某某
ใครบางคน
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ
– โปรย –
เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้
เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง
เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)
แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป
1v1+he
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 6
“ฮัลโหล เสี่ยวเทียนเหรอ นี่ลุงเซิ่งเองนะ” เซิ่งหมิงหยางที่อีกด้านนึกว่าเปลี่ยนคนถือสายแล้ว น้ำเสียงจึงเกรงอกเกรงใจขึ้นไม่น้อย
เซิ่งวั่งกวาดสายตามองไปรอบหนึ่ง ปากก็ตอบรับ “สวัสดีครับลุงเซิ่ง ผมลูกชายลุงเอง เซิ่งวั่ง”
“…เจ้าเด็กนี่” เซิ่งหมิงหยางถามอย่างโมโห “ลูกบอกจะส่งโทรศัพท์ให้เสี่ยวเทียนนี่”
“ผมส่งแล้ว แต่ไม่มีคนรับ”
“หมายความว่าไง” เซิ่งหมิงหยางชะงัก “อะไรเรียกว่าไม่มีคนรับ”
“เอาเป็นว่าเขาไม่อยู่ในห้องเรียนแล้วกัน”
ทางด้านปลายสาย เซิ่งหมิงหยางดึงมือถือออกห่างแล้วคุยกับคนอื่นเสียงเบา จากนั้นก็กลับมาคุยกับเซิ่งวั่งอีกครั้ง “อย่าเพิ่งวางนะ ให้ป้าเจียงเขาลองถามก่อน”
เซิ่งวั่งกลอกตา ก่อนโยนมือถือลงบนโต๊ะ
ก่อนหน้านี้มีเพื่อนร่วมห้องสองสามคนเดินมาทางนี้ ดูท่าทางอยากจะคุยกับเขาเรื่องสอบ แต่พอเห็นว่าเขากำลังโทรศัพท์จึงชะงักฝีเท้าแล้วโบกมือลากลับก่อน
เวลาเพียงไม่กี่นาที ภายในห้องเรียนก็เหลือเซิ่งวั่งเพียงคนเดียว
เขาเขี่ยสายกระเป๋านักเรียนไปมาอย่างเบื่อหน่าย เสียงผู้คนเริ่มแผ่วหายตามระยะทางจากโถงทางเดินไปยังบันไดแล้วเงียบหายไปในที่สุด ชั้นบนสุดจึงเงียบสงัดตามไปด้วย
เด็กหนุ่มมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงแสดงว่า ‘กำลังอยู่ในสาย’ จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าในวัยเด็ก มีช่วงหนึ่งที่เคยเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ตอนนั้นแม่ของเขาเพิ่งเสีย อาจเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะคิดฟุ้งซ่าน เซิ่งหมิงหยางจึงยืนกรานจะไปรับเขาที่โรงเรียนทุกวัน
การทำธุรกิจนั้นทุกเวลาเป็นเงินเป็นทอง ทั้งยุ่งและวุ่นวาย เซิ่งหมิงหยางมักจะมารับช้าอยู่บ่อยครั้ง เด็กชายก็จะทำการบ้านรออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งทำเสร็จ นักเรียนคนอื่นกลับไปกันหมดแล้ว เซิ่งหมิงหยางจึงเพิ่งมาถึง อีกฝ่ายจะถือกระเป๋าให้พร้อมกับคำขอโทษขอโพยแล้วเรียก ‘หนูวั่ง’ อย่างนั้น ‘หนูวั่ง’ อย่างนี้
ต่อมาพอมีคนขับรถเสี่ยวเฉิน เซิ่งวั่งก็ไม่ค่อยได้รออีกต่อไป หลังจากเขาต่อต้านอยู่หลายรอบ เซิ่งหมิงหยางก็ไม่ค่อยได้เรียกเขาว่า ‘หนูวั่ง’ อีกต่อไป
อยู่ ๆ ก็มีเสียงส้นสูงดัง ‘ก๊อก ๆ ๆ’ มาจากโถงทางเดิน เซิ่งวั่งที่ตื่นจากภวังค์มองไปทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นเงาร่างที่มีผมยาวเดินผ่านหน้าต่างไป แม้เห็นเพียงแค่รูปร่างท่าทางก็ยังเดาออกว่าเป็นอาจารย์วิชาภาษาอังกฤษของพวกเขาที่ชื่อว่าหยางจิง
ตลอดสามวันนี้ที่ย้ายมา เซิ่งวั่งยังไม่เคยเรียนวิชาภาษาอังกฤษมาก่อน แต่เขากลับจำอาจารย์ท่านนี้ได้ชัดเจนที่สุด เพราะว่าพอพวกจอมเนียนห้อง A พูดถึงอาจารย์คนนี้ก็จะเปลี่ยนสีหน้าทันที แค่ได้ยินว่า ‘เจ๊จิงตามตัว’ สี่พยางค์ก็ป๊อดจนใบหน้าซีดเผือดไปหมด
จากที่ได้ยินมานั้นทำให้เซิ่งวั่งนึกว่าอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษให้พวกเขาเป็นยักษ์เป็นมารสักตนเสียอีก
เวลาต่อมาพอได้เจอตัวจริงถึงพบว่าไม่ใช่ หยางจิงรูปร่างสูงผอมเพรียว หน้าตาไม่ได้สวยมากนัก โหนกแก้มยังสูงอีกต่างหาก แต่ถ้าอีกฝ่ายยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คน เธอต้องเป็นคนที่เด่นสะดุดตาที่สุดแน่นอน
ก๊อก ๆ ๆ
หยางจิงที่เดินผ่านไปแล้วถอยกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะเชิดหน้าเคาะประตู
“เจ๊…” เซิ่งวั่งถูกล้างสมองมาสักพักจนเกือบหลุดปากเรียก ‘เจ๊จิง’ ออกไป ดีนะที่เบรกเอาไว้ทัน “อาจารย์หยาง”
“อืม” หยางจิงถาม “ยังไม่กลับเหรอ ทำอะไรอยู่”
คำพูดของเธอสั้นกระชับ แถมยังถามพร้อมกับเชิดหน้า คำถามปกติที่ออกมาจากปากเธอจึงราวกับเป็นการสอบปากคำ
แต่เซิ่งวั่งไม่เคยเกรงกลัวอาจารย์มาก่อน เขาเอ่ยยิ้ม ๆ “กำลังรอคนครับ”
“อ้อ” หยางจิงปรายตามองไปทางโต๊ะเรียนของเขา “ใจกล้าไม่เบานี่ วางมือถือไว้ต่อหน้าต่อตาฉันเลยนะ”
เซิ่งวั่งอึ้งไป ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาส่งให้อีกฝ่ายโดยไม่ต่อต้าน
คุณชายน้อยทำตัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายอย่างไร้ที่ติ หยางจิงเลิกคิ้วเรียวยาวขึ้น กวาดตามองไปทั่วห้องเรียนว่างเปล่า ก่อนจะมองกลับมาที่เด็กหนุ่มพร้อมกล่าว “ให้ฉันทำไม ฉันไม่ได้แซ่สวี่สักหน่อย เอาไปส่งให้ห้องปกครองเองนู่น”
พูดจบเธอก็ย่ำรองเท้าส้นสูงจากไป
เขาวางมือถือกลับลงบนโต๊ะ ขณะที่กำลังจะปล่อยมือออก คนในสายก็ส่งเสียง “ฮัลโหล” ขึ้นมา
“ฟังอยู่ครับ ว่ามาได้เลย” เซิ่งวั่งตอบแบบขอไปที
“เจียงโอวโทร.หาเขาแล้ว”
“โทร.หาใครนะ” เซิ่งวั่งเกือบตามไม่ทัน ก่อนจะร้อง “อ้อ” ขึ้นทีหนึ่ง “เจียงเทียนสินะ เขาพกมือถือด้วย? ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าใจกล้าเหมือนกัน”
เซิ่งหมิงหยางกล่าวเสียงดุ “พึมพำแขวะใครน่ะ วันหลังต้องเรียกว่าพี่นะ”
“ไม่มีทาง เลิกคิดได้เลย” พอไม่มีคนอยู่รอบข้าง เซิ่งวั่งก็ตอบไปอย่างไม่อ้อมค้อม
เซิ่งหมิงหยางรับมือกับลูกชายตัวเองอย่างชำนาญ ในเมื่อเซิ่งวั่งไม่ยอมเรียก เขาจึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนวิธีเรียกก่อน “เจียงโอวบอกว่าพี่ชายลูกถูกอาจารย์เรียกไปห้องพักครูน่ะ”
ไอ้…
เซิ่งวั่งขยับปากสบถคำด่าหยาบคายโดยไร้เสียง
“คิดว่าไม่ออกเสียงแล้วป๊าจะไม่รู้หรือไงว่าลูกพูดอะไร” เซิ่งหมิงหยางหยอก “เอาละ ลูกกลับมากับลุงเสี่ยวเฉินก่อนแล้วกัน”
“อ้อ ไม่ต้องรอแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มถามเสียงเย็น
ได้ยินเสียงเจียงโอวดังแว่วมาจากปลายสาย “อาจเป็นเรื่องสอบแข่งขันหรือเรื่องอื่นมั้งคะ เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้บ่อย ๆ กว่าจะถึงบ้านก็ปาไปห้าทุ่ม อย่าให้เสี่ยววั่งนั่งรอเสียเวลาเปล่าเลย รีบกลับมาเถอะ”
อาจารย์คนไหนช่างเก่งกล้าสามารถรั้งอีกฝ่ายอยู่จนถึงห้าทุ่มเชียว เซิ่งวั่งสะพายกระเป๋าขึ้น เดินไปทางประตูพลางนึกสงสัยในใจ
“งั้นได้ ลูกกลับมาก่อนเถอะ เดี๋ยวดึกกว่านี้ค่อยให้เสี่ยวเฉินมาอีกรอบ” ผู้เป็นพ่อกล่าวพร้อมกับย้ำว่า “ก่อนกลับก็ไปบอกลาพี่ชายลูกด้วยล่ะ”
ฝันไปเหอะ
‘แป๊ก’ เซิ่งวั่งตะปบปิดไฟห้องเรียนก่อนจะตัดสายโดยไม่ร่ำลา
ทางลงตึกต้องเดินผ่านห้องพักครู แม้ปากจะบอกว่าฝันไปเหอะ แต่ตอนเดินผ่านก็ยอมลดศักดิ์ศรีชะโงกมองเข้าไปด้านใน สิ่งที่เห็นมีเพียงศีรษะคนห้าคนที่กำลังก้มหน้าก้มตา ตรงหน้าหากไม่ใช่ข้อสอบก็เป็นแบบเรียนที่วางหราอยู่ ส่วนเจียงเทียนที่ว่ากันว่าถูกเรียกมาห้องพักครูนั้นกลับไม่เห็นแม้แต่เงา
เซิ่งวั่งชะงักเท้า ในหัวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม : คนบางคนนี่เวลาโกหกไม่คิดจะเตี๊ยมกันไว้หน่อยหรือไง ไม่กลัวว่าจะถูกจับได้เหรอ หรือว่า…ไม่อยู่ห้องพักครูนี้ แต่ไปอยู่ห้องพักครูอื่น?
เขามองซ้ายทีขวาที ตอนแรกคิดจะถามอาจารย์สักหน่อย แต่ลุงเสี่ยวเฉินส่งข้อความมาบอกเสียก่อนว่าถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว และที่ตรงนั้นจอดรถนานไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงลังเลเพียงไม่กี่วินาทีก็เดินลงจากตึกต่อ
โรงเรียนสาธิตของพวกเขาไม่ใช่โรงเรียนมัธยมชื่อดังประจำมณฑลเพียงแห่งเดียวในเมือง แต่ส่วนมากโรงเรียนอื่นล้วนตั้งอยู่แถบชานเมือง ห่างไกลจากแสงสีกลางเมือง ห่างไกลผู้คน ถ้าทำได้ก็คงปลีกวิเวกเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
ทว่าโรงเรียนของพวกเขาเป็นข้อยกเว้นทั้งหมด ก่อตั้งขึ้นบนพื้นที่ทำเลทองใจกลางเมืองมาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก แถมยังอยู่ยืนยาวมาถึงหนึ่งร้อยสามสิบปี เวลาต่อมาเมื่อพื้นที่รอบด้านเริ่มเจริญขึ้น พวกเขาก็ทำการปลูกพื้นที่ป่าขึ้นรอบโรงเรียนและส่วนหอพักเพื่อปิดกั้นความโหวกเหวกจากภายนอก
ทางโรงเรียนตั้งชื่อให้ผืนป่ากับพวกสวนดอกไม้ว่า ‘สวนฝึกตน’ แต่พวกนักเรียนกลับพากันเรียกว่า ‘สะพานสี่เชว่’[1]
คู่รักหนุ่มสาวธรรมดาทั่วไปต่างพากันจูงมือเดินพลอดรักตามท้องถนน ส่วนคู่รักน้อยในโรงเรียนที่มีความรักกันตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อหลบหลีกการตรวจตราแล้ว คงได้แต่มาพลอดรักกันบนพื้นดินโคลนกลางป่า ทว่าพอตกกลางค่ำกลางคืน ภาพเงาราวผีพวกนั้นกลับชวนสยดสยองไม่น้อย
เซิ่งวั่งที่เพิ่งย้ายมาได้สามวันโดนเงาผีพวกนั้นทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไปหลายรอบ
นอกประตูใหญ่ของโรงเรียนมีเขตที่พักอาศัยอยู่สองสามแห่ง ผู้พักอาศัยจะเป็นใครบ้างก็เดาได้ไม่ยาก คงไม่พ้นบุคคลสามประเภท…บุคลากรของโรงเรียน นักเรียนประจำของโรงเรียน และผู้ปกครองที่เช่าอยู่อาศัยกับลูกหลาน
พอเซิ่งวั่งเดินออกจากโรงเรียนผ่านเส้นทางผีชุม ก็เห็นลุงเสี่ยวเฉินที่ลดกระจกลงพร้อมโบกมือให้
เขายืนข้างประตูโรงเรียน รอให้ลุงเสี่ยวเฉินไปกลับรถ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงคนดังแว่วมาจากตึกที่พักอาศัยซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ไฟข้างถนนตรงนั้นสลัวจนเหมือนใกล้จะพังเต็มที แถมยังเอาแต่กะพริบไม่หยุดอีกต่างหาก
เด็กหนุ่มเห็นเงาเลือนรางสองร่างที่เดินตามกันออกมาจากอพาร์ตเมนต์และเดินเลี้ยวไปอีกทาง
“เซ็นเซอร์ไฟข้างถนนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มืดอยู่นะ ให้ฉันเดินไปเป็นเพื่อนดีกว่า”
“ไม่ต้องครับ”
เขาได้ยินบทสนทนาแค่ประมาณนี้ เพราะเสียงจากเขตที่พักกับเสียงพลุกพล่านของรถราทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่รู้สึกได้แค่ว่าน้ำเสียงคนตอบค่อนข้างเย็นชา ฟังผ่าน ๆ แล้วคุ้นหูไม่น้อย
“เสี่ยววั่ง” ลุงเสี่ยวเฉินเรียกเขา
เซิ่งวั่งรับคำก่อนจะยกเท้าก้าวไปทางรถยนต์
ท่ามกลางแสงน้อยนิด เงาคนที่อยู่ด้านล่างตึกคล้ายจะหันมามอง แต่ก็อาจจะเป็นเงาทับซ้อนของต้นไม้ที่ทำให้คิดไปเอง เซิ่งวั่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ศีรษะพิงกระจก นึกอยากจะงีบหลับสักนิด
ยามที่แสงไฟจากทัศนียภาพรอบข้างเริ่มพร่าเลือน จู่ ๆ เขาก็นึกออกว่าทำไมเสียงเมื่อกี้ช่างคุ้นหูนัก เพราะเสียงนั้นคล้ายเจียงเทียนนิดหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
เจียงเทียนจะมาทำอะไรที่นี่ล่ะ
สติที่แจ่มชัดเพียงชั่ววูบของเซิ่งวั่งเริ่มจมลงสู่ความง่วงงุนอีกครั้ง เขาจึงไม่คิดมากอีกต่อไป
เพราะยังไงซะ ไม่ว่าจะเป็นเจียงโอวหรือเจียงเทียน ถึงจะเข้ามาอาศัยภายใต้ชายคาเดียวกัน แต่นั่นก็แค่แขกของเซิ่งหมิงหยาง ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักนิด
อันที่จริงการมีคนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านด้วยก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โตเท่าไหร่ สิ่งที่เปลี่ยนมีแค่เรื่องเล็กน้อยจิปาถะเท่านั้น
ตอนที่เซิ่งวั่งเดินเข้าประตูมา เซิ่งหมิงหยางกับเจียงโอวยืนรอกันตรงหน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว ดูท่าเหมือนจะรอมาได้สักพัก กลับกลายเป็นป้าแม่บ้านที่กลับไปก่อนทั้ง ๆ ที่ปกติเวลานี้แบบนี้มักจะยังอยู่
เขาไม่แม้แต่จะชายตามอง เมื่อเลื่อนตู้รองเท้าออกก็พบว่าแถวล่างสุดปรากฏรองเท้าไม่คุ้นตาเรียงราย ส่วนหนึ่งเป็นรองเท้ากีฬาที่คล้ายคลึงกับของเขา อีกส่วนเป็นรองเท้าผู้หญิง
ตั้งแต่ที่แม่ของเขาจากโลกนี้ไป ในบ้านก็ไม่มีของแบบนี้ให้เห็นมานานแล้ว
“รองเท้าลูกอยู่นี่แน่ะ” เซิ่งหมิงหยางก้มตัวยื่นรองเท้าใส่ในบ้านมาให้ “หยิบเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
เซิ่งวั่งหลุบตามองตู้รองเท้าตรงหน้าอยู่สักพักแล้วปิดประตูตู้ ย่อตัวก้มหน้าก้มตาแก้เชือกรองเท้า
“เมื่อกี้ยังโทร.คุยกันดี ๆ อยู่เลย ทำไมพอเข้าบ้านก็มาทำเมินอีกแล้วล่ะ” เซิ่งหมิงหยางตบไหล่เจียงโอว ก่อนจะถกขากางเกงขึ้นแล้วนั่งยองๆลงตรงหน้าลูกชาย ปากก็ถาม “วันนี้ป๊าได้โทร.คุยกับเหล่าสวี่…อ้อ หมายถึงหัวหน้าฝ่ายปกครองของโรงเรียนลูกนั่นแหละ อีกฝ่ายบอกว่าลูกชายป๊าประพฤติตัวในโรงเรียนได้ดีเยี่ยมเลย อาจารย์ในชั้นต่างก็ค่อนข้างชอบลูก แถมยังได้ยินมาว่าผลสอบเมื่อวานของลูกไม่เลวด้วย”
พอได้ยิน นิ้วมือที่กำลังเปลี่ยนรองเท้าของเซิ่งวั่งก็ชะงัก
เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ ก่อนจะยืดตัวสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่ “ก็ไม่เลวนั่นแหละ สอบตกตั้งสามวิชา” พูดจบก็เดินผ่านคนทั้งคู่ ก้าวเท้าตรงขึ้นบันได
เซิ่งหมิงหยางกับเจียงโอวจ้องตากันไปมา ยืนกระอักกระอ่วนกันอยู่สักพัก
“ฉันก็บอกแล้วว่าอย่าให้ฉันยืนตรงนี้เลยจะดีกว่า” เจียงโอวเอ่ยขึ้น
“คงต้องให้เวลาปรับตัวสักหน่อย” เซิ่งหมิงหยางได้ยินเสียงประตูห้องนอนชั้นสองกระแทกดัง ‘ปัง’ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกล่าว “เจ้าเด็กนี่ปากแข็งแต่ใจอ่อน แยกแยะได้ว่าใครหวังดีหวังร้าย เขาไม่ได้ต่อต้านคุณหรอก เขาก็แค่…”
“คิดถึงแม่สินะคะ ฉันรู้” เจียงโอวตอบ
เธอชำเลืองมองไปทางครัวก่อนกล่าวกับเซิ่งหมิงหยาง “งั้นฉันไม่ยกโจ๊กไปให้ดีกว่า คุณเอาไปให้เขาเถอะ”
“ตอนนี้ต้องยังหงุดหงิดอยู่แน่ ๆ คงไม่เปิดประตูให้ผมหรอก” เซิ่งหมิงหยางหัวเราะเสียงแห้งแล้วกล่าวต่อ “คุณคิดว่าป้ายห้ามเคาะประตูหน้าห้องเจ้าเด็กนั่นแขวนให้ใครดูเล่า อุ่นโจ๊กไว้อย่างนั้นก่อนเถอะ เดี๋ยวเขาหิวแล้วก็ลงมากินเอง”
“ฉันว่าวิธีที่คุณอยู่ร่วมกับเสี่ยววั่งมีปัญหานะ…” เจียงโอวอดไม่ได้ที่จะท้วงขึ้นมา
“ตรงไหนกัน อยู่ร่วมกันแบบนี้มาตั้งหลายปีแล้ว” เซิ่งหมิงหยางกล่าวอย่างเอือมระอา
เจียงโอวมองไปทางด้านบนด้วยความเป็นห่วง
“เลิกมองได้แล้ว ถ้าไม่ได้ร้องไห้ก็เป็นเรื่องเล็กทั้งนั้นแหละ” เซิ่งหมิงหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือ
เจียงโอว “???”
ภายในห้องนอนชั้นสอง เซิ่งวั่งไม่รู้เลยว่าพ่อตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง
เขาค้นเมล็ดทานตะวันถุงหนึ่งออกมาจากตู้ขนมแล้วซุกตัวกินอยู่ข้างโต๊ะ พลางกดฟังข้อความเสียงจากเจ้าปูไปด้วย
“ไอ้หลาน[2]นั่นได้คะแนนเต็มเหรอ คะ…คะแนนเต็มแล้วยังไง สมัยก่อนนายเคยน้อยหน้าที่ไหน รอนายตั้งใจอ่านทั้งหมดก่อนรอบหนึ่ง คะแนนเต็มก็แค่เรื่องขี้ ๆ ปะ!”
เซิ่งวั่งปัดเศษเปลือกเมล็ดทานตะวันในมือก่อนตอบ “นายอย่าติดอ่างดิ พูดจาดี ๆ”
“พูดจาดี ๆ?” เจ้าปูสะอึกทีหนึ่ง “เมื่อไหร่ที่ฉันสอบได้คะแนนเต็มบ้าง ฉันจะไปโขกหัวให้หลุมศพบรรพบุรุษเลย นายอ่านแค่วันเดียวก็ได้คะแนนเยอะขนาดนี้แล้ว ถ้าอ่านทั้งอาทิตย์จะขนาดไหน”
“นายดื่มเหล้ามา?” เซิ่งวั่งถาม
“เปล่านี่”
“งั้นนายมาพ่นคำพูดเมา ๆ อะไรแถวนี้” เด็กหนุ่มตอบ “คะแนนที่ได้เป็นคะแนนเบื้องต้น ไม่ว่าใครที่เคยอ่านหนังสือก็ทำได้ทั้งนั้น ถ้าอ่านแค่อาทิตย์เดียวก็ได้คะแนนเต็มแล้ว ฉันยังจะไปเรียนหาอะไรอีก”
“ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยว่าคะแนนเบื้องต้นสูงขนาดนี้” เจ้าปูกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“เพราะนายตาบอด”
“เอาเถอะ อยากได้ข้อสอบอะไรอีกมะ เดี๋ยวฉันไปถามหาจากพวก ม.5 ให้” เจ้าปูมักจะกระตือรือร้นในการช่วยเหลือคนอื่นเสมอ
เซิ่งวั่งพลิกดูการบ้านที่เอากลับมาแล้วตอบ “ตอนนี้ยังไม่ต้อง ฉันซื้อหนังสือโจทย์มาแล้ว ลองทำดูก่อนแล้วกัน”
เขาใช้คาบทบทวนบทเรียนจัดการแบบฝึกหัดภาษาจีนสองบทกับโจทย์พื้นฐานวิชาคณิต ฟิสิกส์ และเคมีแล้ว ส่วนที่เหลือกะไว้ว่าจะค่อย ๆ เรียนรู้ขณะที่แก้โจทย์ในตอนกลางคืน ปรากฏว่าแก้ไปแก้มาก็กินเวลาไปถึงสองชั่วโมงแล้ว
ดูท่าเจ้าปูก็คงจะกำลังทำโจทย์อยู่เหมือนกัน อีกฝ่ายไม่อยากเงียบเหงาอยู่คนเดียว ดังนั้นเลยทักเซิ่งวั่งมาถามว่า “พี่เซิ่ง เป็นไงบ้างอะพี่เซิ่ง ทำได้ในฮึดเดียว ลื่นไหลอย่างกับฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง ประสาทสัมผัสทั้งหกเปิดกว้างไรงี้เลยปะ”
เซิ่งวั่งส่งเสียงหึแล้วกล่าว “ทำไม่ไหว”
“หา? เป็นไปได้ไง”
เซิ่งวั่งเองก็กำลังสงสัยเหมือนกัน
ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเขาสูงลิ่วมาโดยตลอด ถึงพูดแบบนี้จะดูมั่นใจในตัวเองไปหน่อย แต่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ บนโต๊ะมีของวางอยู่สามอย่าง ด้านซ้ายเป็นแบบเรียน ตรงกลางเป็นชีทการบ้านและแบบฝึกหัด ส่วนด้านขวาเป็นหนังสือรวมโจทย์
เด็กหนุ่มเริ่มจากสกรีนโจทย์ในชีทการบ้านก่อน แล้วไฮไลท์ส่วนที่ต้องไปอ่านไปค้นเพิ่มเติม จากนั้นค่อยอ่านส่วนที่เกี่ยวข้องในแบบเรียนอย่างรวดเร็วสักรอบ ถึงจะหาโจทย์คล้าย ๆ กันในหนังสือรวมโจทย์ด้านขวามาลองทำ สุดท้ายจึงค่อยกลับมาทำการบ้านอีกรอบ
พอทำแบบนี้เสร็จค่อยเอาไปปรับประยุกต์ใช้อีกที จากนี้พอเจอโจทย์ที่คล้าย ๆ กันก็คงไม่คณามือ
เขาใช้วิธีนี้จัดการการบ้านส่วนมากได้อย่างรวดเร็ว เหลือเพียงโจทย์ข้อสุดท้ายของวิชาฟิสิกส์ที่ยังว่างเปล่า เพราะเขาหาโจทย์แบบเดียวกันไม่เจอ
“จริงปะเนี่ย ไม่มั้ง” เจ้าปูตอบ “ถ่ายโจทย์ให้ฉันดูหน่อยสิ”
“ทำไม นายจะทำให้ฉันเหรอ”
“ล้อกันเล่นหรือไง!” เจ้าปูโวย “เดี๋ยวจะไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชมในห้องส่ง ห้องข้าง ๆ ฉันเป็นรุ่นพี่สองคนที่โคตรเก่ง เดี๋ยวฉันลองไปถามดู”
เซิ่งวั่งถ่ายรูปส่งให้อีกฝ่าย ส่วนตัวเองก็เปิดคอมพิวเตอร์เตรียมเสิร์ชในอินเทอร์เน็ต
ผ่านไปได้เกือบครึ่งชั่วโมง เจ้าปูก็กลับมาอย่างพ่ายแพ้ยับเยิน “รุ่นพี่เปิดไฟฉายไปแก้โจทย์ด้วยกันแล้วเนี่ย แถมยังแก้ไปด่าฉันไปด้วย บอกว่าฉันต้องคิดไม่ดีกับพวกเขาแน่นอน ถ้าคืนนี้แก้โจทย์ไม่ออก พวกเขาคงนอนไม่หลับแหง ๆ”
เด็กหนุ่มกำลังกัดริมฝีปากนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์เขม็ง ไม่ได้ตอบกลับไป
เจ้าปูส่งข้อความรัว ๆ มาอีกสามครั้ง สุดท้ายถึงขั้นคอลมาหา
พอรับสายแล้วอีกฝ่ายก็ถามขึ้น “เป็นไงบ้าง”
เซิ่งวั่งตอบเสียงกระด้าง “เจอโจทย์ที่คล้าย ๆ อยู่ข้อ”
เจ้าปูตอบ “โอ้! งั้นก็โอเคแล้วปะ ทำดิ!”
“ทำที่หน้านายสิ นั่นมันโจทย์ระดับสอบแข่งขัน”
“…การบ้านของพวกนายนี่ต้องโหดขนาดนี้เลยเหรอ”
ให้คนที่ไม่เคยเรียนมาก่อนไปทำโจทย์สอบแข่งขันนี่ โรคจิตเกินไปหน่อยแล้วมั้ง
“ฉันวางก่อนละ จะลงไปหาน้ำเย็น ๆ มาดื่มสงบสติอารมณ์” เซิ่งวั่งเอ่ยจบก็ตัดสายแล้วเดินลงไปข้างล่าง
แสงในห้องรับแขกมืดสลัว เหลือเพียงแค่แสงไฟสลัว ๆ ตรงหน้าประตู เขาเหลือบมองนาฬิกาถึงรู้ตัวว่าห้าทุ่มแล้ว เด็กหนุ่มคว้าน้ำเย็นออกมาจากตู้เย็นแล้วเดินขึ้นบันไดกลับห้อง เขายืนพิงริมหน้าต่างพลางกรอกน้ำเข้าปากไปสองอึก ขณะที่กำลังจะกลับไปนั่งแกะโจทย์ต่อที่โต๊ะ หางตาก็พลันเห็นคนยืนอยู่ข้างไฟริมถนนนอกบ้าน
คนคนนั้นสะพายกระเป๋าอยู่บนไหล่พลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะไฟข้างทางสว่างพอ ไม่ก็อาจเป็นเพราะสายตาเขาดีพอ แม้จะมีกระจกหน้าต่างกับสวนกั้นอยู่ แต่เซิ่งวั่งก็สามารถมองเห็นความหงุดหงิดกับความไม่สบอารมณ์บนใบหน้าเจ้าตัวได้อยู่ดี
โทร.คุยกับใครน่ะ ถึงได้โมโหถึงขั้นนั้น
เซิ่งวั่งนึกอยากรู้ เขาเห็นเจียงเทียนแตะลงบนหน้าจอทีหนึ่ง ก่อนจะหย่อนมือถือลงกระเป๋ากางเกงด้วยใบหน้าเย็นเยียบ ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินเข้าบ้านในทันที กลับยืนอยู่คนเดียวด้านนอกพักใหญ่ จากนั้นก็แหงนหน้ามองมาทางชั้นบน
ปฏิกิริยาของเซิ่งวั่งคือการกระชากผ้าม่านมาบดบังตัวเองโดยอัตโนมัติ กระชากเสร็จถึงตั้งสติได้ว่าแบบนี้ดูเล่นใหญ่กว่าเดิมอีก
ช่างเหอะ ดูโง่ชะมัดเลย
เขาคิดไปคิดมาก็เปิดผ้าม่านออก ก่อนจะมองผ่านหน้าต่างออกไปอย่างสง่าผ่าเผย แต่กลับเห็นเจียงเทียนกำลังหันหลังเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามแทน
“เอ๋?” เซิ่งวั่งอึ้งไปเล็กน้อย
พอตั้งสติได้อีกทีเขาก็เปิดหน้าต่างออกพร้อมตะโกนหาคนที่อยู่นอกบ้านเสียแล้ว “ไปไหนอะ เปิดประตูรั้วไม่เป็นหรือไง”
ความเคลื่อนไหวใหญ่โตไม่น้อย พอพูดจบ หน้าต่างห้องนอนชั้นล่างก็เปิดออกด้วย
เซิ่งหมิงหยางชะโงกศีรษะมามองเขา “ลูกคุยกับใครน่ะ”
ยังไม่ทันได้รอให้เซิ่งวั่งตอบ คนถามก็นึกออกในทันที “เจียงเทียน?”
“ถ้าไม่งั้นแล้วจะให้พูดกับโจรหรือไง” เซิ่งวั่งตอบ
แต่ไม่นานนักเขาก็ต้องมานึกเสียใจในภายหลัง
สองนาทีต่อมา เจียงเทียนที่คิดจะจากไปในตอนแรกก็ถูกแม่ตัวเองกับเซิ่งหมิงหยางลากเข้ามาในห้องรับแขก ถูกล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตรงชานพักบันไดระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง
คุณชายน้อยเซิ่งแง้มประตูออกเป็นช่องเล็ก ๆ นึกอยากหาเรื่องบันเทิงดู แต่พอดวงตาที่กำลังแอบมองสบเข้ากับสายตาแช่แข็งของเจียงเทียนเข้า เด็กหนุ่มคิดไปคิดมาก็ตัดสินใจค่อย ๆ ปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ
[1] อ้างอิงถึงสะพานข้ามทางช้างเผือกในตำนานจีนโบราณที่จะทำให้หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าได้เจอกันปีละครั้ง
[2] คำเรียกดูถูก คล้าย ๆ คำว่า ‘ไอ้เด็กเมื่อวานซืน’