小蘑菇
เจ้าเห็ดน้อย
一十四洲 อีสือซื่อโจว เขียน
Isamare แปล
— โปรย —
“อย่าไปเลย … เจ้าเห็ดน้อย” คำเว้าวอนของอานเจ๋อ
มนุษย์เพียงคนเดียวที่เจ้าเห็ดน้อย ‘อันเจ๋อ’ รู้จัก ดังขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ
การไปยังฐานทัพมนุษย์เป็นอันตรายอย่างมากต่อพวกกลายพันธุ์อย่างเขาทว่าจะทำอย่างไรได้
ในเมื่อสปอร์ของเขาถูกคนช่วงชิงไป หากเขาอยากได้มันคืน
มีเพียงต้องเสี่ยงเท่านั้น ดังนั้นการเดินทางของเขาจึงเริ่มต้นขึ้น
ทว่าแค่ถึงประตูเมืองแล้วได้พบกับ ‘ผู้พิพากษา’ ท่านนั้นก็เล่นเอาขาเขาสั่นพั่บ ๆ
แล้วอีกฝ่ายไม่เชื่อว่าเขาเป็นมนุษย์ แถมยังจับตามองและแกล้งเขาไม่หยุดหย่อนอีก
แต่ถึงอย่างนั้น ภายใต้ความกลัว ความหวาดวิตก และถ้อยคำในแง่ลบต่าง ๆ ที่สมองของมนุษย์
คิดขึ้นมาบั่นทอนกำลังใจ อันเจ๋อกลับรู้สึกได้ถึงเกราะป้องกันที่ลู่เฟิงมอบให้เขา…
สิ่งนี้ในภาษามนุษย์เรียกว่าอะไร เขาที่เป็นเห็ดดอกน้อยไม่อาจรู้ได้เลย
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
‼️TRIGGER WARNING : นิยายเรื่องนี้ NOT FOR EVERYONE ‼️
มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Blood (มีเลือด) , Gore (เนื้อหามีความโหดร้ายแบบกระซวกตับไตไส้พุง)
, Attempted sexual harassment (การพยายามล่วงละเมิดทางเพศ)
, Mentioned suicide thought (มีการกล่าวถึงความคิดว่าจะฆ่าตัวตายแต่ไม่ได้บรรยายชัดเจน)
, Massacre (การสังหารหมู่) , Abuse (การทำร้ายร่างกาย) / Torture (การทารุณ ทรมาน)
, Self-Sacrifice (การพลีชีพตัวเอง) , Violence (การใช้ความรุนแรง) , Women Oppression (การกดขี่เพศหญิง)
บทที่ 1
ภายในถ้ำอันสลัวรางและเปียกชื้นสว่างเรืองรองด้วยแสงอ่อนจางจากพืช
บนผนังถ้ำมีเครือเถาวัลย์สีเขียวแก่ ม่วงเข้ม และดำดุจหมึกเกาะเกี่ยวกันราวกับงูตัวใหญ่ขดม้วนอย่างซับซ้อน
แมลงสีดำตัวหนึ่งบินส่ายถลันเข้ามา มันมีปีกแข็งแรงหกปีก และปากอีกสามปาก
วินาทีถัดมากลางเครือเถาวัลย์พลันปรากฏบางสิ่งที่มีขนาดมหึมาสีม่วงเข้มพองขยายขึ้น มันปริแยกออกอย่างรวดเร็วคล้ายกับปาก จากนั้นก็หุบฉับ กลืนแมลงลงสู่ท้อง
กลุ่มเถาวัลย์ค่อย ๆ เลื้อยขยุกขยิก ส่วนที่พองขยายขึ้นมาก็ค่อย ๆ หดลงกลับคืนสู่สภาพเดิม
ภายในถ้ำเกิดเสียงคล้ายปีกกระพือ เมือกหยดหนึ่งพร้อมด้วยเส้นใยบาง ๆ กึ่งโปร่งใสไหลยืดลงมาจากเพดานถ้ำหยดติ๋งลงบนมอสส์ชื้นตามแนวพื้น เมื่อพวกมอสส์ขยับไหว เมือกวาวหยดนี้ก็ถูกดูดซับจนหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึมหายไปกับพื้นอย่างไร้ร่องรอย
เห็ดราสีเขียวตรงมุมถ้ำแผ่แสงเรืองรอง กลางซอกหินและดินพลันปรากฏบางสิ่งสีขาวคล้ายกับกระแสน้ำพวยพุ่งออกมาแผ่ปกคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง เป็นเส้นไฮฟา[1]สีขาวราวหิมะ มันยืดยาวแผ่ขยาย ยื่นหนวดสัมผัสนับไม่ถ้วนออกมา สุดท้ายก็พุ่งเลี้ยวลดไปยังใจกลางก่อนจะหยุดลง รวมตัว แล้วถักทอกลายเป็นโครงร่างกาย เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนมอสส์หนานุ่มเปียกชื้น มอสส์ยุบยวบลงปกคลุมหลังเท้า เผยเพียงข้อเท้าขาวดุจหิมะ
อันเจ๋อมองข้อเท้าของตนเองในร่างกายมนุษย์ แขนขาประกอบกันโดยมีโครงกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเลือดค้ำประคองขึ้นมา ข้อต่อขยับเคลื่อนไหวได้ แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของโครงกระดูกจึงไม่ยืดหยุ่น ชั้นหนังกำพร้าประกอบกันเป็นเล็บมนเกลี้ยงใส เป็นผลลัพธ์ของการแปรสภาพจากเล็บแหลมคมของสัตว์
เขายกขาเดินหนึ่งก้าว มอสส์ที่ถูกเหยียบยุบก่อนหน้านี้เปียกชื้นแต่ยืดหยุ่น หลังจากที่เขาเดินออกไปก็ฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ประหนึ่งไส้เดือนผุดตัวยกขึ้น
ครั้งนี้ฝ่าเท้าเขาเหยียบโดนสิ่งอื่น เป็นข้อมือมนุษย์ซึ่งเหลือแต่กระดูก
อันเจ๋อมองดูโครงกระดูกนั้นท่ามกลางความสลัว
เห็ดราและเถาวัลย์หยั่งรากลงไปในส่วนลึกของโครงกระดูกนั้นแล้ว บนกระดูกสะโพกและขามีเถาวัลย์สีเขียวแก่พันเลื้อย บริเวณกระดูกซี่โครงกลายเป็นแหล่งเจริญเติบโตของเห็ดน้อยหลากสีสันราวกับดอกไม้ผลิบาน
เห็ดเรืองแสงงอกขึ้นในเบ้าตากลวงและกระจายตามแนวฟัน แสงสีเขียวแผ่รัศมีคล้ายเม็ดทรายละเอียด แลดูเลือนรางท่ามกลางหมอกภายในถ้ำ
อันเจ๋อมองมันเนิ่นนาน สุดท้ายก็โน้มตัวลงเก็บกระเป๋าสะพายที่ทำจากหนังสัตว์ข้างโครงกระดูกขึ้นมา ข้าวของที่เก็บไว้ข้างในไม่ได้ถูกความชื้นแทรกซึม เป็นเสื้อผ้าไม่กี่ชุด อาหารและน้ำดื่มสำหรับมนุษย์ รวมถึงไมโครชิปสีฟ้าขนาดครึ่งฝ่ามือชิ้นหนึ่ง บนไมโครชิปสลักชุดตัวเลข 3261170514 เอาไว้
เมื่อสามวันก่อน โครงกระดูกนี้เคยเป็นมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจ
‘3261170514’ เสียงมนุษย์วัยรุ่นแหบแห้งและติดขัด แสงเรืองรองสีเขียวมอสส์ภายในถ้ำสะท้อนบนใบหน้าเขา ‘หมายเลขไอดีของฉัน ส่วนนี่คือไอดีการ์ดของฉัน ต้องมีมันฉันถึงจะกลับฐานทัพมนุษย์ได้’
อันเจ๋อถาม ‘ให้ผมช่วยพาคุณกลับไปไหมครับ’
มนุษย์ระบายยิ้ม มือขวาตกลงแผ่วเบาวางแนบลำตัว แผ่นไมโครชิปกลิ้งตกจากฝ่ามือแทรกลงไปในมอสส์สูง ๆ ต่ำ ๆ เขาพิงแผ่นหลังเข้ากับผนังถ้ำแล้วเงยหน้าขึ้น มือซ้ายกดลงบนหน้าอกของตนเอง บริเวณนั้นมีบาดแผลขนาดใหญ่ กระดูกสีเถ้าแทงจากหน้าอกส่วนหน้าทะลุไปถึงแผ่นหลัง ผิวหนังรอบ ๆ เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นสีเถ้าซึ่งมีก้อนเลือดจับตัวปกคลุมผิวนอกของกระดูก อีกส่วนหนึ่งเป็นสีเขียวแก่มันวาว คือเมือกขุ่นที่หยดลงอย่างต่อเนื่องตามจังหวะหายใจขึ้นลง
เขาหอบหายใจครู่หนึ่ง ตอบเสียงเบา ‘ฉันกลับไปไม่ได้แล้วละเจ้าเห็ดน้อย’
เสื้อเชิ้ตของเขาซึมเปื้อน ผิวหนังขาวซีด ริมฝีปากแห้งแตก ร่างกายสั่นเทาผิดปกติ
อันเจ๋อมองเขา ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ท้ายที่สุดเพียงพึมพำเรียกชื่อของมนุษย์วัยรุ่นคนนี้เสียงหนึ่ง ‘อานเจ๋อ’
‘ดูเหมือนว่าเธอเริ่มเข้าใจภาษามนุษย์แล้ว’ มนุษย์ก้มหน้ามองร่างกายของตัวเอง
บนร่างกายนี้นอกเหนือจากหนองและคราบเลือดยังมีเส้นไฮฟาสีขาวราวหิมะ นั่นคือส่วนหนึ่งของร่างกายอันเจ๋อ เส้น
ไฮฟาคดเคี้ยวงอกยาวขึ้น เกี่ยวเกาะบนบาดแผลตามแขนขาและทุกส่วนของร่างกายอานเจ๋อ เจตนาเดิมของเจ้าเห็ดน้อยหมายช่วยห้ามเลือดให้กับมนุษย์ใกล้ตายผู้นี้ ทว่าในขณะเดียวกันเส้นไฮฟาก็ดูดรับและซึมซับเลือดสดที่ทะลักออกมาด้วยตามสัญชาตญาณ
‘การกินยีนของฉันทำให้เธอเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ ดัชนีปนเปื้อนในพื้นที่นี้สูงมากเลยทีเดียว’ มนุษย์กล่าว
เศษเสี้ยวความรู้ความเข้าใจแผ่ขยายในสมองอันเจ๋อ ห้าวินาทีถัดมา เขาก็เข้าใจแล้วว่าดัชนีปนเปื้อนหมายถึงความเร็วในการกลายสภาพของยีน ตอนนี้ยีนซึ่งมาจากมนุษย์กำลังไหลตามเลือดของอานเจ๋อเข้าสู่ร่างกายของเขา
‘บางที…พอฉันตาย แล้วเธอกินทุกส่วนของร่างกายฉัน…อาจจะได้รับอะไรมากกว่านี้’ อานเจ๋อมองเพดานถ้ำ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ‘ถ้างั้นก็คล้ายว่าฉันได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วเหมือนกัน แม้ไม่รู้ว่าสำหรับเธอแล้วจะดีหรือแย่ก็ตาม’
อันเจ๋อไม่พูดไม่จาแต่ขยับกายไปหาอานเจ๋อ เขาใช้มือของมนุษย์ที่เพิ่งงอกออกมาโอบไหล่ของอีกฝ่าย เส้นไฮฟามหาศาลพุ่งเข้าหา เกาะตัวกันที่ข้างกายอานเจ๋อเพื่อประคองร่างที่จะล้มมิล้มแหล่ของเขา
ภายในถ้ำเงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจของมนุษย์ใกล้ตาย
เนิ่นนาน ในที่สุดอานเจ๋อก็เอ่ยปากอีกครั้ง ‘ฉันเป็นมนุษย์ที่ชีวิตไม่ได้มีค่าอะไร’
‘…ไม่มีด้านไหนโดดเด่น ดังนั้นพวกเขาจึงทอดทิ้งฉัน นี่เป็นเรื่องปกติมาก ความจริงแล้วการที่ไม่ต้องกลับฐานทัพมนุษย์นั้นฉันดีใจมาก ที่นั่นไม่ต่างอะไรจากป่าเขตนอก เป็น…สถานที่ที่บุคลากรมีคุณค่าเท่านั้นจึงจะมีชีวิตอยู่รอด ฉันอยากตายมานานแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าก่อนตายจะได้พบกับสิ่งมีชีวิตแสนอ่อนโยนแบบเธอ เจ้าเห็ดน้อย’
อันเจ๋อไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำนามในประโยคนั้น เช่นคำว่าคุณค่าหรือความตาย เขาจับได้แค่คำว่าฐานทัพมนุษย์เท่านั้น
เขาพิงไหล่อานเจ๋อ เอ่ยว่า ‘ผมอยากไปฐานทัพมนุษย์’
อานเจ๋อ ‘เพราะอะไร’
อันเจ๋อยกแขนซ้ายขึ้นเล็กน้อย ปลายนิ้วแกว่งไกวกลางอากาศชั่วครู่คล้ายอยากคว้ามวลอากาศอันว่างเปล่า ทว่าเขาก็คว้าสิ่งใดมาไม่ได้ทั้งนั้น
เหมือนกับร่างกายของเขา
ร่างกายของเขาคือความว่างเปล่า
โพรงขนาดมหึมาเกิดขึ้นจากส่วนลึกที่สุดในตัวเขา ไม่อาจเติมเต็ม ไม่อาจสมาน สิ่งที่ตามมาคือความว่างเปล่าและความหวาดกลัวไร้ขอบเขต ความรู้สึกเหล่านี้กัดกินเขาวันแล้ววันเล่า
เขารวบรวมถ้อยคำของมนุษย์ ตอบอย่างช้า ๆ ‘ผมทำหายไป…สปอร์ของผม’
‘สปอร์’
‘เมล็ดพันธุ์…ของผม’ เขาไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรดี
หนึ่งชีวิตของเห็ดทุกดอกล้วนมีสปอร์เป็นของตัวเอง บ้างมีมากกว่าหนึ่ง บ้างก็มีเพียงหนึ่งเดียว สปอร์คือเมล็ดพันธุ์ของเห็ด มันเกิดมาจากกลางครีบเห็ด[2] ล่องลอยตามสายลมไปตกในบริเวณที่ต้องการกลางป่าแล้วหยั่งรากกลายเป็นเห็ดดอกใหม่ หลังจากนั้นเห็ดดอกนี้ก็จะค่อย ๆ เติบโตจนมีสปอร์เป็นของตัวเอง การเลี้ยงดูสปอร์จนโตเต็มวัยเป็นภารกิจสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเห็ด ทว่าเขาทำสปอร์เพียงหนึ่งเดียวของตัวเองหายไประหว่างที่มันยังไม่โตเต็มวัยด้วยซ้ำ
อานเจ๋อค่อย ๆ หันศีรษะ อันเจ๋อได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบตอนที่อีกฝ่ายหันมา คล้ายเครื่องจักรมนุษย์เก่า ๆ
‘อย่าไปที่นั่น’ เสียงของมนุษย์แหบพร่า เร่งจังหวะเร็วขึ้น ‘เธอจะตาย’
อันเจ๋อออกเสียงคำนั้นซ้ำอีกครั้ง ‘…ตาย’
‘มีแค่มนุษย์เท่านั้นที่จะเข้าไปในฐานทัพมนุษย์ได้ เธอหนีสายตาของเจ้าพนักงานพิพากษาไม่พ้น’ อานเจ๋อไอโขลก จากนั้นก็หายใจหอบอย่างยากลำบาก ‘อย่าไปเลย…เจ้าเห็ดน้อย’
อันเจ๋อสับสน ‘ผม…’
มือของมนุษย์คว้าเส้นไฮฟาของอันเจ๋อหมับ เขาเค้นพลังอย่างมาก เสียงหอบถี่กระชั้นขึ้นทุกขณะ
‘เชื่อฉันเถอะ’ หลังอาการสั่นเทิ้มและหอบหายใจรุนแรงผ่านไป อานเจ๋อค่อย ๆ หลับตาลง เสียงของเขาแผ่วเบา ‘เธอไม่มีกำลังโจมตี แถมยังไม่มีการป้องกัน เธอเป็นแค่…เห็ดน้อย ๆ ดอกหนึ่งเท่านั้น’
บางครั้งอันเจ๋อก็รู้สึกเสียใจที่บอกอานเจ๋อเรื่องที่เขาจะไปฐานทัพมนุษย์
หากเขาไม่บอก อานเจ๋อคงไม่ต้องใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไปกับการห้ามเขา บางทีเขาอาจจะได้ฟังอานเจ๋อเล่าเรื่องราวต่างๆ บางทีเขาอาจจะยังพาอีกฝ่ายไปจากถ้ำอันมืดสลัวแห่งนี้ได้ และได้มองดูแสงออโรราพลิ้วไหวกลางท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าดวงตาของอานเจ๋อไม่เปิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว
ความทรงจำแสนสั้นกระจายในห้วงอากาศ ราวกับชีวิตของอานเจ๋อมลายหายไปในโลกใบนี้กะทันหัน เบื้องหน้าอันเจ๋อเหลือเพียงโครงกระดูกขาวราวหิมะเท่านั้น
ทว่าเขายังคงไม่เชื่อฟังความปรารถนาดีของอานเจ๋อ
เขาค่อย ๆ กางนิ้วทั้งห้าออก
ปลอกกระสุนโลหะทรงกระบอกสีเหลืองทองนอนแน่นิ่งอยู่บนผิวเนียนเกลี้ยงกลางฝ่ามือที่เต็มไปด้วยลายเส้นจาง ๆ มันหนักมาก บนนั้นมีร่องรอยพิเศษและยากเกินเข้าใจจำนวนหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่เขาพบในบริเวณที่สูญเสียสปอร์ของตนไป ตั้งแต่เก็บมาก็ไม่เคยทิ้งมัน
หากยังมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่นที่เขาจะตามหาสปอร์ของตัวเองกลับมาได้ เช่นนั้นความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่นนี้ก็คงต้องฝากไว้ที่ปลอกกระสุนชิ้นนี้แล้ว อีกอย่างมันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์
หลังถอนหายใจแผ่วเบา เขาก็เก็บปลอกกระสุนใส่กระเป๋าสะพายหนังสัตว์ที่อานเจ๋อทิ้งไว้ให้ แล้วยอบตัวลงเก็บเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่อยู่บนร่างอานเจ๋อ เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาที่เปื้อนเลือด กางเกงทหารผ้าแข็งสีดำ และรองเท้าบู๊ตหนังสีดำ
เมื่อจัดการทั้งหมดนี้เสร็จแล้วเขาก็เดินออกไปนอกถ้ำ เสื้อผ้าหลวมเสียดสีกับผิวของเขาเล็กน้อยระหว่างก้าวเดิน กระแสไฟฟ้าเบาบางจากปลายเส้นประสาทใต้ผิวหนังแล่นไปยังศูนย์กลาง อันเจ๋อซึ่งใช้ร่างกายมนุษย์เป็นครั้งแรกยังไม่ชิน เขาขมวดคิ้วก่อนจะม้วนแขนเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งขึ้น
ตัวถ้ำทอดยาวและวกวน เถาวัลย์บนผนังถ้ำพันเกี่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ เมื่ออันเจ๋อเดินผ่านบริเวณนั้นพวกมันก็เบียดกันและกันประหนึ่งกระแสน้ำเพื่อถอยห่าง แล้วเลื้อยไปยึดพื้นที่บนเพดานถ้ำแทน
หลังเลี้ยวโค้งสามรอบก็ปะทะเข้ากับสายลมที่พัดพาความชื้นเข้ามา เห็ดเจริญเติบโตแหวกเถาวัลย์แห้งที่ห้อยอยู่หน้าปากถ้ำออกมา สุดลูกหูลูกตาตรงหน้าเต็มไปด้วยเห็ดซึ่งก็คือพวกเดียวกับเขา พวกมันราวกับสูงถึงท้องฟ้า ทุกสิ่งเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง แสงสลัวลอดผ่านหมวกเห็ด[3] ผืนฟ้าเป็นสีเทา ทางหนึ่งเรืองรองไปด้วยแสงสีเขียวระยับไม่เป็นระเบียบ อันเจ๋อเห็นและได้กลิ่นน้ำฝน หมอก หนังงูลอกคราบ และพืชเน่าเปื่อย
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงพลบค่ำ เขานั่งลงใต้หมวกเห็ดสีเทาขาวดอกนั้นซึ่งอยู่ใกล้ปากถ้ำที่สุด ก่อนจะหยิบแผนที่เหลืองซีดออกมาจากกระเป๋าสะพาย บนแผนที่ใช้เฉดสีเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงระดับความอันตรายที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่
อานเจ๋อเคยชี้ตำแหน่งคร่าว ๆ ของถ้ำที่พวกเขาอยู่ให้อันเจ๋อดู ตรงนี้เป็นตำแหน่งสีดำที่สุดบนแผนที่ บ่งบอกว่าอาณาเขตนี้มีระดับความอันตรายหกดาวและระดับการปนเปื้อนหกดาว มีชื่อเรียกว่า ‘เหวลึก’ อาณาเขตทั้งหมดรอบเหวลึกยังถูกทำสัญลักษณ์แปลก ๆ มากมาย อันเจ๋อไล่ตรวจสอบดัชนีตรงมุมล่างขวาของแผนที่ตามลำดับ สัญลักษณ์เหล่านั้นหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่กระจายตัวอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นภายในเหวลึก อันประกอบด้วยเห็ด เถาวัลย์กินคน พุ่มไม้กินคน สัตว์กลายพันธุ์เลี้ยงลูกด้วยนมพันธุ์บริสุทธิ์ สัตว์กลายพันธุ์เลี้ยงลูกด้วยนมพันธุ์ผสม สัตว์กลายพันธุ์เลื้อยคลานชนิดทั่วไป สัตว์กลายพันธุ์เลื้อยคลานชนิดมีพิษรุนแรง สัตว์กลายพันธุ์มีปีก สัตว์กลายพันธุ์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์กลายพันธุ์ผสม สัตว์กลายพันธุ์พหุสัณฐาน สัตว์กลายพันธุ์ร่างมนุษย์ เป็นต้น ขณะเดียวกันภายในเหวลึกยังมีหุบเขา เนินเขา เขตภูเขา ซากเมืองมนุษย์ และซากถนนหนทางบนพื้นดิน
บนเหนือล่างใต้ สายตาของเขามองไล่ขึ้นข้างบน ทางขวามือของแผนที่หลากสีแผ่นนี้มีพื้นที่หนึ่งเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ใช้ดาวห้าแฉกขนาดมาตรฐานสีแดงทำเป็นสัญลักษณ์ ข้างขวาของดาวห้าแฉกเขียนชื่อของพื้นที่นี้ไว้ว่า ‘ฐานทัพทางเหนือ’
แสงสีเขียวบนผืนฟ้าชัดขึ้นทุกขณะ บนพื้นโลกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำทีละน้อยเช่นกัน ตอนเที่ยงคืนอันเจ๋อพยายามจำแนกทิศจากดวงดาวบนท้องฟ้า เขารู้ว่าดวงที่สว่างที่สุดเรียกว่าดาวเหนือ ใช้กำหนดทิศทางได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงยึดหัวลูกศรชี้ขึ้นในมุมซ้ายบนของแผนที่เทียบกับทิศทางของดาวเหนือ พลางเหยียบไม้ผุ ใบไม้ เส้นไฮฟา และดินโคลนบนพื้นเดินออกไปทีละก้าว
ตอนกลางคืนไม่ได้มืดมิดเสียทีเดียว แสงสีเขียวเรืองรองคอยพลิ้วไหวบนท้องฟ้าตลอดเวลา มนุษย์เรียกมันว่าแสง
ออโรรา แสงออโรราส่องสว่างเบื้องหน้าก็จริง ทว่าอันเจ๋อเห็นเพียงกลุ่มเห็ด
เห็ดสีเหลือง สีแดง สีน้ำตาลจะมีหมวกขนาดใหญ่
ส่วนเห็ดขนาดเล็กขึ้นหนาแน่นตามแนวก้อนหิน
เห็ดทรงกลมกระจายทั่วพื้น หลังเติบโตเต็มวัยแล้วจะพ่นสปอร์ซึ่งคล้ายหมอกฝนออกมา
เมื่อสปอร์เหล่านี้ตกลงบนใบไม้ดินโคลนชื้น ๆ ก็จะเริ่มขยายพันธุ์ เติบโตกลายเป็นเห็ดทรงกลมเหมือนร่างแม่พวกมัน
แต่ก็มีเห็ดบางชนิดไม่มีหมวก มีเพียงขนอ่อนสีขาวไม่ก็เหลือง อยู่ร่วมกันบ้าง กระจายตัวแยกกันบ้าง ลอยอยู่กลางอากาศเหมือนสาหร่ายทะเลที่ลอยบนผิวน้ำ
ทว่านี่ไม่ใช่โลกที่มีเพียงเห็ดเท่านั้น เถาวัลย์ มอสส์ พุ่มไม้ ดอกไม้กินคนและต้นไม้รูปร่างประหลาดต่างซ่อนตัวอยู่ในความมืดอย่างเงียบเชียบ กลางพืชพรรณพุ่มไม้มักมีเงาดำของสิ่งมีชีวิตรูปร่างพิกลอันเกิดจากการผสมกันของสัตว์หรือมนุษย์กับสัตว์ พวกมันวิ่งสุดกำลัง ร้องคำราม และต่อสู้กันในพุ่มไม้ ทั้งสัตว์สู้กับสัตว์ สัตว์สู้กับพืช หรือพืชสู้กับพืช เสียงร้องคำราม
สูง ๆ ต่ำ ๆ โจมตีเยื่อแก้วหูของอันเจ๋อ บนก้อนหินดินโคลนผสมไปด้วยคราบเลือดสดใหม่หลากสี เขาเห็นกับตาว่าต้นสนต้นหนึ่งงอลำต้นเขมือบงูยาวสองหางเกล็ดสีดำเข้าไป และก็เห็นคางคกตัวหนึ่ง…คางคกยักษ์แลบลิ้นยาวสีแดงสดม้วนค้างคาวที่มีมือมนุษย์งอกขึ้นบนหลังกลางอากาศ ห้านาทีหลังกลืนค้างคาวลงท้อง ปีกสีดำคู่หนึ่งก็งอกขึ้นบนสันหลังตะปุ่มตะป่ำซึ่งเต็มไปเมือกของมัน อันเจ๋อห่อตัวเบา ๆ นี่เป็นเพียงหนึ่งในหมื่นสภาพการณ์ที่เห็ดได้เห็น เขาชินกับมันแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้เองสัตว์สีเทาตัวหนึ่งก็เดินผ่านมา มันมีสี่ตา บนร่างปกคลุมไปด้วยเกล็ด ขนนก และขนปุกปุย ส่วนหัวคล้ายจระเข้แต่ก็คล้ายหมาป่ายักษ์เช่นกัน ฟันเจ็ดซี่โผล่ออกมานอกปาก มันเข้ามาใกล้อันเจ๋อ ใช้จมูกสีแดงโลหิตดมเขา
อันเจ๋อหยุดนิ่งไม่ไหวติง อิงอาศัยข้างเห็ดเงียบ ๆ พลางหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ จวบจนทุกส่วนของร่างกายเขาถูกมันดมจนครบหมด
สัตว์กลายพันธุ์ยักษ์คล้ายกับคว้าน้ำเหลวจึงลากฝีเท้าหนักอึ้งหันหลังจากไป
อันเจ๋อตระหนักได้ว่าไม่มีสัตว์ตัวไหนสนใจเขาแม้ว่าเขาจะอยู่ในร่างกายมนุษย์ก็ตาม หรืออาจเป็นเพราะว่าเห็ดนั้นพบเห็นได้ทั่วไปที่นี่ ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่มีนิสัยโจมตี มิหนำซ้ำบางครั้งยังมีพิษ ด้วยเหตุนี้เขากับพวกมันจึงราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตในสองโลกที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
หรือบางทีอาจเป็นอย่างที่อานเจ๋อบอกไว้ เขาก็เป็นเพียงเห็ดน้อย ๆ ดอกหนึ่งเท่านั้นเอง
[1] เส้นไฮฟา (Hypha) คือเส้นใยของสิ่งมีชีวิตในกลุ่มฟังไจอันได้แก่ รา เห็ด
[2] ครีบเห็ด (Gill หรือ Lamella) คือแผ่นบางๆ ที่อยู่ใต้หมวกเห็ดเรียงเป็นรัศมี และเป็นแหล่งกำเนิดของสปอร์
[3] หมวกเห็ด (Pileus หรือ Cap) ส่วนที่อยู่บนสุดของเห็ด มีรูปร่างต่างกันไปตามชนิด ซึ่งผิวด้านบนหมวกและสีสันก็แตกต่างกันไปด้วย