[ทดลองอ่าน] ม่านหมอก (ไร้สิ้นสุด) บทที่ 3

薄雾[无限]
ม่านหมอก (ไร้สิ้นสุด)

微风几许 เวยเฟิงจี๋สวี่ เขียน
ธมน แปล
라일 (Lyle) วาด
Zinlin Xin ไทโป

– โปรย –

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไฮเปอร์ธีมีเซียจะสามารถจดจำทุกรายละเอียดในชีวิตได้อย่างชัดเจน
ตั้งแต่จุดเปลี่ยนของโลกไปจนถึงทุกความคิดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในหัว
ความจำอันดีเยี่ยมและความกระหายในความรู้ของพวกเขา
ทำให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะในแง่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ว่ากันว่า ‘จี้อวี่สือ’ คืออัจฉริยะอย่างที่กล่าวมา แถมยังหน้าตางดงามมากเสียด้วย
และข่าวที่ว่าเขาจะไปช่วยงานหน่วยเจ็ดแห่งโดมท้องฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่ว

ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า ‘ซ่งฉิงหลาน’ ผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยเจ็ดนั้นเก่งกาจมากความสามารถ และมีบุคลิกดุดัน
เขาใช้ความสามารถอันเหนือชั้นของตัวเองจนกลายเป็นม้ามืดแห่งสนามรบได้ภายในสองปี

และเขายังเกลียดพวกไม้ประดับที่โดนเบื้องบนยัดเข้ามาในทีมเขาเป็นที่สุด

แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อทราบข่าวเรื่องการมาของจี้อวี่สือ ซ่งฉิงหลานแสดงความเห็นต่อหน้าทุกคนว่า
“มาแล้วช่วยอะไรได้ พวกเราจะออกไปเสี่ยงตาย
ไม่ได้ต้องการอัจฉริยะที่อ่านหนังสือเร็วแบบควอนตัมได้!”

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

หลายวันถัดจากนั้น ซ่งฉิงหลานไม่ได้เจอจี้อวี่สือเลย

ได้ยินจากต้วนเหวินว่า หลายวันมานี้จี้อวี่สือไปเข้าชั้นเรียนอบรมของนักเรียนใหม่ทุกเช้า ส่วนช่วงบ่ายก็ฝึกซ้อมอยู่ในห้องซ้อมส่วนตัว ตารางเวลาในแต่ละวันแน่นขนัด ผู้การวังแวะมาเยี่ยมอีกฝ่ายอยู่ครั้งหนึ่ง พร้อมเอ่ยชมเขายกใหญ่

ในสายตาผู้บังคับบัญชา คนที่ทำงานเอกสารคงทำอะไรก็ดูขยันไปเสียหมด

ผู้การวังต่อสายหาซ่งฉิงหลานเพื่อเตือน “เสี่ยวจี้เป็นเด็กขยันและฉลาด เมื่อถึงเวลาออกไปปฏิบัติภารกิจ พวกเธอก็ต้องให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมด้วย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็อยู่ระดับสองดาว และพอเสร็จภารกิจนี้ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งดาวแล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าพวกเธอตั้งใจให้เขาเป็นไม้ประดับคอยรับใช้”

ซ่งฉิงหลานทำเป็นไม่รู้เรื่องทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ “จะไปมีเรื่องพรรค์นั้นได้ยังไงกันครับ”

 

ลานฝึกซ้อมมีห้องฝึกซ้อมส่วนบุคคล และมีระบบจำลองการต่อสู้เป็นทีม

ก่อนออกปฏิบัติภารกิจสองวัน ตามธรรมเนียมแล้ว ทุกคนจะฝึกซ้อมเป็นทีม หลังจากซ่งฉิงหลานเรียกทุกคนมารวมตัวถึงได้พบว่าขาดจี้อวี่สือไปหนึ่งคน “เหล่าต้วน นายบอกเขาหรือยัง”

“ฉันนึกว่าเมื่อวานหลี่ฉุนบอกเขาแล้ว”

“บ้าเรอะ ผมจะไปบอกเขาได้ไง ผมยังไม่ได้เจอเขาเลยด้วยซ้ำ!”

“ให้ตายสิ หมอนั่นคงไปฟังบรรยายอีกแล้วแน่ ๆ”

“ทังฉี นายดูแลการฝึกไป”

ซ่งฉิงหลานเตรียมไปตามหาจี้อวี่สือด้วยตัวเอง พวกเขาจะได้ไม่โดนผู้การวังโยนความผิดอะไรให้อีก

 

เมื่อออกจากลานฝึกซ้อม ซ่งฉิงหลานตรงไปยังค่ายพักของนักเรียนใหม่

ในฐานะหัวหน้าหน่วยที่อายุน้อยที่สุด ซ่งฉิงหลานจะเป็นผู้ฝึกอบรมวิชาต่อสู้ตัวแรกหลังจากเข้ามาในโดมท้องฟ้าของเหล่านักเรียนใหม่ ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของซ่งฉิงหลานทำให้บรรดานักเรียนใหม่ที่จบมาจากโรงเรียนชื่อดังและคิดว่าตัวเองมีความสามารถต่างอยู่ในโอวาทขึ้นไม่น้อยหลังจากโดนกำราบจนยอมนับถือ ด้วยเหตุนี้ทันทีที่ซ่งฉิงหลานปรากฏตัวด้านนอกหน้าต่าง จึงทำเอาคนที่กำลังใจลอยถึงกับขนลุกเกรียว

ผู้บรรยายที่โดมท้องฟ้าเชิญมาเป็นพิเศษกำลังบรรยายวิชาเฉพาะ ชั่วขณะที่เกิดความโกลาหลเล็กน้อย ซ่งฉิงหลานก็เจอตัวคนที่เขากำลังตามหาได้อย่างรวดเร็ว

จี้อวี่สือนั่งอยู่ริมหน้าต่าง

“ปริภูมิประกอบขึ้นเป็นจักรวาลที่เราอยู่ ส่วนเวลาประกอบขึ้นเป็นจักรวาลที่พวกเรารู้จัก”

ผู้บรรยายบนเวทีควบคุมภาพโฮโลแกรมเป็นเส้นโค้งเปล่งแสงหลากสีเส้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามีจุดเริ่มต้นจากตรงไหนและจุดสิ้นสุดก็หายไปในความว่างเปล่า

มีนักเรียนเอ่ยชื่นชมเสียงเบา

จี้อวี่สือก้มหน้า คล้ายกับไม่ได้สนใจการสาธิตอันยอดเยี่ยมนั่นเลย

“เวลาเปรียบเสมือนเส้นที่กำลังเคลื่อนไหวเส้นหนึ่ง มันทำให้เรามีอดีตและอนาคต

“อดีตคือสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้…คนคนหนึ่งไม่สามารถข้ามเวลากลับไปยังอดีตและฆ่าปู่ของตัวเองได้ พวกเราเข้าใจในปฏิทรรศน์คุณปู่กันแล้ว ก่อนหน้านี้โนวิคอฟ[1] นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเองก็เคยหยิบยกหลักการสอดคล้องโดยตัวเองขึ้นมา หมายความว่าถึงแม้มนุษย์จะสามารถเดินทางกลับไปยังอดีตได้แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของประวัติศาสตร์ได้ พูดสรุปง่าย ๆ ก็คือปัจจุบันของพวกเราเป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ถูกเปลี่ยนแปลงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน”

เส้นแสงกระเพื่อมไหววิบวับอยู่กลางอากาศ

ผู้บรรยายยังคงพูดต่อ “ถ้างั้นอนาคตล่ะ ยี่สิบกว่าปีก่อน ทีมค้นคว้าของชาติเราได้สร้างโดมท้องฟ้าขึ้น พวกเขาค้นพบว่ากระแสเวลาไม่ได้มีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น”

พร้อม ๆ กับมือที่โบกสะบัดของผู้บรรยาย ลำแสงเส้นโค้งในอากาศก็เปลี่ยนแปลงไป

เส้นแสงนั้นพลันแยกออกและก่อเกิดเป็นเส้นใยมากมายนับไม่ถ้วนจากจุดเวลาในปัจจุบัน และกระจายตัวไปทุกทิศทุกทาง

“ด้วยความสามารถในการคำนวณอันมีประสิทธิภาพของโดมท้องฟ้าจึงคำนวณอนาคตออกมาได้หลากหลายรูปแบบผ่านปัจจุบันของเรา การปรากฏขึ้นของโดมท้องฟ้าทำให้มนุษยชาติรับรู้ถึงการมีอยู่ของอนาคตในโลกคู่ขนานเป็นครั้งแรก ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการก่อตั้งระบบโดมท้องฟ้าขึ้น ประเทศต่าง ๆ ในโลกประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งการก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างน้อย 1,771 ครั้ง การจลาจล 542 ครั้ง สงครามหกครั้งและประสบความสำเร็จในการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติขนาดใหญ่ได้ถึงสามครั้ง ผ่านโดมท้องฟ้าและการเคลื่อนไหวของผู้พิทักษ์ของโลกคู่ขนานในอนาคต”

ระหว่างการอธิบาย มีการฉายคลิปวิดีโอข้อมูลมากมายสับเปลี่ยนกันไป

ซ่งฉิงหลานเดินไปข้างหน้าต่าง “…”

ที่แท้คำว่า “ฉลาดและขยัน” จากปากของผู้การวังคือแบบนี้น่ะเหรอ

ที่ปรึกษาจี้คนฉลาดและขยันกำลังตั้งหน้าตั้งตา…เล่นเครื่องเล่นเกมหน้าจอขาวดำรุ่นหนึ่งที่เคยฮิตเมื่อศตวรรษที่แล้วอยู่ในชั้นเรียน

ภายใต้การเล่นอันชำนาญของเขา บล็อกเตตริสเปลี่ยนตำแหน่งอย่างต่อเนื่องและร่วงลงมารวมกันด้วยความเร็วสูงสุดก่อนจะหายไป สี่แถว…ห้าแถว…ไปจนถึงหกเจ็ดแถวด้วยซ้ำ คะแนนพุ่งทะยานขึ้นเรื่อย ๆ บล็อกสี่เหลี่ยมสามารถฝังลงบนตำแหน่งที่เหมาะสมได้ด้วยวิธีที่คาดไม่ถึงทุกครั้งไป ชวนให้รู้สึกว่าเกมที่เหมือนกำลังจะจบลงในวินาทีข้างหน้านั้นเป็นเพียงการคิดไปเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าจี้อวี่สือเป็นมือโปรในการเล่นเกมเตตริส ทั่วทั้งโดมท้องฟ้าอาจจะไม่มีใครที่เล่นได้เก่งกว่าเขาอีกแล้ว

เป็นเพราะก้มหน้า กระดูกต้นคอของจี้อวี่สือจึงนูนขึ้นมาเล็กน้อย มองเห็นแนวขอบกระดูกสะบักผอมบางได้อย่างชัดเจน

เขาดูมีสมาธิจดจ่อเป็นอย่างมาก แพขนตาหลุบต่ำ ใบหน้าด้านข้างดูสงบนิ่ง นิ้วเรียวยาว เล็บสั้นและสะอาดสะอ้าน ให้ความรู้สึกเหมือนที่คนอื่น ๆ สัมผัสได้จากคนคนนี้ว่า…ไม่เคยผ่านความยากลำบากมาก่อน

ซ่งฉิงหลานคิด บางทีหมอนี่ก็คงไม่คิดว่าจะมาพบความลำบากตั้งแต่แรกกระมัง

 

 

ช่วงบ่ายก่อนเริ่มภารกิจหนึ่งวัน ทุกคนมารวมตัวเพื่อประชุมภารกิจ

เหมือนการประชุมภารกิจทุกครั้งก่อนหน้านี้ แผนผังของสถานที่เป้าหมายแสดงอยู่บนหน้าจอขนาดยักษ์พร้อมกับเครื่องหมายจำนวนหนึ่ง

ศูนย์บัญชาการแห่งที่สามของกองบัญชาการใหญ่โดมท้องฟ้ารับหน้าที่แบ่งสรรภารกิจในครั้งนี้ ภายในห้องประชุมมีคนนั่งอยู่ราวสามสิบถึงสี่สิบคน นอกจากหน่วยเจ็ดแล้ว ทุกคนที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในสำนักงานซึ่งคอยช่วยเหลือในการทำภารกิจ ผู้บัญชาการสูงสุดที่ดูแลภารกิจกำลังอธิบายภารกิจในครั้งนี้อยู่บนเวที แม้แต่ผู้การวังยังนั่งอยู่ด้านล่าง

“หนึ่งเดือนก่อน โดมท้องฟ้าคำนวณได้ว่าในศักราชซิงหยวนปี 1460 จำนวนประชากรของซีจิงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยลดลงมากถึงสามเปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลานั้น”

ผู้บัญชาการสูงสุดขยายแผนที่ให้ใหญ่ขึ้นแล้วชี้ไปยังพื้นที่ที่มีจุดสีแดงกะพริบในภาพ

“ดูจากแผนภูมิการคำนวณ หลังจากตัดปัจจัยที่มีอำนาจอย่างภัยธรรมชาติหรือการระเบิดออกไปแล้ว โดมท้องฟ้าบ่งชี้ว่าภารกิจในครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายทางชีวเคมีที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น ระดับภารกิจคือ A”

“การก่อการร้ายทางชีวเคมีเหรอ”

“พวกเราเคยจัดการไปครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“เรื่องกล้วย ๆ !”

“ผมขออาสา” ซ่งฉิงหลานนั่งอยู่ตรงหัวมุม นัยน์ตาสีดำดุดันสะท้อนจุดสีแดงบนแผนที่ “หลังจากสำเร็จภารกิจระดับ A ชิ้นนี้แล้ว ผมขอสมัครทำภารกิจระดับ S”

สิ้นเสียงของเขา เสียงกระซิบกระซาบก็กระจายไปทั่วห้องประชุม

ทุกคนต่างรู้กันดีว่าคะแนนที่ได้จากภารกิจระดับ S งานเดียวเท่ากับของภารกิจระดับ A ถึงห้าภารกิจ

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจระดับ A ได้ครบสิบสองครั้ง ทำให้หน่วยเจ็ดที่เพิ่งก่อตั้งได้สองปีเป็นที่รู้จักในโดมท้องฟ้า กระโจนขึ้นเป็นแนวหน้าของหน่วยที่ทรงคุณค่าราวกับม้ามืด แต่ความจริงที่ว่าพวกเขาไม่เคยปฏิบัติภารกิจระดับ S มาก่อนนั้น  ทำให้พวกเขาไม่เคยเบียดเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรกได้เลย และถูกทีมที่อยู่ในสามอันดับแรกบดขยี้ในทุกด้านด้วยคะแนนที่สูงเป็นพิเศษ จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถไต่ขึ้นไปได้

ด้วยเหตุนี้หน่วยเจ็ดจึงกระหายภารกิจระดับ S มาโดยตลอด

จี้อวี่สือเคยได้ยินเรื่องนี้

เขานั่งอยู่กับสมาชิกในทีมคนอื่น ๆ สามารถมองเห็นท่าทางของซ่งฉิงหลานได้อย่างชัดเจน ความเย่อหยิ่งและความปรารถนาในชัยชนะล้วนแสดงออกมาเด่นชัดผ่านน้ำเสียงของเขา

“จะรับไว้พิจารณา” ผู้บัญชาการสูงสุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดกับซ่งฉิงหลาน “หลังจากภารกิจในครั้งนี้ ศูนย์บัญชาการจะทำการประเมินใหม่อีกครั้ง จากการปฏิบัติภารกิจของพวกนาย จงเตรียมพร้อมรับภารกิจระดับ S ไว้ทุกเมื่อ”

คำบอกปัดเช่นนี้ ซ่งฉิงหลานได้ยินมาหลายหนแล้ว

เขานั่งลงด้วยท่าทีเย็นชา ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ

ทำให้คนอื่น ๆ อดคิดไม่ได้ว่าการที่ได้รับฟังคำตอบซ้ำ ๆ จากผู้บังคับบัญชามาเป็นเวลานาน  ไม่ช้าก็เร็วดาวดวงใหม่จอมพยศผู้นี้คงได้ระเบิดออกมาแน่

 

หลังเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่ยังมีการประชุมเชิงกลยุทธ์ต่อ ซ่งฉิงหลานต้องคุยกับผู้การวังไปจนถึงผู้บังคับบัญชาสายตรงอีกสองชั่วโมงเพียงลำพัง

จนกระทั่งเขาออกมา บรรดาเพื่อนร่วมทีมทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นชุดลำลองมารอเขาแล้ว

“ไปเรียกเด็กใหม่มา” ซ่งฉิงหลานพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

คืนก่อนออกไปปฏิบัติภารกิจ  ทุกคนในทีมจะไปกินหม้อไฟด้วยกัน  การ “กินของดีก่อนออกปฏิบัติการ” เป็นธรรมเนียมของหน่วย

“เรียกแล้วครับ ที่ปรึกษาจี้บอกว่าเขาไม่ไป”

“เขายังอยู่ที่ห้องซ้อม”

เมื่อซ่งฉิงหลานนึกถึงภาพที่คนคนนั้นเล่นเกมเตตริสในชั้นเรียนวิชาเฉพาะ เขาก็ขบคิดอะไรบางอย่างได้

เขาสั่งทุกคนให้ล่วงหน้าไปจองที่ก่อน

 

ภายในสนามฝึกซ้อมขนาดใหญ่มีห้องซ้อมส่วนตัวหลายร้อยห้อง หน่วยเจ็ดมีหมายเลขห้องซ้อมที่แน่นอนเป็นของตัวเองซึ่งอยู่ในขอบเขตอำนาจของซ่งฉิงหลาน เขาจึงเจอคนที่ตามหาได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย

จี้อวี่สือเพิ่งเสร็จจากการฝึกซ้อมจริง ๆ

เขาเพิ่งลงจากโปรแกรมจำลองเครื่องจักรเสมือนจริง เหงื่อโซมกาย คอเสื้อยืดสีเทาเปียกโชก แขนกลสองข้างโอบขนาบสองฝั่งลำตัว ข้างหนึ่งยื่นผ้าขนหนู ส่วนอีกข้างยื่นน้ำเปล่ามาให้

จี้อวี่สือรับน้ำมา แปลกใจกับการปรากฏตัวของซ่งฉิงหลาน “หัวหน้าซ่ง?”

ซ่งฉิงหลานยืนอยู่ตรงปากประตู  กอดอกด้วยท่าทางสบาย ๆ แม้จะมีเรื่องกวนใจ เหมือนกำลังรอฟังคำอธิบายที่สมเหตุสมผล

“ทำไมไม่ไปกินข้าวด้วยกัน”

จี้อวี่สือดื่มน้ำไปหนึ่งอึก หางคิ้วและหางตาซึมไปด้วยหยาดเหงื่อ เครื่องหน้าสวยงามผุดไอร้อนระอุ

ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ ๆ แต่จู่ ๆ ซ่งฉิงหลานกลับเกิดความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่าง คล้ายกับ…การที่เขาปรากฏตัวในห้องซ้อมของลูกน้องใต้บังคับบัญชาเป็นเรื่องห่างไกลมากๆ ที่ควรหลีกหนี

จี้อวี่สือตอบกลับ “ขอโทษด้วย ตอนค่ำผมมีนัดวิดีโอคอลแล้ว”

ซ่งฉิงหลาน “คุยดึกหน่อยไม่ได้เหรอ”

จี้อวี่สือรับผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ “เขาติดผมมาก เดี๋ยวจะโกรธเอา”

ประโยคนี้ชี้ให้เห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้ซ่งฉิงหลานฉุกคิดถึงประเด็นสำคัญ และตระหนักรู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงได้รู้สึกว่าควรหลีกหนี

เขาเลิกคิ้ว “มีคนรออยู่ที่บ้านงั้นเหรอ”

แขนกลรับผ้าขนหนูกลับมาอย่างแสนรู้แล้วเดินจากไป

แต่มีเหงื่ออีกหยดไหลลงมาจากหน้าผากของจี้อวี่สือ เขาจึงคว้าชายเสื้อยืดขึ้นมาเช็ดเหงื่อโดยไม่รู้ตัว

การกระทำนั้นเผยให้เห็นเอวและหน้าท้องตึงกระชับของชายหนุ่ม ซึ่งแตกต่างกับของผู้พิทักษ์ทุกคนในโดมท้องฟ้า เอวเพรียวบางและยืดหยุ่น ผิวขาวที่ทำเอาตาพร่าคล้ายกับจะสามารถรวบได้ด้วยมือเดียว  ขณะเคลื่อนไหวก็ทำให้เห็นรอยบุ๋มกลม ๆ ตรงหน้าท้องแบนราบชื้นเหงื่อวับ ๆ แวม ๆ ซึ่งอยู่แถวขอบเอวกางเกง

ซ่งฉิงหลานเบนสายตา

“หัวหน้าซ่ง คุณรังเกียจหรือเปล่า” ดูเหมือนจี้อวี่สือจะเข้าใจถึงความไม่ลงรอยดีกว่าอีกฝ่ายเสียอีก ทว่าคำพูดและการกระทำกลับเป็นธรรมชาติอย่างมาก “ห้องฝึกซ้อมที่ผมใช้ จำเป็นต้องฆ่าเชื้อไหม”

ระดับความรุนแรงในการเกลียดพวกรักร่วมเพศของซ่งฉิงหลานนั้น จี้อวี่สือเองก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน

ได้ยินว่าเขาเคยถูกคนเพศเดียวกันตามจีบอย่างเปิดเผย เพราะเหตุนี้ห้องทำงานที่เกย์เคยเหยียบย่างเข้าไปล้วนแต่ต้องทำการฆ่าเชื้อ

ซ่งฉิงหลานไม่ใส่ใจการยั่วยุดังกล่าว

เขาบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ตนมายังห้องฝึกซ้อม แต่ฟังรื่นหูกว่าที่คิดไว้เยอะ “ผมอยากจะบอกคุณว่า มีคนมากมายอยากเข้าร่วมภารกิจระดับ A เพื่อให้เลื่อนขั้นได้สำเร็จ แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็รู้ว่าตัวเองวาดฝันมากเกินไป เพราะภารกิจระดับ A อันตรายกว่าที่จินตนาการไว้หลายเท่า ถ้าที่ปรึกษาจี้ยังเป็นห่วงคนรอบตัว จะถอนตัวตอนนี้ก็ยังไม่สาย ผมจะจัดการให้คุณกลับไปที่หนิงเฉิงเอง”

จี้อวี่สือทำหูทวนลมต่อคำประชดประชันนั่น “แต่สำหรับผม จะถอนตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว”

บรรยากาศตึงเครียด

ซ่งฉิงหลานพลันยิ้ม “ได้ งั้นผมขอคุณเรื่องเดียว”

จี้อวี่สือดูไม่สะทกสะท้าน เพียงประสานสายตากับอีกฝ่ายเท่านั้น

ซ่งฉิงหลานทิ้งคำพูดไว้ไม่กี่คำ “เชื่อฟังคำสั่ง นอนรอชัยชนะสบาย ๆ ไปก็พอ”

 

 

[1] อิกอร์ ดมิทรีเยวิช โนวิคอฟ (Igor Dmitriyevich Novikov) นักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า