薄雾[无限]
ม่านหมอก (ไร้สิ้นสุด)
微风几许 เวยเฟิงจี๋สวี่ เขียน
ธมน แปล
라일 (Lyle) วาด
Zinlin Xin ไทโป
– โปรย –
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไฮเปอร์ธีมีเซียจะสามารถจดจำทุกรายละเอียดในชีวิตได้อย่างชัดเจน
ตั้งแต่จุดเปลี่ยนของโลกไปจนถึงทุกความคิดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในหัว
ความจำอันดีเยี่ยมและความกระหายในความรู้ของพวกเขา
ทำให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะในแง่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ว่ากันว่า ‘จี้อวี่สือ’ คืออัจฉริยะอย่างที่กล่าวมา แถมยังหน้าตางดงามมากเสียด้วย
และข่าวที่ว่าเขาจะไปช่วยงานหน่วยเจ็ดแห่งโดมท้องฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่ว
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า ‘ซ่งฉิงหลาน’ ผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยเจ็ดนั้นเก่งกาจมากความสามารถ และมีบุคลิกดุดัน
เขาใช้ความสามารถอันเหนือชั้นของตัวเองจนกลายเป็นม้ามืดแห่งสนามรบได้ภายในสองปี
และเขายังเกลียดพวกไม้ประดับที่โดนเบื้องบนยัดเข้ามาในทีมเขาเป็นที่สุด
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อทราบข่าวเรื่องการมาของจี้อวี่สือ ซ่งฉิงหลานแสดงความเห็นต่อหน้าทุกคนว่า
“มาแล้วช่วยอะไรได้ พวกเราจะออกไปเสี่ยงตาย
ไม่ได้ต้องการอัจฉริยะที่อ่านหนังสือเร็วแบบควอนตัมได้!”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ตอนนี้คนที่พวกเขาเอ่ยถึงอยู่ที่ฐานทัพโดมท้องฟ้า โดยมีผู้การมาต้อนรับด้วยตัวเอง
เมื่อซ่งฉิงหลานทราบเรื่องก็หมุนตัวเดินไปยังฐานทัพทันที ชายหนุ่มร่างสูง ช่วงขายาว เคลื่อนไหวราวกับสายลม เพียงไม่กี่ก้าวก็ลอดผ่านทางเดินเข้าไปในห้องขนส่งแคปซูล
“หัวหน้าซ่ง!”
“เฮ้ย หัวหน้าซ่ง !”
ตลอดทางทุกคนต่างมองเขาด้วยสีหน้าปกติ ทว่าพากันส่งเสียงทักทายด้วยความรู้สึกคล้ายกับมีภูเขาไฟกำลังจะปะทุจากร่างฉกรรจ์ของอีกฝ่าย
เพียงไม่นานข่าวซุบซิบนี้ก็กระจายไปทั่วโครงข่ายภายใน ต่างพูดกันว่าหัวหน้าซ่งกำลังจะขับไล่ใครบางคนออกไปอย่างเป็นทางการ
ไม่กี่นาทีถัดมา ซ่งฉิงหลานก็ลงไปถึงชั้นใต้ดิน
[ยินดีต้อนรับซ่งฉิงหลานกลับสู่โดมท้องฟ้า]ประตูห้องโดยสารเลื่อนออกไปสองฝั่ง เสียงอิเล็กทรอนิกส์ของหญิงสาวยังคงนุ่มนวลเช่นเดียวกับก่อนออกปฏิบัติภารกิจทุกครั้งก่อนหน้านี้
กว่ายี่สิบปีแล้วที่ทีมศึกษาค้นคว้าของจักรวรรดิได้ล่วงรู้ความลับของการเดินทางข้ามเวลาและพัฒนาจนกลายเป็นสมาพันธ์บริหารจัดการเวลาเหมือนอย่างทุกวันนี้ ทั้งยังมีสาขาแยกย่อยในประเทศต่าง ๆ ทว่าที่นี่ยังคงเป็นกองบัญชาการใหญ่ของโดมท้องฟ้า ลึกลงไปใต้ดินสองพันเมตร ผู้คนมากมายหลายพันกำลังทำงานอยู่ในที่แห่งนั้น ใต้ดินที่มืดมิดจะสว่างไสวตลอดไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เมื่อใดก็ตามที่ได้เห็นภาพนี้ล้วนชวนให้เกิดความรู้สึกตะลึงงัน
ซ่งฉิงหลานออกจากห้องรับส่งแคปซูลแล้วเดินต่ออีกสองสามนาทีก็มาหยุดอยู่ตรงผนังสีขาวแห่งหนึ่ง เขากดเบา ๆ ก่อนจะดันประตูล่องหนอย่างแรง
“ปึง!”
คนในห้องต่างหันไปมองเขาด้วยความตกใจ
ใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายผู้นำหญิงวัยกลางคน
โดมเรืองแสงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่นอกหน้าต่างบานสูงจรดพื้นกลายเป็นฉากหลัง ราวกับธารดาราในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล
ผู้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กสีดำเรียบ ๆ ทำให้เห็นเอวบางเด่นชัด ดูสะอาดสะอ้านและสูงสง่า ชวนให้นึกถึงต้นสนริมทะเลสาบน้ำแข็ง
ท่ามกลางแสงไฟพร่างพราว สีผิวของชายคนนั้นดูข่าวผ่องเป็นพิเศษ จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วและดวงตาแวววาวอย่างพอเหมาะพอดีไปทุกส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ริมฝีปากทรงสวยนั้นช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ใบหน้าเฉยชาดูมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที
แบบที่เห็นแล้วยากจะลืมเลือน
วินาทีที่เห็นคนคนนั้น ซ่งฉิงหลานพลันนึกถึงคำพูดที่สมาชิกในทีมคุยกันในห้องฝึกซ้อมโดยไม่รู้ตัว
“บอกว่าเขาไม่มีความสามารถในการต่อสู้ เขาไม่มา บอกว่าเขาดูดีแต่ไร้ประโยชน์ เขาไม่มา แต่พอบอกว่าพวกเราทั้งทีมเกลียดเกย์ เขาดันมา ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่อยากมาปะทะกับพวกเราซึ่ง ๆ หน้าหรือว่าอยากมาพิสูจน์เสน่ห์ของตัวเองกันแน่!”
“ไม่เคาะประตูอีกแล้วนะ!” ผู้การวังโมโห “ฉันว่าทั่วทั้งโดมท้องฟ้ามีแค่เธอคนเดียวที่เอาแต่เพิกเฉยกฎอยู่ตลอด !”
ซ่งฉิงหลานเก็บความคิดกลับมา แล้วก้าวยาว ๆ เข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไร
เขาไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดเลยสักนิด ยิ้มยกมุมปากโดยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น “ได้ยินว่าสมาชิกคนใหม่มาถึงแล้ว ผู้การวังจะไม่แจ้งให้พวกเรามาทักทายหน่อยหรือครับ”
ซ่งฉิงหลานกล่าวจบก็เบนสายตาไปยังชายหนุ่มคนนั้นพลางเอ่ย “ที่ปรึกษาจี้”
น้ำเสียงของเขาแฝงแววข่มกันอยู่ในที
คนตรงหน้ามาจากหนิงเฉิง เป็นผู้จดบันทึกที่เคยทำภารกิจเพียงระดับ B เท่านั้น เขาเข้ามาอยู่หน่วยผู้พิทักษ์ด้วยตำแหน่งที่มีชื่อว่าที่ปรึกษาพิเศษ
ซ่งฉิงหลานส่งสายตาดูแคลนออกมา และจับสังเกตอย่างเปิดเผย
จี้อวี่สือที่เพิ่งมาถึงกลับไม่เกรงกลัวและไม่หลบเมื่อปะทะกับสายตาของซ่งฉิงหลาน ทั้งยังประสานสายตากับอีกฝ่ายเงียบ ๆ เหมือนกับไม่รู้ว่าผู้ที่มาคือใคร และไม่แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ
บรรยากาศพลันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ปฏิกิริยาตอบกลับของผู้มีการศึกษาดูสงบราบเรียบแต่เพียงภายนอก ทว่าความเป็นจริงกลับมีคลื่นใต้น้ำที่โหมซัดสาดซ่อนอยู่ภายใน
มีหรือที่ผู้การวังจะไม่รู้ถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างคนทั้งคู่ ทั้งที่ยังไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ ไม่ทันไรคนของเธอก็สร้างความขุ่นเคืองให้อีกฝ่ายเสียแล้ว สุดท้ายแล้วไม่ใช่ผู้นำของเจ้าพวกนี้หรือไงที่ต้องคอยตามล้างตามเช็ด
“ฉันพาที่ปรึกษาจี้มาเยี่ยมชมฐานทัพ ไม่รู้เลยว่าเธอใจร้อนขนาดนี้” ผู้การวังแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกล่าวแนะนำอย่างอ่อนโยน “ที่ปรึกษาจี้ นี่คือหัวหน้าหน่วยเจ็ดสาขาเจียงเฉิงของพวกเรา และเป็นหัวหน้าหน่วยที่อายุน้อยที่สุดแต่มีศักยภาพมากที่สุดคนหนึ่งในระบบโดมท้องฟ้าของเราด้วยเช่นกัน เขาผ่านภารกิจระดับ A มาแล้วสิบสองภารกิจและได้ยศหนึ่งดาวตั้งแต่อายุยังน้อย ขอแนะนำอย่างเป็นทางการ เขาชื่อซ่งฉิงหลาน พวกเธอคงยังไม่เคยเจอกันใช่ไหม”
จี้อวี่สือประหลาดใจเล็กน้อย เขาเก็บสายตากลับมา เอ่ยทวนคำสามพยางค์นั้นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว “ซ่ง…ฉิงหลาน?”
เสียงของคนร่างบอบบางเบามาก ทั้งสุ้มเสียงก็น่าฟัง เป็นเสียงที่ซ่งฉิงหลานคาดการณ์ไว้
บางทีคนที่ทำงานนั่งโต๊ะคงจะมีน้ำเสียงใกล้เคียงกันกระมัง
ผู้การวังเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี “ฉิง แสงอาทิตย์ยามรุ่ง หลาน ไอหมอกในหุบเขา ได้ยินทีแรกเหมือนเด็กผู้หญิงเลยใช่…”
ซ่งฉิงหลานขัดจังหวะ ทำหน้าไม่สบอารมณ์ “ผู้การวัง”
จี้อวี่สือเหมือนไม่ได้ยินคำหยอกเย้านั้น เขาคลายหัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ย “ความจริงผมเคยเจอกับหัวหน้าซ่งแล้วครับ”
ผู้การวังสนใจใคร่รู้ “โอ้… เมื่อไหร่กัน”
น้ำเสียงน่าฟังของจี้อวี่สือเอื้อนเอ่ยต่อ “วันที่ 14 ตุลาคมเมื่อสามปีก่อน ผมเคยเข้าร่วมชั้นเรียนของโดมท้องฟ้าที่สาขาเจียงเฉิงจัดขึ้น ซึ่งเป็นชั้นเรียนของคุณด้วย คราวนั้นหัวหน้าซ่งก็อยู่ในห้องเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน”
คราวนี้ผู้การวังถึงกับตกใจ “น่าแปลก ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเด็กหนุ่มแบบเธอเลย”
อย่าว่าแต่ผู้การวังเลย ซ่งฉิงหลานเองก็จำเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน
พูดตลกไปได้ ใครจะมีเวลาว่างไปจำว่าเมื่อสามปีก่อนเคยเจอใครบ้าง
จี้อวี่สือย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างง่ายดายราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “สถานที่บรรยายค่อนข้างใหญ่ และที่นั่งของผมก็อยู่ทางด้านหลัง คุณจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติครับ วันนั้นคุณสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ประดับต่างหูไข่มุกบาร็อก ผมสั้นกว่าตอนนี้นิดหน่อย ตอนบรรยายคุณเผลอทำแก้วเซรามิกแตก หลังจากนั้นเลยเปลี่ยนเป็นแก้วเคลือบ ยังจำได้ไหมครับ”
ผู้การวังพยักหน้าหงึก ๆ อย่างนึกขึ้นได้ “จำได้ จำได้ !”
จี้อวี่สือพูดต่อ “ตอนนั้นหัวหน้าซ่งนั่งอยู่ตำแหน่งที่เก้าทางด้านซ้ายของแถวที่สาม โดดเรียนสองคาบแถมตอนบ่ายยังออกก่อนเวลาด้วย”
ซ่งฉิงหลานฟังมาถึงตรงนี้ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณจำผมได้แม่นเชียวนะ เตรียมเอาไปรายงานเบื้องบนหรือไง”
จี้อวี่สือหันไปมองซ่งฉิงหลาน นัยน์ตาใสสะท้อนเงาของอีกฝ่าย “ผมแค่บังเอิญจำทุกคนที่นั่นในวันนั้นได้ก็เท่านั้น”
ซ่งฉิงหลานเกือบจะลืมไปแล้วว่า หนึ่งในข่าวลือของที่ปรึกษาจี้ผู้นี้ที่สะพัดไปทั่วโดมท้องฟ้าคือเขาเป็นพวกความจำดีกว่าคนปกติ
ซ่งฉิงหลานพูดอย่างแฝงนัย “ที่ปรึกษาจี้ ผมเคยได้ยินมาว่าคนที่ความจำดีมักเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น”
จี้อวี่สือตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ก็ไม่ขนาดนั้น แล้วแต่สถานการณ์”
ผู้การวังพูดไกล่เกลี่ย “เคยเจอกันก็ดีแล้ว เสี่ยวซ่งน่ะเลือดร้อนไปหน่อย นิสัยตรงไปตรงมา บทจะตำหนิก็ไม่ไว้หน้าสมาชิกในทีมเหมือนกัน เรื่องสั่งสอนจนคนอื่นร้องไห้ต่อหน้าสาธารณะก็เคยทำมาแล้ว ฉันได้ยินจากผู้การหลินว่าที่ปรึกษาจี้เป็นคนอัธยาศัยดี ใจกว้าง แต่ตอนนี้เข้ามาอยู่ในทีมแล้ว เธอไม่ต้องสนใจเรื่องให้เกียรติเขาจนตัวเองต้องอึดอัดใจนะ”
จี้อวี่สือไม่ใช่คนวางฟอร์ม เขาตอบกลับไป “คุณสบายใจได้ครับ ขอแค่เป็นเรื่องงาน ผมจะให้ความร่วมมือทุกอย่าง”
ซ่งฉิงหลานแค่นหัวเราะเสียงเบาเหมือนไม่ใส่ใจ “ก็ดี”
หลังพูดคุยสัพเพเหระกันต่อเล็กน้อย ผู้การวังก็เอ่ยเข้าเรื่อง “ภารกิจจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้ที่ปรึกษาจี้ติดตามเสี่ยวซ่ง เพื่อทำความคุ้นเคยกับสมาชิกในทีมและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานก่อน ด้านลานฝึกซ้อมมีเครื่องไม้เครื่องมือมากมายและมีระบบจำลองการต่อสู้พิเศษให้ ได้ยินว่าที่ปรึกษาจี้เคยอยู่กองทัพของจักรวรรดิมาก่อนด้วยใช่ไหม”
ซ่งฉิงหลานเลิกคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก
เป็นไปดังคาด จี้อวี่สือพิสูจน์ว่าความคิดของอีกฝ่ายนั้นถูกต้อง “ตอนอยู่ในกองทัพผมก็รับผิดชอบงานเอกสารเหมือนกันครับ อยู่แค่สองเดือน”
ท่าทางไม่แข็งกร้าวแต่ก็ไม่อ่อนข้อนั่นทำให้ซ่งฉิงหลานที่เติบโตมาในกองกำลังพิเศษอยากจะหัวเราะ
เจ้าคนผอมบางแบบนี้จะสามารถไปเป็นด่านหน้าได้เหรอ
ผู้การวังพยักหน้า “ถึงแม้ว่าผู้สังเกตการณ์ไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านการต่อสู้มากนัก แต่ก็สามารถฝึกซ้อมได้ตามสมควร ปีนี้ทางกรมได้คัดเลือกนักเรียนกลุ่มใหม่เข้ามา จะมีคาบเรียนวิชาเฉพาะทุกช่วงเช้า ที่ปรึกษาจี้ก็ไปลองฟังดูได้”
“มาแล้ว!”
“ออกมาแล้ว !”
“เร็ว ๆ มีวางมวยกันหรือเปล่า”
“ผู้การวังเขวี้ยงแก้วอีกหรือเปล่า”
รอบๆ หน้าจอมอนิเตอร์มีศีรษะมากมายมามุงล้อม บนทางเดินเองก็มีหลายคนชะโงกศีรษะมาเยี่ยม ๆ มอง ๆ เช่นกัน
ประตูห้องรับส่งแคปซูลเปิดออก ผู้ที่ก้าวออกมาเป็นคนแรกคือผู้การวังที่อยู่ในรองเท้าส้นสูง ดูจากทิศทางเธอคงจะกลับไปห้องทำงาน
จากนั้นซ่งฉิงหลานก็เดินออกมา ตามด้วยจี้อวี่สือ
ความสูงของคนทั้งคู่ต่างกันกว่าครึ่งศีรษะ คนหนึ่งดูองอาจ ส่วนอีกคนดูสง่างาม
ท่าทีเกียจคร้านในการต้อนรับลูกทีมคนใหม่ของซ่งฉิงหลานแทบจะสัมผัสได้ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ เขาอาศัยรูปร่างสูงใหญ่เดินไปบนเส้นทางอันคุ้นเคยด้วยความรวดเร็ว สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ที่ปรึกษาจี้ดูเป็นผู้ดีตามที่คาดไว้ เขาก้าวยาว ๆ เดินตามหลังซ่งฉิงหลานอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เชื่องช้า ดูเป็นธรรมชาติ
ทั้งสองคนเดินไปยังลานฝึกซ้อมโดยไม่พูดกันเลยตลอดทาง ในหัวของทุกคนเกิดเครื่องหมายคำถามมากมาย
จบ จบแค่นี้เหรอ
ซ่งฉิงหลานยอมรับง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ
แล้วที่บอกว่าสาขาเจียงเฉิงจะต้องนองเลือด ให้เขาเก็บกระเป๋าคอตกกลับไป มาทางไหนก็ไล่กลับไปทางนั้นล่ะ
เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาด้วยกัน บรรดาเพื่อนร่วมทีมในห้องซ้อมก็เลิ่กลั่ก นี่มันหมายความว่ายังไง
ซ่งฉิงหลานไปยืนบริเวณพื้นที่โล่งด้านหน้าด้วยท่าทีไม่สนใจแล้วปรบมือเรียกพวกเขามารวมตัว “มา จะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่คือเพื่อนร่วมงานที่หนิงเฉิงส่งมาชั่วคราว และจะบรรลุภารกิจในครั้งนี้ไปพร้อมกับพวกเรา เขาจะรับหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ในทีม เรียกสั้น ๆ ว่าที่ปรึกษาพิเศษ ที่ปรึกษาจี้ จี้อวี่สือ”
ต่อหน้าผู้พิทักษ์รูปร่างสูงใหญ่ที่ฮอร์โมนเพศชายพุ่งพล่านกลุ่มนี้ จี้อวี่สือในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวดูบอบบางไปถนัดตา เปรียบเสมือนกระต่ายสีขาวตัวน้อยที่พลัดหลงเข้ามาในกลุ่มสิงโต ดูอ่อนแอชวนให้รังแก
แต่สายตาของจี้อวี่สือกลับสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีประหม่าแม้แต่น้อย เจ้าตัวเปิดปากเอื้อนเอ่ย “สวัสดีครับทุกคน”
“นี่ต้วนเหวิน โจวหมิงเซวียน หลี่ฉุน แล้วก็ฝาแฝดทังเล่อกับทังฉี” ซ่งฉิงหลานแนะนำทีละคน “มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ กลไก แนวหลัง รวมถึงปีกซ้ายและขวาตามลำดับ ก่อนหน้านี้ในทีมมีผู้สังเกตการณ์หนึ่งคนแซ่อวี๋ ตอนนี้คุณจะรับช่วงต่องานของเขาชั่วคราว”
สมาชิกในทีมที่แปลกหน้าต่างสวมเครื่องแบบแบบเดียวกัน นอกจากใบหน้าแล้วก็ไม่มีจุดเด่นใด ๆ ให้จดจำอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝาแฝดคู่หนึ่งที่ดูเหมือนกันราวกับแกะ
แต่ซ่งฉิงหลานพูดเร็วมาก ไม่รู้ว่าจงใจกลั่นแกล้งหรือว่าเพียงแต่ทำแบบขอไปที
จี้อวี่สือกลับแค่พยักหน้าเท่านั้น ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่า เขาจำได้หรือเปล่า
ซ่งฉิงหลานไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้พักหายใจ เขาออกคำสั่งต่อทันที “เหล่าต้วน งานของนายกับของผู้สังเกตการณ์มีความเกี่ยวข้องกัน นายพาเขาไปทำความเข้าใจงานของผู้สังเกตการณ์ก่อน”
ต้วนเหวิน “หา? เร็ว เร็วขนาดนี้เลยเหรอ”
ตามเหตุผลแล้ว ควรจะพาอีกฝ่ายเดินชมแต่ละแผนก หรือพูดให้ดูดีก็คือให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก่อนไม่ใช่หรือ
ซ่งฉิงหลาน “เวลาไม่คอยท่า ทำไมนายไม่คิดว่าการเข้าร่วมจัดอันดับภารกิจครั้งหน้ามันเร็วเกินไปบ้างล่ะ”
ต้วนเหวิน “รับทราบ!!”
ถ้าไม่ได้ตาบอดคงมองออกว่าซ่งฉิงหลานไม่คิดจะไว้หน้าที่ปรึกษาจี้ผู้ซึ่งมาใหม่เลย
จี้อวี่สือดูเหมือนไม่ได้ขัดข้องอะไร เขาเดินไปพร้อมกับเหล่าต้วนอย่างให้ความร่วมมือ
บางทีเขาเองก็คงไม่คิดจะปะทะกับซ่งฉิงหลานเหมือนกัน
เมื่อพวกเขาเดินไปไกลแล้ว ท่าทางของซ่งฉิงหลานก็กลับมาเหมือนปกติ เขาเลิกคิ้ว “มองอะไรกัน แต่ละคนตาจะถลนออกมาอยู่แล้ว ดูท่าทางพวกนายสิ”
“ลูกพี่ นี่มันสวยของแท้เลยนะ!”
“แต่ก่อนเคยคิดว่าคำว่าสวยไม่เหมาะกับผู้ชาย ตอนนี้ฉันคิดว่าเหมาะมากเลยแฮะ”
“กินอาหารเหมือนกัน เป็นคนเหมือนกัน ทำไมเขาถึงได้หน้าตาดีขนาดนั้น ขนาดเมื่อกี้อยู่ใกล้กันแค่นี้ ฉันยังมองไม่เห็นรูขุมขนบนหน้าเขาสักรู ผิวดีสุด ๆ”
ชายหัวเกรียนดวงตารีเล็กที่ก่อนหน้านี้ถูกซ่งฉิงหลานเขกหัวไปนั้นก็คือโจวหมิงเซวียน เขายังเอ่ยคร่ำครวญ “ให้ตายสิ ฉันมโนไปเองคนเดียว คนอย่างเขาไม่ชายตาแลฉันหรอก”
“นายเสียดายหรือไง” ซ่งฉิงหลานยกเท้าเตะไปหนึ่งที “ตอนนี้ไม่ห่วงเรื่องเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลแล้วเหรอ”
โจวหมิงเซวียนหัวเราะแหะ ๆ
“ลูกพี่ พวกเราจะรับเขาเข้ามาจริง ๆ เหรอ”
“แค่มองก็รู้ว่าอ่อนปวกเปียก นอกจากหน้าตาดีก็ไม่มีประโยชน์สักอย่าง !”
“ผมคิดว่าหัวหน้าจะต่อต้านเสียอีก นี่ดูไม่ใช่สไตล์ของหัวหน้าเลย”
ซ่งฉิงหลานเล่าแผนการของตัวเองทันที
ก่อนเอ่ยสรุปในตอนท้าย “มีคำสั่งลงมาแล้ว และเขาก็มาถึงที่นี่แล้ว หรือก็คือคิดจะเปลี่ยนตัวก็สายไปแล้ว สองสามวันนี้พวกนายก็ยอมพาเขาไปก่อน ถ้ามีอะไรไว้รอออกไปแล้วค่อยว่ากัน สรุปคือ อย่าทำอะไรแผลง ๆ มากนัก เป้าหมายมีเพียงอย่างเดียวคือทำภารกิจให้สำเร็จอย่างปลอดภัย!”
ทุกคนขานรับพร้อมเพรียง “รับทราบ!”
สมาชิกในทีมแยกย้ายกันไป
ซ่งฉิงหลานเริ่มนึกถึงชั้นเรียนเมื่อสามปีก่อนโดยไม่รู้ตัว ทว่าเขาจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโดดเรียนหรือออกก่อนเวลา…ใช่ว่าเขาเคยทำน้อยครั้งเสียเมื่อไหร่
ความจำของคนคนนี้…หากให้พูดจริง ๆ ละก็ อาจจะพอนับว่าเป็นข้อดีได้บ้างกระมัง