[ทดลองอ่าน] ใครบางคน บทที่ 8

某某
ใครบางคน

木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ

– โปรย –

เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้

เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง

เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)

แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป

1v1+he

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 8

 

ฉันก็แค่เรียกนายได้เหมาะเจาะเกินไปไม่ใช่หรือไงเล่า มันต้องขนาดนี้เลยไหม เจ้าคิดเจ้าแค้นชะมัด

เซิ่งวั่งจ้องบรรทัดสุดท้ายอยู่สักพัก นึกอยากจะโยนโพสต์-อิทกลับไปให้อีกฝ่าย แต่ด้วยความเคารพที่มีต่อวิชาความรู้ มือที่ยกขึ้นจึงวางลงอีกครั้ง ก่อนจะคลี่กระดาษโพสต์-อิทที่ถูกขยำเป็นก้อนออก จากนั้นก็หยิบมือถือออกมาถ่ายวิธีแก้โจทย์เอาไว้

เขาเพิ่งยัดมือถือกลับเข้าใต้โต๊ะ เจียงเทียนก็เดินกลับมาจากห้องพักครูแล้ว แถมในมือยังถือหนังสือเล่มหนาไว้ด้วย

มองเห็นชื่อหนังสือได้ไม่ชัดนัก เซิ่งวั่งเฝ้ารอจังหวะที่อีกฝ่ายกลับมาถึงที่นั่ง ก่อนจะโยนก้อนกระดาษไปทางด้านหลัง

เจียงเทียนยืนอยู่ตรงที่นั่งตัวเอง เงาร่างสูงปกคลุมลงมา เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะ คลี่กระดาษโพสต์-อิทนั่นออกดู แล้วพบว่าด้านล่างมีข้อความใหม่ถูกเขียนเพิ่มขึ้นมาอีกบรรทัด…

คิดว่าฉันจะแยแสคำตอบแค่นี้ของนายหรือไง

เด็กหนุ่มมองลายมือโย้เย้ราวกับหมาคลานก่อนจะขยำกระดาษโยนเข้าใต้โต๊ะ จากนั้นลากเก้าอี้ออกมานั่งพร้อมกล่าวกับหลังศีรษะของใครบางคนด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “งั้นนายหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปทำไม”

พอพูดจบ ใบหูขาวเนียนของคนตรงหน้าก็ค่อย ๆ ขึ้นสีแดง

เวร

เซิ่งวั่งหลับตาลง พยายามรักษาความนิ่งสงบเข้าไว้ ทว่าเขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีภายในกายนั้นแตกสลาย ปลิวหายไปหมดแล้ว

ในช่วงเวลากระอักกระอ่วนมักจะมีนางฟ้าสักคนสองคนมาช่วยกู้สถานการณ์เสมอ

และนางฟ้านามว่าเกาเทียนหยางก็กลับมาหลังจากกินเรียบทุกโต๊ะ เขาวิ่งพรวดมาหยุดตรงหน้าโต๊ะเจียงเทียน “นายกลับมาสักที เร็วเข้า ขอยืมดูโจทย์ฟิสิกส์ข้อสุดท้ายหน่อย! ตลอดทางมานี่ฉันได้มาสามคำตอบ แต่ถามแต่ละคนแล้วไม่มีใครมั่นใจเลยสักคน”

เสียงของเขาเรียกคนมามุงได้ฝูงใหญ่ ต่างพากันมาล้อมหน้าล้อมหลังเจียงเทียน

ปกติแล้วอัตราการทำโจทย์ถูกของเด็กห้อง A ค่อนข้างสูง ถ้านายเอทำไม่เป็น นายบีจะทำเป็น ส่วนที่นายบีคิดผิด นายเอก็จะคิดถูกแน่นอน ในสถานการณ์ปกติถ้านักเรียนสองคนมาเช็กคำตอบเทียบกันก็จะได้คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดสำหรับชีทหนึ่งชุด แต่ถ้าเป็นโจทย์ที่คนทั้งกลุ่มก็ยังไม่แน่ใจแบบนี้ งั้นโจทย์มันคงจะยากเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ

แต่เซิ่งวั่งก็ยังรู้สึกถึงความห่างชั้นจากคำพูดของพวกเขาได้อยู่ดี…

เมื่อก่อนอาจารย์ของเขาก็เคยออกโจทย์แข่งขันทำนองนี้ ซึ่งมีเพียงคนส่วนน้อยที่แก้โจทย์ได้ และเซิ่งวั่งก็เป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยนั่น ทว่าภายในห้องนี้ สิ่งที่ทุกคนเอาแต่พูดถึงมีแค่โจทย์ย่อยข้อสุดท้าย นั่นหมายความว่าคนส่วนมากต่างสามารถทำโจทย์ย่อยสองข้อก่อนหน้าได้อย่างราบรื่น

เซิ่งวั่งขยับเก้าอี้เล็กน้อย หลีกทางให้เพื่อนร่วมห้องที่มารุมตอมราวกับฝูงผึ้ง ในใจคิดว่าสมแล้วที่เป็นห้อง A ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยวิชาฟิสิกส์อยู่ที่ 104 คะแนน

เพิ่งคิดอย่างนั้นจบ เหล่านักเรียนห้อง A ก็พากันโอดครวญ “เชี่ย…ไม่ใช่มั้ง นี่มันคำตอบแบบที่สี่แล้วนะ!”

เกาเทียนหยางยืนถือชีทการบ้านด้วยความสับสน “งั้นฉันแก้คำตอบหรือไม่แก้ดีอะ”

“แล้วแต่นาย”

แม้เจียงเทียนจะเทพแค่ไหน แต่ทั้งห้องสี่สิบกว่าคน มีเขาแค่คนเดียวที่คิดได้คำตอบแบบนี้ โอกาสที่จะผิดจึงค่อนข้างสูง

ที่จริงไม่ว่าจะสุ่มโยนนักเรียนห้อง A ไปอยู่ห้องไหน พวกเขาต่างก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพแห่งการเรียนทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีความทะนงตัวไม่มากก็น้อย การจะคิดว่าคำตอบของตนผิดเลยเป็นเรื่องยาก

ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ถาโถมเข้ามาราวกับน้ำขึ้นนั้น หลังถกเถียงเอะอะกันได้สักพักก็สลายหายไปราวกับน้ำลง มีคนแก้คำตอบไปได้ไม่ถึงสิบคน

เจียงเทียนไม่ใส่ใจว่าคำตอบของตัวเองจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวไม่ชอบถูกรุมล้อมนัก พอคนมุงหายไป เรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็คลายออกเล็กน้อย

ก่อนกลับที่นั่ง เกาเทียนหยางเหลือบเห็นหนังสือในมือเขา “วิธีเขียนเรียงความพรรณนาอารมณ์? นายซื้อมาเหรอ”

“ฉันจะซื้อไปทำไม” เจียงเทียนยัดเข้าใต้โต๊ะโดยไม่แม้แต่จะพลิกดู “ได้มาจากห้องพักครู”

คนถามงงไปสักพักก่อนจะนึกอะไรออก “อ้อ แมวกวักเป็นคนให้เหรอ”

‘แมวกวัก’ ที่อีกฝ่ายว่าคืออาจารย์สาวที่มีใบหน้าอวบอูม เธอสอนวิชาภาษาจีนให้กับห้อง A ด้วยความที่มีริมฝีปากที่ยกยิ้มตลอดเวลาจนดูคล้ายแมวเป็นอย่างมาก เธอจึงได้ฉายาที่อู้ฟู่แบบนี้ไป

“อาจารย์ให้นายทำไมอะ” เกาเทียนหยางถามอีก

เจียงเทียนไม่มีอารมณ์จะสนทนาเลยสักนิด เขาตอบแค่สามพยางค์ก็เป็นอันจบบทสนทนานี้ “ฉันไม่รู้”

เกาเทียนหยางร้อง “อ้อ” ทีหนึ่ง ก่อนจะกลับที่นั่งของตัวเองไป

ชั้น ม.5 ของพวกเขามีวิชาเรียนเช้าบ่ายช่วงละห้าคาบ เช้าวันนี้ห้อง A มีเรียนคณิตสองคาบ เคมีหนึ่งคาบ กับภาษาจีนอีกสองคาบ ส่วนตอนบ่าย ระหว่างฟิสิกส์กับภาษาอังกฤษอย่างละสองคาบมีวิชาพละคั่นอยู่

นอกจากวิชาฟิสิกส์ที่เคยเรียนเมื่อคาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำไปแล้ว วิชาอื่นต่างก็พูดถึงเนื้อหาข้อสอบประจำสัปดาห์ทั้งนั้น

สามคาบแรกเซิ่งวั่งกับเจียงเทียนจึงตกเป็นเป้าสายตาไม่หยุด คนแรกนั้นเป็นเพราะความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่สุดยอด ส่วนคนหลังนั้นเป็นเทพตัวจริง

ในการสอบประจำสัปดาห์ครั้งนี้ คะแนนวิชาคณิต ฟิสิกส์ และเคมีของเจียงเทียนถูกหักไปแค่ 3 คะแนน…เขาพลาดข้อสอบช้อยส์ที่มีมากกว่าหนึ่งคำตอบไปข้อหนึ่ง ส่วนข้อสอบคณิตแค่ลืมเขียนคำว่า ‘ตอบ’ ลงไปเท่านั้น

อาจารย์ทั้งสองพอสบโอกาสก็เอาแต่เอ่ยปากชมไม่หยุด จนกระทั่งถึงคาบของอาจารย์แมวกวักที่สอนภาษาจีน สถานการณ์ถึงพลิกผัน

ส่วนหลัก ๆ ที่พลิกผันก็คือส่วนของเจียงเทียน

แมวกวักให้นักเรียนคนแรกของแต่ละแถวส่งกระดาษข้อสอบคืนไปด้านหลัง ส่วนตัวเองยืนเกาะโต๊ะหน้าห้องกล่าวสรุปสถานการณ์การสอบประจำสัปดาห์นี้

“ภาษาจีนคะแนนเต็ม 160 คะแนน คะแนนเฉลี่ยของห้องเราคราวนี้คือ 109 นั่นหมายความว่าไงรู้ไหม หมายความว่าสูงกว่าวิชาฟิสิกส์ที่มีคะแนนเต็ม 120 แค่ 5 คะแนนเท่านั้น พวกเธอล้อฉันเล่นอยู่หรือไง”

ทั้งห้องเงียบเป็นเป่าสาก

เมื่อเทพแห่งการเรียนผู้โดดเด่นในวิชาคณิต ฟิสิกส์ และเคมียังพ่ายให้กับแมวกวักและหยางจิง คนอื่น ๆ ก็มีแต่จะล้มลุกคลุกคลานเท่านั้น

อันที่จริงห้อง A ในฐานะห้องหัวกะทิย่อมไม่ได้โดดเด่นไปทางวิชาไหนเป็นพิเศษ ไม่งั้นคะแนนรวมคงดูไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คะแนนภาษาจีนกับภาษาอังกฤษของพวกเขาก็ไม่ได้น่าดูน่าชมเท่าอีกสามวิชาที่เหลืออยู่ดี บางครั้งยังอาจทำให้ผู้เป็นอาจารย์โมโหหน้าดำหน้าแดงอีกต่างหาก

“จริงอยู่ที่ข้อสอบคราวนี้อาจยากไปหน่อย เรียงความเขียนหลงประเด็นได้ง่าย แต่ข้อสอบพาร์ทการอ่านในส่วนที่สองกลับทำคะแนนได้ต่ำสุดของทั้งระดับชั้น ส่วนการตีความบทกลอนก็…ช่างมันเถอะ ฉันไม่ตั้งความหวังอะไรกับการตีความของพวกเธอหรอกนะ แต่พวกเธอก็นั่งเทียนเขียนมั่วไม่ได้อยู่ดีหรือเปล่า

“ตรงนี้ขอเอ่ยปากชมนักเรียนใหม่หน่อย ถึงเขาจะเพิ่งย้ายมา ยังตามบทเรียนไม่ทัน แต่ความรู้พื้นฐานกลับแน่น ฉันจำได้ว่าส่วนตีความบทกลอนกับข้อสอบพาร์ทการอ่านไม่ถูกหักสักคะแนน เรียงความก็เขียนออกมาได้สละสลวย…”

ไม่ว่าใครก็ชอบคนหล่อกันทั้งนั้น แล้วยังเป็นคนหล่อที่ผลการเรียนดีอีก แมวกวักจึงเอ่ยชมโดยไม่ขัดปาก พอชมทีก็ชมเสียยืดยาว

แม้ภายในของเซิ่งวั่งจะกำลังลิงโลด แต่ภายนอกกลับยังคงสงวนท่าทีและทำสีหน้าเรียบนิ่ง เด็กหนุ่มนั่งพิงพนักเก้าอี้ ปากกาหมึกซึมที่หนีบอยู่ระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วนางกระดิก เคาะหน้ากระดาษไปมา

ขณะที่เขากำลังนั่งรับคำชมอย่างอิ่มเอมอยู่นั้น แมวกวักก็พลันหันมาเสริมอีกประโยค “ติดก็แค่ลายมือเธอนั่นแหละ ทางที่ดีไปฝึกคัดมาหน่อยนะ ไม่ต้องคัดจนสวยมากก็ได้ ขอแค่ให้ตัวหนังสือมันยืนตรงหน่อย อย่าให้พวกมันคลานเลื้อยไปมา”

เซิ่งวั่ง “…”

นักเรียนชายในห้องเริ่มหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ส่วนนักเรียนหญิงต่างเก็บอาการ หลายคนก้มหน้าหัวเราะจนหน้าแดงไปหมด แล้วใช้โอกาสที่รอบข้างกำลังอึกทึกลอบหันมามองทางเด็กหนุ่ม

แมวกวักตบโต๊ะ “หัวเราะอะไรกันน่ะ ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก เรียงความรอบนี้ฉันกล้าพูดเลยว่า ทั้งห้องมีแค่เขากับตัวแทนฝ่ายวิชาการที่ได้คะแนนสูง ของคนอื่นนี่มันอะไร นักเรียนบางคนต้องอ่านโจทย์ให้ดี โจทย์บอกให้เขียนเรียงความพรรณนา ก็ช่วยเขียนให้มันได้อารมณ์หน่อยได้ไหม อย่าเขียนออกมาเหือดแห้งเหมือนกำลังแก้สมการสิ ใส่น้ำลงไปหน่อย”

จู่ ๆ เซิ่งวั่งก็นึกถึงหนังสือ วิธีเขียนเรียงความพรรณนาอารมณ์ ที่เจียงเทียนเอากลับมาจากห้องพักครูด้วยเมื่อเช้า เขาจึงหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จากนั้นทั้งห้องก็หัวเราะครืนกันอีกครั้ง

เขาเบนศีรษะไปมอง สีหน้าของเจียงเทียนที่ถูกเรียกว่านักเรียนบางคนยังคงนิ่งสงบ ไม่รู้ว่าเย็นชาสูงส่งจริง ๆ หรือแค่คงสีหน้าแบบนั้นไว้เพราะศักดิ์ศรีกันแน่

หลังจากแมวกวักพูดจี้จุดอยู่สิบนาที ในที่สุดก็เริ่มเฉลยข้อสอบ แต่ระหว่างการอธิบายข้อสอบก็ไม่ลืมที่จะแขวะนักเรียนบางคนอีกสักรอบ

ตอนที่พูดถึงโจทย์พาร์ทการอ่าน เธอกวาดสายตามองรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยเรียก “เจียงเทียน”

เซิ่งวั่งได้ยินเสียงลากเก้าอี้ คนด้านหลังลุกขึ้นยืน

“ไหนเธอดูข้อหนึ่งซิ ควรเลือกตอบอะไร” แมวกวักถาม

ตั้งแต่เริ่มคาบมา เซิ่งวั่งก็เข้าใจสไตล์ของอาจารย์ท่านนี้แล้ว ใครผิดก็จะจิกเรียกไม่หยุด

บางทีอาจเป็นเพราะคำตอบบนโพสต์-อิทแผ่นนั้น หรือบางทีอาจเป็นเขาที่แค่อยากทำตัวเป็นนกยูงรำแพนหาง เซิ่งวั่งจึงแอบเลื่อนกระดาษคำตอบของตัวเองไปทางซ้ายเล็กน้อย

โจทย์พาร์ทการอ่านนี้เขาตอบถูกหมด เจียงเทียนแค่หลุบตาก็สามารถเห็นคำตอบได้แล้ว ขอแค่อีกฝ่ายตาไม่บอดก็คงจะรู้ว่าข้อแรกต้องตอบ C

เซิ่งวั่งเหลือบตามองเจียงเทียนแล้วก็สบเข้ากับสายตาอีกฝ่ายพอดี เด็กหนุ่มยืดตัวตรงทันที รู้สึกวางใจลงเล็กน้อย…นั่นหมายความว่าเจียงเทียนเห็นกระดาษคำตอบของเขาแล้ว

ปรากฏว่าวินาทีต่อมาเขากลับได้ยินเจียงเทียนตอบ “A”

เซิ่งวั่ง “???”

แมวกวักถลึงตาตามคาด “เลือก A? เธอลองดูอีกทีซิว่าควรเลือกข้อไหน”

เซิ่งวั่งเลื่อนกระดาษไปทางซ้ายอีกนิด แต่กลับได้ยินเสียงเจียงเทียนเปลี่ยนคำตอบอย่างใจเย็นเป็น “D”

เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง กระดาษคำตอบของเจ้าหมอนี่เลือก “B”

เซิ่งวั่ง “…”

นายตั้งใจใช่ไหมเนี่ย

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า