก ดังนั้นยายเมิ่งจึงเพาะปลูกไว้ใช้เอง เพื่อลดความถี่ที่จะต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างโลกมนุษย์กับแดนนรก
“ใช่แล้ว…แต่ตอนนี้สมุนไพรหายไปหมดเลย”
“หา!” หมิงเหยาเบิกตาโตอย่างควบคุมไม่อยู่ อุทานด้วยความตกใจ
ผู้ใดช่างขวัญกล้านัก ถึงกับกล้ากระทำเยี่ยงนี้ ไม่กลัวถูกวังนรกลงทัณฑ์หรือ ก่อกวนการเคี่ยวน้ำแกงของยายเมิ่งคือโทษสถานหนัก!
“ช่างเถิด เรื่องนี้ข้าจัดการเอง องค์หญิงต่างหาก มาที่นี่มีเรื่องใดหรือ”
เมื่อประโยคคำถามมากะทันหัน หมิงเหยาอึ้งทันใด พอหายอึ้งงันแล้ว แก้มชมพูพลันแดงเรื่อ ก้มหน้างุด ท่าทางเหนียมอาย
“เรื่องนั้น ความจริงก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด…” สาวน้อยเผยสีหน้าท่าทีออกมาจนหมดเปลือก หมิงเหยาบิดนิ้วมือที่วางอยู่บนหน้าขา หน้าแดงจรดใบหูราวกับจะหลั่งเลือดออกมา
“แล้วคืออันใด” ยายเมิ่งกะพริบตา รอคำพูดประโยคหลังอย่างสงบนิ่ง
“เอ่อ…ก็ ก็คือ…หลายวันก่อนท่านยายมิใช่ไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเทพธิดาเจ็ดดาราหรือ แล้วพี่หญิงรองมิใช่ทรงรบกวนให้ท่านถามผู้เฒ่าจันทราเรื่องหนึ่งหรอกหรือ”
“จะถามเรื่ององค์ชายใหญ่ของราชามังกรหรือ” ยายเมิ่งมิได้อ้อมค้อม เดาความนัยในวาจาของนางได้ จึงถามตามตรง
“ใช่…” ดวงหน้างามก้มต่ำลงกว่าเดิม แม้พึมพำเสียงเบา กระนั้นก็ยังลอยเข้าหูยายเมิ่งอยู่ดี
ยายเมิ่งเลิกเรียวคิ้วขาวอย่างอดมิได้ ขมวดมุ่นน้อยๆ อย่างมีเสน่ห์ “องค์หญิงรู้ทั้งรู้ว่าเขาคือคนที่พี่สาวของท่านชื่นชม…ท่านเองก็ตกหลุมรักเขาด้วยหรือ”
โอรสราชามังกรผู้นี้มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างไรกันแน่
ไฉนถึงทำให้หญิงสาวทั้งสองที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นโฉมสะคราญล่มเมืองแห่งแดนนรกหลงใหลได้ปลื้มถึงเพียงนี้ นางเฝ้าดูพวกนางเติบใหญ่นับแต่พวกนางยังเด็ก เชื้อพระวงศ์สตรีทั้งหลายในแดนนรกล้วนแต่สนิทสนมคุ้นเคยกับนาง บรรดาองค์ชายและองค์หญิงเหล่านี้จึงยิ่งเคารพผู้อาวุโสเช่นนาง
บางครากระทำผิดก็จะวิ่งมาหาขอให้นางช่วย ด้วยเพราะเคารพฐานะของนางและมิตรภาพที่มีระหว่างกัน ราชากับราชินีแดนนรกจึงมิอาจเมินเฉยคำขอของนาง นางเองก็ใช่ว่าจะตามใจและคอยให้ท้ายตลอด นางเอาใจใส่เด็กรุ่นหลานเหล่านี้ด้วยใจจริง ทั้งยังดูแลและอบรมสั่งสอนเสมือนบุตรของตน
เช่นนี้แล้วจะเกิดเป็นปมในใจอันใดระหว่างคนทั้งสองหรือไม่
นางกลับเป็นกังวลเสียแล้ว
“ข้ารู้…แต่ท่านยาย เหยาเอ๋อร์จนปัญญาจริงๆ พอเห็นครั้งแรก ก็ชอบเขาเข้าแล้ว” นางช้อนตาที่มีน้ำเอ่อคลอ ท่าทางน่าสงสาร เสียงแผ่วโหยคล้ายสะอื้น
“แต่องค์ชายใหญ่ราชามังกรนามหลงอวี้ผู้นั้น…”
“ท่านยายถามแล้วมิใช่หรือ สวามีของพี่หญิงรองมิใช่เขา เช่นนั้นอาจจะเป็นเหยาเอ๋อร์ก็ไม่แน่ จริงหรือไม่” หมิงเหยาลอบมองท่านยายแวบหนึ่ง น้ำเสียงเจือแววยินดีอยู่บ้าง หากกลับมิกล้าแสดงออกมากเกินไปนัก ด้วยกลัวท่านยายจะคิดว่านางแอบดีใจ
“เด็กคนนี้นี่ อย่าเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้จะดีกว่า” ยายเมิ่งเอ่ยเสียงเรียบ นิ้วเรียวยาวงอลงแล้วดีดหน้าผากนางเบาๆ ก่อนเดินไปทางด้านหลังของนาง
“หา ทำไมเล่าเจ้าคะ ท่านยาย…” หมิงเหยาหมุนตัว รีบเดินจ้ำตามหลังยายเมิ่ง บุ้ยปากสีชมพูเล็กน้อย อยากคุยให้ได้คำตอบ
“ท่านยาย กลับมาตอบข้าซิ!” หมิงเหยาเดินจ้ำอ้าวตามขึ้นไป คล้องแขนข้างหนึ่งของยายเมิ่งไว้แล้วเขย่าเบาๆ
ยายเมิ่งหยุดเดิน ชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง “ท่านไม่ต้องดีใจไป ถึงหลงอวี้จะไม่ใช่สวามีของพี่หญิงรองของท่าน ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นสวามีท่านอยู่ดี”
“ข้ารู้แล้ว เพราะอย่างนั้นถึงอยากให้ท่านยายช่วยไปหาผู้เฒ่าจันทราสักเที่ยวหนึ่งอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
“ผู้เฒ่าจันทราพูดอยู่ว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย ไม่ว่าท่านจะถามอีกกี่ครั้งก็ไม่ได้เรื่องหรอก” ยายเมิ่งชักมือออกมาจากอกหมิงเหยา สีหน้าเรียบเฉย ตบมือนางเบาๆ ด้วยความห่วงใย
“ท่านยาย”
“ไม่ต้องเอาแต่คิดถึงเขาแล้ว เอาละ ข้าสมควรไปจัดการธุระแล้ว”
“แต่…”
“ท่านยายเมิ่งอยู่หรือไม่” เสียงเปี่ยมพลังดังมาจากประตู แม้อยู่ในแปลงดอกไม้ซึ่งห่างออกมาหลายหลี่ [1] ก็ยังได้ยิน
“ผู้ใดกัน” หมิงเหยาส่งเสียงแทนยายเมิ่ง ชะเง้อคอถาม
น้อยครั้งนักที่ยายเมิ่งจะเผยรูปโฉมที่แท้จริงของตนให้ผู้คนเห็น ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นที่สะพานอนิจจัง หรือเดินทางไปมาหาสู่กับวังนรก ล้วนอยู่ในรูปลักษณ์ยายเฒ่าหลังค่อมเสมอ มีเพียงยามอยู่ในเรือนพักของตนเองเท่านั้นจึงจะอยู่ในรูปลักษณ์ดรุณีน้อย
“ข้าน้อยหลงเทียนผู้ใต้บัญชาของราชามังกร มีเรื่องมาขอให้ช่วยขอรับ”
ราชามังกรรึ หรือจะเป็นหลงอวี้…
ยายเมิ่งที่ซ่อนกายอยู่หลังเงาของตัวเรือนมองสบตาหมิงเหยาคราหนึ่ง ก่อนพยักหน้า มือขาวดุจหยกยกขึ้น พริบตานั้นนางกลับกลายเป็นหญิงชรา ค่อยๆ ย่างเท้าเดินไปข้างหน้า
หมิงเหยาติดตามอยู่ข้างกายนาง ประคองนางค่อยๆ เดินไปช้าๆ
“ใต้เท้ามีเรื่องใดให้ช่วยหรือ” หมิงเหยาถาม เบิ่งตาโตเป็นประกายวิบวับ มองพิจารณาบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำตรงหน้าผู้นี้
หลงเทียนประสานมือคารวะ “กล่าวตามจริงไม่ขอปิดบัง โอรสขององค์ราชาแห่งข้าจักต้องเสด็จไปโลกมนุษย์ในเร็ววันนี้ จึงอยากขอยาจากแม่เฒ่า เพื่อเตรียมไว้ใช้ในยามจำเป็นขอรับ”
คำขอนี้ทำให้ยายเมิ่งกับหมิงเหยาเหลือบมองหน้ากันแวบหนึ่ง ครู่หนึ่งยายเมิ่งจึงกล่าว “มิใช่ข้าไม่ยินดีช่วยเหลือ แต่แปลงดอกไม้ของข้ามิรู้ว่าถูกผู้ใดรุกล้ำเข้ามาโดยพลการ พืชสมุนไพรทั้งหมดล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย” กล่าวจบ ยายเมิ่งหรี่ตามองเขา สุ้มเสียงแหบต่ำ
ดูประหนึ่งปีศาจร้ายก็มิปาน
“เช่นนั้นไม่รบกวนแม่เฒ่าแล้ว”
เสียงเยือกเย็นน่าดึงดูดใจอีกเสียงดังมาจากด้านหลังของหลงเทียน ครั้นเพ่งมองไป ผู้มาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวมรกต คอเสื้อปักลายด้วยดิ้นเงินเล็กละเอียดส่องประกายเย็นเยียบรำไร ตรงปลายแขนเสื้อเป็นรูปมังกรม้วนตัวทะยานสู่นภา ดิ้นทองขับเน้นให้เห็นความองอาจของมังกรเหินทบทวี กดดันผู้คนให้ต้องมองตรงมา แฝงลมหายใจที่เก็บงำไว้ภายในจางๆ ยามพลิ้วไหวตามลม มังกรเหินแลดูคล้ายดั่งมีชีวิตจริงก็มิปาน
ใบหน้าหล่อเหลาเจือความงามประณีตเล็กน้อยนั้นเฉยชา ดวงตาเฉี่ยวเรียวยาวดูลุ่มลึกคล้ายอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย แต่ความจริงแล้วกลับไร้อารมณ์หรี่ลงกึ่งหนึ่ง เพียงเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก็แผ่ความน่ายำเกรงออกมา พาให้ทุกคนมิอาจมองข้ามโดยสิ้นเชิง
วงหน้าเล็กของหมิงเหยาขึ้นสีแดงทันใด นางคลายมือที่ประคองยายเมิ่งออกแล้วทำความเคารพเขา ท่าทางกรีดกรายของดรุณีน้อยเผยออกมาจนหมดสิ้น
“หมิงเหยาคารวะรัชทายาท”
ยายเมิ่งได้ฟัง ก็ลอบมองประเมินหลงอวี้ที่อยู่ตรงหน้าโดยมิมีพิรุธ
เป็นยอดคนอย่างที่คิดไว้จริงๆ ทั้งหล่อเหลาและสูงโปร่ง สมแล้วที่สาวน้อยทั้งสองหลงใหลได้ปลื้มเขาถึงเพียงนี้
“ข้าผู้เฒ่าถวายบังคมรัชทายาท”
“คารวะทั้งสองท่าน” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา ทว่ามิได้ขาดมารยาทประเพณี เรียกไม่ได้ว่าเสียมารยาท แต่ก็มิใช่ว่าจะใกล้ชิดสนิทสนมได้โดยง่ายเช่นกัน
รัชทายาทของราชามังกรนามหลงอวี้ผู้นี้ คล้ายดั่งยอดเขาสูงชันที่มิอาจพิชิต
ยายเมิ่งหลุบตาลง ในใจมีความคิดมากมายหลายหลาก “ความจริงสมุนไพรมิใช่ว่าไม่มีเลย เพียงแต่ต้องไปเก็บที่โลกมนุษย์ หากรัชทายาทไม่รังเกียจ ขอเชิญไปด้วยกันกับองค์หญิงเก้าเถิด”
หมิงเหยาได้ฟังก็ดีใจ กระนั้นกลับไม่กล้าแสดงออกชัดมากเกินไปนัก พลันก้มหน้าลง ท่าทางขวยอายชวนให้คนเอ็นดู
หลงอวี้เหลือบมองหมิงเหยาปราดหนึ่ง ก็รู้ความคิดของยายเมิ่ง โพล่งทะลุกลางปล้อง “เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว เสด็จพ่อเพียงทรงเตรียมไว้ป้องกันล่วงหน้าเท่านั้น ขอบคุณแม่เฒ่ามาก” พอพยักหน้าแล้วก็หมุนตัวตั้งท่าจะจากไป ทว่าหลงเทียนกลับขวางเขาไว้
“กระหม่อมบังอาจทูลขอร้องรัชทายาทว่าอย่าได้ทรงกระทำการบุ่มบ่ามจะดีกว่า รับสั่งขององค์ราชา หวังว่ารัชทายาทจะไม่ทรงละเลย!” หลงเทียนรู้อยู่แล้วว่าการกระทำเช่นนี้ขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติอย่างร้ายแรง จึงคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ก้มหน้าขอร้อง
หมิงเหยากัดริมฝีปากล่าง ขอบตามีน้ำคลอเสียแล้ว
เนื่องด้วยการกระทำนี้ของเขา
นายบ่าวสองคนคุมเชิงกันครู่ใหญ่ สักพักหลงอวี้ถอนหายใจ “ช่างเถอะ เจ้าลุกขึ้นเถิด”
จากนั้นเขาค่อยๆ หันหลังกลับมา “ข้อเสนอของแม่เฒ่า ผู้น้อยขอรับไว้ เพียงแต่ผู้น้อยอยากขอเปลี่ยนคนสักหน่อย”
ยายเมิ่งช้อนตาขึ้นมอง น้ำเสียงยังคงไม่รีบไม่ร้อนมิเปลี่ยน “รัชทายาทเชิญกล่าว”
“ขอให้แม่เฒ่าไปกับผู้น้อยด้วยแล้วกัน”
ยายเมิ่งอึ้งงันทันใด
“เอ๋” หมิงเหยาเบิ่งตาโตอย่างเหลือเชื่อ มองสลับไปมาระหว่างหลงอวี้กับยายเมิ่ง…
ไม่อยากเชื่อเลยว่า หลงอวี้จะยอมเลือกยายเฒ่าคนหนึ่ง แต่ไม่ยอมเลือกนาง…
ชั่วพริบตาที่เกิดประกายวาบ ท่ามกลางแสงอัสดงหมิงเหยาคล้ายมองเห็น…
ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนที่ยืนอยู่นั้น ดูเหมือนมีสายใยเล็กๆ เชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน
หมิงเหยาตะลึงงัน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองนางกะทันหัน แต่แล้วนางก็ส่ายศีรษะ
ไม่ ไม่ใช่หรอก
ด้ายแดงของผู้เฒ่าจันทราจะพันผูกพวกเขาสองคนได้อย่างไรกัน
ใช่ ทุกอย่างเป็นนางที่คิดมากไปเอง
นางเพียงคิดมากไปเองเท่านั้น…
เนื่องจากต้องไปโลกมนุษย์ ภาระงานที่ต้องให้ดวงวิญญาณดื่มน้ำแกงลืมชาติก่อนเดินขึ้นสะพานอนิจจังจึงต้องไหว้วานให้ผู้อื่นทำแทน
“เจี้ยงเหนียง เรื่องนี้ขอฝากเจ้าด้วย” ยายเมิ่งยืนอยู่หน้าสะพานอนิจจัง มอบหมายงานให้หญิงงามในชุดสีแดงชาด
เดิมนางคือผู้ต้อนรับและผู้นำทางซึ่งประจำอยู่ริมฝั่ง บางครั้งเวลายายเมิ่งมีธุระต้องปลีกตัวไป นางจะมารับหน้าที่แทน
“ได้ ท่านยายเดินทางดีๆ ผู้น้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน” สุ้มเสียงนางนุ่มนวลเสมือนดั่งลมวสันต์อบอุ่นในเดือนสาม โชยระรื่นสบายใจ อบอุ่นและเบาบาง
“อืม”
หลงอวี้ที่อยู่ด้านหลังรอนางอยู่ริมธาราลืมเลือน
หลังกำชับจบ ยายเมิ่งเดินโขยกเขยกไปหาเขา หลงอวี้ชำเลืองมองแวบหนึ่ง ก่อนเดินขึ้นหน้าหลายก้าวไปประคองนางข้างๆ
“ผู้น้อยประคองท่านแล้วกัน”
นางรู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าบุรุษที่ดูเฉยชาผู้นี้จะเอาใจใส่เช่นนี้
หรือที่เด็กสาวสองคนนั้นตกหลุมรักเขา มิใช่เพียงเพราะรูปลักษณ์ของเขา
“ไม่ต้อง อีกสักพักก็ถึงแล้ว” ยายเมิ่งกล่าว ไม่สนใจสีหน้าไม่เข้าใจของหลงอวี้ที่อยู่ข้างๆ สองมือทำมุทระ [2] แสงสายหนึ่งปกคลุมทั้งสอง เจิดจ้าบาดตาจนทำเขาลืมตาไม่ขึ้น
คล้ายเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วพริบตา รอจนแสงแรงกล้าหายไป เสียงของยายเมิ่งก็ตามมา
ทั้งเยือกเย็นและเลือนรางเพียงนั้น
“ถึงแล้ว”
หลงอวี้ลืมตามอง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือทิวทัศน์ของโลกมนุษย์จริงๆ …สีเขียวขจีทอดยาวเป็นแผ่นผืนไพศาล ป่าไม้เขียวชอุ่มเผยให้เห็นบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ผลิอันเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา สีเขียวอ่อนท่ามกลางแสงสว่างปรากฏเป็นหย่อมละลานตา
สายลมอ่อนที่โชยมาปะทะร่างล้วนพัดพากลิ่นอายสดชื่นสบายใจของหญ้าเขียวสดมาให้เล็กน้อย
ยายเมิ่งโบกมือคราหนึ่ง ทั้งการแต่งตัวและรูปลักษณ์ของทั้งสองกลายเป็นชาวบ้านที่แสนธรรมดายิ่งเสียแล้ว หากมองเพียงผิวเผิน ทั้งสองคนดูคล้ายคู่ยายกับหลานทั่วๆ ไป
“ไปกันเถิด รัชทายาท”
“อืม” หลังรับคำเสียงเบา หลงอวี้ประคองยายเมิ่งเดินไปยังเมืองเล็กๆ ตรงหน้า
หลังมาถึงร้านขายยาและซื้อยาที่ต้องใช้ด่วนตามใบสั่ง รวมถึงพืชสมุนไพรที่จะนำไปปลูกเสร็จแล้ว เดิมทียายเมิ่งคิดจะตรงกลับแดนนรกทันที ทว่าทันใดนั้นนางพลันฉุกคิดขึ้นได้ว่า ภายใน “หอหงส์เยือน” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มีของว่างอย่างหนึ่งที่องค์หญิงแห่งแดนนรกชอบกิน นางจึงเดินไปทางนั้น
หลงอวี้เข้าใจว่านางมีสิ่งของที่ยังไม่ได้ซื้อ จึงเดินตามหลังนางโดยไม่พูดสักคำ กระทั่งยืนอยู่ใต้ป้ายชื่อหอหงส์เยือน
“แม่เฒ่า พวกเรามาที่นี่เพราะเหตุใดหรือ” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาปราศจากอารมณ์ ทั้งยังติดเย็นชาเล็กๆ ด้วยซ้ำ หากน้ำเสียงกลับมิได้ไม่พอใจแต่อย่างใด
“ข้าอยากนำของว่างกลับไปฝากพวกนางสักหน่อย พวกองค์หญิงองค์ชายที่วังนรกล้วนชอบขนมของหอหงส์เยือนนี้ยิ่งนัก ท่านมิสู้ลองชิมสักหน่อย” ยายเมิ่งเพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก็เดินไปข้างหน้าโดยไม่ปรึกษา
หลงอวี้มิได้กล่าวคำใดอีก ก้าวย่างอย่างมั่นคงรุดตามไป คอยปกป้องร่างงองุ้มของยายเมิ่งอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยท่ามกลางผู้คนที่สัญจรไปมา ทำให้นางเดินได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเลือกนั่งลงตรงมุมหนึ่งแล้ว ลักษณะท่าทางของทั้งสองคนเฉกเช่นเดียวกับชาวบ้านบนโลกมนุษย์ มิได้ให้ความรู้สึกแปลกแยกแม้แต่น้อย
พอเสี่ยวเอ้อร์ของร้านทักทายพวกเขาแล้ว ก็รีบไปทำงานของตนต่อ
กลุ่มคนที่เดินเข้าๆ ออกๆ หอหงส์เยือนนั้นไม่น้อย โต๊ะแต่ละตัวมีคนนั่งเต็มแทบทุกโต๊ะ แต่กลับไม่มีเสียงสนทนาดังอึกทึกเหนือคาด ดูจากบรรยากาศคึกคักตรงหน้านี้แล้ว กิจการของหอหงส์เยือนนั้นนับว่าไม่เลวเลยจริงๆ
“แม่เฒ่าจะกินอันใด” หลงอวี้เหลือบตาขึ้นถามยายเมิ่งที่กำลังดื่มน้ำชา
“ไม่กินเนื้อสัตว์ นอกนั้นได้หมด” นางเอ่ยเรียบๆ
“ผู้น้อยทราบแล้ว” หลงอวี้โบกมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ของร้านเพื่อสั่งอาหาร
ขณะเดียวกันที่แดนนรก ภายในห้องยาของศาลายายเมิ่ง
“แปลกจริง…อยู่ที่ใดกันแน่” หมิงเหยาก้มกาย มองหาของภายในห้องยาของศาลายายเมิ่ง
ตูู้ไม้ตั้งอยู่รอบด้าน ภายในตู้แต่ละใบมีขวดวางเรียงรายเป็นแถว หมิงเหยาดูทางฝั่งนั้นเสร็จ แล้วเดินมาทางนี้อีก ก็ยังหาขวดยาที่ราชินีแดนนรกต้องการไม่พบอยู่ดี
“ขายหน้าจริง อุตส่าห์คุยโวกับเสด็จแม่ไว้ว่าข้าคุ้นเคยกับยายเมิ่งดี อีกประเดี๋ยวถ้าหาของที่เสด็จแม่ต้องการไม่พบ จะทำเช่นไรดี ไม่รู้ว่าท่านยายจะกลับมาเมื่อไร…”
หมิงเหยากัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิด เดินวนไปวนมาในห้อง ด้วยหวังว่าสมองตนเองจะใช้การได้บ้าง พยายามเค้นสมองคิดโดยด่วนว่ายายเมิ่งเก็บขวดกระเบื้องเคลือบสีขาววาดลายดอกไม้ขวดนั้นไว้ที่ใด
เนื่องด้วยขบคิดจนตกอยู่ในภวังค์ หมิงเหยาจึงมิทันสังเกตเห็นว่าตนเองค่อยๆ เข้าใกล้ตู้ลิ้นชักเล็กๆ ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง รอจนนางได้สติ ก็เตะมันเข้าอย่างจังเสียแล้ว
ลิ้นชักของตู้ที่ปิดไม่สนิทดีจึงเปิดออก สิ่งของภายในร่วงลงมา เสียงขวดกระเบื้องเคลือบหล่นแตกดังขึ้นทันใด ขณะที่ขวดหล่นกระแทกพื้นจนแตกละเอียดคล้ายมีบางสิ่งลอยออกมาด้วย ทว่าก็เหมือนเป็นเพียงความรู้สึกลวงเท่านั้น
หมิงเหยามิทันสังเกต เพราะความเจ็บปวดจากเล็บเท้าพุ่งสู่หัวใจ ทำเอานางน้ำตาคลอ เจ็บจนตัวงอ
“อูย เจ็บ!” หมิงเหยานั่งลงกับพื้นทันที ถอดรองเท้าผ้าปักออกแล้วสำรวจแผลของตนเอง
นิ้วหัวแม่เท้าบวมแดง มีรอยฟกช้ำเล็กน้อย
“เจ็บ…” นางร้องไห้สะอึกสะอื้นสักพัก จากนั้นเหลียวมองรอบด้าน หาว่ายารักษาแผลเก็บไว้ในตู้ใบใด
ครั้นมองรอบหนึ่ง สายตานางพลันหยุดนิ่งที่พื้นตรงหน้า
เศษขวดกระเบื้องเคลือบกองนั้น
จบกัน…
“ท่าจะไม่ดี” สี่คำนี้พลันผุดขึ้นในใจหมิงเหยา สมองนางว่างเปล่า กลืนน้ำลายอึกหนึ่งเพราะเครียด จ้องเศษกระเบื้องเคลือบสีเขียวตรงหน้าอย่างงงงัน
นางรู้จักขวดใบนี้
นี่คือขวดกระเบื้องเคลือบที่บรรจุเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของท่านยาย
เนื่องด้วยท่านยายเป็นเทพแห่งแดนนรก และเป็นผู้ควบคุมความทรงจำของดวงวิญญาณที่จะเข้าสู่สังสารวัฏ หากมีอารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป อาจใจอ่อนต่อคำขอร้องของดวงวิญญาณเหล่านั้นแล้วไม่ให้พวกเขาดื่มน้ำแกงลืมชาติ ซึ่งจะทำให้เสียระเบียบของกฎเหล็กแห่งวังนรกนี้ได้
ไม่ว่าจะกล่าวในแง่มุมใดล้วนมิใช่เรื่องดีทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ยามที่จักรพรรดิสวรรค์มีราชโองการแต่งตั้งท่านยายเป็นเทพแห่งแดนนรก จึงผนึกอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกของยายเมิ่งไปพร้อมกัน ฉะนั้นแล้วท่านยายสมควรเป็นผู้ที่มีอารมณ์ความรู้สึกเบาบางที่สุดในบรรดาทวยเทพทั้งปวง
ยามนี้ขวดกระเบื้องเคลือบเจ็ดขวดแตกห้าขวดเหลือเพียงสองขวด…
“แย่แล้ว แล้วนี่จะจัดการอย่างไรดีเล่า…” ยิ่งคิดยิ่งแย่ พอคิดถึงผลลัพธ์สุดท้าย หมิงเหยาก็แทบจะร้องไห้แล้ว
จะให้ไปมอบตัวสารภาพผิดกับเสด็จแม่ก็คงไม่ได้กระมัง
ถึงสารภาพผิดแล้ว เสด็จแม่หรือเสด็จพ่อจะมีวิธีแก้ไขหรือ
หมิงเหยานั่งอึ้งบนพื้น สะกดความว้าวุ่นใจไว้ สมองคิดวนไปมา หากกลับไร้ซึ่งหนทาง มุ่นคิ้วโก่งงามด้วยความขัดเคือง
“เวทเรียกวิญญาณจะใช้ได้หรือไม่หนอ” ความคิดพิสดารมิรู้มาจากที่ใด หมิงเหยาพึมพำ ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนทำมือมุทระซับซ้อน ปากบริกรรมคาถา
ทันใดนั้นลมประหลาดระลอกหนึ่งพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นพัดมา หอบทุกสิ่งเบื้องหน้าหมิงเหยาจนว่างเปล่าไร้สิ่งใด ทว่าลมที่พัดโหมกะทันหันนั้นได้กวาดขวดกระเบื้องอีกสองขวดที่เหลือหล่นลงมาแตกด้วย
เช่นนี้ขวดทั้งเจ็ดจึงแตกหมด
ยิ่งแย่กว่าเดิม
“…” หมิงเหยาตกตะลึงพรึงเพริด มองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วร่ำไห้ออกมา
[1] หน่วยวัดระยะทางของจีน 1 หลี่ เท่ากับ 500 เมตร
[2] หรือมุทรา คือการทำมือเป็นท่าสัญลักษณ์ต่างๆ ทางจิตวิญญาณ มาจากความเชื่อทางศาสนาฮินดูและพุทธในอินเดีย มักทำขณะฝึกจิต